วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ข่าววัสดุก่อสร้างและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

22/09/52
อสังหาฯคึกรับสัญญาณฟื้น แห่ปรับเป้ายอดขายใหม่
บิ๊ก อสังหาฯ แห่ปรับยอดขาย'52 เอพี.คาดปิดยอดขาย 1.5 หมื่นล้าน ส่วนแสนสิริปรับเพิ่มจาก1.7หมื่นล้าน เป็น2หมื่นล้าน Q Houseเชื่อรายได้โต5%
นายวิษณุ สุชาติล้ำพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการบริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ เอพี เปิดเผยว่า จากยอดขาย 3 โครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ The Address ที่สุขุมวิท 28 ,แยกอโศก-เพชรบุรี ,และ The Address สาทร ที่เปิดตัวไปเมื่อ 14-20 กันยายน ที่ผ่านมาปรากฏว่ามีปริมาณการขาย 779 ยูนิต มูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท จากมูลค่ารวม 9,500 ล้านบาท จำนวน 1,382 ยูนิต นั้น ทำให้ ณ วันที่ 21 กันยายน 2552 เอพี มีขายที่รอรับรู้รายได้ (backlog) รวมกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ หากอัตราการขายอยู่ในระดับที่ดีทั้งแนวสูงโดยเฉพาะคอนโดมิเนียม 3 โครงการดังกล่าวนี้คาดว่าสิ้นปีน่าจะปิดการขายได้ 80-90% คิดเป็นมูลค่า 7,000-8,000 ล้านบาท และเมื่อรวมกับยอดแนวราบเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 500 ล้านบาทคาดว่ายอดขายรอรับรู้รายได้ ณ สิ้นปีนี้น่าจะอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาทซึ่งจะสร้างการรับรู้รายได้เข้าบริษัทในปี 2554 ส่วนยอดรับรู้รายได้ปีนี้น่าจะน่าจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5-10% หรือเพิ่มขึ้นจาก 9,800 ล้านบาท เป็นกว่า 1 หมื่นล้านบาท

สำหรับภาคอสังหาฯ ขณะนี้ ถือว่ามีสัญญาณที่ดีโดยมีการประเมินยอดขายเพิ่มขึ้นจาก สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 2/2552 และได้รับปัจจัยหนุนจากการสิทธิประโยชน์ทาง "ภาษี" ที่ ใกล้สิ้นสุดในช่วงปลายไตรมาสที่ 1/2553 ทำให้ บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ปรับประมาณการทั้งรายได้และยอดขายในปี 2552 ใหม่ พร้อมกับวางแผนสร้างรายได้ยาวต่อเนื่องถึงปี 2554 โดยก่อนหน้านี้บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ยังได้ปรับปรับประมาณการรายได้ปี 2552 ใหม่เป็น 1 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5% จากที่ประมาณการไว้เมื่อต้นปีที่ 9,400 ล้านบาท การปรับประมาณการรายได้เพิ่มนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะยอดขายในช่วงครึ่งหลัง ของปีดีขึ้นประกอบกับมั่นใจว่าเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มที่ดี พร้อมกันนี้ ยังได้วางแผนสร้างรายได้ยาวต่อเนื่องไปถึงปี 2553 ที่บริษัทคาดว่าจะมีรายได้เพิ่ม 10-15% เป็นกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้ตามเป้า

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) นั้น ได้ปรับเป้ายอดขายจาก 1.7 หมื่นล้านบาท เป็น 2 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 17% สำหรับยอดรับรู้รายได้ยังคงประมาณการเดิมคือประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท ขณะที่บริษัทศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ได้ปรับเป้ายอดรับรู้รายได้ในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 8,500 ล้านบาท หรือเพิ่มกว่า 6% จากเป้าหมายเดิมที่ 8,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมียอดการรอโอนในครึ่งปีหลัง 3,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดโอนจาก Backlog ที่บริษัทมี 1.3 หมื่นล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีแรกรับรู้ไปแล้ว 4,500 ล้านบาท โดย Backlog 1.3 หมื่นล้านบาท จะทยอยรับรู้ไปจนถึง ปี 2554

กรุงเทพธุรกิจ
***********
22/09/52
CEMENT Industry Update: ความต้องการซีเมนต์ในช่วง 2H09 น่าจะสูง - ธนชาต
Source - บมจ.หลักทรัพย์ ธนชาต (Th) Tuesday, September 22, 2009 08:53 CEMENT Industry Update ความต้องการซีเมนต์ในช่วง 2H09 น่าจะสูงกว่าที่เราคาด ผู้บริหาร SCC คาดว่าความต้องการซีเมนต์ในประเทศจะมีจำนวน 24 ล้านตันในปี 2009 ซึ่งใกล้เคียงกับในปีที่ผ่านมา ซึ่งถ้าหากเป็นไปตามที่คาด ก็หมายความว่าความต้องการซีเมนต์ในประเทศในช่วง 2H09 จะต้องมีจำนวน 12.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 9.7% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และสูงกว่าที่เรา และตลาดคาดไว้ราว 7% และ 8-10% ตามลำดับ ผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการที่การบริโภคซีเมนต์ดีขึ้น คือ SCCC เนื่องจากกำไรส่วนใหญ่มาจากธุรกิจซีเมนต์ จากการประเมินของเรา ความต้องการซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 1% จะทำให้กำไรของ SCCC เพิ่มขึ้น 1% สำหรับ SCC นั้นจะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของความต้องการซีเมนต์ที่น้อยกว่า เนื่องจากกำไรที่ได้จากธุรกิจซีเมนต์มีสัดส่วนเพียง 30% ของกำไรในช่วง 1H09 (ความต้องการซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 1% จะทำให้กำไรของ SCC เพิ่มขึ้นเพียง 0.3% เท่านั้น) เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” ทั้ง SCCC (U.R.) และ SCC (ราคาเป้าหมาย 260 บาท/หุ้น)
โดย บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด(มหาชน) ประจำวันที่ 22 ก.ย. 2552
************
21/09/52
ต่ออายุมาตรการกระตุ้นอสังหาถ้าจริง จะส่งผลบวกต่อหุ้นอสังหา
สัปดาห์ก่อน รมช.คลัง ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ว่า หากเศรษฐกิจปีหน้าฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า รัฐบาลอาจพิจารณาต่ออายุมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์อีก 1 ปี

แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าพูดเร็วเกินไปหลายเดือน ซึ่งอาจส่งผลให้คนซื้อบ้านชะลอการตัดใจซื้อบ้าน แต่เชื่อว่าท่านคงมีเจตนาดีและมีการเตรียมการภายในไว้เผื่อว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวเชื่องช้ามาก อาจต้องกระตุ้นต่อ

ก่อนอื่นลองมาทบทวนกันก่อนว่า มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้อยู่ในขณะนี้ประกอบด้วยอะไรบ้าง

ทั้งนี้ 3 มาตรการนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 30 มี.ค. 2551 และจะหมดอายุลงในวันที่ 29 มี.ค. 2553

นอกจากนั้น ผู้ซื้อบ้านในปี 2552 ยังสามารถนำเงินต้นค่าซื้อบ้านไปหักลดหย่อนภาษีได้อีก 3 แสนบาท ผู้ที่มีฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราสูงจะได้ประโยชน์ตรงจุดนี้มาก

คุณชุติมา วรมนตรี นักวิเคราะห์อสังหาริมทรัพย์ บล.ธนชาต มองว่า ก่อนหน้านี้ ตลาดคาดว่าจะไม่มีการต่ออายุมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากรัฐบาลจำเป็นต้องหารายได้เพื่อมาไฟแนนซ์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม ที่สำคัญกว่านั้นกิจการในภาคอสังหาริมทรัพย์ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ดังจะเห็นได้จากยอดพรีเซลส์ที่ เร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจน หนุนโดยความเชื่อมั่น ผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ

คุณชุติมา ประเมินว่า หากมีการขยายมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ออกไปจริง จะเป็นปัจจัยบวกต่อผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากจะช่วยประหยัดต้นทุนลงถึง 4.2% ของยอดขาย ขณะที่คนซื้อบ้านจะประหยัดเงินได้มากกว่า 2% ของราคาบ้าน สำหรับผู้ประกอบการภาษีที่ประหยัดได้จะส่งผลโดยตรงต่อกำไรสุทธิสำหรับคนซื้อบ้าน ภาษีที่ประหยัดได้สุทธิอาจสูงถึง 9-18% ของรายได้ทั้งปีของคนซื้อบ้าน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฐานภาษีบุคคลอัตราก้าวหน้าว่าตกอยู่ในขั้นใด

ทั้งนี้ คุณชุติมายังคงชื่นชอบหุ้น AP มากที่สุดในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ผมขอสรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่คุณชุติมาได้เคยนำเสนอได้ดังนี้

อำนาจต่อรองผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มดีขึ้น

อุปทานที่อยู่อาศัยใหม่หดตัวลง 52% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ขณะที่ความต้องการที่อยู่อาศัยปรับตัวขึ้น ผลักดันโดยปัจจัยด้าน ประชากรและอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ทำให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีอำนาจต่อรองมากขึ้น ซึ่งเห็นได้จากอัตรากำไรขั้นต้นของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ดีขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ภาวะการแข่งขันที่ลดลงและจำนวนผู้มาเยี่ยมชมโครงการที่ฟื้นตัวขึ้น ทำให้อำนาจการต่อรองของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์กลับคืนมา เราปรับเพิ่มสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นขึ้นราว 3% ในช่วงปี 2553-2554 ทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นราว 11-15%


ตลาดถูกผลักดันโดยอุปทานใหม่ที่มีความหลากหลายมากขึ้น

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ถูกผลักดันโดยประเภทของโครงการที่มีความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์สามารถรองรับความต้องการของผู้ซื้อได้มากขึ้น นอกจากนี้การขยายถนน สาธารณูปโภค และระบบเครือข่ายขนส่งมวลชนอย่างรวดเร็ว ยังเป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันการเติบโตอีกด้วย โดยตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด คือโครงการประเภทคอนโดมิเนียม ซึ่งเดิมเคยรองรับเฉพาะกลุ่มตลาดบน แต่ปัจจุบันมีทางเลือกมากขึ้นสำหรับตลาดแมส ซึ่งโครงการสามารถรองรับความต้องการจากกลุ่มที่เคยเช่าที่อยู่อาศัยเปลี่ยนมาซื้อที่อยู่อาศัยแทน ความต้องการคอนโดใกล้ระบบขนส่ง ความต้องการลงทุน และความต้องการจากคนรุ่นใหม่ ผู้ซึ่งเดิมอาศัยอยู่ในครอบครัวใหญ่ เป็นต้น

ความต้องการที่เพิ่มขึ้นถูกผลักดันโดยแหล่งเงินทุนที่ดีและถูกกว่า

อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านอยู่ที่ 6.17% ลดลงจากระดับ 7.46% ในเดือนพ.ย. 2551 การ ลดลงของดอกเบี้ยทุกๆ 1% จะทำให้ความสามารถในการซื้อเพิ่มขึ้น 8-10% การปรับ Bottom-Up Product Strategies และอำนาจต่อรองของบริษัทล่าสุด แสดงให้เห็นว่า AP และ QH ยังคงเป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวในปี 2553 มากที่สุด เนื่องจากเรา ได้ปรับใช้ประมาณการปี 2553 และปรับเพิ่มประมาณการกำไรของเราขึ้นราว 11-15% ในปี 2551-2554 ราคาเป้าหมายของเราจึง เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดย AP ขึ้นมาอยู่ที่ 7.50 บาท (จาก 6.50 บาท) QH 2.50 บาท (จาก 2.00 บาท) LPN 7.50 บาท (จาก 5.50 บาท) PS 12.00 บาท (จาก 10.00 บาท) เราแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ AP และ QH

นอกจากนี้ เรายังปรับเพิ่มราคาเป้าหมายสำหรับ LH ขึ้นมาอยู่ที่ 6.50 บาท จากเดิม 6.00 บาท เพื่อสะท้อนอำนาจต่อรองที่ แข็งแกร่งขึ้น แต่ยังคงแนะนำ “ถือ” เนื่องจากซื้อขายที่ระดับ Valuation ที่สูงแล้ว
posttoday*********
18/09/52
หุ้นอสังหาฯบานฉ่ำ รัฐจ่อยืดอายุลดภาษี

หุ้นอสังหาฯสดใส สวนทิศทางตลาด รับข่าวคลังส่งสัญญาณ ต่ออายุมาตรการภาษีอสังหาฯ ด้าน บิ๊ก SPALI -PF - RASA เฮ ชี้ เป็นผลดี ช่วยกระตุ้นแรงซื้อผู้บริโภค - ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมเกี่ยวข้อง แต่ขอรอดูความชัดเจนอีกครั้ง ฟากวงการชี้สัญญาณยังสวยแนะลุยทั้งกลุ่มโดยเฉพาะ QH, SPALI และ PS

จากภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 8เดือนของปี 2552 พบว่า หน่วยที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ใน ช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา พบว่ามีจำนวนที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เท่ากับ 29,034 หน่วยลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 37.3% สำหรับมูลค่าของตลาดพบว่ามีมูลค่าเท่ากับ 98,444 ล้านบาทลดลง 14.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสินค้าประเภทบ้านเดี่ยวเป็นสินค้าประเภทเดียวที่มีจำนวนและมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้น ขณะที่สินค้าประเภทคอนโดมิเนียมเป็นกลุ่มที่ลดลงมากที่สุดทั้งจำนวนและมูลค่า
ขณะที่ช่วงที่เหลือของปี มีการประเมินกันว่ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะมีการฟื้นตัวในอัตราเร่งมากขึ้น จากการใช้ประโยชน์ของ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำที่สุดในรอบ 4 ปีซึ่งคาดว่าจะคงที่ระดับนี้ไว้ในส่วนที่เหลือของปี การลดหย่อนภาษี 300,000 บาทสำหรับผู้มีบ้านหลังแรกที่ใช้ได้เพียงปีนี้ปีเดียว ประกอบกับการลดหย่อนภาษีธุรกิจเฉพาะและค่าธรรมเนียมการโอนการจดจำนอง ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการจะเร่งการเปิดโครงการใหม่มากขึ้น หลังจากมีการชะลอตัวในช่วง 1H/52 ขณะที่ความเสี่ยงของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะเริ่มชัดเจนมากขึ้นโดยเฉพาะแรงกดดันจาก ราคาน้ำมัน ในตลาดโลกและอุปสงค์ในประเทศจากโครงการไทยเข้มแข็ง ที่ส่งผลให้วัสดุก่อสร้างเริ่มปรับราคาเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดจะมีผลต่อสินค้าที่ขายในปี 2553 เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตามจากกรณีที่ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ออกมาระบุว่า ถ้าหากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวปีในหน้า กระทรวงการคลังอาจจะต้องพิจารณาขยายมาตราการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังจะหมดอายุลงวันที่ 28 มี.ค. 2553 ออกไป ซึ่งมาตราการส่งเสริมอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้อยู่ขณะนี้ คือ ลดค่าธรรมเนียมโอนเหลือ 2% เหลือ 0.01% และลดค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1%เหลือ 0.01% รวมถึงการลดภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3%เหลือ 0.11%รวมถึงการลดหย่อนเงินดาวน์ 3 แสนบาท ที่จะครบกำหนดในสิ้นปี 2552 ส่งผลให้ ราคาหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น


สำหรับความเคลื่อนไหวราคาหุ้น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแม้จะมีอ่อนตัวลงบ้าง ตามทิศทางตลาดแต่สุดท้ายเมื่อปิดการซื้อขายวันนี้ (17 ก.ย. 52)ราคาหุ้นส่วนใหญ่ยังปิดบวกได้ ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่น อาทิ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI ปิดที่ 5.30 บาทเพิ่มขึ้น0.10 บาท หรือ 1.92% มูลค่าการซื้อขาย 351.80 ล้านบาท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) (PS) ปิดที่ 11.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.60 บาท หรือ 5.45% มูลค่าการซื้อขาย 123.68 ล้านบาท
ส่วนบริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH ปิดที่ 2.28 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาทหรือ 0.88% มูลค่าการซื้อขาย 443.89 ล้านบาท
และบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN)ปิดที่ 6.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.05 บาท หรือ 0.78 % มูลค่าการซื้อขาย198.85 ล้านบาทรวมทั้ง บริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (RASA)ปิดที่ 3.12 บาท เพิ่มขึ้น 0.02บาท หรือ 0.65% มูลค่าการซื้อขาย 2.71แสนบาท
ขณะที่ บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH ) ปิดที่ 6.30 บาท ลดลง 0.05 บาท หรือ-0.79 % มูลค่าการซื้อขาย186.29 ล้านบาท
และ,บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) (PF) ปิดที่ 4.14 บาท ลดลง 0.06 บาท หรือ -1.43% มูลค่าการซื้อขาย 17.42ล้านบาท
รวมทั้ง บริษัทเอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (AP)ปิดที่ 6.65 บาท ลดลง 0.25 บาท หรือ -3.62% มูลค่าการซื้อขาย
119.04 ล้านบาท
ขณะที่ ดัชนีฯปิดตลาดวันนี้ (17 ก.ย.52) ที่ระดับ 709.23 จุด ลดลง 1.02 จุดหรือ -0.14% มูลค่าการซื้อขาย 28,438.72 ล้านบาท

