วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ

22/09/52
กอร์ดอน บราวน์'แนะทั่วโลกอย่าหยุดกระตุ้น ศก.
รายงานข่าวบนเว็บไซท์บลูมเบิร์กดอทคอมระบุว่า นายกรัฐมนตรีกอร์ดอน บราวน์ของอังกฤษกล่าววานนี้ว่า เศรษฐกิจโลกยังคงไม่ได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นการฟื้นตัวของการใช้จ่ายและการลงทุนในประเทศเท่าที่ควร ดังนั้น รัฐบาลในประเทศต่างๆจึงยังไม่ควรยกเลิกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือ ลดงบประมาณรายจ่ายเร็วเกินไป

'มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเราจะต้องทำเพื่อให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างมีมากกว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ดำเนินการไปแล้ว สิ่งที่เราจะต้องทำคือการหลีกเลี่ยงไม่ให้ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจกลายเป็นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก หรือ เกรสดีเปรสชั่น' นายกรัฐมนตรีอังกฤษกล่าวในการให้สัมภาษณ์สื่อในประเทศวานนี้ ก่อนที่จะเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำจี 20

ทั้งนี้ การแสดงความเห็นของนายกรัฐมนตรีอังกฤษเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสเรียกร้องจากนักการเมืองในอังกฤษที่ต้องการให้รัฐบาลลดงบประมาณรายจ่ายและมุ่งแก้ปัญหาขาดดุลงบประมาณในปีหน้า

*************
17/09/52
JAPAN:ธ.กลางญี่ปุ่นคงดอกเบี้ยที่ 0.10% ตามคาด ชี้ศก.ส่งสัญญาณฟื้นตัว
โตเกียว--17 ก.ย.--รอยเตอร์
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยเผื่อเรียก ข้ามคืนที่ 0.10 % ในการประชุมวันนี้ตามความคาดหมาย พร้อมกับระบุว่าเศรษฐกิจ กำลังส่งสัญญาณฟื้นตัว นายมาซาอากิ ชิราคาวะ ผู้ว่าการบีโอเจจะจัดการแถลงข่าวในวันนี้ หลังเวลา 14.15 น. ตามเวลาไทยวันนี้ ทั้งนี้ บีโอเจได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 0.10 % ในเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นทรุดตัวลง 4.0 % ในไตรมาสแรกปีนี้ ซึ่งถือเป็นการหดตัวลงมากที่สุด เป็นประวัติการณ์ เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ญี่ปุ่นเปิดเผยว่า เศรษฐกิจขยายตัว 0.6% ในไตรมาส 2 ปีนี้ ต่ำกว่าตัวเลขขั้นต้นที่มีการเปิดเผยก่อนหน้านี้ แต่เป็นการยืนยันว่าเศรษฐกิจได้ฟื้นตัว ขึ้นจากภาวะถดถอยแล้ว หลังจากหดตัวลงอย่างรุนแรงเป็นเวลา 1 ปี
************
16/09/52
CLSA เผยอุปสงค์สินค้าโภคภัณฑ์ในจีนกลับมาพุ่งสูงอีกครั้ง Source - IQ Biz (Th) Wednesday, September 16, 2009 12:03 40770 XTHAI XECON XCORP XCOMMOD XINTER V%WIREL P%IQ อินโฟเควสท์ (16 ก.ย. 52)--ซีแอลเอสเอ รีเสิร์ช เผยความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ในจีนกำลังกลับมาพุ่งสูงอีกครั้ง โดยทองแดงและถ่านโค้กมีแววว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้นมากที่สุด หลังเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว "สินค้าโภคภัณฑ์ที่จะมีราคาดีดตัวขึ้นมากที่สุดคือสินค้าที่มีจำนวนจำกัด" แอนดรูว์ ดริสโคล หัวหน้าฝ่ายวิจัยทรัพยากรของซีแอลเอสเอในเซี่ยงไฮ้ กล่าว "ในช่วง 12 เดือนต่อจากนี้ ทองแดงจะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่น่าลงทุนมาก" บลูมเบิร์กรายงานว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 5.86 แสนล้านดอลลาร์ของทางการจีน รวมถึงการปล่อยสินเชื่อมูลค่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งแรกของปี ช่วยหนุนให้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวจากภาวะถดถอยครั้งรุนแรงสุดในรอบเกือบ 80 ปี ส่วนราคาสัญญาทองแดงก็พุ่งสูงกว่า 2 เท่าในปีนี้ "ในช่วงครึ่งแรกของปีอุปสงค์ในจีนฟื้นตัวแล้วในขณะที่อุปสงค์ของประเทศอื่นทั่วโลกยังไม่ฟื้น" ดริสโคล กล่าวเมื่อวานนี้ "อุปสงค์สินค้าโภคภัณฑ์จีนฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง และหวังว่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไปในช่วงครึ่งหลังของปี" ในขณะเดียวกัน เบน เบอร์นันเก้ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวเมื่อวานนี้ว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐอาจสิ้นสุดลงแล้ว หลังยอดค้าปลีกสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นมากสุดในรอบ 3 ปีในเดือนสิงหาคม ส่งสัญญาณว่าการใช้จ่ายผู้บริโภคดีดตัวขึ้นเกินคาด
***********
15/09/52
มูดี้ส์เตือน 12-18 เดือนข้างหน้า ธนาคารในอังกฤษจะขาดทุนหนัก 2.4 แสนล้านปอนด์

Posted on Tuesday, September 15, 2009
สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์อินเวสเตอร์เซอร์วิส บอกว่า ธนาคารในอังกฤษอาจมีปัญหาขาดทุนอย่างสูงในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า เนื่องจากอัตราส่วนหนี้เสียเพิ่มขึ้น ประกอบกับขาดทุนจากการลงทุนในหลักทรัพย์

มูดี้ส์คาดว่า ธนาคารในอังกฤษจะขาดทุนในช่วงดังกล่าวประมาณ 130,000 ล้านปอนด์ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากขาดทุนมาแล้ว 110,000 ล้านปอนด์ นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลก เนื่องจาก การชะลอตัวของเศรษฐกิจมหภาค ทำให้หนี้เสียเพิ่มขึ้นจนส่งผลกระทบไปถึงความสามารถในการทำกำไรและฐานะเงินทุนของธนาคาร

ขณะเดียวกันนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินเป็นต้นมา รัฐบาลอังกฤษได้ใช้งบประมาณไปแล้วจำนวน 1.4 ล้านล้านปอนด์เข้าพยุงกิจการธนาคารขนาดใหญ่ของประเทศได้แก่ รอยัลแบงก์ออฟสก็อตแลนด์กรุ๊ป และลอยด์สแบงกิ้งกรุ๊ป โดยเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสถาบันการเงินทั้งสองแห่ง

***********
14/09/52
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นรูปตัว W หลังแนวทางแก้วิกฤติยังไม่ได้ผล

Posted on Monday, September 14, 2009
ดร. เชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ปัจจุบันมีหลายฝ่ายที่คาดหวังการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างของการกำกับดูแลภาคการเงินโดยเฉพาะในสหรัฐฯ แต่ที่ผ่านมายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน จึงยังต้องติดตามกันต่อไป ส่วนประเทศไทยที่แม้ว่าจะไม่ได้เป็นสาเหตุของปัญหาในครั้งนี้ แต่ก็ยังได้รับผลกระทบผ่านกลไกด้านตลาดการส่งออกด้วยเช่นกัน จึงสามารถนำกรณีการล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์ส ในปี 2551 มาใช้เป็นบทเรียนสำคัญเพื่อให้ตระหนักถึงการกำกับดูแลและบริหารความเสี่ยงด้วย

อย่างไรก็ตาม หลังเกิดวิกฤติ ทางการสหรัฐฯได้เน้นแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ทั้งในเรื่องการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ และการลดดอกเบี้ย เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก ส่งผลให้สถานการณ์มีทิศทางที่ดีขึ้นบ้าง

ดร.เชาว์กล่าวว่า ตราบใดที่อัตราการว่างงานสหรัฐยังสูงเกิน 9% เศรษฐกิจสหรัฐฯก็คงยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว เพราะความสามารถทางการคลังของสหรัฐฯปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะยังมีโครงการต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้เงิน จึงเชื่อว่าการเคลื่อนไหวของสถานการณ์เศรษฐกิจน่าจะยังเป็นรูป W Shape ต่อไป

สำหรับสถาบันการเงินของไทยนั้น ยังมีการเข้าไปดูแลการปล่อยสินเชื่ออย่างใกล้ชิด เพื่อลดโอกาสการเกิดหนี้เสีย ที่จะส่งผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์ได้ ขณะที่รัฐบาลก็ได้ดำเนินมาตรการที่จำเป็นต้องทำไปแล้ว เช่น การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ย และการอัดฉีดสภาพคล่องผ่านนโยบายต่าง ๆ ตลอดจนออกกฎหมายรองรับการลงทุนในอนาคต ซึ่งได้สะท้อนให้เห็นจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาส 2/52 ที่เป็นบวกเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/52 แต่ก็ยังควรต้องจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป

นายมาร์ค เดวาเดสัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) บอกว่า หลังจากที่เลย์แมน บราเธอร์สล้มละลายครบรอบ 1 ปี ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า ผลกระทบทางด้านวิกฤตการเงินสิ้นสุดแล้วหรือยัง แต่ก็เริ่มมีสัญญาณบวกหลายด้าน จากตัวเลขดัชนีด้านการว่างงาน ดัชนีความเชื่อมั่น และดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก ที่ปรับตัวดีขึ้น

ทั้งนี้เชื่อว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียรวมถึงไทย ซึ่งมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งจะเริ่มฟื้นตัวได้ในช่วงปีหน้า ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐ และกลุ่มประเทศยุโรป ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินโดยตรง น่าจะฟื้นตัวได้ช้ากว่า โดยคาดว่าจะใช้เวลา 3-5 ปี

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ยืนยันว่า ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ยังคงมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และมีแผนเดินหน้าลงทุนเพื่อขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้ลงนามเป็นผู้สนับสนุนหลัก สโมสรลิเวอร์พูลในประเทศอังกฤษ ระยะเวลา 4 ปีตั้งแต่ปี 2010-2014 เพื่อขยายฐานลูกค้าธนาคารให้เพิ่มขึ้นทั่วโลก

************
14/09/52
ตลาดแรงงานเอเชียเริ่มสดใส
สถาบันการเงินในเอเชียปัจจัยสำคัญช่วยกระตุ้นตลาดแรงงานในภูมิภาคกระเตื้อง

วานนี้ แมทธิว ฮอยล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสรรหาบุคคลให้กับบรรดาธนาคารและกองทุนเฮดจ์ฟันด์ เปิดเผยว่า สถาบันการเงินในภูมิภาคเอเชียได้กลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างแรงกระตุ้นทำให้ตลาดแรงงานในภูมิภาคกลับคืนสู่สภาพปกติอีกครั้ง ขณะที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียได้ส่งสัญญาณหลุดพ้นจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างแข็งแกร่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวด้วยว่า เวลานี้มีสัญญาณการจ้างงานในสถาบันการเงินกำลังพลิกกลับขึ้นมาแล้วนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจ ที่มีต้นตอมาจากการประกาศล้มละลายของ เลห์แมน บราเธอร์ส ธนาคารเพื่อการลงทุนของสหรัฐ ได้ทำให้บริษัทเหล่านี้ต้องประกาศปลดพนักงานไปเป็นจำนวนมาก

“ตอนนี้นกทั้งหลายเริ่มบินกลับมาอยู่ในกรง และตลาดการจ้างงานเริ่มฟื้นตัวแล้ว เนื่องจากพวกเราได้เห็นคนที่เคยถูกปลดออกจากงานกำลังกลับเข้าทำงานอีกครั้ง พร้อมกับปริมาณการจ่ายค่าตอบแทนพนักงานที่มากขึ้น” ฮอยล์ กล่าว

ขณะเดียวกันทางด้านสำนักงานสถิติของฮ่องกงยังได้ยืนยันคำกล่าวของฮอยล์ด้วยว่า ตัวเลขการจ้างงานในภาคการเงินของฮ่องกงในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ได้ปรับตัวมาอยู่ที่ 0.6% แล้ว ซึ่งถือว่าดีขึ้นเมื่อเทียบกับตัวเลขการจ้างงานในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้วที่ 0.4% หรือมีการจ้างงานเพียง 700 อัตราเท่านั้น

ก่อนหน้านี้หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ได้รายงานเมื่อช่วงต้นเดือนก.ย. ว่า ธนาคารเอชเอส บีซีของอังกฤษก็กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาจ้างพนักงานเพิ่มเติมสำหรับสำนักงานในฮ่องกงอีกราว 100 คน และอีก 1,000 คนในจีนแผ่นดินใหญ่ รวมถึงจะเพิ่มอัตราการจ้างงานในตัวเลขที่เท่ากันอีกในปีถัดไป

นอกจากนี้ ทางด้านแมนเพาเวอร์ บริษัทสรรหาบุคลากรในฮ่องกง ยังเปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของบรรดานายจ้างบริษัทต่างๆ กว่า 815 แห่งทั่วฮ่องกง พบว่าจำนวนของบริษัทด้านการเงินที่ต้องการจ้างพนักงานเพิ่มขึ้น มีมากกว่าจำนวนของบริษัทที่ต้องการลดจำนวนพนักงาน
posttoday
***********
11/09/52
ผู้บริหารธนาคาร Bank of China ของจีนหวั่นฟองสบู่แตกทั้งในตลาดหุ้น ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ และภาคอสังหาฯทั่วโลก
- นายกรัฐมนตรีของจีนเปิดการประชุมซัมเมอร์ดาวอส-ยันจีนสามารถควบคุมช่วงขาลงของเศรษฐกิจได้แล้ว โดยจีนจะยังคงให้ความสำคัญกับ Demand ภายในประเทศเพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และยังเป็นนโยบายที่จำเป็นในการต่อสู้กับวิกฤตการเงินโลก รวมทั้งการป้องกันความเสี่ยงจากภายนอก โดยจีนจะให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน

- ธนาคารกลางอังกฤษคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุด 0.5% เป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกันตามคาด หลังจากมีข้อมูลบ่งชี้ว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอังกฤษจะเริ่มคลี่คลายลง แต่ก็เตือนว่า การฟื้นตัวยังเป็นไปอย่างช้าๆและอาจต้องใช้เวลานาน พร้อมกันนี้ธนาคารยังได้ประกาศคงนโยบายซื้อสินทรัพย์คืนมูลค่า 1.75 แสนล้านปอนด์ต่อไป เพื่อเพิ่มอุปทานเงินในระบบ

- ผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ ในเดือน ก.ย. ระบุว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ จะยังคงย่ำแย่ แม้ภาวะถดถอยจะสิ้นสุดลง โดยการทำสำรวจของ Blue Chip Economic Indicators ระบุว่า อัตราการว่างจะแตะระดับ 10% ในช่วงต้นปีหน้า และก็จะปรับดีขึ้นเล็กน้อยในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า แม้ว่า 80% และนักเศรษฐศาสตร์ในการสำรวจจะระบุว่า ภาวะถดถอยได้สิ้นสุดลงแล้ว และคาดว่า GDP ของสหรัฐฯ ใน Q3 จะขยายตัว 3% และ ใน Q4 จะขยายตัว 2.4%


หุ้น-น้ำมันโลกเดินหน้าบวก ตัวเลขเศรษฐกิจยังหนุน

ต่อเนื่องจากตลาดหุ้นยุโรปที่ขยับตัวเพิ่มทำนิวไฮในรอบ 11 เดือนเมื่อคืนนี้จากแรงซื้อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ยังไม่ยอมแพ้และเดินหน้าบวกเป็นวันที่ 5 ติดต่อกันแล้ว นักลงทุนส่งออเดอร์เข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงาน เมื่อเห็นข่าวหน่วยงานทางด้านพลังงานระหว่างประเทศ อย่าง IEA ปรับเพิ่มคาดการณ์ความต้องการน้ำมันทั่วโลกในปี 2553 เป็นเดือนที่สอง

ขณะที่ราคาน้ำมันเองก็ยังได้รับอานิสงส์จากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลงเมื่อเทียบกับเงินยูโรด้วย ทำให้ราคาน้ำมันปิดบวกได้เกือบ 1% ไปอยู่ที่ 71.95 เหรียญต่อบาร์เรลในตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนที่ผ่านมา ส่วนเงินดอลลาร์ก็อ่อนค่าลงมาที่ 1.4585 ดอลลาร์ต่อยูโร ขยับเข้าหาจุดต่ำสุดเดิมที่ 1.4613 ที่เคยทำไว้เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังร่วงลงเมื่อเทียบกับเงินเยนอีก 0.4% มาอยู่ที่ 91.72 เยนต่อดอลลาร์ หลังจากแตะจุดต่ำสุดนับตั้งเดือนกุมภาพันธ์ที่ 91.44 เยน ทางด้านตลาดทองล่วงหน้านิวยอร์ก ราคาทองคำส่งมอบเดือนธันวาคมก็แผ่วลง 30 เซ็นต์ มาปิดที่ 996.8 เหรียญต่อออนซ์

ส่วนราคาพันธบัตรก็ยังปรับตัวขึ้นจากความต้องการที่แข็งแกร่ง แม้รัฐจะเข็นพันธบัตรออกประมูลอีก 70,000 ล้านเหรียญในสัปดาห์นี้ ซึ่งก็แปลว่านักลงทุนเริ่มเบาใจในเรื่องปัจจัยซัพพลายที่มีออกมามากในปัจจุบัน ความต้องการซื้อพันธบัตรระยะยาวที่มีอยู่สูงสามารถสะท้อนได้จาก bid-to-cover ratio หรือยอดเสนอซื้อเมื่อเทียบกับจำนวนหลักทรัพย์ที่ออกขาย สำหรับพันธบัตรอายุ 30 ปี ที่ขึ้นไปทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2550 เรียบร้อยแล้ว

ดัชนี S&P 500 เมื่อคืนนี้วิ่งทะลุทำนิวไฮนับย้อนจากเดือนตุลาคมปีที่แล้ว หลังทางการสหรัฐฯ ประกาศตัวเลขผู้ขอรับสิทธิสวัสดิการว่างงานลดลง 26,000 ราย มาอยู่ที่ 550,000 ราย ซึ่งต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ ขณะที่ตลาดก็ยังบวกต่อ เมื่อรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ทิมโมธี ไกท์เนอร์ บอกกับสภาคองเกรสว่า รัฐบาลกำลังเตรียมที่จะถอนบางมาตรการที่ใช้สนับสนุนตลาดการเงินในช่วงที่ผ่านมาออก หลังจากที่เห็นการฟื้นตัวขึ้นได้แล้ว โดยรัฐจะเปลี่ยนไปมุ่งเน้นในเรื่องของการซ่อมแซมและบูรณะสิ่งที่เป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจเพื่อมุ่งการเติบโตในอนาคต


โอบามา จี้สภาคองเกรสผ่านกฎหมาย Health Care

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐเดินหน้าผลักดันแผนการยกเครื่องระบบสาธารณสุข ชี้ถึงเวลาที่ต้องยุติการโต้เถียงและหันมาลงมือปฏิบัติ พร้อมจี้สภาคองเกรสลงมติผ่านกฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพ

โอบามากล่าวชี้แจงนโยบายประกันสุขภาพต่อสภาคองเกรสว่า การกำหนดข้อบังคับใหม่ด้านการประกันภัยจะเอื้อให้ชาวอเมริกันมีความปลอดภัยและมั่นคงในชีวิตมากขึ้น บลูมเบิร์กรายงานว่า ผู้นำสหรัฐพยายามเกลี้ยกล่อมให้สมาชิกสภาคองเกรสมีความเห็นต่อนโยบายปฏิรูประบบประกันสุขภาพไปในทางเดียวกัน หลังจากสมาชิกพรรครีพับลิกันแสดงท่าทีคัดค้าน ขณะที่สมาชิกพรรคเดโมแครตขานรับนโยบายดังกล่าว

ทั้งนี้ คำกล่าวของโอบามามีขึ้นก่อนที่จะมีการเปิดเผยตัวเลขชาวอเมริกันที่ไม่มีประกันสุขภาพ ซึ่งมีจำนวน 46 ล้านคนในปี 2550 ขณะที่กฎหมายใหม่นี้จะขยายความคุ้มครองไปยังกลุ่มคนเหล่านี้ที่มีจำนวนมากขึ้น ขณะเดียวกันก็กำหนดถึงการควบคุมต้นทุนด้านสาธารณสุขที่สูงขึ้นด้วย

โอบามากล่าวว่า กฏหมายการประกันสุขภาพมูลค่า 9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐจะมีผลบังคับใช้จนถึง 10 ปี ซึ่งตัวเลขดังกล่าวน้อยกว่างบประมาณการใช้จ่ายด้านสงครามในอิรักและอัฟกานิสถาน นอกจากนี้ เขาให้คำมั่นว่าจะไม่ลงนามมาตรการใดๆก็ตามที่จะเป็นการเพิ่มตัวเลขขาดดุลบัญชีงบประมาณของสหรัฐ


ผู้บริหารธนาคารจีนหวั่นฟองสบู่ในตลาดสินทรัพย์

ผู้บริหาร Bank of China กล่าวว่า เริ่มมีสภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ และอสังหาริมทรัพย์ อันเป็นผลมาจากสภาพคล่องที่มากเกินไป และไม่ใช่แค่เพียงในตลาดจีนเท่านั้น แต่ยังหมายถึงทุกที่ทั่วโลกด้วย

ขณะเดียวกัน ก็มีความเห็นมาจากผู้บริหารหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่วางแผนเศรษฐกิจของประเทศ ที่บอกว่าเริ่มมองเห็นภาวะฟองสบู่ในภาคพลังงาน ซึ่งก็แย้มออกมาว่ารัฐกำลังหามาตรการในการควบคุมภาวะไม่สมดุลในตลาดตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อการพัฒนาอย่างแท้จริงของอุตสาหกรรม ในขณะที่สภาวะการลงทุนเริ่มดีขึ้น นับตั้งแต่สินเชื่อในประเทศทำสถิติขยายตัวสูงเป็นประวัติการณ์ได้ช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัว 7.9% ในไตรมาส 2 แต่ขณะเดียวกันก็ได้จุดกระแสความวิตกว่า เงินกู้ของธนาคารกำลังถูกเบี่ยงเบนนำไปใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์ โดยนำไปซื้อหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเติบโตที่ไม่มั่นคงในตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์

สำนักงานสถิติของจีนเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ราคาบ้านในเมืองใหญ่ 70 เมืองในประเทศปรับตัวสูงขึ้นในอัตราที่แรงที่สุดในรอบ 11 เดือน ซึ่งเป็นผลมาจากการกู้ยืมและความเชื่อมั่นที่สูงขึ้น ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้บวกขึ้นแล้วกว่า 60% ในปีนี้

สำหรับความเคลื่อนไหวของภาคธนาคารจีน Bank of China ก่อนหน้านี้ก็ได้รายงานยอดอนุมัติสินเชื่อใหม่ทั้งสิ้น 1 ล้านล้านหยวนในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งมากกว่าธนาคารทุกแห่งในประเทศ โดยธนาคารรายใหญ่อันดับ 3 ของจีนรายนี้ บอกเมื่อเดือนก่อนว่า ธนาคารมีแผนที่จะชะลอการขยายตัวของสินเชื่อในช่วงที่เหลือของปี และจะปรับปรุงคุณภาพสินเชื่อให้ดีขึ้น

ด้าน China Construction Bank ธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ก็เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง ธนาคารจะลดการอนุมัติสินเชื่อใหม่ลง 70% จากช่วง 6 เดือนแรก เพื่อไม่ให้ยอดหนี้เสียปรับตัวขึ้น ซึ่งก็สะท้อนผ่านมุมมองของประธานธนาคารที่เคยบอกว่า เงินสดที่มีมากเกินไปในระบบจะนำไปสู่ภาวะฟองสบู่ในตลาดสินทรัพย์

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา คณะกรรมการกำกับดูแลการธนาคารของจีนระบุว่า จะมีการกำหนดกฎเกณฑ์เรื่องเงินทุนกับธนาคารต่างๆให้เข้มงวดขึ้น โดยผู้ปล่อยกู้จะต้องมีทุนสำรองถึง 150% ของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 134% ณ สิ้นเดือนมิ.ย.
morning brief
***************
10/09/52
นักธุรกิจทั่วโลกเตรียมร่วมประชุมซัมเมอร์ ดาวอส 2009 เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจโลก
แนวคิดหลักของการประชุมคือ "Relaunching Growth" เน้นที่ 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ โอกาสสร้างเศรษฐกิจสีเขียว, ผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวผ่านวิทยาศาสตร์และเทคโนฯ, ตอบสนองสังคมด้วยนวัตกรรม, พัฒนารูปแบบธุรกิจใหม่ช่วงเศรษฐกิจโลกซบเซา และการทบทวนรูปแบบการพัฒนาในเอเชีย นอกจากนั้นเรื่องเกี่ยวกับจีนยังเป็นประเด็นสำคัญในการประชุมครั้งนี้ด้วย

ผลสำรวจเผยตลาดแรงงานอังกฤษเริ่มฟื้นตัว ในเดือนส.ค. ทั้งพนักงานชั่วคราวและพนักงานประจำ
ผลสำรวจซึ่งจัดทำโดย Markit Economics พบว่าตลาดแรงงานอังกฤษเริ่มฟื้นตัว ถือเป็นเป็นครั้งแรกในรอบ 17 เดือนที่ตลาดแรงงานอังกฤษได้รับข่าวดี นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบด้วยว่า สถานการณ์เกี่ยวกับจำนวนตำแหน่งงานว่างที่ลดลงอย่างต่อเนื่องนั้นเริ่มจะดีขึ้น ส่วนค่าแรงหรือค่าตอบแทนก็ลดลงในอัตราที่ชะลอตัวสุดในรอบ 10 เดือน

บาร์เคล์ย แคปปิตอลยังมั่นใจในการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เตรียมขยายธุรกิจเพิ่ม
ประธานของบาร์เคลย์ แคปปิตอล เจอรี่ เดล มิสเซอรี่ กล่าวว่า จะยังคงเป้าหมายการเป็น หนึ่งในห้าของผู้เล่นหลักในตลาดทุนสหรัฐฯ และ ยืนยันว่าการขยายธุรกิจในสหรัฐฯ จะไม่หยุดนิ่งเพียงเท่านี้ โดยจะเน้นไปที่ส่วนของ Prime Service และ การออกพันธบัตรของภาครัฐฯ แต่ในขณะนี้จะให้น้ำหนักการขยายธุรกิจใน เอเชียและยุโรป


ผลสำรวจเฟดชี้เศรษฐกิจดีขึ้น หุ้นสหรัฐฯ นิวไฮ 11 เดือน

ดัชนี S&P 500 ไต่ขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือนแล้ว ขณะผลสำรวจสภาวะเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐฯ ชี้ว่าสถานการณ์กำลังดีขึ้น ล่าสุดนักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs ก็ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์แนวโน้มตลาดหลังจากที่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่แรงกว่าที่คิดไว้สำหรับสภาวะอุตสาหกรรมโลก ทางด้านราคาทองคำเมื่อคืนนี้ก็ร่วงลงหลุดระดับ 1,000 เหรียญ ลงมาปิดที่ 997.10 ต่อออนซ์ที่ตลาดนิวยอร์กสำหรับสัญญาที่จะส่งมอบเดือนธันวาคม ขณะที่ราคาน้ำมันตลาด NYMEX ยังซื้อขายอยู่แถว 71 เหรียญต่อบาร์เรล

ธนาคารกลางสหรัฐฯ เปิดเผยผลสำรวจสภาวะเศรษฐกิจในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศพบว่า โดยรวมเศรษฐกิจมีสัญญาณการทรงตัวหรือดีขึ้นได้แล้วในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม แต่ยังต้องระมัดระวังเมื่อดูจากความต้องการสินเชื่อที่ยังต่ำ และนโยบายการปล่อยกู้ที่ดูเข้มงวด นอกจากนั้น ข้อมูลของเฟดได้บ่งชี้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ยังมีดีมานด์ที่อ่อนแอ ส่งผลให้การก่อสร้างในตลาดนี้ยังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ซึ่งก็สอดคล้องกับความเห็นในที่ประชุมเฟดครั้งที่ผ่านมาที่กังวลว่าธุรกิจธนาคารจะยังต้องเจอกับความเสี่ยงที่มีอยู่มากของยอดหนี้เสียและสภาวะความย่ำแย่ของตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์นี้ ส่วนในตลาดที่อยู่อาศัย ผลสำรวจเฟดก็ยังแสดงถึงความอ่อนแอในตลาดนี้เช่นกัน แม้จะมีสัญญาณที่ดีจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในบางพื้นที่ ซึ่งเป็นไปตามรายงานยอดสัญญาจะซื้อจะขายบ้านในเดือนกรกฎาคมที่ออกมาดีกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว

ผลสำรวจภาคธุรกิจของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เรียกว่า Beige Book นี้ จะถูกใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในที่ประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์หน้า คือในวันที่ 22-23 กันยายน 2552 ซึ่งในการประชุมครั้งที่แล้ว เฟดก็ได้ประกาศจะค่อยๆ ทยอยถอนมาตรการอัดฉีดเงินมูลค่า 300,000 ล้านเหรียญที่ทำผ่านการซื้อพันธบัตรรัฐบาล และจะยุติลงทั้งหมดภายในเดือนตุลาคมนี้ เช่นเดียวกับที่บอกว่าจะมีการพิจารณาถอนมาตรการการซื้อหนี้ในตลาดบ้านมูลค่า 1.45 ล้านล้านเหรียญออกด้วยเช่นกัน


ยอดปล่อยสินเชื่อผู้บริโภคสหรัฐดิ่งหนักเป็นประวัติการณ์

อัตราการปล่อยสินเชื่อผู้บริโภคของสหรัฐในเดือนก.ค.ดิ่งหนักเป็นประวัติการณ์ ตอกย้ำอัตราการใช้จ่ายผู้บริโภคที่ชะลอตัว เนื่องจากธนาคารและบริษัทบัตรเครดิตเพิ่มความเข้มงวดในการออกเงินกู้ ขณะที่ภาคครัวเรือนมีความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ลดลง

รายงานของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า อัตราการปล่อยสินเชื่อผู้บริโภคในเดือนก.ค.ปรับตัวลดลงในอัตรา 10% ต่อปี แตะที่ 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวลดลงหนักกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ถึง 5 เท่า และทำสถิติทรุดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 โดยสินเชื่อผู้บริโภคสำหรับผ่อนรถและบ้านที่ไม่ใช้สินเชื่อหมุนเวียนปรับตัวลดลง 1.54 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. ขณะที่สินเชื่อหมุนเวียน เช่น บัตรเครดิตตกลง 6.1 พันล้านดอลลาร์

ไรอัน สวีท นักวิเคราะห์จาก Moody’s Economy.com กล่าวกับทางบลูมเบิร์กว่า "ผู้บริโภคปรับลดการใช้จ่ายและจัดระเบียบวินัยทางการเงิน นอกจากนี้ พวกเขายังคงใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวังในช่วงที่ต้องจมปลักอยู่กับภาวะถดถอย" ทั้งนี้ อัตราว่างงานที่คาดว่าจะพุ่งขึ้นถึง 10% ในต้นปีหน้า และสถานะทางการเงินภาคครัวเรือนที่ลดลง ถือเป็นสิ่งที่ทำให้หลายฝ่ายยังคงกังวลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังจากที่เผชิญภาวะถดถอยครั้งรุนแรงนับตั้งแต่ปี 2473 ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของเฟดย้ำถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการประเมินตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือน

นอกจากนี้ การเปิดตัวโครงการนำรถเก่าแลกซื้อรถใหม่ (cash for clunkers) ที่เริ่มต้นในช่วงปลายเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ก็ยังไม่เพียงพอที่จะรักษาอัตราการปล่อยสินเชื่อเพื่อรถยนต์ให้ฟื้นตัวขึ้นจากระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ได้เช่นกัน


JPMorgan แนะให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นแบงก์ของญี่ปุ่น ขณะที่การเมืองเริ่มมีความคืบหน้า

หุ้นกลุ่มธนาคารในญี่ปุ่นกำลังถูกกดดันหลังนักวิเคราะห์จาก J.P. Morgan ปรับลดคำแนะนำการลงทุนในหุ้นธนาคาร Mitsubishi UFJ Financial Group และ ธนาคาร Sumitomo Mitsui Financial Group จากที่เคยให้ไว้ในระดับที่ “สูงกว่าตลาด” (overweight) ลงมาอยู่ที่ระดับ “ปานกลาง” หรือ “neutral” อีกทั้งยังลดน้ำหนักของหุ้นทั้งกลุ่มลงมาอยู่ที่ระดับ “ต่ำกว่าตลาดเล็กน้อย” (slightly bearish) โดยให้เหตุผลไว้ว่าเป็นเรื่องของลักษณะการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น นโยบายเศรษฐกิจ ต้นทุนสินเชื่อ ธุรกิจธนาคาร รวมไปถึงกฏเกณฑ์ความเพียงพอทางด้านเงินทุน ซึ่งปัจจัยทั้งหมดล้วนแต่ทำให้เกิดทางตันแก่หุ้นกลุ่มธนาคารของญี่ปุ่นโดยรวม

สำหรับความคืบหน้าทางด้านการเมืองญี่ปุ่น มีรายงานข่าวว่า นายกรัฐมนตรี เหวิน เจีย เป่า ของจีนได้แสดงความต้องการที่จะเข้าพบนายยูคิโอะ ฮาโตยามะ หัวหน้าพรรคดีพีเจ และว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น พร้อมกับได้แสดงความหวังที่จะเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นในเร็วๆ นี้

สื่อในประเทศรายงานว่าผู้นำจีนต้องการหารือกับนายฮาโตยามะในเรื่องของทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ซึ่งเขาก็ได้มุ่งเน้นไปที่คำกล่าวของนายฮาโตยามะที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ของจีนและญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในภารกิจหลัก

ล่าสุดนายกฯ จีนก็ได้เข้าหารือกับกลุ่มนักธุรกิจในประเทศญี่ปุ่นถึงแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังถูกกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจโลก รวมไปถึงความต้องการที่จะทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างกันในด้านสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยี และการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในระดับทวิภาคีเพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น

นายเหวิน เจี่ย เป่า ยังได้กล่าวถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนที่กำลังดีขึ้น จากอานิสงส์ของแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ และแสดงถึงความพยายามที่อยากจะให้ภาคธุรกิจของญี่ปุ่นเพิ่มความร่วมมือทางด้านเทคโนโลยี และการลงทุนทางด้านไอที รวมถึงการอนุรักษ์พลังงานในประเทศจีนด้วย สำหรับว่าที่นายกฯ ญี่ปุ่นคนใหม่ นายฮาโตยามะ มีกำหนดที่จะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 กันยายน ซึ่งก็คาดกันว่าเขาจะเดินทางเยือนประเทศจีนในต้นเดือนตุลาคม ในนัดการประชุมสุดยอดระหว่างญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้
morning brief
stock in focus
***********
08/09/52
การประชุมโอเปคสัปดาห์นี้คาดคงกำลังการผลิตไว้เท่าเดิมแต่จับตาแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ
โอเปคจะมีการประชุมกันที่เวียนนาในวันพุธที่จะถึงนี้ โดยตลาดมองว่าที่ประชุม จะให้ความสำคัญกับแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจเพราะจะส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมันและราคาน้ำมันในที่สุด โดยสมาชิกที่จะเข้าประชุมเห็นว่าระดับราคาน้ำมันที่ปัจจุบันนั้นสามารถรับได้แม้ว่าสต็อกน้ำมันอาจจะสูงเกินกว่าที่โอเปคเห็นว่าเหมาะสม

ประธาน ECB ชี้ เศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณว่ามีเสถียรภาพมากขึ้น
นายช็อง คล็อด ทริเชต์กล่าวว่า เศรษฐกิจโลก ณ ปัจจุบันได้แสดงให้เห็นว่าได้ปรับตัวจากภาวะถดถอยที่แย่ที่สุดในรอบ 60 ปีแล้ว แต่ไม่ปฎิเสธว่าการฟื้นตัวข้างหน้านั้นยังจะต้องเผชิญกับความเชื่องช้า และยังบอกอีกว่าความตื่นตัวของทุกประเทศทั่วโลกยังเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่

คราฟท์ฟู้ดส์เผยแคดบิวรีปฏิเสธข้อเสนอซื้อกิจการ $16,700 ล้าน ยืนยันจะเดินหน้าต่อ
ข้อเสนอซื้ออยู่ในรูปเงินสดและหุ้นที่ราคา 745 เพนซ์ต่อหุ้น แม้แคดบิวรีได้ปฏิเสธข้อเสนออย่างชัดเจนแต่คราฟท์ก็จะยังคงเดินหน้าเจรจาอย่างสร้างสรรค์และยืนยันว่าต้องการสานต่อแบรนด์ของแคดบิวรี ซึ่งหากข้อเสนอบรรลุได้ก็จะทำให้เกิดบริษัทที่ทรงอิทธิพลของโลกในธุรกิจขนม และจะช่วยรักษาการจ้างงานในอังกฤษโดยเฉพาะโรงงานแห่งหนึ่งซึ่งแคดบิวรีได้ขึ้นป้ายขาย


M&A หนุนตลาดหุ้นโลกเดินหน้าบวกต่อ

ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หยุดทำการเนื่องในวันแรงงาน ตลาดหุ้นอื่นทั่วโลกก็ยังบวกขึ้นได้ต่อเป็นวันที่ 3 ดูจากดัชนี MSCI World Index ที่รวมเอาตลาดที่พัฒนาแล้ว 23 ประเทศเข้าไว้ด้วยกัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 1% เมื่อคืนนี้

นักลงทุนกลับมาให้ความสนใจกับประเด็นเรื่องการควบรวมกิจการที่อาจจะมีอีกมากขึ้นนับจากนี้ เมื่อเห็นการเกิดดีลในธุรกิจอาหาร ระหว่างบริษัท Kraft Foods และ Cadbury ขณะที่วงการเทเลคอมก็คึกคักไม่แพ้กัน เมื่อมีข่าวว่ายักษ์ใหญ่ในยุโรป อย่าง Deutsche Telekom ตกลงกับทาง France Telecom ที่จะรวมธุรกิจในประเทศอังกฤษเข้าด้วยกัน เพื่อกลายเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ที่สุดของประเทศ

หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการเก็งกันว่า เจ้าวงการจากทางเยอรมันจะตัดสินใจขายหรือเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจในอังกฤษให้กลายเป็นบริษัทร่วมทุนหรือที่เรียกว่า Joint Venture แทน โดยสำนักข่าว Dow Jones รายงานว่าจะมีการแถลงดีลดังกล่าวอย่างเป็นทางการในคืนวันนี้

สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นยุโรปก็ปรับตัวขึ้น โดยดัชนี Dow Jones Stoxx 600 บวกขึ้นได้ 1.4% ด้วยการเพิ่มขึ้นในทั้งหมด 19 หมวดอุตสาหกรรม และก็ยังมีแรงหนุนส่งไปถึงตลาดหุ้นล่วงหน้าของสหรัฐฯ ด้วย ทำให้ดัชนี S&P 500 Futures บวกขึ้นไป 0.8% กลับมาดูปัจจัยกระทบตลาดเอเชีย เริ่มจากที่ญี่ปุ่น ที่มีนักเศรษฐศาสตร์มองว่ารัฐบาลที่กำลังจะเข้ามาใหม่มีความเป็นไปได้ที่จะมาเน้นทางด้านการใช้จ่ายภาครัฐและนโยบายภาษี ซึ่งแนวทางดังกล่าวอาจจะนำไปสู่การกู้ยืมภาครัฐที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้นตาม

ขณะที่ทางด้านตลาดจีน ที่เมื่อวานนี้สามารถปิดบวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 ช่วงนี้ก็ยังมีปัจจัยบวกหลังจากที่ทางการจีนปรับเพิ่มเพดานการลงทุนให้กับนักลงทุนต่างชาติให้สามารถลงทุนเพิ่มขึ้นอีก 25% มาเป็นวงเงิน 1,000 ล้านเหรียญแล้ว

ขณะที่อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศก็น่าจะพอใจกับตัวเลขยอดขายรถในประเทศ ที่มีหน่วยงานรัฐคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 28% ในปีนี้ ซึ่งก็มากพอที่จะทำให้ตลาดจีนแซงหน้าสหรัฐฯ ขึ้นไปนั่งแท่นตลาดรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกได้ในที่สุด


อาบูดาบี รุกซื้อธุรกิจผลิตชิพเซมิคอนดัคเตอร์จากเทมาเส็กของสิงคโปร์

วงการผลิตชิพเซมิคอนดัคเตอร์ต้องสั่นสะเทือนอีกครั้ง หลังรัฐบาลอาบู ดาบี เดินหน้าเข้าซื้อบริษัทที่มีรัฐบาลสิงคโปร์ถือหุ้น อย่าง Chartered Semiconductor Manufacturing ในมูลค่า 2,500 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 1,800 ล้านเหรียญ ซึ่งถือเป็นการเขย่าบัลลังก์คู่แข่งที่เป็นยักษ์ใหญ่เบอร์สองในวงการ คือ บริษัท United Microelectronics

โดยในดีลนี้ บริษัท Advanced Technology Investment (ATIC) ที่มีรัฐบาลอาบู ดาบีเป็นเจ้าของ ตกลงที่จะควักเงินสด 2.68 สิงคโปร์ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากฝั่งผู้ขายที่มี Temasek Holdings จากสิงคโปร์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดอยู่เพียง 2 เซนต์นี้

ดีลการซื้อหุ้นดังกล่าวจะทำให้อาบู ดาบี รวมธุรกิจบริษัทร่วมทุนที่ชื่อว่า Globalfoundries เข้ากับธุรกิจที่ได้มาใหม่ ซึ่งจะส่งผลให้การลงทุนที่ไม่ก่อให้เกิดกำไรและดำเนินมายาวนานกว่า 22 ปีของ Temasek นี้ต้องสิ้นสุดลง บริษัท Chartered เองในช่วงที่ผ่านมาก็ได้ทำการปรับลดคนงานรวมถึงลดการทำงานล่วงเวลาลงเพื่อลดต้นทุน

นักวิเคราะห์จาก HSBC ก็ได้พูดถึงดีลนี้ว่า มีเหตุผลอย่างมากสำหรับการเกิดขึ้นของการเข้าซื้อธุรกิจดังกล่าว เนื่องจากจะสร้างเกราะที่แข็งแกร่งสำหรับการเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงพื้นที่การแข่งขันในตลาดได้อย่างรวดเร็วมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้

ถ้าย้อนอดีตกลับไปในปี 2530 ที่ Chartered ถูกก่อตั้งขึ้นในฐานะบริษัทร่วมทุนที่ได้รวมเอาหนึ่งธุรกิจของ Temasek ก็คือบริษัท Singapore Technologies Engineering เข้าไว้ด้วย ก่อนที่จะนำหุ้นออกมาขายแก่สาธารณะเมื่อปี 2542

ส่วนบริษัท Globalfoundries นั้น ก็เกิดมาจากบริษัท ATIC ของฝั่งอาบู ดาบี ร่วมกับบริษัท AMD หรือ Advanced Micro Devices จัดตั้งขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ปัจจุบัน Chartered ถือส่วนแบ่งตลาดอยู่ราว 11% ของการรับจ้างผลิตชิพทั่วโลก และถือเป็นเบอร์ 3 ในวงการ

ขณะที่ทางบริษัท United Microelectronics จากไต้หวันก็ถือมาร์เก็ตแชร์อยู่ 14% อย่างไรก็ดี ทั้งคู่ก็ถูกทิ้งห่างจากผู้นำในธุรกิจนี้ อย่าง บริษัท Semiconductor Manufacturing ที่มาจากไต้หวัน ด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่สูงถึง 49%


รอน บลูม รั้งตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายการผลิต

รอน บลูม หัวหน้าคณะทำงานด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ของรัฐบาลสหรัฐได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาระดับอาวุโสด้านนโยบายภาคการผลิตของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ซึ่งการประกาศแต่งตั้งครั้งนี้นับเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะกระตุ้นการจ้างงานในภาคธุรกิจดังกล่าวมากขึ้น และเขาจะยังคงทำหน้าที่ในฐานะผู้ดูแลการด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ต่อไป

แถลงการณ์ของทำเนียบขาวระบุว่า บลูม อดีตที่ปรึกษาสหภาพแรงงานเหล็กของสหรัฐ และนักวาณิชธนกิจของบริษัท Lazard Ltd. ได้ช่วยแนะนำเจนเนอรัล มอเตอร์ส โค (จีเอ็ม) และไครสเลอร์ กรุ๊ป แอลแอลซี เดินหน้ายื่นเอกสารพิทักษ์ทรัพย์ต่อศาลล้มละลาย ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในแผนกู้วิกฤตภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ของรัฐบาล โอบามากล่าวในแถลงการณ์ว่า "รอนเป็นผู้มีความรู้ และสั่งสมประสบการณ์ในการปูทางการสร้างงานในภาคการผลิต โดยภายใต้บทบาทใหม่นี้เขาจะร่วมร่างแผนกระตุ้นการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อช่วยให้ประชาชนมีงานทำและเปิดทางให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างเต็มที่"

นอกจากนี้ ในฐานะที่รอน บลูมเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายภาคการผลิตนั้น บลูมจะทำหน้าที่ตรวจสอบความสามารถด้านการแข่งขันของสหรัฐในตลาดโลก รวมถึงการประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงานและแรงงาน เพื่อดำเนินการโครงการใหม่ๆ

ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ชาวอเมริกันประมาณ 570,000 รายได้ยื่นขอสวัสดิการระหว่างว่างงานในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 29 ส.ค. ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์จากโพลล์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์กคาดการณ์ไว้

ส่วนทำเนียบขาวคาดว่าอัตราว่างงานจะเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 10% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า บริษัทหลายแห่งยังคงมุ่งเน้นการปรับลดค่าใช้จ่าย แม้เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวจากภาวะถดถอยแล้วก็ตาม

ทั้งนี้ การสร้างงานในภาคการผลิตจะช่วยบรรเทาความวิตกกังวล ต่อประสิทธิภาพของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของโอบามามูลค่า 7.87 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงนโยบายกระตุ้นการจ้างงานใหม่ให้ได้ 3.5 ล้านตำแหน่งภายในเวลาสองปี
morning brief
*************
07/09/52
IMF เตรียมเพิ่มทุนอีก 500,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อนำไปปล่อยกู้ให้ประเทศสมาชิก

นายโดมินิก สเตราห์-คาห์น กล่าวหลังการประชุมกลุ่ม G20 ว่า โดย IMF จะเพิ่มเงินทุนโดยการออกพันธบัตร ซึ่งอินเดียแสดงความตั้งใจที่จะให้การสนับสนุนศักยภาพด้านการกู้ยืมของIMF ผ่านทางการซื้อพันธบัตรIMF มูลค่าถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และ ประเทศจีนอีก 5 หมื่นล้าน รวมทั้งประเทศ สิงคโปร์และเม็กซิโกด้วย

ธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐฯ ปิดตัวลงอีก 5 แห่ง ในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยจำนวนธนาคารที่ปิดตัวลงในปีนี้พุ่งขึ้นไปที่ 89 แห่ง ซึ่งธนาคารที่ปิดตัวลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานั้นประกอบด้วย แวนตัสแบงก์ในไอโอว่า, เฟิรสแบงก์ออฟแคนซัสในมิซูรี่, เฟิร์สสเตทแบงก์ในอริโซน่า รวมทั้ง อินแบงก์ และ แพททินั่มคอมมูนิตี้ในอิลินอยส์ ซึ่งแบงก์ทั้ง 5 แห่งที่ปิดตัวลงนั้นสร้างต้นทุนให้กับบรรษัทประกันเงินฝากของสหรัฐฯ เป็นเงินทั้งสิ้น 401.3 ล้านดอลลาร์)

บริษัทน้ำมันอีกหลายแห่งเตรียมปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในยุโรปช่วงเดือนต.ค.-พ.ย. เป็นการลดปริมาณน้ำมันที่มีอยู่ โดยข้อมูลเผยให้เห็นว่า ในเดือนต.ค. จะมีจำนวนน้ำมันลดลง 659,000 บาร์เรลต่อวัน หรือ 4.2% ของกำลังการผลิต ส่วนเดือนพ.ย.จะมีน้ำมันลดลงถึง 893,000 บาร์เรลต่อวัน โดยปกติแล้วโรงกลั่นจะปิดเพื่อซ่องบำรุงในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและใบไม้ผลิ เพื่อหลีกเลี่ยงฤดูหนาวที่มีการใช้ฮีทติงออยล์สูง และฤดูร้อนที่มีการใช้น้ำมันเบนซินสูงสุด


สหรัฐฯ จ่อรายงานขาดดุลการค้าเพิ่ม ตามเศรษฐกิจฟื้น

แรงขายหุ้นสถาบันการเงินและพลังงานฉุดตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่แล้วให้ร่วงลงมากที่สุดในรอบสองสัปดาห์ จากความกังวลที่ราคาหุ้นยังอยู่สูงเกินกว่าจะสอดรับกับแนวโน้มผลประกอบการที่จะเกิดขึ้นจริงในอนาคต ประกอบกับมีปัจจัยราคาน้ำมันที่ลดลง

โดยหุ้นแบงก์ อย่าง Morgan Stanley ร่วงลง 6.3% ในสัปดาห์ที่แล้วหลังจากถูกนักวิเคราะห์ของ Bank of America หั่นคำแนะนำการลงทุน ขณะที่ American International Group หรือ AIG ก็ร่วงลงถึง 20% จากการที่นักวิเคราะห์บางรายออกคำแนะนำให้ขายหุ้น

ส่วน Exxon Mobil ก็ปรับตัวลงตามราคาน้ำมันที่ลดลงไป 6.5% ในสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่ทางการจีนประกาศว่าจะยังยึดอยู่กับการใช้นโยบายที่คุมเข้มสถาบันการเงินมากขึ้น จนทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจที่เป็นผู้ใช้น้ำมันเป็นอันดับสองของโลกรายนี้จะมีอัตราการเติบโตที่ชะลอลง

ดัชนี S&P 500 ลดลง 1.2% ในสัปดาห์ที่แล้ว มาอยู่ที่ระดับ 1,016.40 จุด ทำให้ตั้งแต่ต้นปีดัชนีลดช่วงบวกลงมาเหลือ 13% โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปิดทำการในวันนี้ เนื่องจากวันแรงงาน

สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่น่าสนใจในสัปดาห์นี้อยู่ที่รายงานดุลการค้าและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจัดทำโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน โดยนักเศรษฐศาสตร์ตามการสำรวจความเห็นจากสำนักข่าว Bloomberg คาดว่าสหรัฐฯ จะขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นอีก 1.5% ในเดือนกรกฎาคม มาอยู่ที่ 27,400 ล้านเหรียญ จากการฟื้นตัวของดีมานด์ในประเทศ และเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญ อย่างเช่น จีน เม็กซิโก และสหภาพยุโรป ที่ได้รับแรงกระตุ้นจากมาตรการเศรษฐกิจในประเทศจนสามารถหลุดพ้นจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอยมาได้

ตัวเลขขาดดุลการค้าจะยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกในเดือนที่แล้ว ตามโครงการ “รถเก่าแลกรถใหม่” ของรัฐบาล ที่มีส่วนช่วยเพิ่มความต้องการรถที่ผลิตจากต่างประเทศ ขณะราคาน้ำมันที่สูงจะไปเพิ่มต้นทุนการนำเข้าอีกด้วย ส่วนอีกหนึ่งรายงานเศรษฐกิจที่น่าติดตามดูก็คือ ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ที่เชื่อกันว่าตัวเลขน่าจะออกมาดีขึ้นในเดือนนี้ ตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่กลับมาขยายตัวอีกครั้ง


ทางการจีนแย้มเตรียมออกนโยบายดูแลแบงก์ปล่อยสินเชื่อ

นักลงทุนหลายคนยังมุ่งเป้าไปที่ความเคลื่อนไหวของทางการจีนในการดูแลความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุนในประเทศ หลังจากที่ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ปรับตัวลงไป 22% ในเดือนที่แล้ว จนเข้าสู่สภาวะที่นักวิเคราะห์เรียกกันว่า bear market หรือตลาดหมี ด้วยความกังวลต่อตัวเลขการปล่อยสินเชื่อที่ออกมาชะลอตัว ไปจนถึงกฏเกณฑ์ที่อาจจะออกมาเข้มงวดขึ้นจะไปขัดขวางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

และเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารกลางของจีนก็กล่าวว่า กำลังศึกษาเครื่องมือที่จะนำมาใช้ดูแลในเรื่องการปล่อยสินเชื่อ หลังจากธนาคารในประเทศกระหน่ำปล่อยสินเชื่อใหม่ไปสูงถึง 7.37 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 1.1 ล้านล้านเหรียญ สร้างสถิติการปล่อยสินเชื่อมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงครึ่งปีแรก นายซู หนิง ผู้ช่วยผู้ว่าการแบงก์ชาติจีน ได้กล่าวในงานสัมมนาว่า ธนาคารจะทำการศึกษาการใช้นโยบายที่ดูแลด้านสินเชื่อในภาคธนาคาร แม้เขาจะไม่ได้พูดลงลึกไปในรายละเอียดแต่ก็ได้บอกว่า จะมีการเน้นย้ำไปในเรื่องการจับตาดูแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ ตลอดจนการไหลเข้าออกของเงินทุนระหว่างประเทศ