*ASP มองกระตุ้นกำลังซื้อ - เอื้อธุรกิจในประเทศ*
บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐภายใต้นโยบายไทยเข้มแข็ง รวมถึงรัฐบาลมีแนวคิดเพิ่มเติม ที่จะยืดอายุมาตรการลดหย่อนภาษีอสังหาริมทรัพย์ต่อไปเมื่อครบกำหนด 28 มี.ค. 2553 (เดิมภาษีการโอน 2% การจดจำนอง 1% และภาษีเฉพาะ 3.3%) รวมถึงการลดหย่อนเงินดาวน์ 3 แสนบาท ที่จะครบกำหนดในสิ้นปี 2552 จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไรของผู้ประกอบการต่อไปอีก 1 ปี เอื้อประโยชน์ธุรกิจในประเทศ ทั้งธนาคารพาณิชย์ KTB (FV@)B11.6) ค้าปลีก (HMPRO(FV@B8.3), BIGCFV@B54) และอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนาบ้านในระดับกลาง PS(FV@B13), PF(FV@B4.63), SIRI(FV@B4.98), MJD(FV@B3.17)

*SCRI แนะ Trading Buy” กลุ่มอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะ PS / LH / QH
สถาบันวิจัยนครหลวงไทย หรือ SCRI มีมุมมองเป็น POSITIVE ต่อกลุ่มอสังหาฯ มีความเห็นเป็นบวกต่อปัจจัยดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การต่ออายุโครงการดังกล่าว จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ปีละไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท ขณะที่ผู้ที่ได้ประโยชน์คือผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่จะมีค่าใช้จ่ายน้อยลงประมาณ 4% ต่อปี ขณะที่ผู้บริโภคจะประหยัดได้ประมาณ 1 – 2% อย่างไรก็ตาม SCRI ประเมินว่า ความชัดเจนของความเป็นไปได้ในการต่ออายุจะเป็นประเด็นที่มีความสำคัญมากที่สุด เนื่องจากจะเป็นปัจจัยที่ผู้บริโภคใช้ในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงเวลานั้นๆ ขณะที่ผู้ประกอบการจะต้องมีการจัดสรรหน่วยที่อยู่อาศัย (Inventory) เพื่อรองรับอุปสงค์ที่จะเกิดขึ้น SCRI แนะนำ “Trading Buy” กลุ่ม
อสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะ PS / LH / QH
PS แนะนำ “เก็งกำไร” เป็นบริษัทที่จะได้รับประโยชน์จากทั้ง 2 มาตรการ โดยเฉพาะหากมีการต่ออายุมาตรการลดหย่อนภาษีฯ ออกไป และ มาตรการ BOI
ใหม่ที่จะเริ่มเห็นผลในช่วงปลายปี 2552 SCRI ประเมินรายได้ในปี 2552 ที่เท่ากับ 15,278 ล้านบาทเติบโต 17.8% yoy SCRI คาดกำไรสุทธิของปี 2552 จะเท่ากับ
2,525 ล้านบาทเติบโต 6.4% yoy ราคาเหมาะสมปี 2553 ที่ 11.80 บาท

*CGS มองผลลบต่อ Property ระบุ SPALI แจ่มสุด
บล. คันทรี่ กรุ๊ป(CGS) วิเคราะห์ว่า หากคลังต่ออายุมาตรการดังกล่าว ส่งผลลบต่อ กลุ่มอสังหาฯ ทั้งนี้การใช้มาตรการดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการประหยัดค่าใช้จ่ายประมาณ 6.27% ซึ่งไปช่วยทำให้นำส่วนที่ประหยัดดังกล่าวไปลดราคาขายบ้าน และเป็นการลดค่าใช้จ่ายในหลายๆ ด้าน ส่งผลให้อัตราในการทำกำไรดีขึ้น ขณะเดียวกันเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ซื้อมีค่าใช้จ่ายน้อยลง และอยากจะซื้อบ้านเร็วขึ้น ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่าในไตรมาส 4/52 ถึงก่อนหมดอายุมาตรการในไตรมาสแรกปี 53 จะมียอดการโอนบ้านมากเป็นพิเศษ เพราะผู้ซื้อจะรีบโอนก่อนหมดมาตรการ แต่หากทาง ก.คลังมีการขยายมาตรการออกไป มองว่าจะส่งผลกระทบในด้านลบต่อผู้ประกอบการ เพราะผู้ซื้อไม่ต้องเร่งโอนแล้ว สามารถชะลอการตัดสินใจออกไปได้อีก 1 ปี ดังนั้นข่าวดังกล่าวนี้จะกระทบกับยอดขายของกลุ่มอสังหาฯ สำหรับคำแนะนำในระยะนี้ เห็นว่าหุ้นที่น่าลงทุนมากที่สุดได้แก่ SPALI ที่ยังมีค่า PE ต่ำ และมูลค่าพื้นฐานสูงถึง 6.5 บาท ขณะที่หุ้นตัวอื่นๆ ราคาเต็มมูลค่า

*บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส เผย Top Pick คือ QH, AP, SPALI และ PS *
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส มองเป็นบวกมากกว่าเป็นลบ หากมีการต่ออายุมาตรการกระตุ้นอสังหาฯต่อไป เพราะผู้ประกอบการสามารถที่ประหยัดภาษีธุรกิจเฉพาะได้อย่างมาก ทำ
ให้ค่าใช้จ่ายขาย-บริหารต่ำไปอีกหนึ่งปี เพราะอัตราการลดลงของภาษีสูงมากจาก3.3% ลดลงเหลือเพียง 0.11% ผลประกอบการปี 53 ที่ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงเทียบ
กับปี 52 เพราะการหมดอายุลง ก็จะกลับมาดีขึ้นอย่างมาก ทางด้านผู้ซื้อบ้านก็สามารถประหยัดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธ์ลงได้มากจาก 2% (ปกติผู้ประกอบ
การช่วยออก 1%) เหลือเพียง 0.01% ทำให้บรรยากาศการซื้อบ้านในปี 53 ดีต่อเนื่องไปได้อีก
ส่วนที่กล่าวว่ามีข้อเสียอยู่บ้างคือ ในระยะสั้นผู้ซื้อบ้านจะไม่ได้มีแรงกระตุ้นว่าต้องซื้อและโอนบ้านภายใน 1Q53 ก่อนที่มาตรการจะสิ้นสุดลง อาจจะกระทบการขาย
และการโอนบ้าง แต่ฝ่ายวิจัยฯคาดว่าจะไม่กระทบมาก เพราะในยามที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงปรับตัว ผู้ที่จะซื้อบ้านก็คือ ผู้ที่ต้องการบ้านอย่างแท้จริง การซื้อล่วงหน้า
นานๆจะมีน้อย ยังคงถ่วงน้ำหนักมากในหลักทรัพย์หมวดที่อยู่อาศัย Top Pick คือ QH, AP, SPALI และ PS นอกจากหมวดที่อยู่อาศัยที่ได้รับประโยชน์
หมวดนิคมอุตสาหกรรมก็จะได้รับประโยชน์เช่นกัน คงคำแนะนำ ซื้อ AMATA และ HEMRAJ

*โบรกฯสั่งลุยยกแผง ชี้สัญญาณเทคนิคแนวโน้มดี*
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.สินเอเซีย กล่าวว่า เมื่อประเมินตามสัญญาณทางเทคนิคราคาหุ้นของ LH, PF, AP,SPALI และ QH พบว่า ยังอยู่ในแนว
โน้มที่ดี โดยแนะนำ ทยอยซื้อ LH โดยให้แนวต้านไว้ที่ 6.70 บาท แนวรับ 6.10 บาท สำหรับ SPALI แนะนำ ทยอยซื้อ โดยประเมินแนวต้านไว้ที่ 5.40 บาท แนวรับ 5.05
บาท ส่วน PF แนะนำซื้อเก็งกำไร ให้แนวต้าน 4.40 บาท แนวรับ 4.10 บาท ขณะที่ QH แนะนำ ซื้อเก็งกำไร ให้แนวต้าน 2.40 บาท แนวรับ 2.40 บาท ซึ่ง AP แนะ
นำ ซื้อเมื่ออ่อนตัว ให้แนวต้าน 7.30 บาท แนวรับ 6.70 บาท

* SPALI คาดต่ออายุมาตรการภาษีฯหนุนผลประกอบการปีหน้า *
นายประทีป ตั้งมติธรรมการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI กล่าวกับ eFinanceThai.com ว่า ราคาหุ้น SPALI ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในการซื้อขาย อาจเพราะได้รับปัจจัยบวกส่วนหนึ่งหลังรัฐบาลมีแนวคิดเพิ่มเติมที่จะยืดอายุมาตรการลดหย่อนภาษีอสังหาริมทรัพย์ต่อไปเมื่อครบกำหนด 28 มี.ค. 2553 จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภค นอกจากนี้คาดการณ์ถึงยอดขายในไตรมาส 3/2552 น่าจะเติบโต เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2552 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจส่งสัญญาณการฟื้นตัว ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้ หากรัฐบาลต่ออายุมาตรการลดหย่อยภาษีอสังหาริมทรัพย์ ก็จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯในอนาคตด้วย ทำให้ผลประกอบการในปีหน้า น่าจะเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้ แต่อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามรายละเอียดของมาตรการที่ชัดเจนอีกครั้ง

*PF จับตาดูความชัดเจนก่อน แต่มั่นใจโชว์ผลงาน Q3/52 โตกว่าQ2/52 ชัวร์*
ด้านนายชายนิด โง้วศิริมณี กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า ปัจจุบันยังไม่ทราบถึงข้อมูลและแนวทางการขอต่ออายุมาตรการภาษี โดยคงต้องรอดูความชัดเจนก่อนที่กล่าวอ้างถึง แต่อย่างไรก็ตาม ในแง่ของผลการดำเนินงานเชื่อว่าเป็นไปตามแผน โดยคาดการณ์ผลการดำเนินงานในไตรมาส3/52 เติบโตกว่าไตรมาส 2/52

*บิ๊ก RASA เชื่อกระตุ้นแรงซื้อผู้บริโภค-ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมเกี่ยวข้อง*
นายเลิศมงคล วราเวณุชย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (RASA) กล่าวกับ eFinanceThai.com ว่า ส่งผลดีช่วยกระตุ้นแรงซื้อจากผู้บริโภค ประกอบกับ ในมุมมองของผู้ประกอบการนั้น จะเข้ามาช่วยในแง่ของต้นทุนค่าก่อสร้างที่ปัจจุบันเริ่มจะขยับเพิ่มขึ้น เพราะหากเศรษฐกิจฟื้นความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างเพิ่มมากขึ้น ทำให้ราคาปูนซีเมนต์ ซึ่งเป็นต้นทุนในการก่อสร้างเพิ่มขึ้น แต่หากรัฐเข้ามาช่วยสนับสนุน อาจจะทำให้ผู้ประกอบการไม่ต้องปรับราคาขายโครงการที่อยู่อาศัยขึ้น
ทั้งนี้ ในมุมมองมหภาคนั้น หากธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวก็จะช่วยหนุนการต่อหลายภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ สี เฟอร์นิเจอร์ และการจ้างแรงงาน ประกอบกับ ที่อยู่อาศัยเป็นเสหมือนปัจจัย 4 ของบุคคลทั่วไป หากมีบ้านอยู่อาสัย สังคมการวัฒนธรรมจะดีขึ้น รวมถึงเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญต่อ GDP โดยอสังหาฯ มีผลต่อการคำนวน GPD ประมาณ 10%
แต่อย่างไรก็ตาม ความกังวลว่าหากมาตรการถูกยืดออกไปแล้ว ผู้ซื้อโครงการจะชะลอการตัดสินใจนั้น ถือว่าอาจจะมีบ้างแต่เป็นสัดส่วนที่น้อยมาก โดยเชื่อว่าดีมานด์ที่แท้จริงยังมีอยู่ และผู้ที่ต้องการซื้อโครงการจริงคงไม่ได้ตระหนักถึงภาษีในการจ่ายมากนัก
ทั้งนี้คาดการณ์กำไรในไตรมาส 3/52 เติบโตกว่าไตรมาส 2/52 ที่ทำได้ 8.69 ล้านบาท เพราะยอดโอนในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาเติบโตกว่าในไตรมาส 2/2552 ขณะเดียวกันคาดการณ์กำไรทั้งปีเติบโตสูงสุดในรอบ 4 ปี เพราะรับรู้ยอดโอนจากโครงการเดิม คือ โครงการคอนโดมิเนียม เดอะ ไลท์เฮ้าส์ บนถนนเจริญนคร 14 และโครงการบ้านเดี่ยว รสา พาร์คเลน ซอยวัชรพล หลังเปิดใช้ระบบสาธารณูปโภค อาทิ ทางด่วนวัชพล
อนึ่ง บริษัทฯ มีกำไรงวด 6 เดือนอยู่ที่ 24.85ล้านบาท ส่วนในปี 2551 มีกำไรอยู่ที่ 5.52 ล้านบาท
www.doohoon.com
***********
17/09/52
Analyst Recommend

กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง : รฟม. เพิ่มค่าก่อสร้างสายสีน้ำเงิน 5.2 หมื่นล้านบาทสาเหตุจาก ต้นทุนค่าแรงและราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มคาดเริ่มประกวดราคาได้ในเดือน พ.ย 52
ประเด็นที่น่าสนใจ: นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อธิบดีกรมทางหลวง ในฐานะประธานกรรมการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการ รฟม.วานนี้ (16 ก.ย.) ว่า ที่ประชุมได้พิจารณารายละเอียดวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธาโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ ระยะทาง 27 กิโลเมตร โดยที่ปรึกษาได้เสนอเพิ่มวงเงินเป็น 52,460 ล้านบาท จากเดิม 48,821 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,639 ล้านบาท เนื่องจากต้องการให้สะท้อนต้นทุนแท้จริงมากที่สุด โดยวงเงินที่เพิ่มขึ้นอีก 3,639 ล้านบาท มาจาก 3 ปัจจัยหลัก
1.ค่าจ้างแรงงาน เพิ่มขึ้น 10% หรือ 1,500 ล้านบาท
2.ค่ารื้อย้ายสาธารณูปโภค 1,600 ล้านบาท
3.ราคาน้ำมันและราคาวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างปรับขึ้น เช่น ปูนซีเมนต์ ประมาณ 500 ล้านบาท

โดย รฟม.จะทำรายละเอียดชี้แจงกระทรวงคมนาคมที่ต้องเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธาโครงการส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน ก่อนเสนอครม. และรอกรมบัญชีกลางอนุมัติใช้วิธีประกวดราคาแบบนานาชาติหรือ INTERNATIONAL BIDDING คาดว่าจะประกาศเชิญประกวดราคาได้ในเดือนพ.ย. 52
โครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน มีมูลค่าประมาณ 8.2หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่รัฐต้องลงทุนประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย ค่าก่อสร้างงานโยธา 52,460ล้านบาท ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 5,900 ล้านบาท ค่าจ้างที่ปรึกษา 2,099 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 22,400 ล้านบาท คือค่างานระบบรถไฟฟ้าและอาณัติสัญญาณ 22,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนที่ รฟม.จะให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน

แบ่งเป็น 5 สัญญา คือ
1. หัวลำโพง-สนามไชย ระยะทาง 2.8 กิโลเมตร และสถานีใต้ดิน2 สถานี
2 สนามไชย-ท่าพระ ระยะทาง 2.6 กิโลเมตร และสถานีใต้ดิน 2 สถานี
3. เตาปูน-ท่าพระ ระยะทาง 13 กิโลเมตร มีสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา 1 แห่ง และสถานียกระดับ 8 สถานี
4. ท่าพระ-หลักสอง ระยทาง 9 กิโลเมตร สถานียกระดับ 7 สถานี อาคารจอดรถบริเวณปลายสายทาง 1 แห่ง ศูนย์ซ่อมบำรุง 1 แห่งบริเวณซอยเพชรเกษม 48 และทางวิ่งเข้าศูนย์ซ่อมบำรุง ระยะทาง 1.5 กิโลเมตร
5.งานระบบราง ระยะทาง 70 กิโลเมตร ซึ่งรวมระบบรางในศูนย์ซ่อมบำรุงด้วย
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

ความคิดเห็นของ KKS :
หลังจากรถไฟฟ้าสายสีม่วง สัญญาที่1 ได้มีการเซ็นสัญญาแล้วเสร็จ โดยสัญญาที่ 2 และ 3 รอการตรวจสอบผลการประกวดจากไจก้า คาดลงนามเซ็นสัญญาได้ภายใน เดือน ตค.52 โดยมีความคืบหน้าของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเป็นสายถัดไปที่ทางภาครัฐพยายามกระตุ้นให้มีความต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะได้ชื่อผู้รับเหมาภายในช่วยครึ่งปีแรกของปี53(1H53)
สำหรับประเด็นดังกล่าวมองเป็นมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้างซึ่งจะส่งผลงานในมือสะท้อนต่อการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นและต่อเนื่องต่อกลุ่ม โดยมองกลุ่มรับเหมาก่อสร้างมีโอกาสรับงานทั่วถึงกัน จากจำนวน 5 สัญญาของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน แนะนำ เก็งกำไร โดยมีราคาที่เหมาะสม ITD =4.42 บาท CK=5.76 บาท STEC = 5.62 บาท และ SEAFCO = 4.32 บาท โดยให้น้ำหนักของกลุ่มเท่ากับตลาด
www.thunhoon.com
************
16/09/52
สมาคมอสังหาฟันธงปีหน้าหมดยุคบ้านราคาถูก
ผู้ประกอบการอสังหาฯ นายแบงก์ประเมินปีหน้าบ้านราคา 1.5-3 ล้านบาท ปรับขึ้นแน่ ผลจากมาตรการภาษีหมดอายุ และต้นทุนวัสดุก่อสร้างพุ่ง
นายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวในงานสัมมนา "เปิดทำเลทอง-ไขก๊อกสินเชื่อบ้าน" จัดโดยเครือเนชั่น ร่วมกับ 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ ว่า