ถ้าย้อนกลับไปดูแนวโน้มการขยายตัวของสินเชื่อใหม่ที่สูงเป็นประวัติการณ์ จนช่วยดันให้เศรษฐกิจโตขึ้นได้ถึง 7.9% ในไตรมาสที่สอง สภาพการณ์เช่นนี้ก็กลับสร้างให้หลายคนเป็นห่วงว่าสินเชื่อแบงก์จะถูกแปลงไปใช้เพื่อการซื้อหุ้น ซื้ออสังหาริมทรัพย์ ซึ่งก็ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นดีดตัวขึ้นแรงในช่วงครึ่งปีแรก รวมไปถึงสร้างความร้อนแรงในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจรายหนึ่งยังบอกด้วยว่าการที่ตลาดหุ้นบวกขึ้นมาถึงกว่า 50% สำหรับในปีนี้ น่าจะเรียกได้ว่าตลาดถลำเข้ามาอยู่ในโซนฟองสบู่เรียบร้อยแล้ว

ในรายงานของคณะกรรมการที่ดูแลงานทางด้านการกำกับธุรกิจหลักทรัพย์ได้ระบุว่า จะมีการออกกฏเพื่อป้องกันใม่ให้สินเชื่อของภาคธนาคารถูกนำไปใช้เพื่อการซื้อหุ้นและอสังหาฯ ซึ่งถ้าหากพบว่าสถาบันการเงินรายใดมีการทำปลอมแปลงหลักฐานและนำไปใช้แบบผิดวัตถุประสงค์ ก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก แม้ว่าทางการจะประกาศไปเมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมาว่า กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดมากขึ้นในส่วนที่จะหักตราสารหนี้ด้อยสิทธิออกจากระดับทุนของธนาคารนั้นมีกระบวนการที่จะส่งผลบังคับใช้อีกนานหลายปี แต่ทุกอย่างก็ยังคงเดินหน้าต่อด้วยเป้าหมายที่ต้องการรักษาคุณภาพของเงินทุน และปรับปรุงระบบการบริหารความเสี่ยงให้ดีขึ้นด้วย หลังจากที่พบว่าอัตราความเพียงพอของเงินสำรองของธุรกิจธนาคารในประเทศร่วงลงไปในช่วงครึ่งปีแรก


G-20 สนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ-คุมโบนัสของธนาคาร

รัฐมนตรีคลังกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ หรือ G-20 ได้เสร็จสิ้นการประชุมระยะเวลา 2 วันลงแล้วเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยที่ประชุมประสานเสียงว่าจะยังคง

(1) สนับสนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปเพื่อที่เศรษฐกิจโลกจะได้ฟื้นตัวจากภาวะถดถอยที่เลวร้ายที่สุดได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ที่ประชุมซึ่งจัดขึ้นที่กรุงลอนดอน

(2) ยังตกลงที่จะควบคุมการจ่ายเงินโบนัสของธนาคารต่างๆให้เง้มงวดขึ้น และ

(3) เปิดโอกาสให้ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ได้มีสิทธิมีเสียงในเรื่องที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกมากขึ้น เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทที่เพิ่มมากขึ้นของประเทศเหล่านี้บนเวทีโลก

โดยที่ประชุม ซึ่งประกอบด้วยรัฐมนตรีคลัง และผู้ว่าการธนาคารกลางกลุ่ม G-20 ได้กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจของหลายประเทศเริ่มกลับมาขยายตัวอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะสามารถกล่าวได้ว่าภาวะถดถอยได้สิ้นสุดลงแล้ว ในแถลงการณ์ร่วมที่ออกภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมระบุว่าจะยังคงใช้มาตรการสนับสนุนทางการเงินที่จำเป็น รวมถึงนโยบายการเงินและการคลังที่ขยายวงกว้าง สอดคล้องกับความเสถียรภาพด้านราคา และความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว จนกว่ามั่นใจได้ว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างแท้จริงแล้ว

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นพ้องต่อข้อเสนอของฝรั่งเศส เยอรมนี และอังกฤษ เรื่องการควบคุมการจ่ายโบนัสที่สูงเกินไปให้กับบรรดานายธนาคาร เนื่องจากเชื่อว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้วิกฤตการเงินปะทุขึ้น หลังจากการล่มสลายของเลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิงส์ อดีตวาณิชธนกิจอายุเก่าแก่ของสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนก.ย.ปีที่แล้ว ขณะเดียวกันที่ประชุมก็เห็นชอบกับข้อเสนอของนายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐ ที่ต้องการให้กฎระเบียบของธนาคารข้ามชาติมีความเคร่งครัดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัดส่วนทุนสำรองขั้นต่ำของธนาคารควรจะมากกว่าระดับ 8% ในข้อกำหนดปัจจุบัน

สำหรับประเด็นที่เกี่ยวกับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่นั้น ที่ประชุมก็มีความเห็นว่า ประเทศเหล่านี้ควรมีสิทธิมีเสียงในการบริหารกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และ ธนาคารโลกมากกว่านี้ แถลงการณ์ระบุว่า "ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศเกิดใหม่ ซึ่งรวมถึงประเทศที่ยากจนที่สุด ควรได้รับสิทธิให้แสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมเพิ่มมากขึ้น เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจโลก" ทั้งนี้ที่ประชุมสุดยอดผู้นำ G-20 ที่เมืองพิตต์สเบอร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายเดือนนี้จะมีการอภิปรายกันในประเด็นนี้เพื่อความคืบหน้าต่อไป

ทั้งนี้ กลุ่ม G-20 ประกอบด้วยประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ (G7) ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อิตาลี อังกฤษ และแคนาดา และประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ อาทิ บราซิล จีน อินเดีย และรัสเซีย เป็นต้น)
morning brief
**************
07/09/52
แบงก์ชาติจีนเชื่อเศรษฐกิจจีนปีนี้-ปีหน้าโต 8%

Posted on Monday, September 07, 2009
นายฟ่าน กัง ที่ปรึกษาด้านนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีน คาดว่า เศรษฐกิจจีนกำลังฟื้นตัวขึ้นเป็นรูป V โดยมีแนวโน้มขยายตัวได้ในอัตรา 8% ในปีนี้และปีหน้า และจะกลับมาขยายตัวได้ตามปกติได้ในปี 2554

ส่วนอัตราการลงทุนภาคเอกชน จะขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีหน้า ขณะที่ยอดส่งออกของจีนจะฟื้นตัวขึ้นเช่นกัน เนื่องจากการค้าโลกเริ่มแข็งแกร่งขึ้น

นายฟ่าน บอกด้วยว่า นักวิเคราะห์ควรปรับเปลี่ยนการคาดการณ์เศรษฐกิจและไม่ควรยึดแนวทางการคาดการณ์ง่ายๆว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวด้วยเลข 2 หลัก เพราะอัตราการขยายตัวที่ระดับ 8-9% ก็ถือเป็นการขยายตัวที่ยั่งยืนเช่นกัน

ด้านนายหลิว หมิงคัง หัวหน้าคณะกรรมการกำกับดูแลการธนาคารของจีน หรือ CBRC บอกว่า อัตราการปล่อยสินเชื่อจะเติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หลังสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอล ลดลงในช่วงครึ่งแรกของปี

โดยอัตราการปล่อยสินเชื่อในช่วง 6 เดือนแรกของปี ได้ปรับตัวสูงขึ้นมาก หลังจากที่ธนาคารกลางยกเลิกการจำกัดสินเชื่อเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เพื่อหนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน หรือ 586,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐของรัฐบาลจีน ในขณะเดียวกันธนาคารกลางได้ตรึงอัตราดอกเบี้ยและกำหนดเงินสำรองของธนาคารไว้เท่าเดิมในปีนี้ พร้อมทั้งขยายวงเงินการออกพันธบัตรเพิ่มขึ้น เมื่อเดือนที่ผ่านมา เพื่ออัดฉีดเงินสดเพิ่มเติมเข้าสู่ระบบการเงิน
moneyline news
************
04/09/52
ธนาคารกลางยุโรปตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ 1% ตามคาด
หลังจากลดดอกเบี้ยไป 0.25% เมื่อเดือน พ.ค. ทีผ่านมา นายชอง คล็อค ทริเชตต์ ประธาน ECB กล่าวว่าภาวะถดถอยในยุโรปสิ้นสุดลงแล้วแต่การเติบโตจะเชื่องช้าซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจยุโรปจะเติบโตในปี 2553 ประมาณ 0.2% จากคาดการณ์เดิมว่าจะหดตัว 0.3% และส่งสัญญานว่าจะไม่รีบถอนแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่นักวิเคราะห์กล่าวว่า อีซีบีอาจเห็นว่าการเร่งใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินเร็วเกินไปก็จะส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในยุโรปหยุดชะงักได้

รมว.คลังอังกฤษเรียกร้องประเทศยักษ์ใหญ่ใช้จ่ายต่อเนื่อง หนุนศก.ฟื้นตัวยั่งยืน
นายอลิสแตร์ ดาร์ลิง เชื่อว่าความเสี่ยงที่ร้ายแรงที่สุดต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจก็คือการที่รัฐบาลคิดว่า งานแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ทำมานั้นสำเร็จลุล่วงแล้ว เนื่องจากเชื่อมั่นกับสัญญาณบวกต่างๆมากเกินไป ขณะที่สหรัฐ เยอรมนี และฝรั่งเศสที่ต้องการหารือถึงยุทธิวิธีซึ่งมีเป้าหมายเพื่อยุติการใช้จ่ายงบประมาณมูลค่ามหาศาล

ดัชนี PMI เดือนส.ค.ในเขตยูโรโซนปรับตัวขึ้นแตะระดับ 50.4 เหนือระดับ 50 เป็นครั้งแรกในรอบ 15 เดือน
นักวิเคราะห์จากมาร์กิต อีโคโนมิคส์ กล่าวว่าดัชนีแสดงให้เห็นว่ายูโรปอาจหลุดจากภาวะถดถอยในQ3 แต่อาจฟื้นตัวไม่เร็ว ทั้งนี้เยอรมนีและฝรั่งเศสหลุดพ้นไปได้ก่อนแล้วและไม่ใช่เรื่องแปลก แต่อิตาลี สเปน และไอร์แลนด์ยังคงอ่อนแอ เป็นเรื่องที่น่ากังวล


แนวโน้มดอลลาร์อ่อนและปัจจัยเทคนิคดันราคาทองจ่อ 1,000 เหรียญ

ราคาทองคำวิ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน ที่ระดับ 999.50 เหรียญต่อออนซ์ จากการคาดการณ์ว่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าจะเพิ่มความต้องการในสินทรัพย์ที่เป็นทางเลือกการลงทุนมากขึ้น ทำให้ในเดือนนี้ราคาทองปรับตัวขึ้นมาแล้ว 4.6% ทำสถิติการวิ่งขึ้นสามวันติดต่อกันที่แรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม

นักวิเคราะห์ของสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดในลอนดอนมองว่า ปัจจัยเงินดอลลาร์อ่อนกำลังจะกลายเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ราคาทองเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงที่เหลือของปีนี้ หลังจากที่เงินยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แล้วกว่า 16% ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ขณะดัชนีเงินดอลลาร์ที่เทียบกับ 6 สกุลเงินคู่ค้าหลักของสหรัฐฯ ก็ร่วงลงไปอีก 0.5% เมื่อคืนนี้ก่อนที่จะฟื้นขึ้นมาได้ โดยสัญญา Gold Futures ส่งมอบเดือนธันวาคม บวกไป 19.2 เหรียญ หรือ 2% มาปิดที่ 997.70 เหรียญต่อออนซ์ที่ตลาดนิวยอร์ก

ทางด้านนักกลยุทธ์จาก Royal Bank of Scotland ในซิดนีย์ มองว่าปัจจัยทางเทคนิคมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของราคาทอง โดยเฉพาะความพยายามที่จะดันให้ราคาทะลุช่วงของการซื้อขายที่แคบๆ ขึ้นไปให้ได้ และในขณะเดียวกัน แนวโน้มราคาทองที่จะยังเพิ่มขึ้นต่อนี้ บางทีก็อาจจะใช้เป็นเครื่องชี้วัดได้ด้วยเหมือนกันว่านักลงทุนยังมองแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะยาวไม่ได้สดใสเหมือนกับที่หลายๆ คนคาดหวัง

ส่วนนักวิเคราะห์อีกคนจาก Heritage West Futures ในซานดิเอโก้ ก็มองว่าราคาทองยังมีแรงส่งให้ขึ้นไปได้ต่อ หลังจากประคองตัวอยู่เหนือ 975 เหรียญได้ โดยมีความเป็นไปได้ที่จะขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ระดับ 1,015 เหรียญ ยิ่งถ้าหากราคาปิดสูงกว่าระดับ 1,000 เหรียญเมื่อไหร่ ก็ยิ่งจะสร้างแนวโน้มขาขึ้นอย่างแข็งแกร่งต่อไป


ค้าปลีกสหรัฐฯ ดีเกินคาด ขณะตัวเลขเศรษฐกิจแผ่ว

หุ้นผู้ประกอบการเชนร้านค้าในสหรัฐฯ มีปริมาณการซื้อขายที่คึกคักเมื่อคืนที่ผ่านมา จากรายงานยอดขายเดือนสิงหาคมที่ออกมาน่าพอใจ นำโดย Costco Wholesale Group ที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นกว่า 8% หลังบริษัทรายงานยอดขายที่ร่วงลงน้อยกว่านักวิเคราะห์คาดไว้

บริษัท Gap ที่เป็นเจ้าของเสื้อผ้าแบรนด์ Old Navy และ Banana Republic ราคาหุ้นก็บวกขึ้นได้ 7.6% จากรายงานยอดขายที่ลดลง 3% ซึ่งก็ต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาดที่เคยมองกันไว้เป็นตัวเลขติดลบถึง 6.7% ส่วนหุ้นของ American Eagle Outfitters ผู้จำหน่ายเสื้อผ้าวัยรุ่น ราคาหุ้นก็วิ่งขึ้น 7.9% จากยอดขายเดือนล่าสุดที่ลดลงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้เช่นกัน และด้วยแรงซื้อในหุ้นกลุ่มค้าปลีกนี้ก็ทำให้ดัชนี S&P 500 สามารถหยุดการปรับตัวลงที่ดำเนินมาหลายวันติดต่อกันได้ แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจ อย่าง ยอดผู้ขอรับสิทธิสวัสดิการว่างงานในสหรัฐฯ จะออกมาสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ และรายงานสภาวะภาคบริการที่ออกมาดูอ่อนแอและยิ่งทำให้สงสัยว่าเศรษฐกิจจะฟื้นขึ้นอย่างมั่นคงได้อย่างไร

อย่างไรก็ดี นักลงทุนกำลังจับตามองตัวเลขการว่างงานรายเดือนที่รัฐบาลจะประกาศในคืนวันนี้ โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าอัตราการว่างงานสหรัฐฯ จะขยับขึ้นไปอยู่ที่ 9.5% ในเดือนสิงหาคม ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2526

ทางด้านหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินในสหรัฐฯ เมื่อคืนนี้ก็บวกสดใส หลังจากที่บริษัท Freddie Mac ประกาศดอกเบี้ยบ้านสำหรับเงินกู้ที่มีอายุ 30 ปี ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 5.08% ในสัปดาห์นี้ จากที่เคยอยู่ในระดับ 5.14% ในสัปดาห์ก่อน ซึ่งก็เป็นไปตามการเคลื่อนไหวของราคาพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ ที่ลดลงมาเล็กน้อยในช่วงนี้ และก็เป็นสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าเป็นปัจจัยหนุนต่อตลาดบ้านและสร้างฐานที่ดีสำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอนาคต

นอกจากนั้น ก็เป็นการตอกย้ำว่าความพยายามของธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังมีความหมายอยู่ หลังจากที่ได้ใช้มาตรการอัดฉีดเงินซื้อพันธบัตรที่มีอสังหาริมทรัพย์หนุนหลังมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ตลาดหุ้นทั้งสหรัฐฯ และยุโรปจริงๆ แล้วก็ยังได้แรงหนุนจากบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นจีนที่ดีขึ้นเมื่อวานนี้ เมื่อผู้บริหารของหน่วยงานที่ดูแลทางด้านหลักทรัพย์ของจีน หรือที่มีตัวย่อว่า CSRC บอกว่าจะยังส่งเสริมความมีเสถียรภาพและความแข็งแกร่งให้กับตลาดในประเทศ ซึ่งก็ไปช่วยลดความกังวลของนักลงทุนที่กลัวว่ารัฐบาลจะใช้มาตรการแทรกแซงเพื่อหยุดยั้งการเก็งกำไรในตลาดหุ้น


OECD ยกระดับคาดการณ์เศรษฐกิจกลุ่ม G-7 ปีนี้

องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจกลุ่มประเทศ G-7 จะหดตัวลง 3.7% ในปีนี้ ซึ่งดีกว่าการคาดการณ์เมื่อเดือนมิ.ย.ที่ติดลบ 4.1% แต่ก็เตือนว่า ภาวะอ่อนตัวของกำไรภาคเอกชน การจ้างงาน รายได้ และตลาดที่อยู่อาศัยจะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจช้าลง

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า จอร์เกน เอลเมสคอฟ รักษาการณ์หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ OECD กล่าวว่า ดูเหมือนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เราได้คาดการณ์ไว้เมื่อ 2-3 เดือนก่อน แต่ก็ยังคงต้องระมัดระวังต่อมุมมองเรื่องการฟื้นตัว เนื่องจากยังมีอุปสรรคที่สำคัญอยู่ในระดับหนึ่ง

ทั้งนี้ เมื่อแยกตามภูมิภาค OECD คาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐ และกลุ่มประเทศสมาชิก EU 16 ประเทศที่ใช้เงินยูโร (ยูโรโซน) จะหลุดพ้นจากภาวะถดถอยในไตรมาส 3 เนื่องจากเห็นพัฒนาการที่ดีมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยเศรษฐกิจสหรัฐจะกลับมาขยายตัว 1.6% ในไตรมาสปัจจุบัน และยูโรโซนขยายตัว 0.3% อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจอังกฤษมีแนวโน้มย่ำแย่กว่าคาดการณ์ก่อนหน้านี้

OECD คาดว่า เศรษฐกิจอังกฤษจะติดลบ 4.7% ในปีนี้ จากเดิมที่ประเมินไว้ที่หดตัว 4.3% และยังย่ำแย่ว่าการคาดการณ์ของกระทรวงการคลังอังกฤษที่ประเมินว่าเศรษฐกิจของประเทศจะหดตัวเพียง 3.5% OECD ย้ำว่า การคาดการณ์ที่ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างช้าๆนั้น บ่งชี้ว่ารัฐบาลของประเทศต่างๆยังคงจำเป็นต้องใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปในระยะใกล้นี้


EU ตรวจสอบแผนออราเคิลซื้อกิจการซันไมโครซิสเต็มส์

สหภาพยุโรป (EU) ได้ขยายเวลาในการตรวจสอบแผนการซื้อกิจการของซัน ไมโครซิสเต็มส์ มูลค่าประมาณ 7.4 พันล้านดอลลาร์โดยออราเคิลบนพื้นฐานของกฎหมายต่อต้านการผูกขาด คณะกรรมการยุโรปกังวลว่า ข้อตกลงในการซื้อขายกิจการครั้งนี้อาจจะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นและผู้บริโภคมีทางเลือกน้อยลง ดังนั้นทางคณะกรรมการจะตัดสินเรื่องการซื้อขายกิจการดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 19 ม.ค.

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า นีลี โครส์ คณะกรรมการด้านการแข่งขัน กล่าวว่า คณะกรรมการจะต้องตรวจสอบผลกระทบต่อการแข่งขันในยุโรปอย่างระมัดระวัง เมื่อบริษัทออราเคิลได้เสนอซื้อกิจการบริษัทดาต้าเบสแบบโอเพ่น ซอร์สชั้นนำระดับโลกอย่างซันไมโครซิสเต็มส์

ออราเคิลวางแผนที่จะทำกำไรจากซัน และเปิดเผยว่าการซื้อกิจการดังกล่าวจะทำให้บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอีก 1.5 พันล้านดอลลาร์ในปีแรก ขณะที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐได้อนุมัติข้อตกลงตามการลงคะแนนเสียงของผู้ถือหุ้นซันไมโครซิสเต็มส์ให้ตอบรับข้อเสนอของออราเคิล ลาร์รี เอลลิสัน ซีอีโอของออราเคิล กล่าวว่า การซื้อกิจการจะดึงออราเคิลเข้าสู่ตลาดเซิร์ฟเวอร์และสตอเรจคอมพิวเตอร์ และกลายเป็นคู่แข่งไอบีเอ็ม และฮิวเลตต์-แพคการ์ด พร้อมกับยอมรับว่าโปรแกรมจาวาเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ออราเคิลตัดสินใจซื้อกิจการของซันไมโครซิสเต็มส์ครั้งนี้
morning brief
************
02/09/52
"เอดีบี" เล็งปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก Source - IQ Biz (Th) Wednesday, September 02, 2009 16:07 57389 XTHAI XECON XINTER V%WIREL P%IQ อินโฟเควสท์ (02 ก.ย. 52)-
-ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) เตรียมปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออก ในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจเอเชียซึ่งจะเผยแพร่ในวันที่ 22 กันยายนนี้ หลังเศรษฐกิจในภูมิภาคฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกเร็วเกินคาด โดยได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง เล่ยเล่ย ซ่ง นักเศรษฐศาสตร์จากเอดีบี กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เอดีบีคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกจะขยายตัวเพียง 3% ในปีนี้ แต่ตอนนี้ทางธนาคารมีมุมมองในแง่บวกมากขึ้นกว่าเมื่อเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ทางธนาคารตีพิมพ์รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจเอเชียครั้งก่อน "เศรษฐกิจเอเชียตะวันออกพัฒนาขึ้นนับตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 เป็นต้นมา" เขากล่าว "ประเทศเศรษฐกิจใหม่ในเอเชียตะวันออกกำลังฟื้นตัว" อย่างไรก็ตาม เอดีบีมีแนวโน้มปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของอีกหลายประเทศรวมถึงสิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง มาเลเซีย และ ฟิลิปปินส์ เนื่องจากผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกมีมากเกินคาด ถึงกระนั้นตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2 ของประเทศในเอเชียตะวันออกก็ส่งสัญญาณว่ามีการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะจีนซึ่งเศรษฐกิจขยายตัวเกินคาดถึง 7.9% หรือเกือบแตะ 8% ซึ่งเป็นเป้าของทั้งปีที่ทางรัฐบาลจีนตั้งไว้ ในขณะที่ประเทศอุตสาหกรรมใหม่อย่างสิงคโปร์ ฮ่องกง และไต้หวัน ก็มีดัชนีภาคการผลิตเพิ่มขึ้นเกิน 50 จุดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าภาคการผลิตเริ่มฟื้นตัวแล้ว อย่างไรก็ตาม จอง วา ลี นักเศรษฐศาสตร์จากเอดีบีก็เตือนว่าไม่ให้คาดหวังว่าเศรษฐกิจเอเชียจะขยายตัวถึง 8% ในเร็ววันนี้ เนื่องจากอุปสงค์จากนอกภูมิภาคยังคงซบเซา ทั้งนี้ รายงานการติดตามภาวะเศรษฐกิจในเอเชีย คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัว 3% ในปีนี้, ยุโรปหดตัว 4.3% และญี่ปุ่นร่วง 5.8% ก่อนที่จะกลับมาขยายตัวอีกครั้งในปีหน้า สำนักข่าวซินหัวรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปรียพรรณ มีสุข/ปนัยดา cgs
**************
31/08/52
GDP ไตรมาสที่ 2 ของอินเดีย ขยายตัว 6.1%

31 สค. 2552 14:13 น.