แนวโน้มราคาบ้านในปีหน้ามีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากผลจากมาตรการลดหย่อนภาษีที่จะหมดอายุในช่วงสิ้นเดือนมีนาคม 53 รวมทั้งต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนราคาปูนและเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่จะน่าขยับเพิ่มขึ้น

"ต้นทุนเหล็กที่เคยอยู่ที่ 1.6 หมื่นบาทต่อตัน วันนี้ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1.9-2 หมื่นบาท เพิ่มขึ้น 10% ขณะที่ราคาปูนจากลูกละ 80 บาท ขึ้นมาเป็น 100 บาท เพิ่มขึ้นถึง 20% รวมถึงราคาน้ำมันจาก 50 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มเป็น 70 เหรียญ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัว ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์มีต้นทุนการขนส่งเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาบ้านปรับตัวขึ้นแน่นอน โดยเฉพาะบ้านราคา 1.5-3 ล้านบาท มากกว่าบ้านราคา 1-1.2 ล้านบาท ที่ยังได้รับการสนับสนุนจากบีโอไอ"

สำหรับจังหวะการซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัย นายอิสระ แนะนำว่า ควรซื้อในช่วงปีนี้ เนื่องจากราคาบ้านยังไม่ปรับตัว รวมทั้งดอกเบี้ยยังไม่ขยับ อย่างไรก็ตาม ต้องดูศักยภาพการผ่อนชำระของครอบครัว

ส่วนการลงทุนในภาคอสังหาฯ ผู้ลงทุนยังได้รับผลตอบแทนจากค่าเช่าที่ดี แต่ต้องเลือกทำเลที่ดี เพราะการลงทุนในอสังหาฯ นั้นยังเอาชนะเงินเฟ้อได้ดี แต่มีข้อด้อยคือสภาพคล่องต่ำ ขายได้ยากกว่าทองคำ

ด้านนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ทิศทางการขยายตัวของสินเชื่อบ้านดีขึ้นมาก โดยครึ่งแรกของปีนี้ขยายตัว 2.2% และทั้งปีคาดว่าจะขยายตัว 7% และปีหน้าคาดขยายตัว 7.8%

การขยายตัวของสินเชื่อบ้านเป็นผลมาจากเป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำ รวมทั้งไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโลก และปัจจัยลบด้านการเมือง ประกอบกับสินเชื่อบ้านเป็นการพึ่งพาการใช้จ่ายในประเทศ ทำให้แบงก์ต่างเร่งปล่อยสินเชื่อ

สำหรับทิศทางดอกเบี้ยในปีนี้ คาดว่า จะยังทรงตัวในระดับต่ำ แต่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีนี้ แต่จะไม่รวดเร็ว เนื่องจากสภาพคล่องในตลาดยังสูงถึง 7 ล้านล้านบาท จึงไม่น่าเป็นห่วงว่าดอกเบี้ยจะขึ้นในปีนี้ ทำให้ปีนี้เป็นจังหวะของคนซื้อบ้านราคาถูกกว่าปีหน้า ซึ่งผู้บริโภคควรซื้อบ้านในจังหวะที่ถูก และยังมีมาตรการทางภาษีซึ่งจะมีถึงสิ้นเดือนมีนาคม 53 แต่หลังจากนั้นคาดว่า อสังหาฯ จะปรับเพิ่มขึ้นจากต้นทุนทางภาษีที่จะถูกบวกเป็นต้นทุนราคาบ้านอีก 6-7
กรุงเทพธุรกิจ
************
14/09/52
พาณิชย์ปัดขึ้นราคาเหล็ก
รมว.พาณิชย์ ปฏิเสธข่าวไฟเขียวขึ้นราคาขายเหล็ก ระบุสต๊อกเยอะ ยืดไปได้ปีหน้า ผู้ประกอบการยันไม่กระเทือน

สำหรับในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนแห่เข้าซื้อหุ้นกลุ่มเหล็กเพราะเก็งกำไรจากข่าวกระทรวงพาณิชย์มีนโยบายจะปรับขึ้นราคาขายปลีก หลังต้นทุนและความต้องการเพิ่มขึ้น
นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่มีนโยบายปรับขึ้นราคาเหล็กและคาดว่าจะยืดเวลาได้ไปถึงปีหน้า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ประกอบการมีเหล็กในสต๊อกจำนวนมาก

ทั้งนี้ นโยบายของรมว.พาณิชย์ ดูเหมือนจะขัดแย้งกับคำให้สัมภาษณ์ของนางวัชรี วิมุกตายน รองอธิบดีกรมการค้าภายใน ก่อนหน้านี้ว่ากรมจะเชิญผู้ประกอบการเหล็กมาหารือถึงสถานการณ์ราคาที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะขณะนี้ความต้องการใช้เพิ่มขึ้น และต้นทุนการผลิตก็เพิ่มขึ้นแล้ว ทำให้ราคาขายจริงใกล้เคียง กับราคาเพดาน โดยเหล็กกลมขนาด 9 มิลลิเมตร ราคาเพดานเส้นละ 136.75 บาท แต่ขายจริงเส้นละ 107-110 บาท

แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์นี้จะมีการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาราคาเหล็กเพื่อติดตามและประเมินสถานการณ์เท่านั้น ขณะที่สถานการณ์ราคาเหล็กยังอยู่ในภาวะปกติ ไม่ได้สูงกว่าราคาแนะนำที่ตั้งไว้

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า แนวโน้มราคาเหล็กขณะนี้ขยับตัวขึ้นนิดหน่อย เช่น เหล็กเส้นราคา 19.50 บาทต่อกิโลกรัม จากเมื่อช่วงต้นปีที่มีราคา 15-16 บาทต่อกิโลกรัม เหล็กแผ่น รีดร้อนราคา 24-25 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมราคา 19 บาทต่อกิโลกรัม เป็นต้น เนื่องจากราคาวัตถุดิบจากต่างประเทศปรับตัวสูงขึ้น เช่น ราคาเศษเหล็กมีราคา 10 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมในช่วงต้นปีที่มีราคา 5-6 บาทต่อกิโลกรัม

ประกอบกับปริมาณความต้องการใช้จริงยังมองเห็นไม่ชัด เพราะไม่แน่ใจว่าเกิดจากความต้องการจริง หรือสั่งซื้อเพื่อเพิ่มสต๊อก ทำให้ราคาเหล็กอยู่ในช่วงขาขึ้น

อย่างไรก็ตาม ราคาที่ปรับสูงขึ้นก็ยังไม่สูงเท่ากับราคาเดิมในภาวะปกติและราคายังสูงไม่เกินราคาแนะนำที่ตั้งไว้

นายวีรศักดิ์ ชัยสุพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเอสพี สตีลเซ็นเตอร์ (CSP) กล่าวว่า แผ่นเหล็กรีดร้อนและแผ่นเหล็กรีดเย็น ซึ่งเป็นเหล็กที่ใช้ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่ถูกควบคุมราคาจากกระทรวงพาณิชย์ แต่ราคาจะขึ้นลงตามกลไกตลาด ซึ่งเป็นไปตามความต้องการซื้อและขาย

นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า ราคาเหล็กรีดร้อนและเหล็กรีดเย็นในปัจจุบันยังต่ำกว่าราคากลาง 26-27 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาอ้างอิงของกระทรวงพาณิชย์อีกมาก

“ราคากลางของกระทรวงพาณิชย์เพดานยังสูง และที่ผ่านมาราคาขายไม่เคยถึงเพดาน ซึ่งแนวโน้มราคาขายเหล็กของซีเอสพีฯ มีโอกาสขึ้นได้อีก 5% ซึ่งเป็นไปตามกลไกตลาดที่ต้นทุนและค่าการผลิตผลักดันราคาขึ้นมา” นายวีรศักดิ์ กล่าว

นายบุญชัย จิระพงษ์ตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยง้วนเมทัล (TYM) กล่าวว่า หากกระทรวงพาณิชย์ไม่ปรับขึ้นราคาเหล็ก คาดว่าไม่มีผลอะไรกับผู้ประกอบการเหล็ก เนื่องจากขณะนี้ราคาขายเหล็กยังไม่ชนเพดานและเหลือเพดานอีกมาก ซึ่งเหล็กของไทยง้วนฯ เป็นเหล็กม้วนที่นำมาแปรรูปเป็นเหล็กตัวซีและเหล็กท่อ ไม่อยู่ในการควบคุมของกระทรวงพาณิชย์

สำหรับเหล็กที่ถูกควบคุมราคาเป็นเหล็กเส้น เหล็กรูปพรรณ ที่ใช้ ในโครงสร้างการก่อสร้าง หากไม่ควบคุมจะต้องกับกระทบต้นทุนการ ก่อสร้าง
posttoday
***********
10/09/52
ครึ่งหลังดีมานด์เหล็กทะลักสอย' MILL-TSTH-SSI' เด่น
กลุ่มเหล็กคึกรับครึ่งหลัง หลังดีมานด์จีนล้นหนุนราคาพุ่งรับโครงการเหล็กต้นน้ำในประเทศ บิ๊ก MILL การันตีถึงช่วงขาขึ้น เตรียมรับออเดอร์ใหม่หนุนปีนี้รายได้โต 1 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่ทำได้ 9 พันกว่าล้านบาท ด้าน GSTEEL เริ่มสร่างไข้ เชื่อผลการดำเนินงานครึ่งหลังคล่องตัวปัญหาสภาพคล่องหายห่วง ด้านโบรกเทใจเชียร์ TSTH-SSI แจ่มสุดแนะ "ซื้อ"
************
02/09/52
กสิกรฯคาดราคาเหล็กผันผวนในครึ่งปีหลัง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาด ราคาเหล็ก ทองแดง และอลูมิเนียม ยังคงผันผวนในครึ่งปีหลัง เหตุเศรษฐกิจจีนมีความไม่แน่นอนสูง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยด้วิเคราะห์ถึงราคาเหล็ก ทองแดง และอลูมิเนียมในตลาดโลกในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 ว่าจะยังคงผันผวนมาก จากปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน อาทิ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ยังมีปัจจัยเสี่ยงและความไม่แน่นอนสูง รวมถึงภาคการส่งออกของจีนที่ยังคงมีปัญหา ซึ่งจะกระทบต่อการลงทุนในอนาคต

โดยราคาทองแดง และอลูมิเนียมมีแนวโน้มที่จะผันผวนสูงกว่า และมีโอกาสปรับลดราคาลงได้มากกว่าเหล็ก เนื่องจากมีปัจจัยด้านการเก็งกำไรที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยค่อนข้างมากกว่าราคาเหล็ก โดยเฉพาะราคาทองแดง ที่มีแนวโน้มผันผวนสูงสุด เนื่องจากมีการเข้ามาเก็งกำไรสูงมากจากที่เป็นโลหะที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าโลหะอื่นๆตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามจากปัจจัยสนับสนุนจากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่เริ่มดีขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีผลทำให้อุปสงค์ต่อโลหะยังคงมีอยู่มาก ส่งผลให้ราคาทองแดง และอลูมิเนียม แม้จะมีความผันผวนสูงแต่ก็จะไม่ปรับลดลงไปสู่ระดับเดียวกับช่วงปลายปี 2551 และช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2552 ขณะที่ราคาเหล็กมีแนวโน้มผันผวนน้อยกว่า และอาจรักษาระดับเสถียรภาพของราคาที่ระดับสูงได้มากกว่าทองแดงและอลูมิเนียม เนื่องจากมีการนำเข้ามาเพื่อเก็บสต๊อกไม่สูงเกินไปกว่าอุปสงค์ในตลาดมากนักและมีการเก็งกำไรน้อยกว่า รวมถึงล่าสุดรัฐบาลจีนมีแนวโน้มที่ควบคุมความสามารถในการผลิตเหล็กในปัจจุบันที่สูงเกินไป ทำให้ปริมาณเหล็กในตลาดมีแนวโน้มที่ลดลง ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยลดความผันผวนของราคาได้ในระยะต่อไป

จากทิศทางราคาโลหะพื้นฐานที่คาดว่าจะผันผวนนี้ ย่อมส่งผลกระทบในหลายด้านกับภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจที่มีสินค้าโลหะเป็นวัตถุดิบในการผลิต และภาคธุรกิจผลิตและส่งออกสินค้าโลหะ ดังนั้นผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องมีการวางแผนการซื้อขาย และการสต๊อกสินค้าโลหะให้รัดกุมแต่ยังคงยืดหยุ่นได้ค่อนข้างมาก โดยอาจทำสัญญาซื้อขายในระยะสั้นเพื่อจะได้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงราคาอย่างรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา รวมถึงพร้อมที่จะปรับการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าที่อาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญที่สุด ผู้ประกอบการควรติดตามทิศทางความต้องการของตลาดอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะทิศทางการนำเข้าโลหะของจีน รวมถึงผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดราคาโลหะ นอกจากนี้ควรติดตามความคืบหน้าของการฟื้นตัวของประเทศเศรษฐกิจหลักซึ่งเป็นประเทศผู้นำเข้าสินค้าจากจีนที่สำคัญด้วย ซึ่งจะมีผลต่อกิจกรรมการผลิตในประเทศจีน และเป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อราคาโลหะใน
กรุงเทพธุรกิจ
************
2/09/52
ตัวเลขใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน ไตรมาส 2 ปี 2552
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เผยตัวเลขใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน ไตรมาส 2 ปี 2552
การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศ แสดงจำนวนโครงการ ไตรมาส 2 ปี 2552

ภาพรวมทั้งประเทศ มีจำนวน 55 โครงการ ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2552 ที่ 45% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2551 ที่ 35% ภาพรวมครึ่งปีแรก 2552 ลดลงกว่าภาพรวมครึ่งปีแรก 2551 ที่ 9% โดยจังหวัดที่มีการลดลงมากที่สุด คือ จังหวัดชลบุรี ส่วนจังหวัดที่มีการเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ จังหวัดระยอง และจังหวัดอุบลราชธานี รายละเอียดมีดังนี้

กรุงเทพฯ มีจำนวน 20 โครงการ ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2552 ที่ 9% แต่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2551 ที่ 122% ภาพรวมครึ่งปีแรก 2552 เพิ่มขึ้นกว่าภาพรวมครึ่งปีแรก 2551 ที่ 35%

5 จังหวัดปริมณฑล มีจำนวน 8 โครงการ ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2552 ที่ 80% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2551 ที่ 70% ภาพรวมครึ่งปีแรก 2552 ลดลงกว่าภาพรวมครึ่งปีแรก 2551 ที่ 11% โดยมี 3 จังหวัดที่มีการหดตัวมากที่สุด ได้แก่ นนทบุรี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเป็นจำนวนมากในปีก่อนหน้านี้

7 จังหวัดภาคเหนือที่มีการสำรวจ มีจำนวน 5 โครงการ ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2552 ที่ 29% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2551 ที่ 55% ภาพรวมครึ่งปีแรก 2552 ลดลงกว่าภาพรวมครึ่งปีแรก 2551 ที่ 29% โดยจังหวัดที่มีการลดลงมากที่สุด คือ เชียงใหม่ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเป็นจำนวนมากในปีก่อนหน้านี้

9 จังหวัดภาคกลางที่มีการสำรวจ มีจำนวน 8 โครงการ ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2552 ที่ 47% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2551 ที่ 20% แต่ภาพรวมครึ่งปีแรก 2552 เพิ่มขึ้นจากภาพรวมครึ่งปีแรก 2551 ที่ 18% โดยจังหวัดที่มีการลดลงมากที่สุด คือ ประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเป็นจำนวนมากในปีก่อนหน้านี้

3 จังหวัดภาคตะวันออกที่มีการสำรวจ มีจำนวน 8 โครงการ ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2552 ที่ 27% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2551 ที่ 20% ภาพรวมครึ่งปีแรก 2552 ลดลงจากภาพรวมครึ่งปีแรก 2551 ที่ 30% โดยจังหวัดที่มีการลดลงมากที่สุด คือ ชลบุรี เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเป็นจำนวนมากในปีก่อนหน้านี้

6 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีการสำรวจ มีจำนวน 5 โครงการ เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2552 ที่ 400% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2551 ที่ 17% ภาพรวมครึ่งปีแรก 2552 ลดลงจากภาพรวมครึ่งปีแรก 2551 ที่ 14% โดยจังหวัดที่มีการลดลงมากที่สุด คือ ขอนแก่น เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเป็นจำนวนมากในปีก่อนหน้านี้ ส่วนจังหวัดที่มีการเพิ่มขึ้นสูงที่สุด คือ อุบลราชธานี เนื่องจากก่อนหน้านี้ มีรายงานการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินน้อยมาก

4 จังหวัดภาคใต้ที่มีการสำรวจ มีจำนวน 1 โครงการ ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2552 ที่ 75% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2551 ที่ 92% ภาพรวมครึ่งปีแรก 2552 ลดลงจากภาพรวมครึ่งปีแรก 2551 ที่ 67% โดยจังหวัดที่มีการลดลงมากที่สุด คือ ภูเก็ต เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเป็นจำนวนมากในปีก่อนหน้านี้

การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศ แสดงจำนวนหน่วย ไตรมาส 2 ปี 2552

ภาพรวมทั้งประเทศ มีจำนวน 7,829 หน่วย ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2552 ที่ 56% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2551 ที่ 42% ภาพรวมครึ่งปีแรก 2552 ลดลงกว่าภาพรวมครึ่งปีแรก 2551 ที่ 6% รายละเอียดมีดังนี้

กรุงเทพฯ มีจำนวน 3,843 หน่วย ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2552 ที่ 5% แต่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2551 ที่ 193% ภาพรวมครึ่งปีแรก 2552 เพิ่มขึ้นกว่าภาพรวมครึ่งปีแรก 2551 ที่ 72%

5 จังหวัดปริมณฑล มีจำนวน 1,298 หน่วย ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2552 ที่ 86% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2551 ที่ 81% ภาพรวมครึ่งปีแรก 2552 ลดลงกว่าภาพรวมครึ่งปีแรก 2551 ที่ 7% โดยมี 3 จังหวัดที่มีการหดตัวมากที่สุด ได้แก่ นนทบุรี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเป็นจำนวนมากในปีก่อนหน้านี้

7 จังหวัดภาคเหนือที่มีการสำรวจ มีจำนวน 259 หน่วย ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2552 ที่ 56% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2551 ที่ 73% ภาพรวมครึ่งปีแรก 2552 ลดลงกว่าภาพรวมครึ่งปีแรก 2551 ที่ 43% โดยจังหวัดที่มีการลดลงมากที่สุด คือ เชียงใหม่ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเป็นจำนวนมากในปีก่อนหน้านี้

9 จังหวัดภาคกลางที่มีการสำรวจ มีจำนวน 1,292 หน่วย ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2552 ที่ 46% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2551 ที่ 15% ภาพรวมครึ่งปีแรก 2552 เพิ่มขึ้นจากภาพรวมครึ่งปีแรก 2551 ที่ 85% โดยจังหวัดที่มีการลดลงมากที่สุด คือ ประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเป็นจำนวนมากในปีก่อนหน้านี้ ส่วนจังหวัดที่มีการเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ ฉะเชิงเทรา

3 จังหวัดภาคตะวันออกที่มีการสำรวจ มีจำนวน 698 หน่วย ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2552 ที่ 5% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2551 ที่ 31% ภาพรวมครึ่งปีแรก 2552 ลดลงจากภาพรวมครึ่งปีแรก 2551 ที่ 39% โดยจังหวัดที่มีการลดลงมากที่สุด คือ ชลบุรี เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเป็นจำนวนมากในปีก่อนหน้านี้ ส่วนจังหวัดที่มีการเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ จังหวัด ระยอง

6 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีการสำรวจ มีจำนวน 393 หน่วย เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2552 ที่ 75% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2551 ที่ 51% ภาพรวมครึ่งปีแรก 2552 ลดลงจากภาพรวมครึ่งปีแรก 2551 ที่ 28% โดยจังหวัดที่มีการลดลงมากที่สุด คือ ขอนแก่น เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเป็นจำนวนมากในปีก่อนหน้านี้ ส่วนจังหวัดที่มีการเพิ่มขึ้นสูงที่สุด คือ อุบลราชธานี เนื่องจากก่อนหน้านี้ มีรายงานการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินน้อยมาก

4 จังหวัดภาคใต้ที่มีการสำรวจ มีจำนวน 46 หน่วย ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2552 ที่ 93% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2551 ที่ 96% ภาพรวมครึ่งปีแรก 2552 ลดลงจากภาพรวมครึ่งปีแรก 2551 ที่ 49% โดยจังหวัดที่มีการลดลงมากที่สุด คือ ภูเก็ต เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเป็นจำนวนมากในปีก่อนหน้านี้

การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศ แสดงจำนวนหน่วยแยกประเภทที่อยู่อาศัย ประกอบด้วย ที่ดินเปล่า บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ อาคารพาณิชย์ ไตรมาส 2 ปี 2552

ภาพรวมทั้งประเทศ มีจำนวน 7,829 หน่วย แบ่งเป็น ที่ดินเปล่า 763 หน่วย คิดเป็น 10% ของทั้งหมด บ้านเดี่ยว 1,890 หน่วย คิดเป็น 24% ของทั้งหมด บ้านแฝด 1,361 หน่วย คิดเป็น 17% ทาวน์เฮ้าส์ 3,388 หน่วย คิดเป็น 43% และอาคารพาณิชย์ 427 หน่วย คิดเป็น 5%

กรุงเทพฯ มีจำนวน 3,843 หน่วย แบ่งเป็น ที่ดินเปล่า 273 หน่วย บ้านเดี่ยว 1,117 หน่วย บ้านแฝด 691 หน่วย ทาวน์เฮ้าส์ 1,648 หน่วย และอาคารพาณิชย์ 114 หน่วย

5 จังหวัดปริมณฑล มีจำนวน 1,298 หน่วย แบ่งเป็น ที่ดินเปล่า 13 หน่วย บ้านเดี่ยว 150 หน่วย บ้านแฝด 199 หน่วย ทาวน์เฮ้าส์ 845 หน่วย และอาคารพาณิชย์ 91 หน่วย โดยจังหวัดที่มีจำนวนหน่วยมากที่สุด คือ จังหวัดสมุทรปราการ

7 จังหวัดภาคเหนือที่มีการสำรวจ มีจำนวน 259 หน่วย แบ่งเป็น ที่ดินเปล่า 166 หน่วย บ้านเดี่ยว 7 หน่วย บ้านแฝด 0 หน่วย ทาวน์เฮ้าส์ 16 หน่วย และอาคารพาณิชย์ 70 หน่วย โดยจังหวัดที่มีจำนวนหน่วยมากที่สุด คือ จังหวัดเชียงใหม่

9 จังหวัดภาคกลางที่มีการสำรวจ มีจำนวน 1,292 หน่วย แบ่งเป็น ที่ดินเปล่า 138 หน่วย บ้านเดี่ยว 162 หน่วย บ้านแฝด 370 หน่วย ทาวน์เฮ้าส์ 622 หน่วย และอาคารพาณิชย์ 0 หน่วย โดยจังหวัดที่มีจำนวนหน่วยมากที่สุด คือ จังหวัดฉะเชิงเทรา

3 จังหวัดภาคตะวันออกที่มีการสำรวจ มีจำนวน 698 หน่วย แบ่งเป็น ที่ดินเปล่า 114 หน่วย บ้านเดี่ยว 204 หน่วย บ้านแฝด 101 หน่วย ทาวน์เฮ้าส์ 191 หน่วย และอาคารพาณิชย์ 88 หน่วย โดยจังหวัดที่มีจำนวนหน่วยมากที่สุด คือ จังหวัดระยอง

6 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีการสำรวจ มีจำนวน 393 หน่วย แบ่งเป็น ที่ดินเปล่า 59 หน่วย บ้านเดี่ยว 250 หน่วย บ้านแฝด 0 หน่วย ทาวน์เฮ้าส์ 20 หน่วย และอาคารพาณิชย์ 64 หน่วย โดยจังหวัดที่มีจำนวนหน่วยมากที่สุด คือ จังหวัดอุบลราชธานี

4 จังหวัดภาคใต้ที่มีการสำรวจ มีจำนวน 46 หน่วย แบ่งเป็น ที่ดินเปล่า 0 หน่วย บ้านเดี่ยว 0 หน่วย บ้านแฝด 0 หน่วย ทาวน์เฮ้าส์ 46 หน่วย และอาคารพาณิชย์ 0 หน่วย โดยจังหวัดกระบี่เป็นเพียงจังหวัดเดียวที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน

กรุงเทพธุรกิจ
***********
20/08/52
กลุ่มปูนเฮโครงการรัฐหนุนดีมานต์
ทันหุ้น-กลุ่มปูนครึ่งปีหลังสัญญาณฟื้น รับอานิสงต์รัฐเดินหน้าโครงการสาธานณูปโภคถนนปลอดฝุ่น-รถไฟฟ้า จ่อลงเสาเข็มปีหน้า หนุนความต้องการใช้พุ่ง โบรกมองได้จังหวะสะสมช่วงราคาหุ้นอ่อนตัว ชู SCC เด่นทางเทคนิค ให้แนวรับ 180 บาท แนวต้าน 195 บาท
ราคาหุ้นกลุ่มซีเมนต์วานนี้ (19 ส.ค.) SCC ปิดตลาดที่ระดับ 185.50 บาท ลดลง 5.00 บาท หรือ 2.62% มูลค่าซื้อขายรวม 644.27 ล้านบาท หุ้น SCCC ปิดตลาดทรงตัวที่ระดับ 210 บาท มูลค่าซื้อขายรวม 35.54 ล้านบาท และหุ้น TPIPL ปิดตลาดที่ระดับ 7.15 บาท ลดลง 0.30 บาท หรือ 4.03% มูลค่าซื้อขายรวม 80.50 ล้านบาท
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการ อนุมัติแผนลงทุนไทยเข้มแข็งของ ครม. ประเภทที่ 1 มูลค่า 1.06 ล้านล้านบาทในช่วงปี 2552-2555 ซึ่งแยกเป็นการลงทุนของรัฐบาลโดยตรง 8.24 แสนล้านบาท และการให้รัฐวิสาหกิจลงทุนอีก 2.39 แสนล้านบาท
รวทั้งยังมีอนุมัติจัดสรรเงินกู้ในโครงการไทยเข้มแข็งงวดแรกประมาณ 2 แสนล้านบาท สำหรับที่จะลงทุนในปี 2553 โดยแยกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ เกษตร (การจัดการชลประทานน้ำ), สาธารณูปโภค (ถนนปลอดฝุ่น), การศึกษา รวมทั้งการสาธารณสุข โดยงบจะเบิกจ่ายในไตรมาส 4/2552 ประมาณ 2.7 หมื่นล้านบาท หรือน้อยกว่านั้น โดยโครงการถนนปลอดฝุ่น 901 สายทั่วประเทศน่าจะเริ่มเป็นอันแรก
ส่วนที่เหลือก็จะเป็นการเบิกจ่ายในปี 2553 ดังนั้นมอง่าวส่งผลเชิงบวกทางจิตวิทยาในหุ้นกลุ่มซีเมนต์จากโครงการถนนดังกล่าวข้างต้น โดยหุ้นเด่นที่ยังคงแนะนำ คือ SCC และ SCCC ซึ่งในช่วงที่นักลงทุทยอยทำกำไรเป็นจังหวะที่เข้าไปเก็บหุ้นดังกล่าว
สำหรับหุ้น SCC คืนโดยมองว่ากำไรไตรมาส 3/2552 จะแข็งแกร่ง จากราคาปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้น 660 บาท/ตันในเดือนสิงหาคม และความต้องการใช้ปูนคาดว่าจะขยายตัว 0-5% จากไตรมาสก่อน ส่วนธุรกิจปิโตรเคมี HDPE  Naphtha เป็นช่วงไฮซีซั่นมีการใช้กำลังการผลิตเต็มกำลังและมีคำสั่งซื้อเต็มถึงเดือนสิงหาคมนี้ด้วย
นายเตชธร ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การปรับตัวลดลงของราคาหุ้นในกลุ่มปูนในช่วงนี้ ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีในการเก็บหุ้นอีกครั้ง เพราะมองว่าหุ้นกลุ่มปูนยังได้รับอานิสงต์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด ครม.ได้มีมติอนุมัติเม็ดเงินในการลงทุนด้านสาธารณูปโภค เช่น ถนนปลอดฝุ่น ซึ่งคาดว่าโครงการดังกล่าวจะมีการเบิกจ่ายงบได้ในช่วงไตรมาส 4/2552 ดังนั้นคาดว่ากลุ่มปูนจะได้ปรับประโยชน์จากโครงการดังกล่าว จากความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้น และจะมีโครงการรถไฟฟ้าที่จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในช่วงต้นปี 2533 อีกด้วย
ดังนั้นจึงแนะนำ ซื้อเมื่ออ่อนตัวŽ หุ้นกลุ่มปูน โดยเลือก SCC เด่นสุด ให้แนวรับ 180 บาท แนวต้าน 195 บาท รองลงมาหุ้น SCCC ให้แนวรับ 200 บาท แนวต้าน 220 บาท และหุ้น TPIPL ให้แนวรับ 7.10 บาท แนวต้าน 7.50 บาท
stock in focus
***********
12/08/52
7บจ.อสังหาโชว์กำไรรวมโตงาม5%

7 บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โชว์ผลงานแจ๋ว กำไรสุทธิรวม 3,833.61 ล้านบาท โตกว่า 5% แต่พี่ใหญ่แลนด์แอนด์เฮ้าส์ลดลง

บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประเภทผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัย จำนวน 7 บริษัท รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2552 ออกมา ส่วนใหญ่มีผลกำไรเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
ประกอบด้วยบริษัท ปริญสิริ (PRIN) มีกำไรสุทธิ 175.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83.05 ล้านบาท หรือ 89.48% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิเพียง 92.81 ล้านบาท

บริษัท ศุภาลัย (SUPALI) กำไรสุทธิ 686.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 210 ล้านบาท หรือ 44% เทียบช่วงเดียวกันปี 2551 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 476.36 ล้านบาท โดยประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลอัตราหุ้นละ 0.25 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 5.86% เทียบกับราคาหุ้นที่ 4.26 บาท

บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) กำไรสุทธิ 405.34 ล้านบาท เพิ่มเล็กน้อย เทียบช่วงปีก่อน ซึ่งกำไรสุทธิ 404.77 ล้านบาท

บริษัท เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (AP) กำไรสุทธิ 350.25 ล้านบาท ลดลง 145.77 ล้านบาท หรือ 29.38% ขณะที่ช่วงเดียวกันกำไรสุทธิ 496 ล้านบาท

บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) กำไรสุทธิ 473.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.37 ล้านบาท หรือ 9.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตส (PS) กำไรสุทธิ 639.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.94 ล้านบาท หรือ 2.39% ขณะที่ช่วงเดียวกันปีก่อน กำไรสุทธิ 624.44 ล้านบาท

บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) กำไรสุทธิ 1,102.85 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 12.3 ล้านบาท หรือ 1.10% เทียบช่วงเดียวกันซึ่งมีกำไรสุทธิ 1,115.15 ล้านบาท โดยประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.16 บาท ภายในวันที่ 11 ก.ย. ให้แก่ผู้ถือหุ้นที่มีชื่อในทะเบียนวันที่ 26 ส.ค. 2552

สรุปผลดำเนินงานทั้ง 7 บริษัท พบว่า มีกำไรสุทธิรวม 3,833.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 192.91 ล้านบาท หรือ 5.29% จากผลรวมช่วงเดียวกันปี 2551 ที่มีกำไรสุทธิรวม 3,640 ล้านบาท

นักวิเคราะห์บล.คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) มองแนวโน้มผลดำเนินงานไตรมาส 3 เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝน มักส่งผลต่องานก่อสร้าง และรับรู้รายได้ แต่จะกลับมาเติบโตอีกครั้งช่วงไตรมาส 4

“หุ้นกลุ่มนี้เข้าสู่การพักตัว จากปัจจัยราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นสูง การเข้าสู่หน้าฝน และราคาน้ำมันที่เริ่มสูงกระทบต้นทุนดำเนินงาน และความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ ควรเลือกเช้าลงทุนในหุ้นที่มีปันผลรอบครึ่งปีสูงและเลี่ยงหุ้นที่ราคาเกินมูลค่าพื้นฐาน หรือราคาขึ้นไม่มาก”

่บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูง เช่น SPALI QH และ PS

ด้านบล.เกียรตินาคิน ประเมินแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเป็นหลัก
posttoday
stock in focus,property
************
12/08/52
อสังหาริมทรัพย์ครึ่งหลังแนวโน้มดี

นักวิเคราะห์สถาบันวิจัยนครหลวงไทย (SCRI) ประเมินว่า กิจกรรมของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งหลังปี 2552 จะเริ่มปรับเพิ่มขึ้น

จากระดับของความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่คาดว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในเดือน พ.ค. 2552 ที่ผ่านมา ขณะที่ระดับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำสุดในรอบ 4 ปี และมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ โดยเฉพาะการลดหย่อนบ้านหลังแรก 3 แสนบาท ที่จะหมดอายุในปีนี้ จะเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคมากขึ้น

SCRI คาดว่าผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากการแข่งขันที่สูงขึ้นจากการระบายสินค้าคงค้าง ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากการทำการส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการ และประเมินว่าอัตราการกู้ไม่ผ่านจะเริ่มลดลงจากการเร่งปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน จึงยังคงเลือกหุ้นบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) และบริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) เป็นหุ้นที่แนะนำให้ลงทุนสูงสุดของกลุ่ม