สำนักงานสถิติแห่งชาติอินเดีย รายงานวันนี้ว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี ในไตรมาสที่ 2 ของอินเดีย ขยายตัว 6.1% ซึ่งเป็นสถิติที่ขยายตัวเร็วสุดในรอบ 2 ปี บ่งชี้ว่า อินเดียซึ่งมีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของเอเชีย ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยมากนัก และแม้เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ของอินเดีย มีแนวโน้มขยายตัวรวดเร็วกว่าในไตรมาสแรก แต่ฤดูมรสุมอาจทำให้ผลผลิตในหลายพื้นที่ของอินเดียชะลอตัวลง นอกจากนี้ ความเสี่ยงที่ตัวเลขเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลจากราคาอาหารและสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งสูงขึ้น อาจทำให้ธนาคารกลางอินเดียลำบากใจที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ทั้งนี้ รัฐบาลอินเดียอัดฉีดเม็ด เงินมูลค่า 5.6 ล้านล้านรูปี หรือ 1.15 แสนล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ควบคู่กับการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกกว่า 12% ของตัวเลขจีดีพี ขณะที่ธนาคารกลางอินเดีย คงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา พร้อมส่งสัญญาณว่า การลดอัตราดอกเบี้ยอาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ส่วนการประชุมธนาคารกลางอินเดียครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 27 ต.ค.นี้
************
28/08/52
เศรษฐกิจอังกฤษหดตัว 0.7% ในไตรมาส 2 หลังยอดการลงทุนร่วง Source - IQ Biz (Th) Friday, August 28, 2009 16:27 45288 XTHAI XECON XFINMKT XBANK XINTER V%WIREL P%IQ อินโฟเควสท์ (28 ส.ค. 52)--เศรษฐกิจอังกฤษหดตัวลง 0.7% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยกดดันให้ภาคเอกชนลดการลงทุน ในขณะที่ผู้บริโภคก็ลดการใช้จ่ายลง ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจอังกฤษก็หดตัวลง 5.5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งถือว่ามากเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลในปี 2498 ธนาคารกลางอังกฤษได้ขยายโครงการซื้อพันธบัตรเป็น 1.75 แสนล้านปอนด์ (2.85 แมนล้านดอลลาร์) หลังจากที่พบว่าเศรษฐกิจถดถอยเกินกว่าที่เคยคาดไว้ในเดือนพฤษภาคม ในขณะเดียวกันคณะกรรมการกำหนดนโยบายคาดว่าเศรษฐกิจอาจฟื้นตัวในปีนี้ แต่กว่าจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่จนชดเชยความเสียหายทั้งหมดได้คงต้องรอจนถึงปี 2555 "ภาคเอกชนต่างลดการลงทุนลงเนื่องจากประสบอุปสรรคในการเข้าถึงเงินทุน" ปีเตอร์ ดิ๊กซอน นักเศรษฐศาสตร์จากคอมเมิร์ซแบงค์ เอจี ในลอนดอน กล่าว "แม้เศรษฐกิจจะไม่ดิ่งลงกว่านี้แต่การฟื้นตัวก็ยังเป็นไปอย่างเชื่องช้า" ในขณะเดียวกัน อัตราว่างงานในอังกฤษยังทะยานแตะระดับสูงสุดในรอบ 14 ปีในไตรมาส 2 และนักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า อุปสงค์ที่ซบเซาและสินเชื่อที่ตึงตัวจะทำให้มีการปลดพนักงานอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้าเข้าไปอีก ทั้งนี้ เศรษฐกิจอังกฤษฟื้นตัวช้าเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ อย่างเศรษฐกิจเยอรมนีและฝรั่งเศสที่ขยายตัว 0.3% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก ด้านเศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวถึง 3.7% ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 1% ซึ่งน้อยกว่าที่คาดไว้ "เรารู้สึกว่าช่วงที่เลวร้ายที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่เศรษฐกิจก็ไม่สามารถฟื้นตัวแบบพรวดพราดได้" นิค โรส หัวหน้าฝ่ายการเงินบริษัท Diageo Plc กล่าว สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน
***********
28/08/52
จีดีพีสหรัฐ Q 2 หดตัวน้อยกว่าที่คาด จากม. ฟื้นฟู ศก. Source - ศูนย์ข่าวแปซิฟิค (Th) Friday, August 28, 2009 11:40 14205 XTHAI XGEN V%WIREL P%PACI กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 หดตัวร้อยละ 1 ในไตรมาส 2 ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ คาดว่า จะหดตัวร้อยละ 1.5 ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2 ของสหรัฐสอดคล้องกับที่นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ ระยะฟื้นตัว แล้ว และคาดว่า จะกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งในไม่ช้านี้ หลังจาก เศรษฐกิจถดถอยรุนแรงและถูกกระทบหนักสุดจากวิกฤตการณ์การเงิน บลูมเบิร์ก รายงานว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ เชื่อว่า ปัจจัยที่ทำให้จีดีพีไตรมาส 2 หดตัวน้อยกว่าคาดมาจากมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจวงเงิน 7.87 แสนล้านดอลลาร์ และจากโครงการรถเก่าแลกรถใหม่ที่ช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าการที่เศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง เนื่องจาก อัตราว่างงานในสหรัฐยังอยู่ในระดับสูง รัฐบาลสหรัฐ เปิดเผยว่าจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงในสัปดาห์ที่แล้ว ในขณะที่จำนวนผู้ขอรับรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน ส่งสัญญาณว่าอัตราการปลดพนักงานเริ่มลดลงแล้ว อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังคงมากเกินไปเมื่อเทียบกับช่วงที่เศรษฐกิจแข็งแกร่ง และนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอัตราว่างงานจะยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง**10.07น.R165--จบ--
ที่มา: เว็บไซต์ศูนย์ข่าวแปซิฟิก
stock in focus

**********
27/08/52
นักวิเคราะห์คาดเศรษฐกิจสหรัฐไตรมาส 2 หดตัวลง 1.5% Source - IQ Biz (Th) Thursday, August 27, 2009 14:24 53343 XTHAI XECON XINTER V%WIREL P%IQ อินโฟเควสท์ (27 ส.ค. 52)--เศรษฐกิจสหรัฐไตรมาส 2 ส่อเค้าหดตัวลงหนักกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเบื้องต้น ซึ่งจะทำสถิติติดลบต่อเนื่อง 4 ไตรมาส และเป็นการเผชิญภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2490 นักวิเคราะห์จากโพลล์สำนักข่าวบลูมเบิร์กคาดการณ์ว่า ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐไตรมาส 2 จะหดตัวลงในอัตรา 1.5% ต่อปี เมื่อเทียบกับที่คาดว่าจะติดลบ 1% ในเดือนที่แล้ว ขณะเดียวกันก็คาดว่ายอดผู้ขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงานลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์สู่ระดับ 565,000 ราย จากระดับ 576,000 ราย กระแสคาดการณ์ล่าสุดนี้มีขึ้นหลังจากที่บริษัทสหรัฐหลายแห่งต่างปรับลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและโละสินค้าค้างสต็อกเพื่อกระตุ้นผลกำไร ในยามที่อัตราการจ้างงานลดลงได้ส่งผลกระทบให้ผู้บริโภคปรับลดการใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของตลาดหุ้นและโครงการต่างๆของรัฐบาล อาทิ โครงการนำรถเก่าแลกซื้อรถใหม่ และการออกเงินกู้สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรกนั้นช่วยฟื้นฟูอุปสงค์ในประเทศและส่งผลดีต่อภาคการผลิตและตลาดอสังหาริมทรัพย์ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจหลุดพ้นจากภาวะถดถอย ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะรายงานตัวเลข GDP ในวันนี้เวลา 08:30 น.ตามเวลาท้องถิ่นในกรุงวอชิงตัน (คืนนี้ตามเวลาในประเทศไทย)
************
27/08/52
สหรัฐเผยยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ค.พุ่งเกินคาด 9.6% บ่งชี้ตลาดอสังหาฯฟื้นตัว Source - IQ Biz (Th) Thursday, August 27, 2009 08:53 42959 XTHAI XECON XCORP XESTATE XCONSTR XMANUFAC XINTER V%WIREL P%IQ อินโฟเควสท์ (27 ส.ค. 52)--
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ค.พุ่งขึ้น 9.6% แตะระดับ 433,000 ยูนิต ซึ่งเป็นสถิติที่เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 เดือน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 390,000 ยูนิต ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฟื้นตัวขึ้นแล้วหลังจากได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยปัจจัยที่ทำให้ยอดขายบ้านพุ่งขึ้นเหนือความคาดหมายมาจากราคาบ้านที่ปรับตัวลดลง รายงานระบุว่า ราคากลางของบ้านใหม่เดือนก.ค.ในสหรัฐอยู่ที่ระดับ 210,100 ดอลลาร์ ต่ำกว่าเดือนมิ.ย.ที่ระดับ 210,400 ดอลลาร์ และต่ำกว่าระดับเฉลี่ยของปีที่แล้วอยู่ประมาณ 11.5% นักวิเคราะห์จากบริษัท แรนดี้ อาร์กอน ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐกล่าวว่า กลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านและนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐกำลังกดดันสภาคองเกรสให้ขยายเวลาการใช้นโยบายช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านหลังแรก เพื่อกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้แข็งแรงขึ้น เนื่องจากตลาดยังคงอยู่ในภาวะเปราะบาง เจนนิเฟอร์ ลี นักวิเคราะห์จากบีเอ็มโอ แคปิตอล มาร์เก็ตส์กล่าวว่า ยอดขายบ้านใหม่ที่เพิ่มขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ตลาดสินเชื่อ และคณะทำงานของบารัค โอบามา ที่ประกาศใช้นโยบายลดหย่อนภาษีให้กับผู้ซื้อบ้านหลังแรก ซึ่งนโยบายเหล่านี้ช่วยกระตุ้นดีมานด์ภายในประเทศได้ดี "อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทก่อสร้างและโรงงานอุตสาหกรรมในสหรัฐลดพนักงานรวมกันถึง 3.3 ล้านคนในช่วงที่เศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะถดถอย อาจจะขัดขวางการขยายตัวของเศรษฐกิจในอีก 2-3 เดือนข้างหน้านี้" ลีกล่าว บลูมเบิร์กรายงาน --อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--
cgs
*************
26/08/52
ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมสิงคโปร์เดือนก.ค.สูงสุดในรอบ 16 เดือน

Posted on Wednesday, August 26, 2009
กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า สิงคโปร์ บอกว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้นเกือบ 25% เป็นการปรับตัวขึ้น 12.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน และพุ่งขึ้น 23% เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน และยังปรับตัวสูงที่สุดในรอบ 16 เดือน เนื่องจากการผลิตเวชภัณฑ์และเภสัชกรรมทะยานขึ้นถึง 139% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่การผลิตสินค้าอิเล็คทรอนิคส์ร่วงลง 5.6%

ทั้งนี้สิงคโปร์เพิ่งปรับเพิ่มคาดการณ์การส่งออกประจำปี 2552 โดยคาดว่า การส่งออกอาจลดลงแค่ 10-12% เนื่องจากดีมานด์ในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ผลผลิตสินค้าอิเล็คทรอนิคส์และยาที่ดีขึ้นในช่วงนี้ อาจประสบภาวะชะงักงันได้ ซึ่งจะเป็นการขัดขวางสิงคโปร์ไม่ให้สามารถฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงที่สุด
ของประเทศนับตั้งแต่ได้รับเอกราชเมื่อ 44 ปีก่อน

สำหรับการผลิตที่ปรับตัวขึ้นในเดือนกรกฎาคม สะท้อนว่า เศรษฐกิจสิงคโปร์ในช่วงเดือนกรกฎาคม - กันยายน จะขยายตัวขึ้น เป็น2 ไตรมาส ติดต่อกัน หลังจากที่ตัวเลขจีดีพีไตรมาสที่2 ปรับเพิ่มขึ้น 20.7% ซึ่งเป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบหนึ่งปี


***********
24/08/52
ว่างงานจีนยังสูงแม้เศรษฐกิจฟื้นตัว

นายอู๋ เหว่ยหมิน รมว.แรงงานและสวัสดิการสังคมของจีนกล่าวให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี่ในวันนี้ว่า แม้เศรษฐกิจจีนขยายตัวตามเป้าหมายของรัฐบาลที่ 8% ในปีนี้ แต่จำนวนคนว่างงานในประเทศยังคงมีอยู่มากถึง 12 ล้านคน เนื่องจากช่องว่างระหว่างดีมานด์และซัพพลายในตลาดแรงงานปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าปีที่แล้วซึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลไม่สามารถจัดหางานป้อนให้กับประชาชนได้อย่างเพียงพอ

นายอู๋ยอมรับว่า ปัญหาด้านแรงงานกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาล แม้ก่อนหน้านี้รัฐบาลแสดงความเชื่อมั่นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะสามารถบรรเทาภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อและกระตุ้นการส่งออก อีกทั้งจะกระตุ้นการจ้างงานและช่วยพยุงเศรษฐกิจให้สามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ 8% ในปีนี้ได้ก็ตาม ส่วนนายหวัง หยาตง รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมแรงงานในสังกัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมของจีนกล่าวว่า "รัฐบาลจีนพยายามสร้างงานรองรับประชาชนจำนวนมากที่ตกงาน แต่ตลาดแรงงานของจีนยังเข้าขั้นวิกฤติ แม้เศรษฐกิจในไตรมาสแรกขยายตัว 7.6% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4 ปีที่แล้วที่ 6.1% ก็ตาม"

ที่ผ่านมานั้น ทางการจีนเชื่อมั่นว่าจะสามารถรักษาอัตราว่างงานให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 4.5% ในปีนี้ โดยรัฐบาลจะพุ่งเป้าไปที่การกระตุ้นการจ้างงานในบริษัทขนาดใหญ่และบริษัทของรัฐ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จีนหลายคนกังวลว่าการที่เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ อาจขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจจีน และผลที่ตามมาก็คืออัตราว่างงานที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งสำนักงานพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีน คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนอาจขยายตัวอย่างรวดเร็วถึง 8.5%ในไตรมาส 3 หลังจากทางการจีนใช้นโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายและนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย รวมถึงการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินสูงถึง 4 ล้านล้านหยวน อย่างไรก็ตามนักลงทุนส่วนใหญ่กังวลว่ารัฐบาลจีนจะควบคุมอัตราการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์เพื่อยับยั้งภาวะฟองสบู่ ซึ่งความกังวลดังกล่าวส่งผลให้เกิดการเทขายอย่างหนักในตลาดหุ้นจีน และฉุดดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตดิ่งลงไปแล้ว 16%

จีนเล็งฮุบสายการบินคาเธ่ย์
สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิกของฮ่องกง ใกล้ตกเป็นของจีน หลังแอร์ ไชน่า สายการบินสัญชาติจีนประกาศซื้อหุ้นคาเธ่ย์เพิ่มอีก 12.5% มูลค่า 6,340 ล้านเหรียญฮ่องกง (813 ล้านเหรียญสหรัฐ) หวังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยมีแผนการเพิ่มหุ้นเป็น 29.99% ด้วย เนื่องจากตามกฎระเบียบ บริษัทที่ถือหุ้นอย่างต่ำ 30% สามารถเสนอซื้อกิจการได้


ฝ่ายค้าญี่ปุ่นไม่ประมาทแม้โพลชนะขาดลอย
ผู้นำพรรคฝ่ายค้านญี่ปุ่นไม่ประมาท แม้ผลโพลล์เกือบทุกสำนักฟันธงชนะเลือกตั้งทั่วไปปลายเดือนนี้อย่างขาดลอยแน่นอน เตือนการหลงดีใจกับผลสำรวจจะเป็นอุปสรรคสำคัญของการคว้าชัยเหนือพรรครัฐบาล ก่อนหน้านี้ ผลการสำรวจความคิดเห็นของสำนักข่าวเกียวโดชี้ว่า พรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่น (DPJ) จะกวาดที่นั่งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะมีขึ้นวันที่ 30 เดือนนี้ ได้เกินกว่า 300 ที่นั่ง จากทั้งหมด 480 ที่นั่ง แม้ว่าผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่รับการสำรวจอีกกว่า 30% จะยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะลงคะแนนให้ฝ่ายใดก็ตาม สอดคล้องกับโพลล์ของสำนักอื่นๆ ที่ระบุว่า พรรคดีพีเจซึ่งเป็นฝ่ายค้านจะคว้าชัยอย่างถล่มทลายเหนือพรรครัฐบาลเสรีประชาธิปไตย (LDP) ของนายกรัฐมนตรีทาโร อาโซะ ที่กุมอำนาจการบริหารประเทศมาเกือบตลอด 54 ปีที่ผ่านมา

อินเดีย เตรียมย้ายฐานการเอาท์ซอร์สไปญี่ปุ่น
"วอลล์สตรีต เจอร์นัล" รายงานว่า ทั้ง ไวโปร เทคโนโลยีส์ อินโฟซิส เทคโนโลยีส์ และบริษัทด้านไอทีอื่นๆ ซึ่งเคยมีทีมงานในญี่ปุ่นเพียงไม่กี่คนเมื่อ 5 ปีก่อน ขณะนี้กลับเพิ่มกำลังคนเป็นเรือนพันในตลาดแห่งนี้ เนื่องจากญี่ปุ่นกำลังเผชิญปัญหาประชากรสูงอายุจำนวนมาก ขณะที่คนวัยแรงงาน ไม่เพียงพอ ทำให้ขาดแคลนวิศวกรรุ่นใหม่ บริษัทอินเดียมองเห็นโอกาสตรงนี้เพื่อจะขยายธุรกิจในตลาดญี่ปุ่น
morning brief
************
22/08/52
เบน เบอร์นันเก้" เผยมั่นใจเศรษฐกิจสหรัฐและโลกเข้าสู่ระยะฟื้นตัวแล้ว
คาดว่าจะกลับมาขยายตัวได้อีกในไม่ช้านี้
นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวในที่ประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็คสัน โฮล รัฐไวโอมิง ว่า เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ "ระยะฟื้นตัว" แล้ว และคาดว่าจะกลับมาขยาตัวได้อีกครั้งในไม่ช้านี้ หลังจากเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงและถูกกระทบหนักสุดจากวิกฤตการณ์การเงิน

"กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งในสหรัฐและประเทศอื่นๆทั่วโลกเริ่มฟื้นตัว และคาดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งในอนาคตอันใกล้นี้ หลังจากเศรษฐกิจหดตัวรุนแรงในปีที่แล้ว

นอกจากนี้ ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกได้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่รุนแรงที่สุดไปแล้ว ซึ่งนับจากนี้เศรษฐกิจจะเข้าสู่ระยะฟื้นตัว" เบอร์นันเก้กล่าว

อย่างไรก็ตาม เบอร์นันเก้ได้แสดงความกังวลว่าอัตราการปล่อยกู้ในภาคธนาคารอาจจะยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งจะสร้างความยากลำบากให้กับภาคธุรกิจและผู้บริโภคที่ต้องการกู้เงิน สถานการณ์ดังกล่าวอาจขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและอาจทำให้ตัวเลขว่างงานพุ่งสูงขึ้นอีก พร้อมกับเรียกร้องให้รัฐบาลใช้นโยบายกระตุ้นการไหลเวียนของสินเชื่อเพื่อให้ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนมีความคล่องตัวมากขึ้น

"แม้เราสามารถหลีกเลี่ยงวิกฤตการณ์ที่รุนแรงที่สุดไปได้ แต่ยังมีความท้าทายอีกมากมายที่รอเราอยู่ข้างหน้า สหรัฐและทั่วโลกต้องร่วมมือกันเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกให้ขยายตัวอย่างยั่งยืน หากยังปล่อยให้ภาวะตึงตัวเกิดขึ้นในตลาดการเงินโลกต่อไป สถาบันการเงินก็ต้องขาดทุนและประชาชนก็เข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ยากขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่บั่นทอนการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งสิ้น" เบอร์นันเก้กล่าวในที่ประชุมประจำปีของเฟด

เบอร์นันเก้กล่าวว่า แม้อัตราการว่างงานประจำเดือนก.ค.ของสหรัฐร่วงลงแตะระดับ 9.4% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 1 ปี 3 เดือน แต่อัตราว่างงานที่ยืนอยู่เหนือระดับ 9% เช่นนี้ยังคงเป็นสัญญาณในด้านลบ นอกจากนี้ อัตราการลงทุนที่หดตัวลงในภาคธุรกิจและการที่ภาคครัวเรือนลดการใช้จ่าย ยิ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่ารัฐบาลและเฟดต้องร่วมมือกันในการกระตุ้นการไหลเวียนของเงินกู้ โดยเฉพาะเมื่อดูจากยอดค้าปลีกเดือนก.ค.ที่ลดลง 0.1% สวนทางกับที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.7% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าอัตราว่างงานที่สูงขึ้นทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย

นอกจากนี้ เบอร์นันเก้กล่าวว่า หากในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐและเฟดไม่ได้เข้าแทรกแซงเศรษฐกิจด้วยการใช้มาตรการฟื้นฟูและลดอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งใช้มาตรการอีกหลายด้าน ก็อาจทำให้ตลาดตกอยู่ใสภาวะตื่นตระหนกและทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งตกอยู่ในความเสี่ยง ทั้งนี้ ในช่วงท้าย เบอร์นันเก้เรียกร้องให้สภาคองเกรสสหรัฐทบทวนกฎหมายด้านการเงินและใช้มาตรการควบคุมบริษัทเอกชนให้เข้มงวดมากขึ้น หลังจากการล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์ส และวิกฤตการณ์การเงินที่เกิดขึ้นกับบริษัท เอไอจี ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินทั้งระบบ

บลูมเบิร์กรายงานว่า การที่เบอร์นันเก้แสดงความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ระยะฟื้นตัวแล้วนั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นกว่า 100 จุด และยังหนุนสัญญาน้ำมันดิบและสัญญาทองคำพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ด้วย ทั้งนี้ แม้เบอร์นันเก้แสดงความกังวลเรื่องอัตราการปล่อยกู้ในภาคธนาคาร แต่นักลงทุนมองว่าโดยภาพรวมแล้ว เบอร์นันเก้มีมุมมองที่เป็นบวกต่อเศรษฐกิจมากขึ้นนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์การเงินในสหรัฐ

กรุงเทพธุรกิจ***********
21/08/52
มอร์แกนสแตนลีย์คาดดัชนีหุ้นจีนดีดตัวทะลุ 4,000 จุดช่วง 12 เดือนหน้าหลังศก.ฟื้น Source - IQ Biz (Th) Friday, August 21, 2009 10:58 55841 XTHAI XECON XFINSEC ZSTOCK XFINMKT XBANK XINTER V%WIREL P%IQ อินโฟเควสท์ (21 ส.ค. 52)--มอร์แกน สแตนลีย์ คาดว่า หุ้นจีนจะปรับตัวขึ้นและทำให้ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตดีดตัวทะลุระดับ 4,000 จุดในช่วง 12 เดือนข้างหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจจีนเริ่มที่จะฟื้นตัวขึ้น โดยเมื่อวานนี้ ดัชนีหุ้นดีดตัว 4.5% แตะ 2,911.58 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากรายได้ที่ออกมาดีกว่าคาดการณ์ของแบงค์ ออฟ คอมมิวนิเคชั่นส์ ที่ช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ดัชนีดีดตัวขึ้นหลังจากที่ร่วงลงกว่า 20% ต่ำกว่าระดับสูงสุดเมื่อวันที่ 4 ส.ค. และยังร่วงลงผ่านระดับจุดเริ่มต้นของภาวะตลาดหมี เจอร์รี หลู นักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นยังคงอยู่ในภาวะกระทิง เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นจริงๆ และในช่วงอีก 12 เดือนข้างหน้า แนวโน้มน่าจะดีมาก รายได้ของบริษัทเอกชนอาจจะปรับตัวขึ้น 15% ในปีนี้ และอีก 20% ในปีหน้า หลูกล่าวว่า สภาพคล่องทั่วโลกที่สูงขึ้นช่วยหนุนราคาสินทรัพย์ หลังจากที่ได้ยกเลิกอันดับความน่าเชื่อถือที่ “cautious" เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา และได้ยกระดับหุ้นจีนเป็น “neutral" เมื่อเดือนมิ.ย. บลูมเบิร์กรายงานว่า หยู จุน นักวิเคราะห์ของซิติค ซิเคียวริตีส์ กล่าวว่า หุ้นจีนจะดีดตัวขึ้นอีกเพราะว่าได้มีการขายหุ้นไปจำนวนมาก และมูลค่าหุ้นก็จะอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล ทางด้านนายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่าของจีนได้ยืนยันเมื่อวันที่ 9 ส.ค.ว่า จีนจะยังคงใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนปรนและจุดยืนทางการเงินเชิงรุก จอห์น ถัง นักวิเคราะห์ของยูบีเอส เอจี กล่าวว่า หุ้นจีนอาจจะอยู่ในภาวะการปรับฐานอีกในช่วง 30 วันข้างหน้า เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงด้านการกำกับดูแล และแนะนำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนเชิงรุกในขณะนี้ และค่อยรุกลงทุนในเวลาต่อไป เพราะการใช้นโยบายของรัฐบาลจะส่งผลมากขึ้นต่อหุ้นจีนในไตรมาส 3 โดยเฉพาะหุ้นในอุตสาหกรรมที่ร้อนแรงอย่างอสังหาริมทรัพย์ โลหะ มากกว่าหุ้นธุรกิจเดียวกันที่มีการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง
cgs
**************
19/08/52
ผลประกอบการธุรกิจค้าปลีกหนุนหุ้นสหรัฐฯ – IMF มองศก.โลกฟื้น

ตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นขึ้นได้ หลังจากที่ร่วงลงตามกระแสความกังวลเศรษฐกิจ รวมถึงความไม่แน่ใจในทิศทางการดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจของรัฐบาลต่างๆ นับจากนี้ โดยตัวช่วยที่สำคัญของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อคืนนี้ก็ได้แก่ ผลประกอบการของบริษัทผู้ค้าปลีกสินค้าบ้านรายใหญ่ อย่าง Home Depot ที่ออกมาดีกว่าตลาดคาดการณ์ เช่นเดียวกับ ธุรกิจร้านค้าปลีกรายใหญ่อันดับสอง Target Corp. ที่เปิดเผยผลกำไรที่ลดลงน้อยกว่านักวิเคราะห์คาด อย่างไรก็ดี ในฝั่งตัวเลขเศรษฐกิจ คือ จำนวนการสร้างบ้านใหม่ หรือ Housing Starts ในเดือนกรกฎาคมกลับออกมาลดลงผิดไปจากที่ตลาดคาด แม้ว่าในส่วนที่เป็นบ้านเดี่ยว ยอดการก่อสร้างจะยังปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ตาม นอกจากนั้น ปัจจัยบวกอื่นๆ ก็มีที่สำคัญคือ ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนเยอรมันที่กระโดดขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบมากกว่าสามปีในเดือนสิงหาคม หลังจากเห็นเศรษฐกิจประเทศสามารถสลัดหลุดออกจากสภาพความถดถอยได้แล้ว

สำหรับสถานการณ์ตลาดน้ำมัน ปัจจัยในตลาดหุ้นและเศรษฐกิจก็หนุนให้ราคาปรับตัวขึ้นได้เป็นครั้งแรกในรอบสามวัน โดยสัญญาน้ำมันส่งมอบเดือนกันยายนบวกได้ 2.44 เหรียญ หรือ 3.7% ไปปิดที่ 69.19 เหรียญในตลาดนิวยอร์ก และหลังจากนั้นราคาก็ขยับบวกขึ้นต่อ ไปยืนที่ระดับ 70 เหรียญได้ในการซื้อขายบนกระดานอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อสถาบันปิโตรเลียมของอเมริกาเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันออกมาลดลง 6.13 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ 342.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สำหรับมุมมองทางเศรษฐกิจล่าสุด หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ระบุว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่การที่จะประคองให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับการปรับตัวของประเทศผู้บริโภคหลักอย่าง อเมริกา รวมถึงทางฝั่งประเทศคู่ค้าที่สำคัญ คือ ประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชียทั้งหลาย โดยเฉพาะ จีน ที่ต้องมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ


แบงก์ชาติจีนเข้าหนุนสภาพคล่อง หวังผ่อนแรงกดดันในตลาดหุ้น

ความกังวลต่อปัจจัยการชะลอตัวของตลาดหุ้นจีนดูจะเบาบางลงได้เมื่อวานนี้ โดยเฉพาะเมื่ออัตราดอกเบี้ยระยะสั้นปรับตัวลงหลังจากที่ธนาคารกลางจีนหยุดเดินหน้าผลักดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรบวกขึ้นต่อ ซึ่งความพยายามนี้ก็ถือเป็นครั้งแรกในรอบหกสัปดาห์ที่ทำให้ Yield พันธบัตรในประเทศหยุดปรับตัวขึ้น สภาวะดังกล่าวทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าจะมีสภาพคล่องคงเหลือในระบบที่เพิ่มขึ้น และจะสามารถหยุดยั้งการร่วงลงของตลาดหุ้นได้ ธนาคารกลางจีนประกาศการออกขายพันธบัตรอายุ 1 ปี วงเงิน 45,000 ล้านหยวน หรือราว 6,600 ล้านเหรียญ ณ อัตราผลตอบแทนที่ 1.7605% ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากการประมูลในสัปดาห์ก่อน แม้ว่าก่อนหน้านั้น แบงก์ชาติของเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่จากเอเชียนี้ จะปล่อยให้ Yield ปรับเพิ่มขึ้น 26 basis points มาตั้งแต่เริ่มมีการเปิดขายพันธบัตรรุ่นอายุ 1 ปีอีกครั้ง เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจากได้หยุดพักการประมูลไปถึงแปดเดือน นักวิเคราะห์ตลาดพันธบัตรของบริษัทที่ปรึกษาแห่งหนึ่งในประเทศมองว่า ทางการอาจจะต้องการที่จะบรรเทาความตื่นตระหนกในตลาด หลังจากที่ราคาหุ้นหล่นลงอย่างหนัก

และการที่ธนาคารกลางจีนยืนอัตราผลตอบแทนไว้ที่เดิมก็ถือเป็นสัญญาณว่าแบงก์ชาติจะยังยึดติดอยู่กับนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป รายงานทางเศรษฐกิจที่กระหน่ำตลาดหุ้นจีนในช่วงที่ผ่านมา ก็มีทั้งตัวเลขผลผลิตอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าตลาดคาดการณ์ในเดือนกรกฎาคม เช่นเดียวกับตัวเลขการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรที่บวกขึ้น แต่กลับต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์หวังเอาไว้ ด้วยเหตุนี้ก็เป็นไปได้ที่ธนาคารกลางอาจจะรับเอาปัจจัยที่น่าผิดหวังดังกล่าวมาใช้เป็นข้อมูล และต้องการรอดูต่อไปอีกระยะก่อนที่จะหันไปใช้นโยบายในแบบที่เข้มงวดขึ้น ทางด้านความเห็นของอดีตนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังของ Morgan Stanley นายแอนดี้ เสียะ (Andy Xie) ที่เคยพยากรณ์ตลาดหุ้นจีนจะดิ่งลงเมื่อสองปีก่อนถูกมาแล้ว มาคราวนี้เขามองว่าตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้อาจจะปรับตัวลงได้อีก 10% หลังจากที่ยอดการปล่อยสินเชื่อภาคธนาคารชะลอตัวลง ส่วนการพักฐานของตลาดหุ้นในช่วงนี้ก็สะท้อนถึงผลจากการคุมเข้มในตลาดสินเชื่อ ซึ่งนายแอนดี้ก็บอกด้วยว่าตลาดน่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แม้จะมีโอกาสรีบาวด์ได้เหมือนกันหากรัฐบาลหาทางที่จะสร้างความมีเสถียรภาพให้เกิดขึ้นได้


ความเชื่อมั่นนักลงทุนเยอรมันพุ่งทะยานในเดือนส.ค.