QH : เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายหนึ่งที่จะเติบโตแข็งแกร่งในครึ่งหลังปี 2552 และ 2553 ขณะที่การเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการคอนโดมิเนียม 2 แห่ง จะเป็นปัจจัยต่อยอดการเติบโตในปี 2552 ให้โดดเด่นกว่ากลุ่ม (ราคาที่เหมาะสมในปี 2552 เท่ากับ 2.20 บาทต่อหุ้น)

PS : ผลจากประโยชน์ด้านภาษีของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่ง PS จัดเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดรายหนึ่ง และยอดขาย (Presale) ที่สูงเป็นประวัติการณ์ของบริษัท ทำให้ฐานะของงานในมือ (Backlog) ในช่วงครึ่งหลังปี 2552-2554 แข็งแกร่งมากขึ้น (ราคาที่เหมาะสมในปี 2553 เท่ากับ 11.80 บาทต่อหุ้น)

“เรามีความกังวลต่อสินค้าคงค้างในปี 2552 น้อยลง จากประมาณการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในปี 2552 ที่คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 5.9 หมื่นหน่วย หรือลดลง 12.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าของที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่จะลดลงเพียง 10% เท่ากับประมาณ 1.66 แสนล้านบาท”

ตัวเลขจาก Agency for Real Estate Affair (AREA) พบว่าจำนวนที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ 7 เดือนแรกปี 2552 เท่ากับ 23,820 หน่วย ลดลง 48% หรือเท่ากับ 40% ของประมาณการ ขณะที่มูลค่าของโครงการที่เปิดขายใหม่เท่ากับ 79,841 ล้านบาท ลดลง 34.8% และคิดเป็น 48% ของประมาณการของเรา

เบื้องต้น SCRI จะคงประมาณการดังกล่าวไว้ เนื่องจากคาดว่ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะเริ่มฟื้นตัว แต่สัดส่วนที่น้อยกว่าคาดเป็นปัจจัยที่ช่วยลดความกังวลต่อระดับสินค้าคงค้างในตลาดของปีนี้ลง

จำนวนที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เดือนก.ค. ลดลง 31.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 15.2% จากเดือนมิ.ย. ผลจากระดับความเชื่อมั่นของทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่เริ่มฟื้นตัวตามคาด ทำให้เริ่มเห็นการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้น โดยผู้ประกอบการที่เปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาด คือ บริษัท เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (AP) บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) และบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT)

ข้อมูลจาก AREA เดือนก.ค. 2552 พบว่ามีจำนวนที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เท่ากับ 3,562 หน่วย เป็นระดับที่ลดลง 37.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 15.2% จากเดือน มิ.ย. โดยในเดือนนี้สัดส่วนของที่อยู่อาศัยที่เปิดขายมากที่สุดยังคงเป็นหน่วยคอนโดมิเนียม ที่มีสัดส่วน 57% หรือ 2,013 หน่วย และสัดส่วนอันดับ 2 คือ หน่วยประเภททาวน์เฮาส์ ที่มีสัดส่วน 38.7% หรือจำนวน 1,380 หน่วย มูลค่าตลาดของสินค้าใหม่ลดลง 2.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 98.6% จากเดือนมิ.ย.

มูลค่าตลาดของหน่วยที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในเดือนก.ค. 2552 เท่ากับ 12,765 ล้านบาท ลดลง 2.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 98.6% จากเดือนมิ.ย. โดยสัดส่วนมูลค่าที่สูงที่สุด คือ มูลค่าจากโครงการคอนโดมิเนียมที่สูงถึง 9,503 ล้านบาท หรือเป็นสัดส่วน 74.4% ซึ่งในเดือนนี้มีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียม Super Hi-End จาก MINT คือ St.Regis มูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาท ราคาขายต่อหน่วยเฉลี่ยเท่ากับ 3.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ 2.08 ล้านบาท สูงที่สุดในรอบปี

จากการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมระดับสูงของ MINT ซึ่งมีเพียง 53 หน่วย แต่มีราคาขายรวม 4,500 ล้านบาท หรือเฉลี่ยต่อหน่วย 85 ล้านบาท ส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมเท่ากับ 4.7 ล้านบาทต่อหน่วย จากเดือนก่อนที่ 1.1 ล้านบาทต่อหน่วย และเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยในเดือนก.ค. ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2.58 ล้านบาทต่อหน่วย สูงที่สุดในรอบปีนี้ และสูงกว่าเดือนที่ผ่านมาที่ 2.08 ล้านบาทต่อหน่วย

นอกจากนี้ ในเดือนก.ค. สินค้าประเภทบ้านเดี่ยวเป็นสินค้าประเภทเดียวที่มีราคาขายเฉลี่ยลดลง เป็น 4.4 ล้านบาท จาก 6 ล้านบาท ในเดือนมิ.ย. 2552

ยอดขายเฉลี่ยเท่ากับ 34% ลดลงจากเดือนที่ผ่านมาซึ่งเป็นจุดสูงสุดที่ 53% ในเดือนมิ.ย. 2552 เป็นเดือนที่มีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมประเภทตลาดระดับล่างค่อนข้างมาก ซึ่งการได้รับการตอบรับดีทำให้มียอดขายสูงถึง 53% ขณะที่ในเดือนก.ค. ยอดขายเฉลี่ยเท่ากับ 53% โดยคอนโดมิเนียมมียอดขายลดลงมากที่สุดถึง 26% เป็นเท่ากับ 54% ขณะที่ยอดขายบ้านเดี่ยวเท่ากับ 3% ลดลงจาก 6% ในเดือนมิ.ย. 2552

ที่อยู่อาศัยเหลือขาย ณ ครึ่งแรกปี 2552 ลดลง 6.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสินค้าประเภทคอนโดมิเนียมลดลงมากที่สุด ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2552 สินค้าคงค้างเหลือขาย (Inventory) มีจำนวนเท่ากับ 104,066 หน่วย ลดลง 6.1%

จากสิ้นปีที่ผ่านมา โดยสินค้าประเภทคอนโดมิเนียมเป็นกลุ่มที่มีจำนวนลดลงมากที่สุด 17.2% ขณะที่สินค้าประเภทบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์เพิ่มขึ้น 0.04% และ 1.3% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากช่วงครึ่งแรกปี 2552 คอนโดมิเนียมมีการเปิดขายใหม่เพียง 7,411 หน่วย หรือคิดเป็นเพียง 24% ของจำนวนหน่วยคอนโดมิเนียมในปี 2551

SCRI คงน้ำหนักการลงทุนของกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปกติ (NEUTRAL) โดยประเมินว่าระดับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการชะลอการตัดสินใจซื้อหน่วยที่อยู่อาศัยได้ผ่านช่วงที่แย่ที่สุดไปแล้ว

นอกจากนี้ ปัจจัยบวกจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี จะส่งผลให้ผู้บริโภคเริ่มเร่งการตัดสินใจซื้อ ขณะที่จะช่วยลดระดับของการกู้ไม่ผ่านในกลุ่มตลาดกลางและล่าง นอกจากนี้มาตรการของรัฐที่ช่วยหักภาษี 3 แสนบาท สำหรับผู้มีบ้านหลังแรกที่ซื้อในปีนี้ จะช่วยกระตุ้นยอดขายในปลายปี แต่ SCRI คาดผู้ประกอบการจะเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น
by scib,
posttoday
stock in focus,property

*********
11/08/52
กระทรวงพาณิชย์สั่งทบทวนราคาวัสดุก่อสร้าง รับราคาดีเซลลดลง

Posted on Tuesday, August 11, 2009
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ บอกว่า กรมการค้าภายในจะทบทวนต้นทุนราคาสินค้าที่เชื่อมโยงกับค่าขนส่ง โดยเฉพาะวัสดุก่อสร้าง เช่น ปูนซีเมนต์และเหล็กใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากต้นทุนที่ลดลง หลังรัฐบาลออกมาตรการลดราคาน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 2 บาท และตรึงค่าไฟฟ้าเอฟที ราคาก๊าซหุงต้ม หรือ แอลพีจี และเอ็นจีวี ออกไปเป็นระยะเวลา 1 ปี

แต่ในส่วนราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคคาดว่าจะไม่ได้รับอานิสงส์มากนัก เพราะราคาพบังงานที่ลดลงเป็นเพียงระยะสั้น นอกจากนี้ กรมการค้าภายใน จะจับตาสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกว่ามีผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าและบริการอย่างไร

นายยรรยง บอกด้วยว่า จากการตรวจราคาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมวันแม่ ที่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขา
ติวานนท์ พบว่า ราคาดอกมะลิสดที่ปากคลองตลาด ราคาขยับขึ้นสูงมาก 1-3 เท่าตัว โดยดอกมะลิสดจากจังหวัดนครสวรรค์ ราคาเพิ่มขึ้นจาก 200 บาทเป็น 350 บาทต่อ 600 กรัม พวงมาลัยมะลิสด จาก 50 บาทเป็น 150 บาทต่อพวง ส่วนดอกมะลิจากนครปฐม จาก 300 บาท เป็น 600 บาท และพวงมาลัย จาก 120 บาท เป็น 250 บาท ส่วนสินค้าประเภทนม รังนก ซุปไก่ ราคาใกล้เคียงกับปีที่แล้ว

ทั้งนี้ กรมการค้าภายในร่วมกับห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี 67 สาขา จัดโครงการธงฟ้า เทิดพระคุณแม่ 11-13 สิงหาคมนี้ นำสินค้าพิเศษในโอกาสวันแม่ลดราคา 10-20% เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนลดค่าครองชีพอีกด้วย
monneychannel
stock in focus
***********
06/08/52
ดักเก็บหุ้นเหล็ก เศรษฐกิจจีนฟื้น
กลุ่มเหล็กลั้นล้า ราคาเหล็กโลกขาขึ้น รับอานิสงส์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน 4 ล้านล้านหยวน โบรกมองอุตสาหกรรมเหล็กไทยไม่น้อยหน้า หลังเบิกจ่ายเงินกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกเดือนสิงหาคมนี้ บวก
สต๊อกสินค้าเพิ่มรับโครงการรถไฟฟ้าสีม่วง (บางซื่อ-บางใหญ่) และสายสีแดง (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) ช่วงปลายปี พร้อมชู SSI-TSTH พื้นฐานเด่น เทคนิค MILL แรงสุด
************
06/08/52
ส.อสังหาริมทรัพย์พอใจผลงานรัฐในรอบ 6 เดือน
นายกิตติพล ปราโมทย์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการบริษัทสัมมากร และ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย บอกว่า พอใจกับผลงานรัฐบาลในรอบ 6 เดือน เพราะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลประกาศ โดยเฉพาะการลงทุนในสาธารณูปโภคพื้นฐาน เป็นนโยบายที่มีความจำเป็น แต่อยากให้มีความชัดเจนเกี่ยวกับ ลำดับโครงการลงทุน ระยะเวลาการก่อสร้าง โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าว่า จะก่อสร้างเส้นทางใดก่อน ซึ่งหากรัฐบาลดำเนินการได้ตามเป้าหมาย จะกระตุ้นภาคแรงงาน และ วัสดุก่อสร้างให้คึกคักมากขึ้น และ อยากเห็นความต่อเนื่องนโยบายรัฐบาล เพราะกว่าที่มาตรการจะเกิดผลต่อเศรษฐกิจจะต้องใช้เวลา 1-2 ปี รวมทั้งอยากให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ

ส่วนในครึ่งปีหลังเชื่อว่า ตลาดอสังหาริทรัพย์จะปรับดีขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจโลกผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ดังนั้น เศรษฐกิจไทย ก็น่าจะฟื้นตัวได้ โดยยอดขายอสังหาริมทรัพย์ ในปีนี้จะลดลง 5% จากจำนวนอสังหาริมทรัพย์ที่มีการจดทะเบียนประมาณ 80,000 ยูนิตในปีก่อนหน้านี้
stock in focus
**************
04/08/52
นักวิเคราะห์คาดราคาสินแร่เหล็กตลาดโลกแนวโน้มร่วง หลังจีนชะลอนำเข้า
Source - IQ Biz (Th) Tuesday, August 04, 2009 10:20
อินโฟเควสท์ (04 ส.ค. 52)--นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ราคาสินแร่เหล็กในตลาดโลกมีแนวโน้มร่วงลงจากระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน เนื่องจากจีนอาจลดการนำเข้าหลังจากที่ปริมาณสินแร่เหล็กในสต็อกปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาสินแร่เหล็กเนื่องจากจีนเป็นผู้ซื้อสินแร่เหล็กรายใหญ่สุดของโลก ข้อมูลจาก Steel Index ระบุว่า การทำสว็อปสินแร่เหล็กในตลาด SGX AsiaClear และตลาดสิงคโปร์อยู่ที่ระดับ 87.60 ดอลลาร์/เมตริกตันในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยกว่าการซื้อขายที่มีการส่งมอบทันที ราว 8.1% มาร์ค เพอร์แวน นักวิเคราะห์จาก Australia & New Zealand Banking Group กล่าวว่า ปริมาณสินแร่เหล็กในสต็อกของจีนพุ่งสูงขึ้นสูงสุดในรอบ 10 เดือนหลังจากรัฐบาลจีนประกาศศใช้แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 4 ล้านล้านหยวน รหือ 5.86 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งครอบคลุมถึงการกระตุ้นโรงงานผลิตเหล็กให้เพิ่มซัพพลายสินแร่เหล็กเพื่อรองรับดีมานด์รถยนต์และอุตสาหกรรมก่อสร้าง "สต็อกสินแร่เหล็กที่อยู่ในระดับสูงของจีนจะส่งกดดันราคสินแร่เหล็กในระยะสั้น และคาดว่าราคาสินแร่เหล็กในตลาดปัจจุบันจะลดลงเนื่องจากเหมืองแร่เหล็กหลายแห่งในจีนเริ่มกลับมาดำเนินการผลิต ซึ่งจะยิ่งทำให้ความต้องการในการนำเข้าของจีนลดน้อยลงไปอีก" เพอร์แวนกล่าว ด้านนักวิเคราะห์จากสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด คาดว่า ยอดนำเข้าสินแร่เหล็กของจีนจะร่วงลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เนื่องจากรัฐบาลจะระบายแร่เหล็กในสต็อกออกมาใช้ภายในประเทศ โดยสต็อกสินแร่เหล็กของจีนพุ่งขึ้น 25% แตะที่ 75.3 ล้านตันในปีนี้ ส่วนในช่วงครึ่งปีแรกนั้น จีนนำเข้าสินแร่เหล็กเพิ่มขึ้น 29% เนื่องจากดีมานด์พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาทะยานขึ้น 22% เมื่อเดือนที่แล้ว บลูมเบิร์กรายงาน
cgs,stock in focus
***********
31/07/52
อุตสาหกรรมเหล็กชูเหล็กต้นน้ำพาไทยผงาดในอาเซียน พร้อมมั่นใจสามารถบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและชุมชนได้
Source - Press Release, Local (Th/Eng) Friday, July 31, 2009 12:58
กรุงเทพฯ--31 ก.ค.--บีโอไอ รองประธานสภาอุตสาหกรรม ชูเหล็กต้นน้ำพาไทยผงาดเป็นผู้นำในอาเซียน เพราะจะช่วยสร้างขีดความสามารถแก่ทุกอุตสาหกรรมของไทย ลดต้นทุนจากการลดลีดไทม์ลงกว่าครึ่ง เชื่อมือผู้ผลิตเหล็กชั้นนำของโลกจะทำให้เหล็กต้นน้ำในไทยสามารถอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมและชุมชนได้ พร้อมช่วยต่อยอดไปสู่การสร้างอีโคทาวน์ หรือเมืองอุตสาหกรรมนิเวศ์ในไทย นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล รองประธานสภาอุตสาหกรรม และประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงกรณีที่บริษัทนิปปอน สตีล และเจเอฟอี สตีล ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของประเทศญี่ปุ่นแสดงความมั่นใจเรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมและชุมชน หากเข้ามาลงทุนโครงการเหล็กต้นน้ำคุณภาพสูงในไทย ว่า หากทั้งสองบริษัทได้เข้ามาตั้งโรงเหล็กต้นน้ำคุณภาพสูงในประเทศไทย จะทำให้อุตสาหกรรมโดยรวมของไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งทำให้อุตสาหกรรมของไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียนไอย่างแท้จริง “หากเราสามารถผลิตเหล็กต้นน้ำคุณภาพสูงได้เอง จะทำให้แทบทุกอุตสาหกรรม ได้รับประโยชน์ เพราะ เหล็กเป็นวัสดุพื้นฐานของทุกอุตสาหกรรม ทั้งการก่อสร้าง เครื่องจักรกลการเกษตร อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ ยังมีส่วนช่วยให้เกิดการพัฒนาของอุตสาหกรรมเหล็กขั้นกลางน้ำและปลายน้ำในไทย ด้วย เพราะเมื่อสามารถผลิตเหล็กต้นน้ำได้ ก็จะเกิดความชัดเจนในการวางแผนผลิตเหล็กขั้นกลางและขั้นปลายน้ำของไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น” รองประธานสภาอุตสาหกรรมกล่าว นายพยุงศักดิ์กล่าวด้วยว่า ปัจจุบัน อุตสาหกรรมเหล็กถือเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่มีอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม เพราะระยะเวลาที่ผ่านมา เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิต และเทคโนโลยีในการควบคุมการปล่อยมวลสารต่างๆ ซึ่งผู้ผลิตเหล็กทั้งในญี่ปุ่นและในยุโรป ก็สามารถอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมและชุมชนได้เป็นอย่างดี “เชื่อว่าวันนี้ การพัฒนาอุตสาหกรรม จะต้องทำควบคู่กับการพัฒนาสิ่งแวดล้อม และชุมชน ผู้ลงทุนเหล็กต้นน้ำคุณภาพสูงก็เล็งเห็นถึงประโยชน์ร่วมกันในระยะยาว เพราะบริษัทที่ต้องการซื้อเหล็กคุณภาพสูงในประเทศมีจำนวนมาก จึงไม่มีเหตุผลที่จะเข้ามาระยะสั้นๆ และสร้างปัญหาให้กระทบการดำเนินธุรกิจของตนเอง” นายพยุงศักดิ์กล่าว นอกจากนี้ โครงการเหล็กต้นน้ำคุณภาพสูง ยังสามารถช่วยสนับสนุนให้เกิดเมืองอุตสาหกรรมนิเวศน์ หรือ อีโคทาวน์ ขึ้นในประเทศไทยได้ด้วย เพราะแนวคิดของอีโคทาวน์คือเมืองที่สามารถนำของเสีย ของเหลือใช้กลับมาใช้ใหม่ ซึ่งเหล็กก็คือวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ 100% และยังสามารถนำความร้อนและก๊าซจากกระบวนการผลิต มาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้อีกด้วย ปัจจุบัน ไทยเป็นประเทศที่ใช้เหล็กรายใหญ่ในอาเซียนถึงปีละ 13 ล้านตัน ทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยมีต้นทุนการผลิตสูง เพราะราคาเหล็กในตลาดโลกผันผวน และการนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศต้องใช้เวลาในการสั่งซื้อนาน 3 – 4 เดือน แต่หากผลิตได้ในประเทศ จะทำให้เวลาในการสั่งซื้อและรับสินค้าลดลงเหลือเพียง 1 เดือน อย่างไรก็ตาม หากประเทศไทยไม่สามารถผลิตเหล็กต้นน้ำคุณภาพสูงได้เอง อาจส่งผลให้เกิดการย้ายฐานการผลิตของอุตสาหกรรมต่างๆ ออกจากประเทศไทย เพราะผู้ผลิตสินค้าก็ต้องแสวงหาแหล่งลงทุนที่ช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขัน
cgs, stock in focus
***********
24/07/52
บล. เอเซียพลัสแนะลงทุน LPN – SPALI – SC ชี้กำไร Q2/52 ยังโตโดดเด่น

Posted on Friday, July 24, 2009
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เอเซียพลัส กล่าวว่า บริษัทจดทะเบียนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์น่าจะเริ่มทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/52 ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนสิงหาคม ซึ่งจากข้อมูลเบื้องต้นเชื่อว่าหลายบริษัทจะทำกำไรได้ค่อนข้างดี เนื่องจากยอดจอง (Presales) ไตรมาส 2/52 ของหลายบริษัทมีแนวโน้มโดดเด่น เพราะกำลังซื้อเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน ฟื้นตัวขึ้นได้จากเดือนเมษายน และผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 4/51 ที่มียอดจองรวม 14 บริษัทเพียง 1.4 หมื่นล้านบาทไปแล้ว

ทั้งนี้ ยอดจองได้เพิ่มขึ้นเป็น 2.4 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 1/52 ส่วนไตรมาส 2/52 น่าจะมียอดจองใกล้เคียงระดับ 3 หมื่นล้านบาท เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่ อาทิ บมจ. เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) บมจ. เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (AP) บมจ. แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) รวมถึงผู้ประกอบการบ้านพร้อมอยู่ เช่น บมจ. แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH)และ บมจ. ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) ก็มียอดจองที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

สำหรับยอดการบันทึกรายได้ของหลายบริษัทในไตรมาส 2/52 ก็น่าจะยังมีแนวโน้มที่ดีด้วย โดย LPN น่าจะบันทึกรายได้มากกว่า 2.3 พันล้านบาท ส่วน บมจ.มั่นคงเคหะการ (MK) แม้ว่าจะมีรายได้ไตรมาส 2/52 ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/52 แต่ก็น่าจะยังเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/51 ส่วน บมจ. พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) ยังมีแนวโน้มบันทึกได้ดีขึ้นใกล้เคียงกับไตรมาส 1/52 ขณะที่ SC และ บมจ. ศุภาลัย (SPALI) จะมีกำไรสุทธิที่ดีมาก เนื่องจากปิดการขายได้เร็ว และยังสามารถบันทึกรายได้จากการโอนโครงการต่าง ๆ เข้ามาด้วย

สำหรับหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่บล. เอเซียพลัสแนะนำให้ลงทุน มีดังนี้

LPN – บล. เอเซียพลัสคาดว่า กำไรสุทธิไตรมาส 2/52 ของ LPN จะเพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาส 1/52 มาอยู่ที่ 408 ล้านบาท เนื่องจากมีการโอนโครงการที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง มีงานในมือในอนาคตที่มั่นคง และมีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยให้ราคาที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานไว้ที่ 6.98 บาท แนะนำให้ลงทุนระยะกลางถึงระยะยาว หรือลงทุนเพื่อรับปันผลในครึ่งปีแรก เพราะคาดว่า LPN จะจ่ายปันผลที่ 0.44 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเมื่อเทียบกับราคาหุ้นในปัจจุบันที่ 8-9%

SPALI – บล. เอเซียพลัสเชื่อว่า SPALI น่าจะสร้างกำไรสุทธิในครึ่งปีแรกได้ดีมาก และน่าจะมีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/52 ที่ 650 ล้านบาท โดยมีการรับรู้รายได้จากโครงการที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงเกินกว่า 40% ซึ่งจะทำให้จ่ายปันผลในครึ่งปีแรกได้สูงด้วย ให้ราคาที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานไว้ที่ 4.64 บาท

SC – จะเหมาะกับนักลงทุนที่ไม่กังวลเรื่องสถานการณ์การเมืองมากนัก โดยราคาหุ้นยังมีราคาต่ำกว่ามูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน และกำไรสุทธิยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 81% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/52 และ 31% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/51 ให้ราคาที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานไว้ที่ 11.27 บาท

PS – แม้ว่าบล. เอเซียพลัสจะสนใจในหุ้น PS แต่เนื่องจากราคาหุ้นได้ปรับเพิ่มขึ้นมาพอสมควรแล้ว จึงจะไม่ให้รายละเอียดมากนัก ให้ราคาที่เหมาะสมไว้ที่ 10.30 บาท

AP - คาดว่ากำไรสุทธิน่าจะหดตัวลงจากการที่ส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมในไตรมาส 1/52 ค่อนข้างมาก และยังไม่สามารถบันทึกรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมไตรมาส 2/52 ได้อย่างเต็มที่ โดยยังมีรายได้จากโครงการแนวราบเป็นส่วนใหญ่ ทำให้กำไรสุทธิในไตรมาส 2/52 น่าจะลดลง 27% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/52 แต่จะดีขึ้นมากในไตรมาส 3-4/52

“การลงทุนหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะยังต้องติดตามการโอนโครงการ เพราะบริษัทส่วนใหญ่จะบันทึกรายได้เมื่อมีการโอน จึงต้องดูเป็นรายบริษัทไปว่าช่วงไหนจะถึงกำหนดส่งมอบโครงการและบันทึกรายได้เข้ามาได้มาก จึงยังต้องติดตามสถานการณ์เป็นช่วง ๆ ไป” นายเทิดศักดิ์กล่าว

นายเทิดศักดิ์กล่าวว่า กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมยังมีสถานการณ์ที่ไม่ดีนัก เพราะในไตรมาส 2/52 มียอดขายที่ดินรวมเพียง 10 ไร่เท่านั้น ทำให้บริษัทที่มีฐานรายได้จากการขายที่ดินเป็นส่วนใหญ่จะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ขณะที่ผู้ประกอบการที่มีฐานรายได้กระจายตัว ก็น่าจะยังมีแนวโน้มที่ดี แต่ยังเชื่อว่าผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมยังไม่ถึงขั้นขาดทุน เนื่องจากยังมียอดขายที่ดินของปี 2551 เข้ามาบันทึกในช่วงนี้ แต่ก็อาจเห็นผลขาดทุนได้ในครึ่งปีหลัง จึงยังแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุน หรือย้ายการลงทุนไปหุ้นกลุ่มอื่นแทน

สำหรับกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ยังเป็นกลุ่มที่ต้องเลือกลงทุนอย่างรอบคอบ เพราะเป็นหุ้นที่เก็งกำไรตามข่าวการประมูลงานมากกว่าผลประกอบการที่จะประกาศออกมา ซึ่งหากผลประกอบการไม่ดีนัก ก็อาจทำให้ราคาปรับเพิ่มขึ้นได้ยาก นอกจากนี้ ระดับ P/E ก็ยังสูง จึงต้องระมัดระวังในการลงทุนด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MoneylineNews/tabid/89/newsid491/93781/Default.aspx
stock in focus,sc,lpn,mk,spali

**********
23/07/52
กม.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ดีเดย์ 1 ม.ค.53 ผ่อนผัน 2 ปี
"คลัง" เร่งทำประชาพิจารณ์ ร่าง กม.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เตรียมเสนอ ครม.และสภาฯ สมัยประชุมนี้ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค. 53 ให้ประชาชนปรับตัวก่อน 2 ปีแรก และจะเริ่มมีผลบังคับจริง ใช้ในปี 55 เป็นต้นไป
เศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ขณะนี้ สศค.ได้จัดทำประชาพิจารณ์ไปตามพื้นที่ต่าง ๆ กระจายไปทั่วทุกภาคในหลายจังหวัด อาทิ สุราษฎร์ธานี หาดใหญ่ ขอนแก่น อุบลราชธานี เชียงใหม่ และสัปดาห์หน้าจะไปทำประชาพิจารณ์ที่จังหวัดชลบุรี โดยจะเน้นจัดทำในจังหวัดหัวเมืองขนาดใหญ่ ใช้เวลาประมาณ 6 วัน ในการจัดงานชี้แจงทำความเข้าใจให้กับองค์กรปกครองท้องถิ่น (อปท.) และประชาชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของแต่ละจังหวัด

จากนั้นในครั้งสุดท้ายจะเชิญนักวิชาการ นักศึกษา สื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปจัดเสวนา เพื่อรวบรวมข้อมูลประกอบการจัดทำร่าง พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จากการจัดประชาพิจารณ์แต่ละครั้งที่ผ่านมา ประชาชนให้การตอบรับค่อนข้างดีมาก และเข้าใจถึงการสนับสนุนให้ภาษีที่ดินฯ เกิดขึ้น โดยส่วนใหญ่จะมีคำถามว่า ประชาชนจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นหรือไม่ และต้องทำอย่างไรบ้างในการบริหารจัดการที่ดินของตนเอง ผู้ที่มีที่ดินรกร้างว่างเปล่าจะเสียภาษีมากขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ รัฐจะเริ่มเก็บภาษีเมื่อใด และอัตราเท่าใด พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ นั้น ดีจริงหรือไม่ เป็นต้น

นายสมชัย กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้ชี้แจงถึงข้อดีและข้อเสียของ พ.ร.บ.ภาษีที่ดิน ให้ประชาชนรับทราบว่า ปัจจุบันนี้ ประชาชนทั่วประเทศกว่าร้อยละ 90 ถือครองที่ดินโดยเฉลี่ยน้อยกว่า 1 ไร่ ขณะที่ประชาชนเพียงร้อยละ 10 เท่านั้นถือครองที่ดินมากกว่า 100 ไร่ ขึ้นไป ถือว่าเป็นการกระจายการถือครองที่ดินโดยไม่ธรรม ยังมีความลักลั่นอยู่ หากรัฐบาลไม่มีกลไกมาแก้ปัญหา และในสัดส่วนของผู้มีรายได้สูงถือครองที่ดินร้อยละ 10 นี้ มีสัดส่วนถึงร้อยละ 75 ที่ถือครองที่ดินโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์แต่อย่างใด เป็นเพียงการซื้อที่ดินเปล่าทิ้งไว้ เพื่อเก็งกำไร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่มีระบบภาษีมาดูแลเรื่องการกระจายการถือครองที่ดิน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ

ปัจจุบันนี้รายได้ของ อปท. ที่จัดเก็บเอง มีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น หรือประมาณ 20,000 ล้านบาท คือ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน กับภาษีบำรุงท้องที่ ส่วนอีกร้อยละ 90 มาจากการอุดหนุนของงบประมาณจากส่วนกลางของรัฐบาล เมื่อเทียบกับประเทศอื่น อาทิ นิวซีแลนด์ อปท.จัดเก็บรายได้เองได้ถึงร้อยละ 90 ขณะที่มาเลเซีย จัดเก็บรายได้เองร้อยละ 85 เมื่อ อปท. เป็นผู้จัดเก็บภาษีที่ดินเองโดยไม่ต้องส่งเข้างบประมาณส่วนกลางและบริหารจัดการเงินดังกล่าวเพื่อใช้พัฒนาพื้นที่ของตนเองได้ทันที ซึ่งจะทำให้มีความสามารถจัดเก็บจากปัจจุบันจากร้อยละ 10 เพิ่มเป็น ร้อยละ 70-80 ได้ รายได้เก็บภาษีจะเพิ่มจาก 20,000 ล้านบาทเป็น 40,000 ล้านบาทขึ้นไป ในช่วง 2 ปีแรก และหากเก็บเต็มเพดานจะได้กว่า 90,000 ล้านบาท ทีเดียว

ดังนั้น ร่างกฎหมายดังกล่าว ทำให้ อปท. จัดเก็บรายได้สัดส่วนที่สูงขึ้น จะทำให้ประชาชนสนใจเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง การให้ความสำคัญในการเลือกตั้งตัวแทนเข้ามาบริหารท้องถิ่นของตนเองมากขึ้น กฎหมายดังกล่าวจะทำให้ทุกคนต้องเสียภาษีที่ดินเหมือนกันหมด โดยมีฐานภาษีที่มีอัตราต่างกันไปตามขนาดและมูลค่าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น ๆ ขณะที่อัตราภาษีนั้นจะกำหนดเพดานไว้ตามการใช้ที่ดิน คือ ในเชิงพาณิชย์จะกำหนดเพดานไว้ที่ร้อยละ 0.5 ของมูลค่า โดยจะมีคณะกรรมการกลางที่จะพิจารณาว่าจะจัดเก็บภาษีอัตราเท่าใด และจะปรับอัตราทุกๆ 4 ปี เช่น เชิงพาณิชย์อาจคิดร้อยละ 0.2 หากอยู่อาศัยด้วยตนเองคงต้องคิดภาษีน้อยกว่าร้อยละ 0.1

สำหรับที่ดินทำการเกษตรกรรม จะกำหนดเพดานน้อยกว่าร้อยละ 0.05 แต่ที่ดินรกร้างว่างเปล่า จะคิดแพงที่สุด และสูงกว่าอัตราในเชิงพาณิชย์ด้วย เช่น หากกำหนดอัตราภาษีในเชิงพาณิชย์ไว้ที่ ร้อยละ 0.4 ต้องเก็บภาษีที่ดินเปล่าร้อยละ 0.45-0.5 เป็นต้น และหากยังคงปล่อยที่รกร้างว่างเปล่าทิ้งไว้อีก 3 ปี จะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตัว แต่จะไม่เกินร้อยละ 2 ของมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

หากร่างกฎหมายผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ แล้ว กระทรวงการคลังกำหนดไว้ว่ากฎหมายภาษีที่ดินจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 53 เป็นต้นไป โดยยังคงมีช่วงเวลาให้ประชาชนปรับตัวก่อน 2 ปีแรก เพราะจะเริ่มมีผลบังคับจริงใช้ในปี 55 เป็นต้นไป แต่ช่วง 3 ปีแรก ที่เริ่มบังคับใช้นั้น จะให้ อปท. ทุกแห่ง ใช้กฎหมายดังกล่าวแบบขั้นบันได คือ ในปีแรกจะเก็บภาษีเพียงร้อยละ 50 ปีที่ 2 จัดเก็บเพิ่มเป็นร้อย 75 และปีที่ 3 เป็นต้นไป จึงจะเก็บภาษีเต็มร้อยละ 100 ซึ่งต้องใช้เวลานานถึง 5 ปี อปท.ถึงจะได้เงินจากภาษีที่ดินแบบเต็มรูปแบบ

สำหรับคนจน จะไม่เก็บภาษีด้วยการกำหนดเกณฑ์ว่า จะต้องมีที่ดินถือครองเท่าใด จึงจะไม่ต้องเสียภาษี แต่ขณะนี้ยังไม่สรุปตัวเลขดังกล่าว แต่คนแก่นั้นไม่ยกเว้นให้ เพราะเกรงว่าอาจมีช่องโหว่ทางกฎหมายที่ลูกหลานจะให้เป็นชื่อของผู้สูงอายุแทน เพื่อเลี่ยงไม่จ่ายภาษี ขณะที่พื้นที่เกษตรกรรมนั้นก็คิดอีกอัตราหนึ่ง และหากมีมูลค่าไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ก็ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี