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจยุโรป ZEW เปิดเผยว่า ความเชื่อมั่นนักลงทุนในเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่สุดในยุโรป พุ่งสูงขึ้นในเดือนส.ค. เนื่องจากความหวังว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ หลังจากที่มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและการส่งออกที่เพิ่มขึ้นช่วยดึงให้เยอรมนีหลุดพ้นจากภาวะถดถอยได้สำเร็จ โดยดัชนีที่ชี้วัดแนวโน้มของนักลงทุนสำหรับช่วงเวลา 6 เดือนข้างหน้า ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 56.1 จุดในเดือนส.ค. จากระดับ 39.5 จุดในเดือนก.ค. ซึ่งตัวเลขในเดือนส.ค.ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2549 และดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะสูงขึ้นแตะ 45 จุดจากการสำรวจของบลูมเบิร์กนิวส์

ทั้งนี้ เศรษฐกิจของเยอรมนีซึ่งพึ่งพาการส่งออกได้ดิ่งลงสู่ภาวะถดถอยในปีที่แล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจที่ตกต่ำทั่วโลกได้บั่นทอนความต้องการสินค้าประเภทอุตสาหกรรมของเยอรมนี อย่างไรก็ดี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เยอรมนีเปิดเผยว่า เศรษฐกิจช่วงไตรมาส 2 ของประเทศขยายตัว 0.3% จากไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจหลุดพ้นจากจุดต่ำสุดของภาวะถดถอยนับตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เร็วกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ขณะที่ยอดส่งออกปรับตัวเพิ่มขึ้นและโครงการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐบาลอาจช่วยให้เศรษฐกิจรักษาระดับการขยายตัวได้ต่อไป

อินโดฯ รับไม่มีสิทธิตำหนิมาเลฯ กรณีใช้ ผ้าบาติก-ดอกบัวผุด เป็นสัญลักษณ์การท่องเที่ยว
กระทรวงต่างประเทศอินโดนีเซีย กล่าวว่า อินโดนีเซียไม่สามารถห้ามมิให้มาเลเซียใช้ผ้าบาติกและดอกบัวผุดเป็นสัญลักษณ์โฆษณาเพื่อการท่องเที่ยวได้ โดย รมต.ต่างประเทศอินโด กล่าวว่า ชาวมาเลเซียรู้สึกว่าพวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอินโดนีเซีย เพราะมีรากเหง้ามาจากที่เดียวกัน มรดกที่อินโดนีเซียได้รับสืบทอดมา ก็เป็นสิ่งเดียวกับที่มาเลเซียได้รับไปเช่นกัน

ญี่ปุ่นห่วงจำนวนผู้ป่วยหวัด 2009 ใกล้ระดับการระบาด
ญี่ปุ่นรายงานผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นรายที่ 2 ของประเทศ โดยผู้เสียชีวิตรายล่าสุดเป็นชายสูงอายุที่โกเบ ซึ่งเป็นเมืองที่พบการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ด้านสถาบันโรคติดต่อแห่งชาติของญี่ปุ่นเผยจำนวนผู้ติดเชื้อ H1N1 ซึ่งได้รับรายงานจากสถานีบริการสาธารณสุขทั่วประเทศนั้น ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับบ่งชี้ถึงการแพร่ระบาดในประเทศ

สิงคโปร์ชี้ซีอีโอใหม่ของเทมาเส็กควรเป็นชาวสิงคโปร์
นายทาร์มัน จันมูการัทนัม รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสิงคโปร์ชี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของเทมาเส็ก โฮลดื้งส์ ควรจะเป็นชาวสิงคโปร์ และยืนยันว่ารัฐบาลไม่ต้องการยื่นมือเข้าไปก้าวก่ายเรื่องการคัดสรรซีอีโอคนใหม่ของบริษัท หลังจากที่ในเดือนที่แล้วเทมาเส็กได้ประกาศยกเลิกข้อตกลงแต่งตั้งนายชาร์ลส์ กู๊ดเยียร์ ชาวอเมริกันดำรงตำแหน่งซีอีโอชาวต่างชาติคนแรก
money channel
stock in focus
***************
11/08/52
ยอดส่งออก-นำเข้า จีน เดือนก.ค. ยังทรุด 14.9%

Posted on Tuesday, August 11, 2009
สำนักงานศุลกากรจีน แถลงว่า ตัวเลขการนำเข้าสินค้าของจีนในเดือนกรกฎาคม ดิ่งลง แม้ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตขึ้น ในขณะที่ภาคการส่งออกก็ลดลงเช่นกัน ท่ามกลางปริมาณความต้องการสินค้าดิ่งลงทั่วโลก

โดยยอดสินค้านำเข้าในจีนเมื่อเดือนกรกฎาคม ลดลง 14.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายนที่ลดลง 13.2% แม้ว่าการลงทุนและภาวะการใช้จ่ายของผู้บริโภคในจีนเพิ่มขึ้น ขณะที่รัฐบาลได้ใช้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เพื่อช่วยกระตุ้นความต้องการนำเข้าวัตถุดิบและชิ้นส่วนประกอบอื่น ๆ

ส่วนตัวเลขการส่งออกจีนในเดือนกรกฎาคม ลดลง 22.9% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน และเมื่อเทียบกับเมื่อเดือนมิถุนายนที่ลดลง 21.4% เนื่องจาก การค้าของจีนได้รับผลกระทบจากปริมาณความต้องการสินค้าจีน ลดลงในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโลกถดถอยรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ ปี 2473
monneychannel
stock in focus
**********
07/08/52
CHINA:กังวลสภาพคล่องกดตลาดหุ้นจีนปิดร่วง 2.85% เซี่ยงไฮ้--7 ส.ค.--รอยเตอร์ ตลาดหุ้นจีนปิดร่วงลงหลังดิ่งกว่า 3 % ในการซื้อขายช่วงท้ายตลาดวันนี้ และมี แนวโน้มว่าสัปดาห์นี้อาจเป็นสัปดาห์ที่ตลาดร่วงลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 5 เดือน ในขณะที่ หุ้นบริษัทขนาดใหญ่ร่วงลง โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องการคุมเข้มสภาพคล่อง ในตลาด ดัชนีคอมโพสิตของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ดิ่งลง 2.85% สู่ 3260.690 หลังร่วง 3.3% จากเมื่อวานนี้ แตะ 3,244.101 "ความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดจากแถลงการณ์ของ ธนาคารจีนในสัปดาห์นี้ที่ว่า ธนาคารกลางจะปรับนโยบายการเงิน" นายเจิง เหวยกัง หัวหน้าฝ่ายการลงทุนของบริษัทเซี่ยงไฮ้ ซีเคียวริตีส์กล่าว "ตลาดตีความถึงการปรับเปลี่ยนว่า รัฐบาลมีความวิตกเกี่ยวกับราคาสินทรัพย์ ที่สูงเกินไป และในขณะที่ราคาหุ้นอยู่ในระดับสูงมากในขณะนี้ สถาบันต่างๆ ได้จำกัดการลงทุน" หุ้นเซี่ยงไฮ้ในขณะนี้มีการซื้อขายสูงกว่าผลประกอบการปี 2009 ที่คาดไว้ โดยเฉลี่ย 32 เท่า ซึ่งมากกว่าค่าพีอี เรโชโดยเฉลี่ยกว่า 2 เท่าในตลาดฮ่องกง ดัชนี relative strength index (RSI) 14 วันของดัชนีคอมโพสิต ลดลงมาที่ระดับ 55 หลังจากอยู่ในระดับ 70 หรือสูงกว่านั้นในรอบกว่า 6 เดือนที่ ผ่านมา ซึ่งหมายถึงภาวะที่มีแรงซื้อมากเกินไป จนกระทั่งตาดปรับฐานรุนแรงเมื่อ วันพุธสัปดาห์ที่แล้ว หุ้นกลุ่มโลหะและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ร่วงลง หนังสือพิมพ์ไชน่า ซีเคียวริตีส์ เจอร์นัลรายงานว่า กองทุนรวมหลายแห่ง เปิดเผยว่าผู้ควบคุมกฎของจีนระมัดระวังมากขึ้นในการอนุมัติกองทุนในดัชนีหุ้นบลูชิพ CSI 300 ซึ่งกองทุนหุ้นหลายแห่งอ้างอิงกับดัชนีดังกล่าว และมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 2 เท่า ในปีนี้ "ไม่ใช่เรื่องง่ายที่นักลงทุนจะทำเงินในขณะนี้ เนื่องจากมีแนวโน้มว่า อัตราการอนุมัติกองทุนจะชะลอตัวลง ประกอบกับการปรับเปลี่ยนท่าทีเล็กน้อยใน รายงานของธนาคารกลาง" นายหลี่ ซื่อหมิง นักวิเคราะห์จากบล.เซียงไคกล่าว
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปล; กัลยาณี ชีวะพานิช เรียบเรียง)
***********
07/08/52
ASIA:ADB ระบุศก.เอเชียเผชิญความเสี่ยงด้านเงินฝืดมากกว่าเงินเฟ้อ
โตเกียว--7 ส.ค.--รอยเตอร์

นายราจาท นาก ซึ่งเป็นผู้อำนวยการทั่วไปของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) กล่าวในวันนี้ว่า เศรษฐกิจเอเชียเผชิญความเสี่ยงจากภาวะเงินฝืดมากกว่าจาก ภาวะเงินเฟ้อ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือการกระตุ้นอุปสงค์ขั้นสุดท้าย นายนากกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า ADB กังวลว่า หลายประเทศอาจ เผชิญกับภาวะอุปสงค์ภายในประเทศอ่อนแอ เมื่อใดก็ตามที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจใน ประเทศเหล่านั้นหมดอายุลง นายนากกล่าวว่า ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะพิจารณาถึงแผนยุทธศาสตร์ทางออก สำหรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทางการเงินและการคลัง เนื่องจากเศรษฐกิจเอเชียจะ เติบโตอย่างเปราะบางในปีนี้ นายนากกล่าวว่า "ในช่วงนี้สิ่งที่สำคัญก็คือการกระตุ้นอุปสงค์ให้สูงขึ้น" "เรามองว่าภาวะเงินฝืดเป็นความเสี่ยงที่สามารถจัดการได้สำหรับเอเชีย แต่ จำเป็นต้องมีการจับตามองภาวะนี้อย่างระมัดระวัง" โพลล์รอยเตอร์คาดว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีนอาจดิ่งลง 1.7 % ต่อปีในเดือนก.ค. และจะถือเป็นการร่วงลง 6 เดือนติดต่อกัน อัตราเงินเฟ้อได้ร่วงลงสู่จุดต่ำสุดรอบ 9 ปีในเกาหลีใต้ และจุดต่ำสุดรอบ 22 ปีในฟิลิปปินส์ โดยราคาผู้บริโภคร่วงลงเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีในมาเลเซีย ด้วย ราคาในหลายประเทศร่วงลงในช่วงที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับฐานราคาที่ระดับสูง ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นปีที่ค่าอาหารกับพลังงานพุ่งขึ้น ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์บางราย กังวลว่า ตลาดแรงงานที่อ่อนแอและแนวโน้มที่ซบเซาในส่วนของค่าจ้างจะส่งผล ให้ผู้บริโภคชะลอการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งจะส่งผลลบต่อราคา
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
*************
05/08/52
ยอดขายบ้านสหรัฐฯ หนุนหุ้นบวก ขณะน้ำมันแผ่วจากคาดการณ์สต็อกเพิ่ม

ตัวเลขตลาดบ้านสหรัฐฯ ที่ออกมาดีเกินคาด เป็นแรงหนุนให้ดัชนี S&P 500 บวกได้อีก 0.3% และดาวโจนส์ขยับขึ้น 33.6 จุด หรือบวก 0.4% มาอยู่ที่ 9,320 จุด

ขณะตลาดพันธบัตรปรับตัวลง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรุ่นอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้น 5 basis points มาอยู่ที่ 3.69%

ทางด้านค่าเงินดอลลาร์ยังซื้อขายอยู่แถวระดับอ่อนค่าที่สุดเมื่อเทียบกับเงินยูโรในปีนี้

ส่วนราคาน้ำมันก็ปรับลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 วัน จากการคาดการณ์ว่าตัวเลขสต็อกจะออกมาเพิ่มขึ้นอีก 600,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว นักลงทุนบางส่วนยังดูกังวลกับตัวเลขการว่างงานที่ทางการจะประกาศในวันศุกร์นี้ โดยราคาน้ำมันตลาดนิวยอร์กย่อลงมาเล็กน้อย หรือ 0.2% มาอยู่ที่ 71.4 เหรียญต่อบาร์เรล อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่า แนวโน้มราคาน้ำมันในระยะยาวจะยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ถึงแม้จะไม่แรงเท่ากับสถานการณ์ในปีที่แล้ว โดยส่วนหนึ่งมาจากดีมานด์ในประเทศจีนที่ยังคงแข็งแกร่ง เมื่อดูจากตัวเลขการนำเข้าน้ำมันเมื่อเดือนที่แล้ว ที่ออกมาเพิ่มขึ้น 26% เทียบกับปีก่อน ซึ่งนี่คือตัวเลขเฉพาะการขนส่งทางเรือเท่านั้น นอกจากนี้ ปัจจัยหนุนราคาน้ำมันยังมาจากสภาวะในตลาดการเงินที่ดีขึ้น เช่นเดียวกับ สถานการณ์ในหลายๆ บริษัทที่สามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้บ้างแล้ว

สมาคมผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ เปิดเผยจำนวนสัญญาซื้อขายบ้านมือสองที่รอปิดการขายในเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน ซึ่งมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ เหตุผลก็มาจากการที่ราคาปรับลดลงและอัตราดอกเบี้ยที่ดึงดูดใจผู้ซื้อ ตัวเลขสัญญานี้เพิ่มขึ้นถึง 3.6% ในเดือนมิถุนายน ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.7% เท่านั้น ขณะนี้ผู้ซื้อบ้านในสหรัฐฯ กำลังมองหาทางเลือกที่ดีที่สุดภายใต้สภาวะที่มูลค่าบ้านยังอยู่ในระดับต่ำ หลังยอดการถูกยึดบ้านพุ่งขึ้นมากในช่วงก่อนหน้านี้

ขณะเดียวกัน มาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษีก็ยังมีส่วนช่วยอย่างมากสำหรับการตัดสินใจซื้อบ้าน โดยข่าวดีของตลาดบ้านเมื่อคืนนี้ ก็จะส่งผลดีต่อบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึง บริษัท Caterpillar ผู้ผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ก่อสร้างรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยเมื่อคืนนี้บริษัทบอกว่า กำไรอาจจะเพิ่มขึ้นไปถึง 8 – 10 เหรียญต่อหุ้น ภายในปี 2012 หากสภาวะเศรษฐกิจกลับเป็นปกติ


StanChart จ่อเพิ่มทุนอีกรอบ ขณะ BNP งบ Q2 ดีกว่าคาด

หลังจากตลาดหุ้นปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทำให้มูลค่าหุ้นในยุโรปซื้อขายกันในระดับที่เรียกว่าแพงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2546 ซึ่งได้ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มทยอยขายทำกำไรกันออกมา และก็เป็นเวลาเดียวกับที่มีการรายงานผลการดำเนินงานของหุ้นกลุ่มธนาคารในยุโรปสำหรับงวดครึ่งปีแรก

เริ่มจากแบงก์อังกฤษ อย่าง Standard Chartered ที่มีการประกาศแผนการเพิ่มทุนมูลค่า 1,700 ล้านเหรียญ ขณะที่ธนาคารยักษ์ใหญ่จากสวิสเซอร์แลนด์ คือ UBS รายงานตัวเลขขาดทุนติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3 แล้ว ส่วนเพื่อนร่วมธุรกิจจากฝรั่งเศส อย่าง BNP Paribas กลับสามารถทำกำไรให้เพิ่มขึ้นได้ 6.6% ในไตรมาสที่ผ่านมา

ธนาคาร Standard Chartered รายงานกำไรเพิ่มขึ้น 5% มาอยู่ที่ 1,930 ล้านเหรียญสำหรับงวดครึ่งปีแรก และยังมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าตัวเลขกำไรจะออกมาที่ 1,820 ล้านเหรียญ โดยธนาคารจากอังกฤษที่มีรายได้เกือบทั้งหมดมาจากประเทศตลาดเกิดใหม่นี้ ยังได้เปิดเผยถึงแผนการเพิ่มทุนอีก 1,700 ล้านเหรียญ หลังจากที่ธนาคารเพิ่งทำการเพิ่มทุนจากการเสนอขายสิทธิซื้อหุ้นมูลค่า 3 พันล้านเหรียญ ภายในช่วงเวลาเพียงไม่ถึง 9 เดือน StanChart บอกว่าจะนำเงินที่ได้ในครั้งนี้ไปเพิ่มความแข็งแกร่งทางด้านเงินทุน และเพื่อไปขยายธุรกิจในเอเชีย ซึ่งธนาคารคาดว่าจะเป็นภูมิภาคที่เศรษฐกิจดีดตัวกลับขึ้นมาเร็วกว่าของทางสหรัฐฯ และยุโรป

ธนาคาร UBS จากสวิสเซอร์แลนด์ ธนาคารก็รายงานยอดขาดทุนเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกัน ขณะที่ซีอีโอ นาย ออสวอลด์ กรูเบล (Oswald Gruebel) บอกว่า จะมีจำนวนลูกค้าของธนาคารที่ถอนเงินออกเพิ่มขึ้นต่อไปอีกหลังจากที่เห็นตัวเลขขาดทุนนี้ เขาบอกว่าสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้นถ้าหากธนาคารสามารถพลิกฐานะการเงินกลับมาได้ หลังจากที่ในไตรมาสสอง ลูกค้าของส่วนงาน Wealth Management ถอนเงินออกไปแล้วราว 21,000 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นยอดถอนสุทธิที่ได้ดำเนินติดต่อกันมาเป็นเดือนที่ห้าแล้ว กรูเบอร์บอกว่าตลาดกำลังจะได้เห็นธุรกิจ Private Banking ของธนาคารในยุโรปมีอัตราการเติบโตที่ถดถอยลงในไม่ช้านี้

อย่างไรก็ตาม ข่าวดีเมื่อคืนนี้กลับเป็นของธนาคารสัญชาติฝรั่งเศส อย่าง BNP Paribas ที่รายงานกำไร 2,300 ล้านเหรียญในไตรมาสสอง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะอยู่ที่ 1,800 ล้านเหรียญ โดยกำไรก่อนหักภาษีของ BNP ในส่วนของธุรกิจวาณิชธนกิจและ Corporate ออกมาสูงกว่าในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วมากกว่าสองเท่า และยังสามารถบันทึกกำไรที่เกิดจากการซื้อธุรกิจของ Fortis ในปีนี้ได้ที่ 375 ล้านเหรียญด้วย นายโบดูแอ็ง โพรท์ (Baudouin Prot) ซีอีโอของ BNP บอกว่า ผลงานในไตรมาสที่แล้วถือเป็นอีกหนึ่งครั้งที่ธนาคารได้แสดงถึงความแข็งแกร่ง จากการเริ่มต้นอย่างสวยงามกับธุรกิจของ Fortis


รถยนต์ต่างชาติได้อานิสงส์โครงการรถเก่าแลกเงินของสหรัฐฯ

นับตั้งแต่สหรัฐคลอดโครงการ Cash for Clunkers เพื่อหวังว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์ในตลาดสหรัฐ ด้วยการให้ประชาชน สามารถนำรถเก่ามาแลกเป็นเงินสำหรับการซื้อรถใหม่ได้ โดยกำหนดวงเงินสูงสุดในรูปของเครดิตที่จะได้กว่า 4,500 เหรียญ

ปรากฏว่า รถใหม่รุ่นต่าง ๆ ที่ขายได้มากที่สุดในโครงการนี้ ห้ารุ่นแรก เป็นของบริษัทรถยนต์จากญี่ปุ่น ถึง 4 อันดับด้วยกันจากข้อมูลของกรมการขนส่งสหรัฐ โดยอันดับ 1 ของรถยนต์ที่ขายได้จากโครงการนี้มากที่สุด คือ Fird Fucus ตามมาด้วย Toyota Corolla, Honda Civic, Toyota Prius และ Toyota Camry โดย สส. ที่สนับสนุนโครงการนี้มาแต่แรกอย่าง Betty Sutton สส. เดโมแครต จากโอไฮโอ ก็บอกว่า ความน่าสนใจด้านราคาและสิทธิประโยชน์จากโครงการนี้ ส่งผลให้คนอเมริกัน หันไปหารถยนต์ที่ผลิตมาจากแคนาดาหรือว่าเม็กซิโก แทนที่จะซื้อหารถยนต์ของสหรัฐเอง นโยบาย Buy American จึงไม่ได้ผลนักในอุตสาหกรรมนี้ เพราะมีกติกาเรื่องการค้าเสรีของ WTO ค้ำไว้อยู่

อย่างไรก็ดี สว. จากเดโมแครต อย่าง Harry Reid ก็บอกว่า ตอนนี้ เหล่า สว. กำลังพิจารณาที่จะอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมอีก 2 พันล้านเหรียญ เพื่อใช้ในโครงการนี้ต่อไปอีกอย่างน้อยก็เดือนสิงหาคมนี้ เพราะมองเห็นผลในเรื่องของการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าด้วย เพราะจะให้สิทธิประโยชน์ที่มากกว่า หากซื้อรถยนต์ประหยัดพลังงาน ซึ่งว่ากันว่า บารัค โอบาม่าเอง ก็น่าจะสนับสนุนการต่ออายุโครงการนี้เช่นกัน ขณะที่บรรดา สว. ของรีพับลิกัน ต่างก็แสดงความเห็นเชิงไม่เห็นด้วย โดยอ้างว่าโครงการนี้ จะใช้เงินไปทุก ๆ 1 พันล้านเหรียญ ในเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์เท่านั้น โดยรถยนต์จากค่ายบิ๊ก 3 ของสหรัฐ กลับมายอดขายไม่ถึงครึ่งหนึ่งของยอดขายจากโครงการนี้

ญี่ปุ่นยัน ยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด
โยชิมาซะ ฮายาชิ รัฐมนตรีนโยบายการคลังและเศรษฐกิจของญี่ปุ่น กล่าวว่า ณ ตอนนี้ ยังเร็วเกินไปที่จะชี้ชัดลงไปว่า ญี่ปุ่นได้เข้าสู่ภาวะเงินฝืดแล้ว แม้ว่าข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยเมื่อเร็วๆนี้แสดงให้เห็นว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของประเทศปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์ก็ตาม นายฮายาชิชี้ว่า ถ้าไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ถือว่าดัชนีราคาผู้บริโภคลดลงในระดับปานกลาง โดยรัฐบาลจำเป็นต้องประเมินอย่างรอบคอบว่าราคาผู้บริโภคยังลดลงอย่างต่อเนื่องหรือไม่

จีนยังห่วงปัญหาการว่างงาน
รัฐบาลจีนยอมรับว่าเป็นกังวลกับแนวโน้มตลาดแรงงานในประเทศที่ไม่ค่อยสดใสนัก เนื่องจากบริษัทส่วนใหญ่ของจีนยังคงได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์การเงินโลก แม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องก็ตาม โดยนายหวัง หยาตง เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และความมั่นคงทางสังคมของจีน กล่าวเมื่อวันอังคารว่า รัฐบาลจำเป็นต้องเดินหน้ามาตรการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศต่อไปเพื่อช่วยฟื้นฟูสถานการณ์การจ้างงานให้ดีขึ้น

ซีเกตปิดโรงงานที่สิงคโปร์
ซีเกต เทคโนโลยี บริษัทข้ามชาติของสหรัฐเปิดเผยว่า ทางบริษัทจะปิดโรงงานผลิตฮาร์ดดิสก์ในสิงคโปร์ ช่วงสิ้นปีหน้า และจะปลดพนักงานประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด 4,000 คน นอกจากนี้ ทางบริษัทเตรียมโยกย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นเพื่อลดค่าใช้จ่าย เมื่อเดือนที่แล้ว ซีเกต แจ้งว่า ทางบริษัทขาดทุนถึง 81 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงไตรมาสสี่ และขาดทุนตลอดทั้งปี 3,100 ล้านดอลลาร์

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (อังคารที่ 4 ส.ค. 2552)
• ตัวเลขรายได้ประชากรอเมริกัน ลดลง 1.3 % เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า อยู่ในกรอบที่ประเมินไว้
• ตัวเลขบ้านที่รอปิดการขาย เพิ่มขึ้น 3.6 % เดือนที่ผ่านมา เพิ่ม 0.1 %
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MorningBrief/tabid/104/newsid553/94489/Default.aspx
sock in focus
***********
04/08/52
ตัวเลขอุตฯ และงบแบงก์ดัน S&P พุ่งเหนือ 1,000 จุด - โภคภัณฑ์ยังร้อน

ข่าวดีในภาคอุตสาหกรรมสหรัฐฯ และจีน รวมถึงผลประกอบการแบงก์ใหญ่ในยุโรปสามารถดันให้ดัชนี S&P 500 ขึ้นมาปิดเหนือระดับ 1,000 จุดได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เช่นเดียวกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างเช่น ทองแดง ที่วิ่งขึ้นมาทำสถิติสูงสุดในรอบ 10 เดือน ขณะที่ราคาน้ำมันก็พุ่งขึ้นทะลุระดับ 70 เหรียญต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม ทางด้านตลาดพันธบัตรปรับตัวลง โดยราคาพันธบัตรรัฐบาลรุ่นอายุ 10 ปีร่วงลงแรงที่สุดในรอบเกือบสองเดือน ด้วย yield ที่ปรับตัวขึ้น 15 basis points มาอยู่ที่ 3.63%

นอกจากนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจถดถอยที่กำลังมีทีท่าจะยุติก็ทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักจนมาถึงจุดต่ำสุดที่เคยทำไว้ในช่วงที่ Lehman Brothers ประกาศล้มละลาย หรือเมื่อราวกลางเดือนกันยายนปีที่แล้ว ในส่วนเงินเยนก็อ่อนค่าลงเช่นกันเมื่อเทียบกับสกุลเงินคู่ค้าสำคัญ โดยลดลง 0.6% มาอยู่ที่ 95.28 เยนต่อดอลลาร์ จากการที่นักลงทุนญี่ปุ่นเก็งเศรษฐกิจโลกฟื้นและหันไปซื้อสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงในต่างประเทศ

ทางด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์เมื่อคืนนี้บวกสดใส หลังจากได้ทั้งตัวเลขภาคอุตสาหกรรมของจีนและสหรัฐฯ เข้ามาเป็นตัวหนุน โดยดัชนีคำสั่งซื้อ CLSA China บวกขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบปี ตามมาด้วยดัชนีภาคอุตสาหกรรมสหรัฐฯ ISM ที่ปรับตัวขึ้นมายังระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือนในเดือนที่แล้ว แม้ตัวเลขจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ชี้ว่ากำลังชะลอตัวอยู่ แต่ก็ถือว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามลำดับ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างเช่น ทองแดง ที่ราคาสัญญาในตลาดล่วงหน้านิวยอร์กส่งมอบเดือนกันยายน พุ่งกว่า 4% ขณะที่ราคาน้ำมันก็บวกถึง 3% ไปอยู่ที่ 71.5 เหรียญต่อบาร์เรลเรียบร้อยแล้ว


สองแบงก์ยักษ์ยุโรป HSBC-Barclays เผยงบครึ่งปีแรกสดใส

หุ้นกลุ่มธนาคารในยุโรปรวมถึงใน S&P 500 บวกคึกคัก หลังสองแบงก์ยักษ์ใหญ่จากยุโรป อย่าง HSBC และ Barclays รายงานผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ โดย HSBC Holdings ในฐานะที่เป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป รายงานผลกำไรงวดครึ่งปีแรก ด้วยรายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า ขณะที่ค่าใช้จ่ายทางด้านหนี้เสียเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

นายสตีเฟ่น กรีน ประธานของ HSBC กล่าวว่า ธุรกิจกำลังพ้นหรืออาจจะพ้นจุดต่ำสุดของตลาดการเงินไปแล้ว ขณะที่สถานการณ์ต่างๆ ก็กำลังดำเนินไปในทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่องตามมาตรการของรัฐบาลและธนาคารกลางที่ส่งผ่านเข้ามาในระบบ แม้ว่ากำไรของ HSBC จะลดลงมาอยู่ที่ 3,350 ล้านเหรียญ จาก 7,720 ล้านเหรียญ ด้วยสัดส่วนกำไรที่มาจากทางเอเชียถึง 52% ขณะที่ธนาคารได้ตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญไว้ที่ 13,900 ล้านเหรียญ ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 15,300 ล้านเหรียญ และที่น่าสนใจก็คือ กำไรก่อนหักภาษีของธุรกิจค้าหลักทรัพย์ ที่สามารถเพิ่มขึ้นได้มากกว่าสองเท่า มาอยู่ที่ 6,300 ล้านเหรียญ จากการเพิ่มขึ้นของรายได้การออกและเสนอขายพันธบัตร ตลอดจนการซื้อขายเงินตราระหว่างประเทศ ผู้บริหารกองทุน Henderson Global Investors ในลอนดอน บอกว่า สิ่งที่น่าสนใจในงบของ HSBC ก็คือ แนวโน้มที่ดูดีมากๆ โดยเฉพาะในเรื่องการจัดการปัญหาหนี้เสียในอเมริกาที่ดูเหมือนว่าได้ผ่านจุดเลวร้ายที่สุดไปแล้ว

หากย้อนไปดูถึงที่มาสำหรับวิกฤติของ HSBC นั้น ได้เริ่มมาจากการที่ธนาคารได้เข้าไปเทคโอเวอร์สถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อ Subprime รายใหญ่ อย่าง Household International ในปี 2003 ซึ่งต่อมาเงินลงทุนในส่วนนี้ได้กลับกลายมาเป็นเงินกันสำรองเผื่อหนี้สูญมูลค่า 67,000 ล้านเหรียญตลอดช่วงสามปีกว่าที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากนั้นธนาคารก็ได้ตัดสินใจหยุดระงับการปล่อยสินเชื่อผู้บริโภคและอาจจะถึงขนาดต้องถอยออกจากธุรกิจบัตรเครดิตหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังดำดิ่งลงต่อไปอีก ล่าสุด HSBC ได้เพิ่มทุนด้วยการออกสิทธิเสนอขายหุ้นมูลค่า 17,800 ล้านเหรียญ เพื่อฟื้นฟูฐานเงินทุนเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

ไปต่อกันที่ Barclays ที่เป็นธนาคารรายใหญ่อันดับสองบนเกาะอังกฤษ ธนาคารรายงานกำไรงวดครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น 10% จากกำไรของส่วนงานวาณิชธนกิจที่เพิ่มขึ้นถึงเกือบสองเท่า โดยธนาคารจากลอนดอนรายนี้เปิดเผยตัวเลขกำไรที่ 1,890 ล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นจาก 1,720 ปอนด์ในปีที่แล้ว ด้วยรายได้จากตลาดสินเชื่อที่กลับมาดีขึ้น หลังการเข้าซื้อธุรกิจของ Lehman Brothers Holdings ในอเมริกาเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ทั้ง Barclays และ HSBC นั้น ก็คือ สองรายแรกที่เป็นธนาคารขนาดใหญ่ของอังกฤษจากทั้งหมด 5 รายที่ได้ประกาศผลการดำเนินงานออกมาแล้ว โดยที่จะตามมา ก็คือ Lloyds Banking Group ที่จะประกาศในวันพุธนี้ ตามมาด้วย Royal Bank of Scotland Group ที่จะประกาศในวันศุกร์


น้ำมันดิบพุ่งทะลุ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลแล้ว

สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ เพราะได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลงและข้อมูลที่บ่งชี้ว่าภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐปรับฐานขึ้น ซึ่งทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นจะช่วยกระตุ้นดีมานด์พลังงานให้สูงขึ้นด้วย

สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ย.พุ่งขึ้น 2.13% หรือ 3% ปิดที่ 71.58 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 72.10-70.90 ดอลลาร์/บาร์เรลส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.ย.พุ่งขึ้น 1.85 ดอลลาร์ ปิดที่ 73.55 ดอลลาร์/บาร์เรล เอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลง และหลังจากสถาบันจัดการอุปทาน (ISM) ของสหรัฐรายงานว่าดัชนีกิจกรรมภาคโรงงานพุ่งขึ้นแตะระดับ 48.9 จุดในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.ปี 2551 และ อยู่ในระดับที่สูงเกินคาด แม้ว่าดัชนียังคงอยู่ต่ำกว่า 50 จุด ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคโรงงานยังคงหดตัวก็ตามลง

ตลาดน้ำมันนิวยอร์กได้รับแรงหนุนจากดัชนีภาคอุตสาหกรรมการผลิตของจีนเดือนก.ค.ที่ขยายตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 1 ปี จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายที่ช่วยหนุนอุปสงค์ภายในประเทศ และช่วยบรรเทาผลกระทบจากการทรุดตัวของธุรกิจส่งออก โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของจีนในเดือนก.ค.เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 52.8 จุดจากระดับเดือนมิ.ย.ที่ 51.8 จุด ซึ่งทำสถิติขยายตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังขานรับศาสตราจารย์นูเรียล รูบินี นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และเป็นผู้คาดการณ์ว่าจะเกิดวิกฤตการเงินในปี 2549 ที่คาดการณ์ว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาจจะปรับตัวสูงขึ้นมากกว่านี้ในปีหน้า เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยเริ่มคลี่คลายลง และที่ปลายอุโมงค์ก็เริ่มมีแสงสว่างขึ้นมากแล้ว โดยดัชนี Reuters/Jefferies CRB ของสินค้าโภคภัณฑ์ 19 ประเภท ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 12% ในปีนี้ ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลมีส่วนช่วยกระตุ้นดีมานด์สินค้าโภคภัณฑ์ขึ้นด้วยเช่นกัน โดยราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น 56% ในปีนี้ ขณะที่ราคาทองแดงทะยานขึ้น 86%

ค่าจ้างแรงงานญี่ปุ่นร่วงกว่า 7% หลังภาคเอกชนแห่ลดโบนัสพนักงาน
บริษัทต่าง ๆ ในญี่ปุ่น ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องผลกำไร โดยตัวแรงค่าแรงที่ตกต่ำนี้ ส่งสัญญาณว่าผู้บริโภคจะไม่มีส่วนช่วยในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแดนปลาดิบ กระทรวงแรงงานญี่ปุ่น รายงานวานนี้ (3 ส.ค.) ว่า ค่าจ้างแรงงาน รวมถึงเงินล่วงเวลา และโบนัส ประจำเดือน มิ.ย. ร่วงลงเร็วสุด 7.1% มาอยู่ที่ระดับ 430,620 เยน ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เริ่มสำรวจค่าจ้างแรงงานในปี 2533 ขณะที่โบนัส หดตัวลง 14.5%

ผลผลิตอุตสาหกรรมจีนพุ่งสูง
CLSA China Purchasing Managers Index ระบุ PMI หรือดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อของจีนเมื่อเดือนที่แล้ว สูงแตะระดับร้อยละ 52.8 นับเป็นระดับสูงที่สุดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2551 ที่ PMI อยู่ที่ร้อยละ53.3 นับเป็นสัญญาณอีกตัวที่ตอกย้ำแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจ สำหรับปัจจัยหลักที่ผลักดัน PMI สูงขึ้น ได้แก่ ความต้องการภายในประเทศที่กระตุ้นคำสั่งซื้อสินค้าจากโรงงานมากขึ้น ขณะที่ความต้องการจากภายนอกยังไม่ฟื้นตัวถึงระดับที่น่าพอใจนัก
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MorningBrief/tabid/104/newsid553/94410/Default.aspx
stock in focus

**********
30/07/52
แบงก์ชาตินิวซีแลนด์ และมาเลเซียคงดอกเบี้ย เศรษฐกิจเริ่มฟื้น
นายอลัน บอลลาร์ด ผู้ว่าการธนาคารกลางนิวซีแลนด์ ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 2.5% ในการประชุมวันนี้ ซึ่งเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 แต่ส่งสัญญาณว่าอาจจะลดอัตราดอกเบี้ยลงในวันข้างหน้า เนื่องจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ ที่กำลังสกัดกั้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ

ทั้งนี้ ค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ อ่อนตัวลงมากที่สุดในรอบ 3 สัปดาห์ หลังจากนายบอลลาร์ด ส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ว่าธนาคารกลางอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยและคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังไม่เพิ่มขึ้นจนกว่าจะถึงปีหน้า

ด้านธนาคารกลางมาเลเซีย ก็ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2% โดยเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 หลังเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งการคงอัตราดอกเบี้ยระดับดังกล่าว ถือเป็นระดับต่ำสุดนับแต่เดือนเมษายน 2547

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชียหลายแห่งได้หยุดลดอัตราดอกเบี้ย หลังเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน รวมทั้งรัฐบาลทั่วโลกได้ดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินรวมกันกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้ความจำเป็นที่ต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนปรนลดลง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MoneylineNews/tabid/89/newsid491/94161/Default.aspx
stock in focus
*********
29/07/52
JAPAN:ยอดค้าปลีกญี่ปุ่นดิ่งลงมากเกินคาดในมิ.ย. ร่วงติดต่อเดือนที่ 10
โตเกียว--29 ก.ค.--รอยเตอร์
ยอดค้าปลีกของญี่ปุ่นลดลงมากเกินคาดในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบจากปีก่อน ซึ่งบ่งชี้ว่าภาวะการจ้างงานและรายได้ที่ย่ำแย่ลงเป็นปัจจัยหักล้างผลบวกจากการ ใช้จ่ายในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทั้งนี้ ข้อมูลแสดงในวันนี้ว่า ยอดค้าปลีกปรับตัวลง 3.0 % ในเดือนมิ.ย. จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์โดยเฉลี่ยของตลาดถึงการลดลง 2.5 % โดยเป็นการปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกัน แนวโน้มการบริโภคอยู่ในระดับอ่อนแอ ขณะที่การจ่ายโบนัสฤดูร้อน มีแนวโน้มที่จะลดลงจากระดับของเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งอาจจะเพิ่มแรงกดดันในช่วง ขาลงต่อราคา ในขณะที่ญี่ปุ่นเผชิญกับภาวะเงินฝืดเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 10 ปี "รัฐบาลดำเนินมาตรการหลายประการเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ แต่ผลกระทบ ไม่ได้กระจายในวงกว้างสู่เศรษฐกิจ" นายทาเคชิ มินามิ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ของสถาบันการวิจัยโนรินชูคินกล่าว "เนื่องจากค่าแรงและโบนัสฤดูร้อนต่างก็ลดลง ผู้บริโภคจึงไม่ต้องการ ใช้จ่าย ในขณะที่ผลบวกจากการที่รัฐบาลแจกเงินให้กับครัวเรือนก็ได้เบาบางลงแล้ว" รัฐบาลตัดสินใจที่จะจ่ายเงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเครื่องใช้ภายในบ้านที่ประหยัดพลังงาน รวมทั้งเสนอการให้เงินอุดหนุนครั้งเดียว แก่ภาคครัวเรือน อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่จัดทำเพื่อรับมือกับภาวะ เศรษฐกิจถดถอยรุนแรง คาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะขยายตัว 0.4 % ในไตรมาสเดือนเม.ย.-มิ.ย. หลังจากที่ร่วงลง 3.8 % ซึ่งรุนแรงเป็นประวัติการณ์ในไตรมาสก่อนหน้านั้น แต่นักวิเคราะห์คาดว่าการฟื้นตัวจะมีความเปราะบาง ในขณะที่บริษัท หลายแห่งลดการจ้างงาน และลดการใช้จ่ายเงินทุน ซึ่งทำให้อุปสงค์ภายในประเทศ ลดลง อุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนตัวลง ทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พื้นฐานของญี่ปุ่นปรับตัวลงรุนแรงเป็นประวัติการณ์ในเดือนพ.ค. โดยคาดว่าตัวเลข ที่จะมีการเปิดเผยในวันศุกร์จะแสดงว่า ดัชนี CPI พื้นฐานทั่วประเทศลดลง 1.7 % ในเดือนมิ.ย. จากปีก่อน ซึ่งมากกว่าการลดลง 1.1 % ในเดือนพ.ค. อัตราการว่างงานเข้าใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 5.5 % ที่ทำไว้ เมื่อต้นทศวรรษนี้ ซึ่งสร้างความเสี่ยงที่จะบดบังความพยายามของรัฐบาลในการฟื้น การใช้จ่าย
cgs
stock in focus
********
28/07/52
ธนาคารกลางจีนเผยความเชื่อมั่นนักลงทุนจีนไตรมาส 2 ปรับตัวขึ้นแตะ 68.4%
Source - IQ Biz (Th) Tuesday, July 28, 2009 13:09

อินโฟเควสท์ (28 ก.ค. 52)--ธนาคารกลางจีนเปิดเผยว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนจีนที่มีต่อเศรษฐกิจมหภาคภายในประเทศฟื้นตัวขึ้นแตะ 68.4% ในไตรมาส 2 ของปีนี้ เพิ่มขึ้น 7.2% จากไตรมาสแรก และเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปีที่แล้ว ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับตัวขึ้นมา 7.5% สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นนายธนาคารอยู่ที่ 40% ในไตรมาส 2 นับเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นจากระดับไตรมาสแรก 14.4% โดยในช่วงครึ่งปีแรก ธนาคารพาณิชย์ของจีนได้ปล่อยเงินกู้สูงถึง 7.37 ล้านล้านหยวน หรือ 1.08 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นายเหวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีจีนกล่าวย่ำว่า รัฐบาลจีนจะยึดติดกับนโยบายการคลังเชิงรุก และใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนปรน เพื่อหนุนการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพตามเป้าหมายอันดับแรกของรัฐบาล ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในเขตเมืองที่มีต่อการถือหุ้นนั้นก็ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 52.3% ในไตรมาส 2 จากระดับไตรมาส 1 ที่ 18.6% สำหรับดัชนีราคาขายซึ่งมาจากการสำรวจบริษัทในภาคอุตสาหกรรม 5,000 แห่งทั่วประเทศนั้น ปรับตัวขึ้นจากระดับติดลบ 15.6% ในไตรมาสแรก มาอยู่ที่ระดับติดลบ 8.9% ในไตรมาส 2 ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ตลาดหุ้นจีนดีดตัวขึ้น 85.8% ตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา แตะ 3,435.21 จุด เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน สำนักข่าวซินหัวรายงาน
cgs,stock in focus
***********
28/07/52
ดอยช์แบงก์เผยกำไรไตรมาส 2 พุ่ง 68% ขานรับรายได้จากธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์
Source - IQ Biz (Th) Tuesday, July 28, 2009 15:24
อินโฟเควสท์ (28 ก.ค. 52)--ดอยช์ แบงก์ เอจี ธนาคารรายใหญ่สุดของเยอรมนีเปิดเผยว่า กำไรไตรมาส 2 พุ่งขึ้น 68% เนื่องจากรายได้จากการซื้อขายพันธบัตรและหุ้นเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยชดเชยตัวเลขขาดทุนจากการปล่อยกู้ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก กำไรสุทธิของธนาคารเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.09 พันล้านยูโร (1.55 พันล้านดอลลาร์) หรือ 1.64 ยูโรต่อหุ้น จากระดับปีที่แล้วที่ 649 ล้านยูโร หรือ 1.27 ยูโรต่อหุ้น โดยกำไรของธนาคารสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่บลูมเบิร์กได้สำรวจความคิดเห็นไว้ที่ 944 ล้านยูโร โจเซฟ แอคเมอร์มันน์ ซีอีโอของดอยช์แบงก์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมธนาคารและตลาดการเงินมีเสถียรภาพในไตรมาส 2 ส่งผลให้รายได้จากการขายตราสารหนี้เพิ่มขึ้น ประกอบกับธุรกิจการซื้อขายหุ้นก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน ขณะที่วิกฤตเศรษฐกิจทำให้ยอดการขาดทุนจากการปล่อยกู้สูงขึ้นกว่าที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้ แคททารินา เอเบอร์ นักวิเคราะห์ของ Bankhaus Lampe กล่าวว่า ดอยช์แบงก์ทำกำไรได้ดีเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เนื่องจากธุรกิจวาณิชธนกิจที่ได้มีการวางตำแหน่งไว้อย่างดี แต่ยอดสำรองหนี้สูญอันเนื่องมาจากการขาดทุนสินเชื่อเป็นตัวเลขที่ไม่น่าพอใจ เพราะสถานการณ์ทางเศรษฐกิจยังย่ำแย่อยู่และยอดการผิดนัดชำระหนี้ก็สูงขึ้น
cgs,stock in focus

**************
27/07/52
GDP ไตรมาส 2 สหรัฐฯ จ่อร่วง 1.5% ก่อนฟื้นในครึ่งปีหลัง

สัปดาห์นี้มีตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลายตัวที่นักลงทุนรอดู เริ่มด้วย GDP ที่น่าจะหดตัวลงอีกครั้งในไตรมาส 2/52 แม้จะเป็นอัตราที่ชะลอลงจากไตรมาสแรกที่ลงไปติดลบถึง 5.5% ก็ตาม

ผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ที่จัดทำโดยสำนักข่าวบลูมเบิร์กคาดว่า GDP สหรัฐฯ ที่จะออกมาในวันศุกร์นี้ จะติดลบ 1.5% ในไตรมาสสอง ซึ่งจะกลายเป็นการติดลบของ GDP ติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สี่แล้ว และทำสถิติสภาวะการถดถอยที่ยาวนานที่สุดหากย้อนหลังไปจนถึงปี 2490 ที่มีการรายงานตัวเลข GDP รายไตรมาสเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ดี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากบริษัท Naroff (แนรอฟฟ์) Economic Advisors ในเพนซิลวาเนีย คาดว่าน่าจะเห็นอัตราการขยายตัวเป็นบวกได้ในไตรมาส 3/52 หลังจากที่มีสัญญาณก่อนหน้านี้ที่สภาวะความถดถอยอ่อนแรงลงและเริ่มสร้างฐานทำจุดต่ำสุดไปแล้ว

ทั้งนี้ รายงานเศรษฐกิจที่ออกมาในระยะหลังเริ่มฉายภาพดีขึ้นเรื่อยๆ โดยตัวเลขสต็อกที่ลดลงก็แสดงถึงความพร้อมในการกลับมาขยายตัวต่อในไตรมาสนี้ ในขณะเดียวกับที่ภาคอุตสาหกรรม รวมไปถึงธุรกิจรับสร้างบ้าน ก็เริ่มมีเสถียรภาพแล้ว และยังไม่นับรวมแรงกระตุ้นดีมานด์จากประเทศทั่วโลกที่จะส่งผลดีต่อภาคส่งออก

ในส่วนของรายงานเศรษฐกิจอื่นๆ ก็มีอย่างเช่น ตัวเลขคำสั่งซื้อสินค้าคงทนของเดือนที่แล้วที่จะประกาศในวันพุธ โดยตลาดคาดการณ์ว่าน่าจะหดตัวลง 0.6% แต่ถ้าหากไม่รวมความต้องการซื้อสินค้าในหมวดยานยนต์และขนส่ง ตัวเลขก็อาจจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก สำหรับตัวเลขในตลาดบ้าน กระทรวงพาณิชย์ก็จะรายงานยอดขายบ้านใหม่ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.9% ในเดือนมิถุนายน ต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้น 2.7% ในเดือนก่อน

ขณะที่แนวโน้มราคาบ้านน่าจะจะยังชะลอตัวลงต่อ เมื่อดูจากการคาดการณ์ดัชนีชี้วัดมูลค่าบ้าน S&P/Case Shiller ที่ตรวจสอบในพื้นที่หลักๆ 20 เมืองทั่วประเทศ ที่ผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าตัวเลขในสัปดาห์นี้จะยังออกมาติดลบ 17.9% ในเดือนพฤษภาคมเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว นอกจากนี้ ตัวเลขราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังลดลงและการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ว่างงานก็เป็นไปได้ที่จะส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่จัดทำโดย Conference Board ออกมาลดลงเป็นเดือนที่สองในเดือนกรกฎาคม นักลงทุนยังติดตามรายงานสภาวะเศรษฐกิจล่าสุดจากธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Beige Book ที่จะออกมาวันพุธ ในฐานะที่เป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการตัดสินใจของเฟดว่าจะเดินหน้านโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไปได้อีกนานแค่ไหน โดยเฟดมีกำหนดการที่จะประชุมนโยบายการเงินอีกครั้งในวันที่ 11 และ 12 สิงหาคมนี้


สหรัฐเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงครั้งแรกในรอบ 5 เดือน

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐประจำเดือนก.ค.ปรับตัวลดลงครั้งแรกในรอบ 5 เดือน จากผลกระทบของอัตราว่างงานที่พุ่งสูงขึ้น ขณะที่ค่าจ้างแรงงานตกต่ำลงจนส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายภาคครัวเรือน

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐเดือนก.ค.ที่จัดทำโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกนปรับตัวลดลงสู่ระดับ 66 จุดจากระดับ 70.8 จุดในเดือนมิ.ย. ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสูงกล่าวคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 65 จุด จากสถานการณ์ของตัวเลขการจ้างงานที่ดิ่งลงหนักสุดในรอบ 80 ปีทำให้ชาวอเมริกันวิตกกังวลต่อสถานการณ์ในตลาดแรงงานที่เผชิญกับความไม่แน่นอน ประกอบกับมูลค่าบ้านที่ลดลงทำให้ภาคครัวเรือนต้องปรับลดการใช้จ่ายและรัดเข็มขัดมากขึ้น

ทั้งนี้ นับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในเดือนธ.ค.2550 สหรัฐต้องฐสูญเสียแรงงานในประเทศไปแล้วถึง 6.5 ล้านตำแหน่ง ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่า อัตราว่างงานอาจพุ่งขึ้นจากระดับ 9.5% ในเดือนมิ.ย.ไปแตะที่ระดับ 10% ช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งจะเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2526 นอกจากนี้การในทำสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนดังกล่าวพบว่า ผู้บริโภคเชื่อว่าการร่วงลงอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจนั้นได้จบสิ้นลงแล้ว แต่ผู้บริโภคส่วนมากไม่เชื่อว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจะสามารถปรับปรุงระบบการเงินในระยะใกล้นี้ได้ อย่างไรก็ดี นักวิชาการบางส่วนก็ยังมองว่าวิกฤติการเงินที่เกิดขึ้นในครั้งนี้น่าเริ่มคลี่คลายบ้างแล้ว ขณะที่แนวโน้มรายได้ที่ลดลงในปีหน้าและแนวโน้มการวางงานที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคมีความกังวลเกียวกับสถานะทางการเงิน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MorningBrief/tabid/104/newsid553/93890/Default.aspx
stock in focus
************
24/07/52
ตลาดหุ้นนิวยอร์ค:คาดการณ์ศก.หนุนดาวโจนส์ปิดบวก 188 จุด