ขณะที่ ผู้ที่มีที่ดินว่างเปล่าที่ซื้อเก็บไว้เพื่อเก็งกำไรนั้น หากเก็บไว้โดยไม่ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ร้อยละ 80 จะต้องเสียภาษีแพงมาก ช่วยลดปัญหาการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์ลงได้ ซึ่งขณะนี้กรมธนารักษ์ กำลังจัดทำราคาประเมินที่ดิน ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงทุก 4 ปี โดยไทยมีที่ดินทั้งประเทศ 30 ล้านแปลง ขณะนี้ประเมินไปแล้ว 5 ล้านแปลง ยังเหลืออีก 25 ล้านแปลง ที่ต้องเร่งประเมินให้แล้วเสร็จก่อนปี 55

ส่วนกรมที่ดินต้องจัดทำแผนที่ดิจิตอลทั่วประเทศให้แล้วเสร็จ พร้อมทั้งราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างรายแปลงทั่วประเทศ คาดว่าเมื่อจัดทำประชาพิจารณ์แล้ว จะให้ รมว.คลัง นำเสนอต่อที่ประชุม ครม.ในเดือน ส.ค. จากนั้นในเดือน ต.ค.-พ.ย. เสนอเข้าสู่การพิจารณาในสภาฯ และเริ่มมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 53 เป็นต้นไป

นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีแล้วว่า จะพยายามเสนอกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอให้สภาฯ พิจารณาให้ทันการประชุมสภาสมัยการประชุมนี้หลังจากได้ประชาพิจารณ์ที่จังหวัดเชียงใหม่เรียบร้อยแล้ว เพราะจากการจัดงานดังกล่าวมาหลายพื้นที่ ประชาชนส่วนใหญ่ต่างเห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9520000081494
stock in focus

******************
23/07/52
หุ้นเหล็กฉายแววผงาดอีกครั้ง
กูรู ประสานเสียงเชียร์ TSTH ยกให้เป็นหุ้น Top pick ลุ้นวิ่งทำ New High หากดูตามแนวโน้มทางเทคนิค และถ้าราคาหุ้น TSTH ทะลุผ่านแนวต้านที่ 1.82 บาท ได้
นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เคทีซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หุ้นในกลุ่มเหล็กที่มีความโดดเด่น และแนะนำให้ลงทุน คือ หุ้นของ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทั้งด้านฐานะการเงินความสามารถในการแข่งขันจากการเป็นผู้นำตลาดและเป็นผู้ผลิตที่ต้นทุนต่ำสุด

' หุ้นกลุ่มเหล็กที่ยกให้เป็นหุ้น Top pick ก็คือตัว TSTH ซึ่งหากดูตามแนวโน้มทางเทคนิคแล้ว ถ้าราคาหุ้น TSTH ทะลุผ่านแนวต้านที่ 1.82 บาท ได้ จะมีโอกาสขึ้นไปทำ New High ' นายเจริญ กล่าว

ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ประเมินแนวโน้มของผลประกอบการกลุ่มเหล็กในไตรมาส 2/52 ค่อนข้างลำบาก เพราะไม่ทราบถึงช่วงราคาที่แต่ละผู้ประกอบการได้สต็อกเหล็กเก็บเอาไว้ ซึ่งทำให้ฝ่ายวิจัยยังไม่ได้ประมาณการทิศทางของผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังชัดเจน แต่เชื่อว่าเร็วๆ นี้ผู้ประกอบการในบริษัทกลุ่มเหล็กจะทยอยประกาศผลออกมา ซึ่งนักลงทุนที่สนใจควรที่จะติดตามถึงผลประกอบการไตรมาส 2 ประกอบการลงทุน

ด้านบทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า คาดการณ์บริษัทจะมีผลขาดทุนสุทธิเล็กน้อยใน Q1/2553 (สิ้นสุด 30 มิ.ย.52) เป็น 152 ล้านบาท ลดลงทั้งช่วง y-o-y และ q-o-q ที่เป็นกำไรสุทธิ 2,121 และ 18 ล้านบาทตามลำดับ ทั้งนี้ คาดว่าปริมาณการขายเป็น 255,000 ตัน นำโดยปริมาณการส่งออกที่เพิ่มขึ้น

ส่วนสาเหตุที่ยังปรากฏผลขาดทุนคือ 1) ราคาขายปรับลดลง 3% q-o-q เป็น 17,300 บาทต่อตันใน Q1/53 เนื่องจากการ Restocking ได้เสร็จสิ้นลงใน Q1/52 2) เป็นฤดูกาลที่ยอดขายเหล็กเส้น (rebar) จะอ่อนลง ผลพวงจากการมีวันหยุดยาวในเดือน เม.ย.3) อัตรากำไรขั้นต้นที่ทำได้หดแคบลง เพราะวัตถุดิบคือ เศษเหล็ก (scrap) เพิ่มขึ้น 5% ถือว่ามากกว่าราคาขายสินค้า rebar ที่ปรับตัวลง 3% อันเป็นผลพวงจากอุปทาน scrap ที่มีจำกัด และ 4) ค่าใช้จ่ายขาย-บริหารเทียบกับรายได้ใน Q1/53 คาดว่าจะสูงขึ้นเป็น 5.5% เทียบกับ Q1/52 ที่ 2.1% เนื่องจาก TSTH ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าตรา Tata ของ Tata Steel
ประเทศอินเดีย เป็นจำนวนเงิน 80 ล้านบาท

ทั้งนี้ แม้คาดว่า Q1/53 เป็นขาดทุนสุทธิ แต่ไตรมาสที่เหลือของปี 53 นั้น คาดว่าจะไม่เกิดการขาดทุนอีก ทางบริษัทฯ คาดว่าอัตรากำไรสุทธิจะสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลพวงต่อเนื่องมาจากการปรับขึ้นของราคาขาย rebar ตามต้นทุนวัตถุดิบ scrap ที่ปรับขึ้นอีกทั้งปริมาณการขายต่อเดือนคาดว่าจะอยู่เหนือกว่าระดับ 90,000 ตัน ตามการส่งออกที่เพิ่มขึ้น จึงได้มีการปรับคาดการณ์กำไรสุทธิปี 52 และ 53 เพิ่มขึ้น 25% และ 26% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม คงคำแนะนำซื้อ TSTH โดยมีมุมมองที่ดีกับแนวโน้มธุรกิจของบริษัทฯ เนื่องจากจุดต่ำสุดได้ผ่านไปแล้ว อีกทั้ง TSTH มีจุดเด่นคือเป็นผู้ผลิตเหล็กเส้นที่ใหญ่ที่สุดของไทย และมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำที่สุด ซึ่งจะได้รับประโยชน์เป็นรายแรกๆ เมื่อกิจกรรมการก่อสร้างมีการฟื้นตัว ทางด้านราคาพื้นฐานได้มีการปรับขึ้นเป็น 2.06 บาท ประเมินด้วย P/E ปี 53 ที่ 13.0 เท่า ซึ่งสอดคล้องกับค่าเฉลี่ยการซื้อขายที่ผ่านมาเป็นเวลา 5 ปี ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก18% เทียบกับราคาพื้นฐานถือว่าน่าสนใจ
http://www.stockwave.in.th/index.php?option=com_content&view=article&id=7915:research-230709&Itemid=53
stock in focus

************
22/07/52
คาดอสังหาริมทรัพย์ไทยฟื้นต้นปีหน้า แต่ปีนี้ยอดขายลด 10%
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เห็นด้วยกับแนวทางที่รัฐบาลเตรียมนำเสนอร่างพระราชบัญญัติ หรือ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง มาบังคับใช้ และเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่น่าจะให้การตอบรับ

เนื่องจากร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว จะนำมาใช้แทน พ.ร.บ. ภาษีโรงเรือนและที่ดิน และพ.ร.บ.ภาษีบำรุงท้องถิ่น ซึ่งมีการจัดเก็บที่ไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน อีกทั้งยังทำให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นมีความกระตือรือล้นในการจัดเก็บรายได้เพิ่มเติมด้วย เพราะรายได้จะเข้าสู่ระบบท้องถิ่นโดยตรง

นอกจากนี้ พ.ร.บ.ดังกล่าว น่าจะทำให้มีการกักตุนที่ดินน้อยลง และทำให้การเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินมีความสมเหตุสมผลมากขึ้น เนื่องจากที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จะมีการจัดเก็บภาษีในระดับที่สูง นอกจากนี้ยังทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงที่ดินได้ง่ายขึ้น และน่าจะทำให้ราคาที่ดินถูกลง

สำหรับแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เชื่อว่า จะเริ่มกระเตื้องขึ้นในช่วงไตรมาส 4/52 และจะฟิ้นตัวชัดเจนในช่วงไตรมาส 1/53 ส่วนการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ส่งผลให้คนไม่กล้าเข้าร่วมงานมหกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนทางการเมืองนั้น ส่งผลให้ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ลดลง โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ราคาแพงในเมืองท่องเที่ยวที่เจาะตลาดชาวต่างชาติ เช่น ภูเก็ต สมุย คาดว่ายอดขายจะลดลงจากปีที่ผ่านมากว่า 30%

ขณะที่ยอดขายในกรุงเทพและปริมาณฑลซึ่งเจาะกลุ่มลูกค้าชาวไทยนั้น คาดว่า ยอดขายในปีนี้จะลดลงจากปีที่ผ่านมากว่า 120,000 ล้านบาท หรือลดลงประมาณ 10 % และมียอดจดทะเบียนบ้านใหม่อยู่ที่ 70,000 หน่วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MoneylineNews/tabid/89/newsid491/93714/Default.aspx
stock in focus
**********
17/07/52
+ ปริมาณจำหน่ายเหล็กก่อสร้างกระเตื้องขึ้นในเดือนพ.ค.52 ตามรายงานของธปท.พบว่า ปริมาณการขายเหล็กเส้นในประเทศเดือน พ.ค.52 เพิ่มขึ้น 29%MoM เป็น 1.05 แสนตัน โดยเป็นการเพิ่มเดือนที่ 2 ต่อเนื่อง หลังจากลงไปต่ำสุดที่ 7.4 หมื่นตันในเดือนเม.ย.52 นอกจากนั้นปริมาณขายท่อเหล็กเดือนพ.ค.52 สูงขึ้น 88%MoM (จาก 1.3 หมื่นตันในเดือนเม.ย.52 เป็น 2.4 หมื่นตันในเดือนมิ.ย.52) ทั้งนี้ปริมาณขายท่อเหล็กลงไปต่ำสุดที่ 1.2 หมื่นตันในเดือนต.ค.51 แล้วค่อยๆ กระเตื้องขึ้น เรามองว่าอุตสาหกรรมเหล็กน่าจะผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และกำลังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยจะเห็นการเติบโตที่ชัดเจนในปี 53 เมื่อโครงการภาครัฐมีการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรม และการลงทุนภาคเอกชนกลับมา เราให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มนี้เป็น Neutral โดยหุ้น Top pick คือ TSTH (แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 1.65 บาท) โดยจุดเด่นคือ 1) เป็นผู้ผลิตเหล็กทรงยาวรายใหญ่ของประเทศและมีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด, 2) ฐานะการเงินแข็งแกร่ง, 3) มีเตาหลอมเศษเหล็กและโรงถลุงขนาดเล็กทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำกว่ารายอื่นในประเทศ และ 4) มีบริษัทแม่ คือ ทาทาสตีลอินเดีย ที่เกื้อหนุนด้านวัตถุดิบ, เทคโนโลยีการผลิต และการตลาด
โดย บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ประจำวันที่ 17 กรกฎาคม 2552
stock in focus
***********
16/07/52
รับเหมากระพือปีก สีม่วงลงเสาเอกส.ค.
หุ้นรับเหมาพุ่งยกแผง เคลื่อนขบวนรับรถไฟฟ้าสายสีม่วง หลังรฟม.คาดลงนามก่อสร้างสัญญา 1 เดือนสิงหาคม ส่วนสัญญา 2 และ 3 ลงนามก่อสร้างตุลาคมนี้ หลังเจรจาหั่นราคาก่อสร้างสมใจ ลุ้นสัญญา 3 โดนเฉือนราคาเกิน 12% จากราคาประมูล 6.3 พันล้านบาท ด้านบิ๊ก PLE "เสวก ศรีสุชาต" ทำใจหลังราคาวัสดุก่อสร้างอยู่ในระดับเหมาะสม เชื่อพันธมิตรเปิดทาง ด้านเซียนหุ้นฟุ้งข่าวดีกลุ่มรับเหมา หลังรัฐอัดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจครึ่งปีหลังหนุนงานใหม่เพิ่ม แนะ "เก็งกำไร" ยกกลุ่ม
stock in focus

**********
15/07/52
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครึ่งหลังปี52 ลุ้นโค้งสุดท้าย : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
15 ก.ค.--ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ก่อนมาตรการหักลดหย่อนภาษีอสังหาฯ สิ้นสุดปลายปี
(ฉบับสื่อมวลชน)

ภาวะเศรษฐกิจไทยที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เข้าสู่ภาวะถดถอย รวมถึง
ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังซ้ำเติมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมา ภาคธุรกิจของไทย
ได้รับผลกระทบจาสถานการณ์ดังกล่าว เช่น ธุรกิจส่งออก ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจสายการบิน
รวมทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภค
อ่อนแอลง ทำให้ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชะลอการเปิดโครงการใหม่ออกไป ดังจะเห็นได้จาก
ข้อมูลสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่า การลงทุนในภาคก่อสร้างของ
เอกชนในช่วงไตรมาสแรกปี 2552 โดยรวมหดตัวลงร้อยละ 8.2 ซึ่งลดลงต่อเนื่องจากไตรมาสที่แล้วที่หด
ตัวร้อยละ 0.7 และลดลงจากที่หดตัวร้อยละ 0.2 ในปี 2551
อย่างไรก็ดีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่จัดได้ว่ามีบทบาทที่สำคัญต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
และมีมูลค่าเงินลงทุนหมุนเวียนในระบบไม่ต่ำกว่า 300,000 ล้านบาท รวมทั้งเป็นธุรกิจที่มีความเกี่ยวเนื่อง
กับธุรกิจอื่นๆ เช่น ภาคการก่อสร้าง ภาคการผลิตวัสดุก่อสร้าง ภาคแรงงาน และภาคการเงิน ทำให้เมื่อ
ช่วงต้นปี 2552 ที่ผ่านมา รัฐบาลจึงได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และรวมถึงมาตรการกระตุ้น
อสังหาริมทรัพย์ด้วย ซึ่งน่าจะเป็นแรงหนุนให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์สามารถขยายตัวต่อไปได้ท่ามกลางวิกฤต
เศรษฐกิจในขณะนี้ ทำให้ในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2552 จำนวนการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศ
ขยายตัวร้อยละ 9.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์แนวโน้ม
ธุรกิจ ปัจจัยบวกและปัจจัยลบที่จะมีผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งหลังปี 2552 โดยมีประเด็น
สำคัญดังต่อไปนี้

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครึ่งหลังปี 2552 : แรงหนุนโค้งสุดท้าย...มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์
แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งหลังปี 2552 ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ยังคงเผชิญกับ
ความท้าทายในการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังคงมีความเสี่ยง ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อ
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อาทิ ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการ
จ้างงานในเมืองไทย เสถียรภาพทางการเมือง ที่ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง แนวโน้มการปรับ
ตัวสูงขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อาจจะส่งผลกระทบให้ภาระรายจ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นของผู้บริโภค และทิศทาง
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าวยังอาจส่งผลกระทบต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจจะมีผลต่อทิศทางราคาที่
อยู่อาศัยในระยะข้างหน้าได้ ซึ่งปัจจัยลบดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของตลาดอสังหาริม
ทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปีนี้
อย่างไรก็ตามภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีปัจจัยบวกบางประการที่อาจจะกระตุ้นการ
ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่มีความพร้อมทางการเงิน โดยปัจจัยสนับสนุนที่
สำคัญ ได้แก่
* เศรษฐกิจไทยน่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ทั้งนี้คาดว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะ
ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ตามภาวะเศรษฐกิจในต่างประเทศที่เริ่มมีสัญญาณดีขึ้น อีกทั้งยังได้รับแรงหนุนจาก
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่สองของรัฐบาล ที่น่าจะเป็นผลดีต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
ภายหลังจากพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ เป็นวงเงิน 400,000 ล้านบาทได้ผ่าน
ความเห็นชอบจากรัฐสภา
* มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ มาตรการหักลดหย่อนภาษี โดยหักลดหย่อนภาษีเงินได้
บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้ที่จ่ายเงินค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน ในกรณีโอนกรรมสิทธิ์
อสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวภายในปี พ.ศ. 2552 ให้ได้รับการหักลดหย่อนภาษีสำหรับเงินได้พึงประเมิน เป็น
จำนวนเท่ากับมูลค่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 300,000 บาท ซึ่งมาตรการดังกล่าวนี้จะสิ้นสุด ณ สิ้นปี 2552
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ อาจจะเร่งการทำแคมเปญการตลาด
ในช่วงไตรมาส 3 ต่อเนื่องมายังไตรมาส 4 เพื่อเร่งการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค และหาก
สถานการณ์เศรษฐกิจไทยปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น และปัญหาการเมืองมีความสงบเรียบร้อย ผู้บริโภคเริ่มมี
ความเชื่อมั่นมากขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า กลุ่มผู้บริโภคที่มีความพร้อมทางการเงิน และต้องการซื้อที่
อยู่อาศัยก็อาจจะตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงสุดท้ายของปีนี้ สำหรับมาตรการที่น่าจะมีส่วนช่วยเร่งการตัดสิน
ใจของผู้บริโภคอีกมาตรการหนึ่ง คือ มาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ โดย
มาตรการดังกล่าวนี้จะสิ้นสุดในวันที่ 28 มีนาคม 2553
* การปรับลดอัตราดอกเบี้ยและการแข่งขันในธุรกิจสินเชื่อที่อยู่อาศัยระหว่างสถาบันการเงิน การ
ปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยได้ส่งผ่านให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง
ซึ่งจะเห็นได้ว่าในขณะนี้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ของธนาคารพาณิชย์รายใหญ่อยู่ที่ร้อยละ 5.85-5.87 ลด
ลงจากเมื่อต้นปี 2552 ที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ร้อยละ 6.75 ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมีผลต่ออำนาจ
การซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น นอกจากนี้การแข่งขันในธุรกิจสินเชื่อที่อยู่อาศัยระหว่างสถาบันการเงิน
เพื่อกระตุ้นยอดสินเชื่อที่อยู่อาศัยในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยธนาคารพาณิชย์บางแห่งยังเน้นการทำแคมเปญ
ด้านราคา โดยเฉพาะการทำแคมเปญอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำพิเศษ รวมถึงเพิ่มช่องทางการทำตลาดร่วมกับผู้
ประกอบการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
จากปัจจัยข้างต้น ทำให้คาดว่าตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะมียอดขายดีขึ้นกว่าในครึ่งปีแรก
โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลจะมีจำนวน 39,500
หน่วย หดตัวร้อยละ 9.6 ซึ่งเป็นทิศทางที่ดีขึ้นกว่าในช่วงครึ่งแรกที่คาดว่ามีจำนวน 27,000 หน่วย หดตัว
ร้อยละ 11.8 ส่งผลให้ตลอดทั้งปี 2552 คาดว่าจะมีจำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จประมาณ 66,500 หน่วย
หดตัวร้อยละ 10.5 ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของจำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ สาเหตุส่วนหนึ่ง
น่าจะมาจากการที่ผู้ประกอบการบางรายเร่งการก่อสร้างโครงการให้เสร็จก่อนมาตรการหักลดหย่อนภาษี
เงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้ที่จ่ายเงินค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน ในกรณีโอน
กรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวภายในปี พ.ศ. 2552