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดทะยานขึ้นในวันพฤหัสบดี และหนุนดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ให้ขึ้นไปอยู่เหนือ 9,000 ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค. ในขณะที่ผลกำไรที่แข็งแกร่งของภาคเอกชนและยอดขายบ้านที่ฟื้นตัวได้ช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนคาดการณ์ในทางบวกต่อเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 188.03 จุด หรือ 2.12% สู่ 9,069.29 ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปี 2008 และถือเป็นการปิดตลาดเหนือ 9,000 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค., ดัชนี S&P 500 ปิดทะยานขึ้น 22.22 จุด หรือ 2.33 % สู่ 976.29 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 47.22 จุด หรือ 2.45 % สู่ 1,973.60

ปริมาณซื้อขายปานกลางราว 1.40 พันล้านหุ้นในตลาดนิวยอร์ค และอยู่สูงราว 3.01 พันล้านหุ้นในตลาด Nasdaq ขณะที่จำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในสัดส่วนสูงกว่า 5 ต่อ 1 ในตลาดนิวยอร์ค และในสัดส่วนราว 7 ต่อ 2 ในตลาด Nasdaq

อย่างไรก็ดี หลังจากตลาดหุ้นนิวยอร์คปิดทำการในวันพฤหัสบดี ดัชนีหุ้นล่วงหน้าก็ร่วงลง ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดหุ้นนิวยอร์คอาจเผชิญกับแรงกดดันในวันศุกร์เนื่องจากบริษัทไมโครซอฟท์ คอร์ป, อะเมซอนดอทคอม (Amazon.com) และอเมริกันเอ็กซ์เพรสรายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวังหลังตลาดปิดทำการ (รอยเตอร์)
stock in focus,ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
*******
24/07/52
จีดีพี Q2 เกาหลีใต้ ขยายตัวสูงสุดในรอบเกือบ 6 ปี
การเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) ช่วงไตรมาสที่ 2 ของ เกาหลีใต้ ธนาคารกลาง เปิดเผยว่า ตัวเลขเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบจากช่วงไตรมาสแรก ที่ขยับขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.1 และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 2 อีกทั้งยังเป็นอัตราการขยายตัวที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2546 ซึ่งโตในระดับร้อยละ 2.6 แต่หากเทียบเป็นรายปีจีดีพี ลดลงร้อยละ 2.5

เกาหลีใต้ เป็นอีกหนึ่งประเทศในเอเชีย ที่เศรษฐกิจดีดตัวขึ้นเช่นเดียวกับจีนและสิงคโปร์ หลังจากที่เกิดวิกฤตค่าเงินตกต่ำร้อยละ 26 เมื่อปีที่แล้วจากความวิตกกังวลว่า บริษัทเอกชนจะไม่สามารถชำระหนี้ต่างประเทศได้ แต่เกาหลีใต้ ก็สามารถหาทางออกจากวิกฤตดังกล่าวด้วยการทำข้อตกลงสว็อปค่าเงินดอลลาร์กับสหรัฐ และอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบธนาคาร รวมถึงกระตุ้นการใช้จ่ายและจัดตั้งเงินทุนให้ธนาคารพาณิชย์และปรับลดดอกเบี้ย

นายคิม ซอง ฮุน นักวิเคราะห์จากทอรัส อินเวสท์เมนท์ ซีเคียวริตี้ โค กล่าวว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้ ได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเริ่มเห็นผลในช่วงไตรมาสสอง เงินวอนที่อ่อนค่าลงได้ช่วยกระตุ้นบรรยากาศการแข่งขันในกลุ่มผู้ส่งออกได้ดียิ่งขึ้น โดยในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ ยอดส่งออกของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.7 จากไตรมาสแรกที่ลดลงร้อยละ 3.4 ส่วนการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 3.3 จากไตรมาสแรก ที่เพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2545 ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐ กระเตื้องขึ้นร้อยละ 1 และการลงทุนด้านธุรกิจก่อสร้างขยับขึ้นร้อยละ 0.4
stcok in focus,ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ

**********
24/07/52
เศรษฐกิจเอเชียฟื้นตัวปีหน้า เอดีบีห่วงไทยพึ่งส่งออกมาก
เอดีบีชี้ เศรษฐกิจเอเชียน่าจะฟื้นตัวในปีหน้า แต่ยังคงมีความวิตกเกี่ยวกับความยั่งยืนของการเติบโตหากการฟื้นตัวไม่ขยายวงกว้างขึ้น นอกจากนี้ยังชี้ว่าน่าเป็นห่วงเศรษฐกิจไทย ฮ่องกง สิงคโปร์ และมาเลเซียเพราะพึ่งพาการส่งออกมาก
stock in focus,ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ.
************
22/07/52
อาเซียนเร่งใช้กองทุนสำรอง 1.2 แสนล้านดอลลาร์ในปีนี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายวิทวัส ศรีวิหค อธิบดีกรมอาเซียน บอกว่า การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนวันนี้ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย จะร่วมเจรจากับหลายประเทศ ใน 3 เวทีใหญ่ เริ่มจากการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน +3 , การประชุมรัฐนตรีต่างประเทศที่เข้าร่วมการประชุมสุดเอเชียตะวันออก และการประชุมรัฐมนตรีต่าง
ประเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาของอาเซียนเป็นรายคู่เจรจา รวม 9 ประเทศ

โดยที่ประชุมจะให้ความสำคัญกับการสานต่อมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ ที่จะมีการเร่งใช้เงินกองทุนสำรอง จำนวน 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้มีผลบังคับใช้ภายในปีนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ, การจัดตั้งคลังสำรองข้าว ซึ่งไทยมีสำนักงานสำรองข้าวชั่วคราวอยู่แล้ว โดยการประชุมจะผลักดันให้เป็นสำนักงานถาวรในการสำรองข้าวในภูมิภาค ซึ่งขณะนี้จีนกับญี่ปุ่น แสดงความจำนง จะนำข้าวมาเก็บไว้ในสำนักงานดังกล่าวแล้ว

นอกจากนี้ จะมีการหารือเรื่องไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 โดยจะนำมาตรการที่เคยประชุมไว้เมื่อเดือนพฤษภาคม มาบังคับใช้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องการผลิตวัคซีนให้เพียงพอ และประชาชนหาซื้อได้ง่ายในราคาที่ถูก รวมทั้ง จะหารือด้านพลังงานด้วย

ขณะที่นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานอาวุโสสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย บอกว่า การประชุมอาเซียนไม่ได้ประโยชน์ในระยะสั้น แต่ประเทศไทยจะได้ใช้ช่องทางดังกล่าวสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างประเทศวางใจประเทศไทย ในมาตรการรักษาความปลอดภัยและตัดสินใจลงทุน

ด้านนายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย บอกว่า การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ในประเทศไทยถือเป็นเรื่องที่ดี ที่กระทำให้ความร่วมมือในอาเซียนแน่นแฟ้นมากขึ้น และสามารถสานความร่วมมือในระดับปฏิบัติ ทำให้อาเซียนเป็นตลาดเดียว อีกทั้งยังได้รับความสนใจจากตลาดโลก หลังจากการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 และเพื่อประโยชน์ของประเทศไทยที่จะได้รับจากการรวมตัวกันของอาเซียน ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันทำให้การประชุมราบรื่นไม่สร้างปัญหาหรืออุปสรรคในการประชุม
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MoneylineNews/tabid/89/newsid491/93690/Default.aspx
stock in focus

************
22/07/52
ประธานเฟดชี้เศรษฐกิจเข้าสู่สภาวะมีเสถียรภาพ

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดพันธบัตรปรับตัวขึ้น เมื่อประธานเฟดตอกย้ำข่าวดีทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ทำสถิติการบวกขึ้นติดต่อกันยาวนานที่สุดในรอบ 2 ปี ขณะราคาพันธบัตรเพิ่มขึ้นแรงที่สุดในรอบ 2 สัปดาห์ พร้อมๆ กับการแข็งค่าของเงินดอลลาร์

นายเบน เบอร์นันกี้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ แถลงต่อสภาคองเกรสว่า เศรษฐกิจกำลังมีแนวโน้มเข้าสู่สภาวะมีเสถียรภาพ และด้วยทิศทางเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในขอบเขตจำกัด ซึ่งจะช่วยให้ผู้ดำเนินนโยบายสามารถตรึงดอกเบี้ยใกล้ระดับ 0% ได้ต่อไปอีกระยะ ประธานเฟดยังได้กล่าวปกป้องสิ่งที่ธนาคารกลางทำเพื่อกอบกู้เสถียรภาพทางการเงิน พร้อมกับเรียกร้องให้สมาชิกสภาฯ ร่างแผนเพื่อจัดการกับสภาวะการขาดดุลทางการคลัง เบอร์นันกี้ได้เตือนสภาคองเกรสในเรื่องการเข้าไปแตะประเด็นความมีอิสระของธนาคารกลาง โดยในช่วงของการตอบคำถามช่วงหนึ่ง เบอร์นันกี้บอกว่า แผนของรัฐบาลประธานาธิบดี บารัค โอบามา ที่ต้องการให้เฟดทำหน้าที่คุมความเสี่ยงในเชิงระบบ (Systemic risk) ถือเป็นการจัดวางระเบียบหน้าที่ของธนาคารกลางครั้งใหม่

ขณะเดียวกัน เขาก็ยังแสดงความไม่เห็นด้วยต่อข้อเสนอที่จะให้ลดอำนาจของเฟดในส่วนของการดูแลปกป้องผู้บริโภคด้วยเช่นกัน แม้ผู้นำเฟดกำลังทำหน้าที่ต่อสู้กับวิกฤติสินเชื่อด้วยการงัดมาตรการที่นอกเหนือไปจากเครื่องมือที่ใช้ในสภาวะปกติ พร้อมกับหั่นดอกเบี้ยลงไปแตะระดับ 0% ไปจนถึงการอัดฉีดเงินสดจนท่วมระบบธนาคารในช่วงที่ผ่านมานั้น

เบอร์นันกี้บอกว่า เขาพร้อมที่จะหันนโยบายกลับทิศในทันทีเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม และมั่นใจว่ามีเครื่องมือที่จะป้องกันการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อได้ ส่วนในเรื่องความเสี่ยงสำหรับเศรษฐกิจปัจจุบัน นอกจากเรื่องการฟื้นตัวที่ยังไม่สามารถปักใจเชื่อได้ว่าจะเป็นไปอย่างราบรื่น ตลาดการเงินก็เรียกว่ายังอยู่ในสภาพที่ตึงตัว ขณะที่การใช้จ่ายของครัวเรือนก็ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อแนวโน้มในอนาคต เนื่องจากยอดตกงานที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องและมูลค่าบ้านที่ยังร่วงลงอยู่ เขายังแสดงความเป็นห่วงถึงสภาวะการขาดดุลทางการคลังที่อยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยคุกคามต่อสภาวะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน


บริษัทอเมริกันทยอยประกาศกำไรเหนือความคาดหมาย

ผู้ผลิตอุปกรณ์ขุดเจาะหน้าดินรายใหญ่ที่สุดในโลก Caterpillar รายงานกำไรไตรมาส 2 ที่มากกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ถึง 3 เท่า ตามหุ้นหลายๆ ตัวที่ผลการดำเนินงานออกมาเหนือความคาดหมายของตลาดเช่นกัน เช่น หุ้น Apple, Starbucks, Coca-Cola, Dupont และ Merck & Co.

นักกลยุทธ์ลงทุนของ Raymond James & Associates มองว่าผลประกอบการของหลายๆ บริษัทที่ออกมาดีเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว ถือว่าน่าประทับใจอย่างยิ่ง แม้จะมีนักลงทุนหลายคนที่พลาดโอกาสในช่วงที่เป็นจุดต่ำสุด แถมบางคนยังเชื่อว่าเป็นเพียงการแรลลี่ในสภาวะตลาด “หมี” หรือ “Bear market” เท่านั้น ซึ่งเขาก็ได้ให้ข้อสังเกตว่ามีหลายๆ ครั้งที่ตลาด “กระทิง” เริ่มต้นจากสภาพการเก็งกำไรระยะสั้นเหมือนอย่างเช่นในตอนนี้

โบรกเกอร์ชื่อดัง อย่างเครดิตสวิส ล่าสุดก็ได้ออกบทวิเคราะห์เปลี่ยนคำแนะนำให้นักลงทุนลดสัดส่วนการถือครองพันธบัตรรัฐบาล และให้เข้าไปถือหุ้น ซึ่งได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนี S&P 500 ในช่วงสิ้นปีขึ้น 14% ไปอยู่ที่ระดับ 1,050 จุด ด้วยเหตุผลดัชนีเศรษฐกิจหลายๆ ตัวและผลประกอบการที่กำลังดีขึ้น นักกลยุทธ์ของโบรกฯ สัญชาติอังกฤษรายนี้แนะให้นักลงทุนลดสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรลงมาเหลือแค่เพียง “เท่ากับตลาด” ขณะที่ปรับแนวโน้มหุ้นขึ้นเป็น “Overweight”

ขณะที่ทางด้านนักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ก็เพิ่งปรับประมาณการดัชนี S&P สิ้นปีขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 1,060 จุด หรือคาดว่าดัชนีจะเพิ่มขึ้น 15% นับจากระดับสิ้นเดือนมิถุนายน ซึ่งก็หมายความว่าจะเป็นการแรลลี่ของตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังที่แรงที่สุดหากนับถอยหลังไปจนถึงปี 2525 เลยทีเดียว ซีอีโอของ Caterpillar นายจิม โอเว่นส์ กล่าวผ่านรายงานแถลงข่าวว่า บริษัทกำลังเห็นสัญญาณความมีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งหวังว่าจะเป็นการสร้างฐานที่นำไปสู่การฟื้นตัวในที่สุด เมื่อดูจากสภาวะตลาดสินเชื่อที่ผ่อนคลายอย่างชัดเจน พร้อมๆ กับการกระตุ้นทางการเงินการคลังจากรัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลก ทำให้ภาพเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะที่ตลาดจีน ที่ทุกอย่างกำลังแสดงผลออกมาให้เห็นในตอนนี้

ผลงานของผู้ผลิตเครื่องจักรก่อสร้างเจ้านี้ส่วนหนึ่งก็ต้องยกให้โอเว่นส์ ในฐานะซีอีโอที่ผลักดันเรื่องการลดภาระภาษีและนโยบายทางการค้าจนส่งผลดีต่อยอดขาย ขณะเดียวกัน ก็มาจากนโยบายลดต้นทุนจากการปลดพนักงานประจำออกกว่า 17,000 ตำแหน่งนับตั้งแต่เดือนธันวาคมปีก่อน และนี่ยังไม่รวมถึงการปรับลดแรงงานอีก 17,000 ตำแหน่งที่เป็นพนักงานชั่วคราวหรือแบบที่ต้องต่อสัญญา Caterpillar รายงานกำไรที่ยังไม่รวมถึงต้นทุนบางประเภทอยู่ที่ 72 เซนต์ต่อหุ้นในไตรมาสที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตัวเลขจะอยู่แค่เพียง 22 เซนต์


อังกฤษเผยขาดดุลงบประมาณสูงขึ้นหลังจัดเก็บจากภาษีลดลง

สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษเปิดเผยว่า อังกฤษมียอดขาดดุลงบประมาณถึง 1.3 หมื่นล้านปอนด์ หรือ 2.14 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. ซึ่งถือเป็นสถิติที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ที่ได้มีการเก็บสถิติเมื่อปี 2536 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทำให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีหดตัวลง และยอดการขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงานก็ปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน

เมื่อเทียบกับปีก่อน อังกฤษขาดดุลงบประมาณเพียง 7.5 พันล้านปอนด์ หลังจากที่รายได้จากการจัดเก็บภาษีร่วงลง 5.7% และการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 2.8% ขณะที่นักวิเคราะห์ที่บลูมเบิร์ก นิวส์สำรวจความคิดเห็นคาดการณ์ว่า ยอดขาดดุลงบประมาณเดือนมิ.ย.ปีนี้จะอยู่ที่ 1.55 หมื่นล้านปอนด์ ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรี กอร์ดอน บราวน์ ได้กล่าวย้ำถึงความเป็นจำเป็นที่ต้องเพิ่มตัวเลขการใช้จ่ายและนำเงินไปใช้ด้านการพัฒนาโรงเรียนและโรงพยาบาล ซึ่งเขาหวังชูประเด็นการเพิ่มตัวเลขการใช้จ่ายเป็นนโยบายหลักสำหรับการหาเสียงเลือกตั้งในปีหน้า

โดยเขาได้กล่าวกับสหภาพ GMB เมื่อเดือนที่แล้วว่า พรรคแรงงานต้องสู้ให้ถึงที่สุดเพื่อความกินดีอยู่ดีของพี่น้องประชาชน อย่างไรก็ตาม หลายฝ่าย ซึ่งรวมถึงพรรคฝ่ายค้าน และแม้แต่นายอลิสแตร์ ดาร์ลิ่ง รัฐมนตรีคลังอังกฤษ ไม่เห็นด้วยกับนโยบายเพิ่มตัวเลขใช้จ่าย เนื่องจากจะยิ่งทำให้การควบคุมยอดขาดดุลเป็นเรื่องยากมากขึ้น นอกจากนี้บราวน์ยังเผชิญความเสี่ยงที่จะสร้างแรงกดดันให้กับเงินปอนด์ ถ้าเขาไม่ออกมาให้คำมั่นว่ามีแผนที่จะลดยอดขาดดุลเมื่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยสิ้นสุดลง รูท ลี นักเศรษฐศาสตร์ของอาร์บุทนอท แบงกิ้ง กรุ๊ป กล่าวว่า ตัวเลขดังกล่าวค่อนข้างจะน่าตกใจ หากมีรัฐบาลใหม่เข้ามา รัฐบาลก็จำเป็นต้องดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อรักษาความเชื่อมั่นในตลาด อังกฤษคงจะเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากต่อไปในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า

นายกฯญี่ปุ่นลั่นเอาชนะพรรคฝ่ายค้านให้ได้ในการเลือกตั้งเดือนส.ค.นี้
นายกรัฐมนตรีทาโร่ อาโสะ ของญี่ปุ่น ประกาศว่า จะพยายามรักษาอำนาจด้วยการนำพรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลในขณะนี้ ให้เอาชนะแกนนำฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่น (ดีพีเจ) ในการเลือกตั้งเดือนหน้าให้ได้

ธนาคารจีนหลายแห่งเล็งเปิดสาขาในไต้หวัน
หม่า เหว่ยหัว ซีอีโอธนาคารไชน่า เมอร์แชนท์ส แบงค์ ธนาคารขนาดใหญ่อันดับ 5 ของจีนเมื่อพิจารณาจากมูลค่าตลาด กล่าวว่า ทางธนาคารพร้อมกับธนาคารอื่นอีกอย่างน้อย 5 แห่ง เตรียมไปเปิดสาขาในไต้หวันหลังความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศเริ่มดีขึ้นแล้ว

ธ.กลางออสเตรเลียเชื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มมีเสถียรภาพ
ธนาคารกลางออสเตรเลียเชื่อมั่นว่า การขยายตัวอย่างแข็งแกร่งของจีนและความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจในสหรัฐกำลังสร้างจุดเปลี่ยนต่อเศรษฐกิจโลก พร้อมทั้งมองว่าเศรษฐกิจโลกเริ่มมีเสถียรภาพแล้ว ขณะที่ธนาคารได้ตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดในรอบ 49 ปีเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MorningBrief/tabid/104/newsid553/93674/Default.aspx
stock in focs
**********
20/07/52
นักเศรษฐศาสตร์แนะจีนคลายกฏเข้ม หวังกระตุ้นการลงทุน

หลังจากที่ทางการจีนรายงานตัวเลขจีดีพีไตรมาสสองโตเกือบ 8% ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ผู้ว่าธนาคารกลางก็ออกมาบอกว่า ประเทศยังจำเป็นที่จะต้องผ่อนคลายกฎเกณฑ์ในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงลดระดับข้อบังคับในการทำธุรกิจลง เพื่อช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนและลดอัตราการออมที่อยู่ระดับสูงในปัจจุบัน

นายจ้าวเสี่ยวฉวน ผู้ว่าแบงก์ชาติจีน บอกว่า การที่ประเทศมีทางเลือกในการลงทุนที่จำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคบริการ ส่งผลให้บรรดาบริษัทต่างๆ เทเงินกำไรสะสมลงไปที่ภาคอุตสาหกรรมที่มีช่องทางทำธุรกิจ จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดสภาวะกำลังการผลิตส่วนเกิน เขายังได้ยกตัวอย่างถึงภาคธุรกิจในประเทศที่ยังคงถูกจำกัดการลงทุนจากต่างประเทศและจากภาคเอกชน ซึ่งก็รวมถึง กิจการไปรษณีย์ โทรคมนาคม บริการทางการเงิน และการศึกษา เป็นต้น

ปัจจุบันกำไรสะสมของภาคเอกชนจีนเป็นสาเหตุการเพิ่มขึ้นของอัตราการออมและดุลบัญชีเดินสะพัด จนทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศพุ่งขึ้นสูง โดยอัตราการออมของภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ขึ้นมาอยู่ที่ 22.9% ขณะที่อัตราการออมของภาคครัวเรือนอยู่ที่ 20% ก่อนหน้านี้คณะกรรมการที่ดูแลทางด้านนโยบายพัฒนาและปฏิรูปเศรษฐกิจได้ระบุไว้ในแผนว่า จีนจะกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนในอุตสาหกรรมหลักๆ เพื่อพลิกฟื้นอัตราการขยายตัวของประเทศ หลังจากการดิ่งลงของยอดส่งออกทำให้ประชาชนหลายล้านคนต้องตกงาน

ทางด้านนักเศรษฐศาสตร์ของ China International Capital Corporation มีความเชื่อว่า การลงทุนภาคเอกชนจะฟื้นขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีหลัง แม้ว่าจะยังต้องใช้เวลาอีกสักพักก่อนที่จะเห็นผลต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจ และก็ยังเห็นด้วยว่าประเทศจำเป็นที่จะต้องผ่อนกฎการควบคุมทางด้านราคาในอุตสาหกรรม อย่างเช่น การรถไฟ การบริการสาธารณะ บริการสุขภาพ และการศึกษา เพื่อดึงดูดความสนใจของนักลงทุนมากขึ้น และก็เช่นเดียวกัน นักวิเคราะห์ของ JPMorgan Chase ที่ดูแลตลาดจีนมองว่า การลงทุนภาคเอกชนจะเป็นตัวขับเคลื่อนการฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี ขณะที่คนจะเริ่มจับจ่ายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ บ้าน และสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ
stock in focus
******************
20/07/52
นักลงทุนรอดูดัชนีชี้นำ-ตลาดบ้านสัปดาห์นี้ หลังหุ้นบวกแรง

ในสัปดาห์ที่แล้ว ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งขึ้นแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา นำโดยหุ้น Intel และ Goldman Sachs ที่ผลประกอบการออกมาเหนือการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ผนวกกับรายงานภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกที่ส่งสัญญาณเศรษฐกิจที่กำลังมีอาการดีขึ้น

ในทางตรงกันข้าม ข่าวดีของตลาดหุ้นก็ทำให้ตลาดพันธบัตรปรับตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 6 สัปดาห์ หลังนักลงทุนหันไปหาสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงกว่าและลดการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย อย่าง พันธบัตรรัฐบาล โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี บวกขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ หลังจากทางการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจ เช่น ยอดค้าปลีกและจำนวนการก่อสร้างบ้านที่เพิ่มขึ้นมากกว่านักเศรษฐศาสตร์คาด และยิ่งทำให้เชื่อกันมากขึ้นว่าสภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 50 ปีนี้กำลังทุเลาลง มีรายงานที่ระบุว่า ประเทศจีนเพิ่มระดับการซื้อสินทรัพย์ทางการเงินของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ขณะที่ตัวเลขการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลอเมริกันก็พุ่งทะลุระดับ 1 ล้านล้านเหรียญในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณปัจจุบันไปแล้ว

นักค้าพันธบัตรมองว่า ตัวเลขหลายตัวกำลังเป็นปัจจัยลบต่อตลาด และก็มีความเป็นไปได้ที่นักลงทุนอาจจะมองเศรษฐกิจในด้านดีมากเกินไป แม้ว่าจริงๆ แล้วสถานการณ์อาจเป็นแค่เพียงการที่แย่น้อยลง ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องหมายความว่าทุกอย่างมีแนวโน้มดีขึ้นแล้ว ธนาคารรายใหญ่ 3 เจ้า นำโดย Bank of America, JPMorgan Chase และ Citigroup รายงานกำไรไตรมาส 2 รวมกันถึง 10,200 ล้านเหรียญ ซึ่งหลักๆ ก็เป็นเพราะรายได้จากส่วนงานวาณิชธนกิจและการขายสินทรัพย์ที่สามารถไปชดเชยการขาดทุนในส่วนของสินเชื่อผู้บริโภคได้ ขณะที่หุ้น Goldman Sachs วิ่งขึ้นไปปิดบวกถึง 11% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำสถิติราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน หลังจากธนาคารรายงานกำไรครั้งประวัติการณ์ที่สูงถึง 3,440 ล้านเหรียญ นอกจากนั้น หุ้น Intel ยักษ์ใหญ่ในวงการผลิตชิพคอมพิวเตอร์ ก็บวกได้ 17% ด้วยกำไรที่ออกมามากกว่าสองเท่าของนักวิเคราะห์คาดการณ์ สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจสัปดาห์นี้ นักลงทุนรอดูรายงานยอดขายต่อบ้านที่อาจจะออกมาเพิ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน ตามผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ ขณะที่ดัชนีชี้นำทางเศรษฐกิจจาก the Conference Board ก็อาจจะปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MorningBrief/tabid/104/newsid553/93494/Default.aspx

*************
17/07/52
นักเศรษฐศาสตร์ย้ำเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นแน่ แม้รัฐอาจต้องอัดฉีดเงินต่อ

นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก นายนูเรี่ยล รูบินี่ ผู้ที่เคยทำนายเรื่องวิกฤติการเงินถูกมาแล้ว กล่าวในงานสัมมนานักลงทุนว่า สภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ เป็นไปได้ที่จะสิ้นสุดลงภายในสิ้นปีนี้ หลังจากที่เขาประเมินว่าเศรษฐกิจในตอนนี้อาจกำลังอยู่ ณ จุดต่ำสุด หรือไม่ก็ใกล้เคียงเช่นเดียวกับสถานการณ์เลวร้ายที่สุดของภาคการเงินที่ได้ผ่านไปแล้ว แต่ก็ให้คำเตือนด้วยว่าทุกคนยังต้องระมัดระวังสภาพถดถอยของเศรษฐกิจที่อาจดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี

รูบินี่แสดงความเห็นที่สอดคล้องกับมุมมองในคราวที่แล้ว รวมถึงการที่แนวโน้มเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยก่อนเกิดวิกฤติในครั้งนี้ ส่วนในเรื่องนโยบายเศรษฐกิจ เขาก็ยังสนับสนุนให้มีการใช้มาตรการทางการคลังอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอาจมีความจำเป็นที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสองด้วย

นั่นก็เพราะปัจจุบันยังมีสัญญาณความซบเซาทั้งในตลาดแรงงาน การผลิตภาคอุตสาหกรรม และรวมถึงตลาดบ้าน นักเศรษฐศาสตร์ผู้นี้มองว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสองที่น่าจะมีวงเงินสูงได้ถึง 250,000 ล้านเหรียญ อาจจำเป็นต้องเกิดขึ้นในช่วงต้นปีหน้า โดยเฉพาะหากอัตราการว่างงานพุ่งขึ้นทะลุระดับ 10% ภายในสิ้นปีนี้ และเมื่อพูดถึงเศรษฐกิจในที่อื่นๆ อย่างเช่น ประเทศตลาดเกิดใหม่ รูบินี่มองว่าประเทศหลักๆ ก็คือ จีน อินเดียและบราซิล น่าเป็นที่ที่มีการฟื้นตัวรวดเร็วที่สุดเมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มขยับตัวขึ้น เขาบอกด้วยว่าประเทศ อย่าง ชิลี อุรุกวัย โคลอมเบีย และเปรู ถือเป็นประเทศที่อยู่ในสถานะพร้อมต่อการขยายตัวด้วย ขณะเดียวกัน Emerging Markets ทางฝั่งยุโรปตะวันออก กลับดูน่าจะเจอความท้าทายครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ประเทศฮังการี บัลกาเรีย หรือยูเครน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MorningBrief/tabid/104/newsid553/93429/Default.aspx
stock in focus

********
17/07/52
JPMorgan กำไรพุ่ง 36% หนุนหุ้นดาวโจนส์บวกเป็นวันที่ 4

Posted on Friday, July 17, 2009
ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ บวกเป็นวันที่ 4 โดยเฉพาะหลังจากที่นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง อย่าง นูเรียล รูบินี่ บอกว่าจุดเลวร้ายของวิกฤติการเงินได้สิ้นสุดลงแล้ว และสภาวะเศรษฐกิจถดถอยน่าจะยุติได้ในปีนี้

ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดบวกต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์จากปัจจัยบวกไม่ว่าจะเป็นยอดค้าปลีก หรือผลประกอบการของ Goldman Sachs , Intel และหุ้นผู้บริโภค อย่าง Johnson & Johnson ที่ดีกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยในช่วงก่อนเปิดตลาดเมื่อคืนนี้ก็มีทั้งปัจจัยลบสลับกับบวก เมื่อทางการรายงานจำนวนการขอรับสวัสดิการว่างงานออกมาลดลงมากกว่าที่ตลาดคาดในสัปดาห์ล่าสุด อีกทั้งนักลงทุนก็เก็งกันว่าจะมีการซื้อกิจการผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์

ส่วนปัจจัยลบหลัก ๆ มาจากการที่บริษัทสินเชื่อพาณิชย์รายใหญ่ อย่าง CIT มีแนวโน้มยื่นขอเข้าสภาวะล้มละลาย หลังบริษัทมีท่าทีปฏิเสธขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐ แม้จะขาดแคลนเงินสดอย่างหนักก็ตาม ขณะที่ธนาคารที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในสหรัฐฯ อย่าง JPMorgan Chase รายงานกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2550 และสูงเกินกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะรายได้จากค่าธรรมเนียมวาณิชธนกิจที่พุ่งสูงขึ้นทำสถิติใหม่

ทั้งนี้ JPMorgan Chase รายงานกำไรเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาส 2/52 เมื่อเทียบกับระดับ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐไตรมาส 1/52 โดยรายได้ค่าธรรมเนียมวาณิชธนกิจที่ได้จากการจัดจำหน่ายหุ้นและพันธบัตรสามารถไปช่วยชดเชยยอดสินเชื่อที่ลูกค้าผิดนัดชำระ อย่างเช่น เงินกู้ซื้อบ้าน หนี้บัตรเครดิต ซึ่งช่วยให้ซีอีโอ เจมี่ ดิมอน สามารถบันทึกกำไรสุทธิมาได้ตลอดทุกไตรมาสในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอยมาตั้งแต่ปี 2550 และเป็นธนาคารเดียวในบรรดา Top Five ที่เอาตัวรอดมาได้อย่างสง่างาม
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MoneylineNews/tabid/89/newsid491/93413/Default.aspx
stock in focus

***********
17/07/52
GDP ของจีนไตรมาส 2/52 ขยายตัวเกินคาด 7.9%
จีนประกาศ GDP ในไตรมาส 2/52 ขยายตัว 7.9% สูงกว่าคาด 7.5% และสูงกว่าไตรมาส 1/52 ที่ขยายตัว 6.1% ทั้งนี้ ทางการจีนเผยว่าเศรษฐกิจจีนได้ขยายตัวในไตรมาส 2/52 จากผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 4 ล้านล้านหยวน และการปล่อยกู้สูงเป็นประวัติการณ์ของภาคธนาคาร

stock in focus
**********
16/07/52
โกลด์แมนฯฟันกำไร 3,440 ล้าน ดีกว่าที่นักวิเคราะห์ประมาณการ
โกลด์แมน แซคส์มีกำไรสุทธิ 3,440 ล้านดอลลาร์ ในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน ดีกว่าที่นักวิเคราะห์ประมาณการไว้ เนื่องจากตลาดหุ้นผันผวนน้อยลง ราคาหุ้นทั่วโลกพุ่งขึ้น และได้เข้าไปช่วยหลายบริษัทออกหุ้นและเทกโอเวอร์ ทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้น
stock in focus

*******
14/07/52
นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มมุมมองหุ้นแบงก์-ดัชนี S&P

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปสดใส จากปัจจัยเศรษฐกิจ และแนวโน้มผลประกอบการของหุ้นกลุ่มธนาคาร ไปจนถึงกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ แม้แต่หุ้นกลุ่มพลังงานในดัชนี S&P ก็ยังบวกขึ้นได้ แม้ว่าราคาน้ำมันในตลาดนิวยอร์กจะร่วงหลุดระดับ 60 เหรียญต่อบาร์เรล ลงไปอยู่ที่ 59.6 เหรียญ ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 8 สัปดาห์เรียบร้อยแล้ว

ขณะที่ตลาดพันธบัตร ราคาก็ปรับตัวลง เมื่อนักลงทุนเริ่มถกประเด็นความแข็งแกร่งของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น 4 basis points ขึ้นไปที่ 3.35% ล่าสุดรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ทิมโมธี ไกท์เนอร์ พูดถึงเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจว่า อาจจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งก่อนที่จะมั่นใจได้ว่าการฟื้นตัวจะดีขึ้นอย่างแข็งแกร่งและเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของอัพเดตมุมมองหุ้น นักวิเคราะห์จาก Barclays ในนิวยอร์กก็ปรับเพิ่มประมาณการดัชนี S&P 500 ขึ้น 23% ไปอยู่ที่ 930 จุด และบอกว่าหุ้นสหรัฐฯ กำลังอยู่ในสภาพพร้อมที่จะฟื้นตัวได้แล้ว หลังจากประเมินอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มดีขึ้น

ขณะเดียวกัน หุ้น Goldman Sachs ก็มีแรงซื้อหนาแน่นจนปิดบวกได้กว่า 5% หลังจาก Meredith Whitney ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษา Meredith Whitney Advisory Group และเคยคาดการณ์แนวโน้มการดิ่งลงของหุ้น Citigroup ถูกมาแล้ว ได้ปรับเพิ่มมุมมองให้ลงทุนในหุ้น Goldman Sachs และยังบอกว่าราคาหุ้นอาจจะวิ่งขึ้นไปอีก 31% เมื่อเทียบกับราคาปิดเมื่อวันศุกร์

ขณะที่ตลาดคาดการณ์ว่าผลประกอบการที่จะออกตามมาในวันนี้ ธนาคารน่าจะรายงานกำไรที่สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2550 ที่ระดับ 2,200 ล้านเหรียญในไตรมาสสอง ส่วนหุ้นแบงก์อื่นๆ ก็บวกคึกคักเช่นกัน เมื่อเจ้าของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนรายเดิมนี้พูดถึงปัจจัยบวก โดยเฉพาะ Bank of America ที่ถูกมองว่าเป็นหุ้นธนาคารที่มีราคาถูกที่สุด เมื่อดูจากการซื้อขายที่ราคาต่ำกว่าระดับ 23 เท่าของกำไรในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เทียบกับตัวเลข 35 เท่าของ JPMorgan และ 33 เท่าของ Goldman Sachs
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MorningBrief/tabid/104/newsid553/93212/Default.aspx
stock in focus

**********
14/07/52
สิงคโปร์ชี้เศรษฐกิจไตรมาส 2 โต 20.4%
กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม ประเทศสิงคโปร์ บอกว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 20.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกที่ลดลง 12.7% ทำให้กระทรวงฯ ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจในปีนี้ใหม่ โดยติดลบเพียง 4-6% จาก การคาดการณ์เดิมที่คาดว่า เศรษฐกิจจะติดลบ 6-9%

ส่วนสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจสิงคโปร์สามารถฟื้นตัวขึ้นจากภาวะตกต่ำหนักสุดนับตั้งแต่ปี 2508 เนื่องจากภาคการก่อสร้างและผลผลิตด้านอุตสาหกรรมยาเริ่มปรับตัวตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ รัฐบาลให้คำมั่นว่า จะจัดสรรเงิน 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับภาวะถดถอย ซึ่งแผนการดังกล่าวช่วยกระตุ้นยอดขายของบริษัทในเอเชียหลายแห่ง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MoneylineNews/tabid/89/newsid491/93218/Default.aspx
stock in focus

**********
13/07/52
อินโดฯ คาดเศรษฐกิจขยายตัว 9% ภายใน 5 ปี
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของอินโดนีเซียเปิดเผยว่า เศรษฐกิจอินโดนีเซียมีแนวโน้มขยายตัวแตะ 9% ภายในระยะเวลา 5 ปี หากรัฐบาลสามารถรักษาเสถียรภาพทางการเมืองและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกัน แผนพัฒนาปี 2553-2557 ซึ่งร่างโดยสำนักงานวางแผนพัฒนาแห่งชาติของอินโดนีเซีย ระบุว่า จีดีพีของอินโดนีเซียอาจทะยานเกิน 6% ภายในปี 2554
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MorningBrief/tabid/104/newsid553/93141/Default.aspx
stock in focus

*******
13/07/52
โอบามาโต้กลับรีพับลิกัน ยันแผนฟื้นเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพ

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐ เปิดเผยทางรายการสถานีวิทยุแห่งชาติอเมริกาว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 7.87 แสนล้านดอลลาร์ประมาณความสำคัญตามความตั้งใจ โดยการแสดงความเห็นครั้งนี้มีเป้าหมายที่จะตอบโต้พรรครีพับลิกันที่วิพากษ์วิจารณ์ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของเขาไม่สามารถกอบกู้เศรษฐกิจได้

โอบามากล่าวว่า แผนกระตุ้นเศรษฐกิจสามารถกระตุ้นการจ้างงานในอุตสาหกรรมประกันชีวิตและประกันสุขภาพได้อย่างโดดเด่นที่สุด เฟด ภายใต้การคุมบังเหียนของเบน เบอร์นันเก้ ได้นำเงินออกจากคลังของเฟด เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินเพื่อคลี่คลายภาวะตึงตัวด้านสินเชื่อ ซึ่งโอบามาบอกว่า เห็นได้ชัดว่าเป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพมาก

วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีนักลงทุนเจ้าของบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ กล่าวว่า สหรัฐจำเป็นต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่ 2 เนื่องจากอัตราว่างงานมีแนวโน้มพุ่งขึ้นสูงกว่าระดับ 10% และเท่าที่เขาประเมินในตอนนี้ เศรษฐกิจยังไม่วกกลับมาสู่ช่วงขาขึ้น อย่างไรก็ตาม เดวิด แอ็กเซลรอด ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของทำเนียบขาวเปิดเผยว่า สหรัฐยังไม่พร้อมที่จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่สองในการยับยั้งภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังจากที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้อนุมัติร่างกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจมูลค่า 7.87 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นการจ้างงาน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MorningBrief/tabid/104/newsid553/93141/Default.aspx

stock in focus

**********
จี8ปลุกผีโดฮาเล็งบรรลุผลปี’53

โพสต์ทูเดย์ — เวทีจี8 เอาจริงร่วมตลาดเกิดใหม่ผลักดันการเจรจารอบโดฮาให้ถึงฝั่ง
ที่ประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก (จี8) ประสานเสียงเห็นพ้องที่จะผลักดันการเจรจาข้อตกลงการค้าโลกรอบโดฮาขององค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ให้ลุล่วงภายในปีหน้า โดยพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในสงครามการค้า เพื่อยับยั้งไม่ให้เศรษฐกิจโลกที่บอบช้ำอยู่แล้วต้องทรุดหนักลงยิ่งขึ้น
ด้านกลุ่มประเทศจี5 มีแถลงการณ์เฉพาะกลุ่ม ย้ำถึงความสำคัญของการสรุปผลการเจรจารอบโดฮา โดยชี้ว่าประเทศกำลังพัฒนาต้องรับผลจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ตัวเองไม่ ได้ก่อ ทว่าการบรรลุผลการเจรจาจะช่วยฟื้นคืนความเชื่อมั่นในตลาดโลกได้ และยังช่วยป้องกันท่าทีกีดกันทางการค้า ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญของการค้าโลก
ผู้นำจี8 และจี5 ยังเรียกร้องจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีก่อนการประชุมร่วมประเทศพัฒนาแล้วและ http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=56514

************
10/07/52

วอร์เรน บัฟเฟต หนุนรัฐบาลสหรัฐฯออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระลอก 2

-GM เตรียมประกาศการออกจากภาวะล้มละลาย หลังจากปรับโครงสร้างมา 40 วัน ซึ่งเป็นการปรับโครงสร้างภายใต้การดูแลของรัฐบาล โดยศาลมีคำสั่งให้จีเอ็มขายทรัพย์สินหลักๆ ทั้งหมดให้ นิวจีเอ็ม

- หนี้ภาคเอกชนของสหรัฐฯ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ บั่นทอนผลกำไรของถาคเอกชน โดยตัวเลขของเฟดแสดงให้เห็นว่า Q1 หนี้ของภาคเอกชนที่ไม่รวมสถาบันการเงินนั้นมีมูลค่าสูงถึง 7.2 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มจาก 4.3 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2542
- ธนาคารกลางอังกฤษคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุด 0.5% เป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน

บัฟเฟตเห็นด้วยกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก๊อกสอง

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ บวกได้เล็กน้อย จากแรงซื้อหุ้นในกลุ่มการเงิน นำโดย Goldman Sachs ที่ถูกปรับเพิ่มคำแนะนำการลงทุนโดย Bank of America ที่มองว่าแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสสองจะออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด ทำให้มีการปรับคาดการณ์ผลกำไรของปีนี้และปีหน้า รวมทั้งปรับเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นไปกว่า 20
-
ทางด้านไฮไลท์ของปัจจัยเศรษฐกิจและการลงทุนเมื่อคืนนี้อยู่ที่ มุมมองของมหาเศรษฐีนักลงทุน วอร์เรน บัฟเฟต ที่บอกว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสองจากรัฐบาลอาจมีความจำเป็น โดยบัฟเฟตให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ ABC ว่า อัตราการว่างงานอาจจะพุ่งขึ้นไปแตะที่ระดับ 11% และอาจจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสอง เพื่อเข้ามาช่วยเศรษฐกิจที่กำลังดิ้นหนีจากสภาพความถดถอย


แรงงานอเมริกันยื่นขอสวัสดิการว่างงานลดลง

จำนวนชาวอเมริกันที่เข้ามายื่นขอรับสิทธิสวัสดิการว่างงานลดลงในสัปดาห์ล่าสุด มาอยู่ในระดับต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ และต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา โดยตัวเลขผู้ยื่นขอรับสิทธิลดลง 52,000 ราย มาอยู่ที่ 565,000 ราย ต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาดว่าจะอยู่ที่ 603,000 ราย

นักเศรษฐศาสตร์รายหนึ่งให้ความเห็นว่า สภาวะตลาดแรงงานอาจจะดูว่ามีทิศทางดีขึ้น


ที่ประชุม G8 เปิดกว้างทำการค้ากับจีน อินเดีย แอฟริกาใต้

ผู้นำกลุ่ม G8 มีความเห็นพ้องต้องกันว่าจะเปิดตลาด G8 เพื่อทำการค้าที่กว้างขึ้นกับกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา รวมถึงจีน อินเดีย บราซิล เม็กซิโก และแอฟริกาใต้ พร้อมกับยอมรับว่าการพยายามรักษาตำแหน่งผู้นำทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่สำคัญๆของโลกได้

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ผู้นำจากจีน อินเดีย บราซิล เม็กซิโก และแอฟริกาใต้ หรือ G5 ได้รับเชิญเป็นแขกในการประชุม G8 ในครั้งนี้ด้วย โดยประเด็นๆหลักๆคือการหารือการลดภาวะโลกร้อน การให้ความช่วยเหลือ และการกระตุ้นเศรษฐกิจโลกให้ขยายตัว นอกจากนี้ ยังหารือกันเรื่องการค้าระหว่างสมาชิกของ G8

แถลงการณ์บางส่วนของผู้นำกลุ่ม G8 ระบุว่า "มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเริ่มมีเสถียรภาพแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นที่เริ่มฟื้นตัว หรือความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่สูงขึ้น

รัสเซียปฏิเสธเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกที่ระดับ 80% ของกลุ่ม G8


ญี่ปุ่นเล็งทำข้อตกลงขุดเจาะน้ำมันในอิรัก
รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามหาลู่ทางที่จะใช้ประโยชน์จากการที่อิรักพยายามดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติเข้าสู่อุตสาหกรรมน้ำมัน
ผลผลิตอุตสาหกรรมมาเลเซียหดตัวลงน้อยที่สุดในรอบ 6 เดือน
ผลผลิตอุตสาหกรรมมาเลเซียในเดือนพ.ค.ร่วงลงน้อยสุดในรอบ 6 เดือน ซึ่งกระตุ้นให้เกิดกระแสคาดการณ์ในแง่บวกว่า วิกฤตตกต่ำที่สุดของภาคอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศอาจสิ้นสุดลง
-
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MorningBrief/tabid/104/newsid553/93056/Default.aspx

************
09/07/52
IMF คาดเศรษฐกิจโลกจะกลับมาฟื้นตัวในปีหน้า ด้วยอัตราการขยายตัวที่แข็งแกร่งกว่าเคย

- พ่อมดการเงิน “จอร์จ โซรอส” ชี้ว่า จีนจะเป็นเครื่องยนต์สำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจโลกออกจากภาวะถดถอย เนื่องด้วยวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นถือเป็นปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจจีน

- สินเชื่อผู้บริโภคสหรัฐฯ ร่วงลง 3,230 ล้านดอลลาร์ในเดือน พ.ค. สูงกว่าคาดการณ์ของตลาด โดยเฟดรายงานว่ายอดสินเชื่อรวมส่วนบุคคลร่วงลง 1.5% สู่ระดับ 2.5196 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือน พ.ค. และนักวิเคราะห์ชี้ว่าตัวเลขดังกล่าวทำให้เห็นว่าเศรษฐกิจที่ถดถอยส่งผลต่อการขอสินเชื่อ

- เยอรมนีเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค.พุ่งสูงสุดในรอบ 16 ปี ส่งสัญญานเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว โดยการผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 3.7% จากระดับเม.ย.ที่อ่อนตัวลง 2.6%

นักลงทุนหวั่นผลประกอบการแบงก์ ขณะคลังสหรัฐฯ แจงแผนซื้อหนี้เสีย

นักลงทุนยังกังวลแนวโน้มผลประกอบการไตรมาสสอง และถือเป็นปัจจัยถ่วงต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อคืนนี้ ถึงแม้ตลาดจะมีแรงหนุนมาจากผลการประมูลพันธบัตรรัฐบาลที่ออกมาดีกว่าคาด และการเปิดเผยรายละเอียดของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ในแผนการกำจัดสินทรัพย์หนี้เสียมูลค่ากว่า 40,000 ล้านเหรียญจากสถาบันการเงิน

ขณะเดียวกัน ข่าวดีก็มาจากทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศที่ออกมาบอกว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวได้ดีกว่าที่เคยประเมินไว้ในปีหน้า ปัจจัยผลประกอบการที่หลายคนจับตายังมุ่งไปที่หุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ถ่วงดัชนีรวมมากที่สุดเมื่อคืนที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแนวโน้มรายได้ที่หดหายกำลังไปซ้ำเติมมูลค่าหนี้ของบริษัท เมื่อดูจากต้นทุนประกันความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของ corporate bonds ในสหรัฐฯ ที่พุ่งขึ้นไปทำสถิติสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์


IMF คาดศก.โลกจะกลับมาขยายตัวได้เกือบ 2% ปีหน้า

กองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดเศรษฐกิจโลกจะกลับมาฟื้นตัวในปีหน้า ด้วยอัตราการขยายตัวในระดับที่แข็งแกร่งกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนเมษายน ซึ่งก็เป็นเพราะระบบตลาดการเงินที่ทรงตัวและอัตราการหดตัวทางเศรษฐกิจที่อ่อนแรงลงทั้งในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น

IMF ได้เปิดเผยถึงตัวเลขคาดการณ์ที่ปรับปรุงล่าสุดที่มองเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 2.5% ในปีหน้า เร่งตัวขึ้นจากเดิมที่เคยคาดว่าจะขยายตัว 1.9% ส่วนในปีนี้เศรษฐกิจโลกถูกประเมินว่ามีแนวโน้มที่จะหดตัว 1.4% ซึ่งแย่กว่าตัวเลขเดิมที่ 1.3% เพียงเล็กน้อย และถ้าแบ่งโซนเศรษฐกิจออกเป็นภูมิภาค IMF คาดว่าเศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่ ที่รวมถึงจีน กำลังมีส่วนช่วยผลักดันให้โลกหลุดพ้นออกจากสภาพความถดถอยทางเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 6 ทศวรรษ ขณะที่เศรษฐกิจของภูมิภาคยุโรป น่าจะฟื้นตัวได้ช้ากว่าของทางสหรัฐฯ และญี่ปุ่น
สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดว่าปีนี้จะหดตัว 2.6% และจะขยายตัวได้ 0.8% ในปีหน้า ขณะที่ญี่ปุ่น เศรษฐกิจน่าจะปรับตัวลงถึง 6% ในปีนี้ ก่อนจะกลับมากระโดดเป็นบวกได้ 1.7% ในปีหน้า จากแรงกระตุ้นอย่างหนักทางการคลังและแนวโน้มความต้องการที่มีมากขึ้นจากประเทศคู่ค้าทั้งหลายในอาเซียน ส่วนเศรษฐกิจประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา IMF คาดว่าจะขยายตัว 4.7% ในปีหน้า เพิ่มขึ้นจาก 1.7% ที่คาดไว้สำหรับปีนี้


ผู้บริโภคอังกฤษเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น ขณะที่ตลาดบ้านยังแย่ต่อเนื่อง

เนชั่นไวด์ บิลดิ้ง โซไซตี้ เปิดเผยว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคอังกฤษประจำเดือนมิถุนายนปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน เนื่องจากผู้บริโภคมีความหวังเพิ่มขึ้นว่า เศรษฐกิจจะหลุดพ้นจากภาวะถดถอย จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชน 1,000 คนในระหว่างวันที่ 18 พ.ค. - 21 มิ.ย.

ผลปรากฏว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 58 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 54 ในเดือนพ.ค. โดย มาร์ติน กาห์บอเออร์ นักเศรษฐศาสตร์จากเนชั่นไวด์ กล่าวในแถลงการณ์ว่า นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมพูดกันมากว่าภาวะถดถอยที่เลวร้ายที่สุดอาจจบสิ้นลงแล้ว ทำให้หลายคนคาดว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนที่เหลือจะดีขึ้นกว่าที่คาดคิดไว้ในตอนแรก

ขณะที่ฮาลิแฟกซ์เปิดเผยว่า ราคาบ้านเดือนมิ.ย.ร่วงลง 0.5% สวนทางคาดการณ์ ซึ่งถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจอังกฤษยังไม่หลุดพ้นจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่อัตราว่างงานก็ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่าของบ้านลดลง 0.5% มาอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 157,713 ปอนด์ หรือ 253,400 ดอลลาร์ มาร์ติน เอลลิส นักเศรษฐศาตร์ของฮาลิแฟกซ์ กล่าวว่า ในขณะที่เศรษฐกิจส่งสัญญาณดีขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ แต่แนวโน้มของเศรษฐกิจอังกฤษยังไม่มีความแน่นอน อัตราว่างงานมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไปอีก คาดว่าการเปลี่ยนแปลงของราคาบ้านจะมีทั้งเพิ่มขึ้นและลดลงไปจนตลอดครึ่งหลังของปีนี้

กูเกิลเตรียมเปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ท้าชนวินโดว์ส
กูเกิล เจ้าแห่งเสิร์ชเอ็นจิ้น เปิดเผยผ่านทางเว็บไซต์ว่า บริษัทกำลังพัฒนาระบบปฏิบัติการ (โอเอส) ใหม่สำหรับคอมพิวเตอร์แล็บท็อป และมีแผนที่จะวางจำหน่ายในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 นับเป็นความพยายามอันหาญกล้าที่จะท้าทายระบบปฏิบัติการ วินโดวส์ (Windows) ของไมโครซอฟท์ซึ่งครองใจผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) มาเนิ่นนาน 2 ทศวรรษ

BOJ เผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวขึ้นครั้งแรกในรอบ 2 ปี
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ - 81.4 จากเดิมที่ - 88.9 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2539 และนับเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี อย่างไรก็ตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังถือว่าย่ำแย่ เนื่องจากประชาชนจำนวนมากขึ้นที่มีรายได้และรายจ่ายลดลง ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 90% ระบุว่าพวกเขาวิตกกังวลเกี่ยวกับการจ้างงาน

ฮัทชิสัน เทเลคอมเล็งขายหุ้นในบริษัทสาขาที่อิสราเอล
ฮัทชิสัน เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือของนายลี กา ชิง มหาเศรษฐีของฮ่องกง อยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อขายหุ้นในบริษัท พาร์ทเนอร์ คอมมิวนิเคชั่นส์ ซึ่งเป็นสาขาของบริษัทที่อิสราเอล และยังเป็นผู้ให้บริการมือถือรายใหญ่อันดับ 2 ของอิสราเอล โดยมีผู้สนใจเข้ามาติดต่อบริษัทหลายราย

http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MorningBrief/tabid/104/newsid553/92993/Default.aspx

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น