แนวโน้มที่อยู่อาศัยประเภทโครงการที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ในปี 2552
2550 2551 2552
ประมาณการ ประมาณการ*
อัตราการขยายตัว (ร้อยละ) 4.5 2.1 -14.5 ถึง -10.5
จำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จในเขต
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
โครงการจัดสรร 9.3 -19.6 -12.6 ถึง -10.7
โครงการคอนโดมิเนียม 16 77.3 -1.4 ถึง 0.8
บ้านปลูกสร้างเอง -6.2 -13.9 -32.8 ถึง -24.1
(รวบรวมจากโครงการจัดสรร, โครงการคอนโดมิเนียม และบ้านปลูกสร้างเอง *ประมาณการ
โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย)
หมายเหตุ การขยายตัวของจำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จในปี 2552 ที่มีการลดลง สาเหตุส่วนหนึ่งมา
จากผลของฐานที่เปรียบเทียบกับปีก่อนอย่างไรตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ประมาณการจำนวนที่อยู่อาศัย
สร้างเสร็จในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลในปี 2552 ในกรณีที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมีความล่าช้าออก
ไป และปัญหาความไม่สงบทางการเมือง อาจจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และรายได้
ของผู้บริโภคด้วยเช่นกัน ทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยอาจจะได้รับผลกระทบ

ธุรกิจบ้านจัดสรร:
อยู่ในภาวะทรงตัว...บ้านราคาระดับกลางลงมายังคงสามารถทำตลาดได้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ธุรกิจบ้านจัดสรรในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 น่าจะมีอัตราการเติบโต
ได้ดีกว่าครึ่งแรก ภายใต้สถานการณ์การเมืองที่เริ่มนิ่ง การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลสามารถขับ
เคลื่อนได้อย่างต่อเนื่อง โดยบ้านเดี่ยวที่ระดับราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท น่าจะยังเป็นระดับราคาที่เหมาะสม
ต่อตลาดมากที่สุดในขณะนี้ สำหรับแนวโน้มตลาดทาวน์เฮาส์น่าจะยังคงมีอัตราการขยายตัวได้ดีกว่าตลาดบ้าน
เดี่ยว โดยระดับราคาที่ประมาณ 1-3 ล้านบาท ยังน่าที่จะขยายตัวได้ สำหรับการแข่งขันในธุรกิจบ้านจัด
สรรในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่า จะมีความรุนแรงขึ้นจากการที่ผู้ประกอบการต้องการเร่งระบายสินค้าที่มี
อยู่ โดยผู้ประกอบการคงจะใช้กลยุทธ์ชูจุดเด่นในเรื่องของสิทธิประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับในการซื้อและ
โอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยภายในปี 2552 คือ มาตรการหักลดหย่อนภาษีการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ในการทำ
ตลาดในช่วงที่เหลือของปีนี้ สำหรับการเปิดโครงการใหม่น่าจะดีขึ้นกว่าในช่วงครึ่งแรกของปี แต่ผู้ประกอบ
การคงยังรอดูทิศทางของเศรษฐกิจ นโยบายการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศ ที่จะมีผลต่อการตัดสิน
ใจซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งการเปิดโครงการใหม่ยังคงมาจากผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีความชำนาญด้านการตลาด
และการบริหารต้นทุน ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ที่อยู่อาศัยประเภทบ้านจัดสรรสร้างเสร็จใหม่ใน
เขตกรุงเทพฯและปริมณฑลในปี 2552 น่าจะลดลงร้อยละ 12.6 ถึงลดลงร้อยละ 10.7 เมื่อเทียบกับปี
2551

ธุรกิจคอนโดมิเนียม : ชะลอตัวแต่ทำยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง
แนวโน้มธุรกิจคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งหลังปี 2552 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า แม้ว่าภาวะ
เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงอย่างรุนแรง แต่ตลาดคอนโดมิเนียมยังสามารถทำยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง แม้
ว่ายอดขายใหม่อาจจะลดลงกว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาก็ตาม จะเห็นได้ว่า โครงการคอนโดมิเนียมที่เปิด
ตัวใหม่และยังสามารถทำยอดขายได้อย่างต่อเนื่องนั้น ประกอบไปด้วยปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ผู้ประกอบ
การรายใหญ่ที่มีความชำนาญในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมและมีเงินทุนที่แข็ง
แกร่ง ซึ่งผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อการดำเนินงานของผู้ประกอบการกลุ่มนี้ ทำให้เมื่อมีการเปิดโครงการ
ใหม่ ผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าวยังคงมีการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างดี นอกจากนี้การเปิดโครงการใหม่นั้น
ผู้ประกอบการได้เน้นในเรื่องของทำเลเป็นหลัก โดยทำเลดังกล่าวอาจจะเป็นทำเลที่เป็นแหล่งชุมชนใหม่
และยังไม่มีโครงการคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นในแถบนั้น เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ประกอบการจำนวนมากต่างหันมา
พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมโดยเน้นทำเลตามแนวรถไฟฟ้าพร้อมกันนั้น ทำให้ในบางพื้นที่เริ่มมีปัญหาอุปทาน
ส่วนเกินมีระดับสูง
สำหรับแนวโน้มคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลในปีนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาด
ว่า จะมีระดับใกล้เคียงกับปีก่อน โดยขยายตัวร้อยละ 0.8 ถึงลดลงร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับปี 2551 ทั้ง
นี้อุปทานที่ทยอยเข้ามาสู่ตลาดนั้น เป็นผลมาจากการเร่งเปิดโครงการของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ใน
ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ตลาดคอนโดมิเนียมทำเลย่านธุรกิจใจกลางเมือง และตามเส้นทางรถไฟฟ้าและรถไฟ
ใต้ดินพาดผ่าน เป็นที่ต้องการอย่างมากของผู้บริโภค อย่างไรก็ตามประเด็นที่น่าจับตามองในตลาด
คอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 คือ ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงรุมเร้ารอบด้าน ผู้
ประกอบการบางรายประสบกับภาวะสภาพคล่อง อสังหาริมทรัพย์บางโครงการต้องเผชิญกับความยากลำบาก
ในการทำยอดขาย ทำให้ผู้ประกอบการบางรายจำเป็นต้องหยุดการก่อสร้าง เนื่องจากขาดสภาพคล่องอย่าง
หนัก หรือบางรายชะลอการสร้างโดยจำต้องคืนเงินให้แก่ลูกค้า ในขณะที่บางโครงการที่ยังมีศักยภาพในการ
ทำตลาดนั้น ก็จะมีการขายต่อให้แก่กลุ่มทุนบางกลุ่ม ในขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมที่มีกลุ่มลูกค้าเป็นชาว
ต่างชาติ น่าจะยังคงเผชิญกับภาวะยอดขายที่ชะลอตัว เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลก ที่ส่งผลกระทบต่อกำลัง
ซื้อของชาวต่างชาติบางกลุ่ม

ธุรกิจรับสร้างบ้าน: ผู้ประกอบการรายใหญ่...แข่งขันรุนแรง
แนวโน้มธุรกิจรับปลูกสร้างที่อยู่อาศัยครึ่งหลังปี 2552 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ธุรกิจรับ
สร้างบ้านในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 น่าจะมีอัตราการเติบโตได้ดีกว่าครึ่งแรกของปี แม้จะเป็นอัตราที่ติด
ลบเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่เนื่องจากตลาดรับสร้างบ้านยังคงมีปัจจัยหนุนนอกจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่คาด
ว่า น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว ธุรกิจรับสร้างบ้านยังมีปัจจัยหนุนจาก แนวโน้มราคาวัสดุก่อสร้างที่อาจปรับเพิ่ม
ขึ้นตามต้นทุนการผลิต จึงเป็นโอกาสดีสำหรับผู้บริโภคที่มีความพร้อมอาจจะเร่งตัดสินใจในขณะที่ราคาวัสดุก่อ
สร้างยังคงอยู่ในระดับที่ทรงตัว สำหรับสภาวะตลาดในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 คาดว่า ผู้ประกอบการยัง
คงใช้กลยุทธ์ด้านราคาในการทำตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ประกอบการอาจปรับเปลี่ยนรูปแบบบ้าน วัสดุก่อ
สร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านให้เหมาะสมและสอดคล้องกับราคาของบ้าน แต่ยังคงความสวยงาม และความ
คงทนตามความต้องการของลูกค้า ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าในปี 2552 จำนวนบ้านที่ปลูกสร้างเอง
ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล น่าจะลดลงร้อยละ 24.1 ถึงลดลงร้อยละ 32.8 เมื่อเทียบกับปี 2551

ธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์: วิกฤตเศรษฐกิจโลก...ผลกระทบหนักต่อตลาด
แนวโน้มธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ในช่วงครึ่งหลังปี 2552 ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ ได้แก่ วิกฤต
เศรษฐกิจโลก แม้ว่าเศรษฐกิจในต่างประเทศเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากตัวเลขเศรษฐกิจในหลาย
ประเทศที่เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงต้องขึ้นอยู่กับปัจจัย
หลายประการ โดยเฉพาะเสถียรภาพของสถาบันการเงินหลายแห่งยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม ภายใต้
สถานการณ์ที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังมีความเปราะบาง และยังคงต้องอาศัยระยะเวลาอีก
ยาวนานกว่าที่เศรษฐกิจโลกจะกลับมาฟื้นตัวในระดับศักยภาพอีกครั้ง ทำให้การกลับเข้าลงทุนในประเทศไทย
ในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้อาจยังไม่ฟื้นตัวขึ้นได้รวดเร็วนัก ซึ่งจะส่งผลต่อจำนวนชาวต่างประเทศที่เข้ามา
ทำงานในประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยด้านความไม่แน่นอนการเมืองภายในประเทศ ซึ่งยังคงเป็น
ปัจจัยเสี่ยงหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดความรุนแรงขึ้นอีกครั้งดังเช่นที่เกิดเมื่อช่วงต้นเดือนเมษายน ที่
ผ่านมา ก็อาจจะส่งผลกระทบมากยิ่งขึ้นต่อความเชื่อของนักลงทุนของชาวต่างชาติ และส่งผลกระทบต่อธุรกิจ
เซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ที่พึ่งพาการเข้ามาพักอาศัยของนักลงทุนต่างชาติ สำหรับแนวโน้มการแข่งขันในธุรกิจ
เซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ในช่วงที่เหลือของปี 2552 นั้น คาดว่า ตลาดเซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์คงจะมีการแข่งขัน
กันอย่างรุนแรง เนื่องจากจำนวนห้องพักที่เริ่มทยอยสร้างเสร็จมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ความต้องการ
ห้องพักนั้นชะลอตัวลง ทำให้ผู้ประกอบการเซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ต้องปรับตัวในการดำเนินธุรกิจ เช่น การ
ปรับเปลี่ยนแพ็คเกจห้องพักให้ดูน่าสนใจ โดยอาจใช้กลยุทธ์ด้านราคามาทำตลาด การใช้กลยุทธ์การส่งเสริม
การขายอื่นๆ ร่วมด้วย เป็นต้น

บทสรุปและข้อคิดเห็น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 น่าจะมีทิศทาง
ที่ดีขึ้นกว่าในช่วงครึ่งแรกของปี เนื่องจากคาดว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ตามภาวะ
เศรษฐกิจในต่างประเทศที่เริ่มมีสัญญาณดีขึ้น อีกทั้งยังได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่
สองของรัฐบาล ที่น่าจะเป็นผลดีต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย อีกทั้งตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังได้รับ
แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ มาตรการหักลดหย่อนภาษี ซึ่งมาตรการดังกล่าวนี้จะสิ้น
สุด ณ สิ้นปี 2552 นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหนุนการขยายตัวของอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 คือ
การแข่งขันในธุรกิจสินเชื่อที่อยู่อาศัยระหว่างสถาบันการเงิน นอกจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของ
สถาบันการเงินในช่วงที่ผ่านมา จะจูงใจให้ผู้บริโภคที่มีความพร้อมตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยแล้ว การแข่งขันใน
ธุรกิจสินเชื่อระหว่างสถาบันการเงินที่รุนแรง ก็ยังมีผลต่อการตัดสินของผู้บริโภค โดยเฉพาะการใช้กลยุทธ์
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำพิเศษในการจูงใจลูกค้า ซึ่งหากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น และ
ปัญหาการเมืองมีความสงบเรียบร้อย ผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า กลุ่มผู้
บริโภคที่มีความพร้อมทางการเงิน และต้องการซื้อที่อยู่อาศัยก็อาจจะตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงสุดท้ายของ
ปีนี้
อย่างไรก็ตามภาวะเศรษฐกิจไทยก็ยังคงมีความเสี่ยง ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของ
เศรษฐกิจ อาทิ ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานใน
ประเทศไทย เสถียรภาพทางการเมือง ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง แนวโน้มการปรับตัวสูงขึ้น
ของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อภาระรายจ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นของผู้บริโภค และทิศทางราคา
สินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าวยังอาจส่งผลกระทบต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจจะมีผลต่อทิศทางราคาที่อยู่
อาศัยในระยะข้างหน้าได้ ซึ่งปัจจัยลบดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่ออำนาจการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค
และยังเป็นการซ้ำเติมการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปีนี้
สำหรับภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปี 2552 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า
น่าจะอยู่ในอัตราการเติบโตได้ดีกว่าครึ่งแรกของปี โดยอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม ที่
แม้ว่าภาพรวมของยอดขายโครงการใหม่จะชะลอตัวลง แต่บางโครงการยังคงสามารถสร้างยอดขายได้
เนื่องจากบางทำเลยังคงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะในทำเลที่ใกล้แหล่งชุมชน และยังไม่มีคู่แข่ง
ผู้ประกอบการที่เข้าไปรุกตลาดก่อนเนื่องจากมองเห็นถึงโอกาสในการทำตลาด จึงยังสามารถสร้างยอดขาย
ได้ดี แต่ในขณะเดียวกันก็มีบางโครงการที่อาจเผชิญกับปัญหาลูกค้าขอสินเชื่อไม่ผ่าน ทำให้แนวโน้มการยก
เลิกการโอนห้องชุดสูงขึ้น ส่งผลต่อจำนวนห้องชุดที่จะกลับเข้ามาสู่ตลาดมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทำให้ภาวะ
ตลาดคอนโดมิเนียมคงจะหลีกไม่พ้นกับการที่ต้องเผชิญการแข่งขันที่สูง
นอกจากนี้ตลาดที่อยู่อาศัยที่คาดว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้น คือ ที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮาส์ ที่น่าจะเป็นที่
สนใจของผู้บริโภคในขณะนี้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท และที่อยู่อาศัยประเภท
ทาวน์เฮาส์น่าจะช่วยตอบโจทย์ของลูกค้าได้ระดับหนึ่ง ในกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ใช้
สอยมากกว่าห้องชุดแต่ไม่สามารถที่จะซื้อที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวได้ สำหรับที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว
คาดว่า ตลาดน่าจะได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ ที่อาจจะช่วยเร่งการ
ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี รวมถึงผู้ประกอบการคงจะเร่งทำแคมเปญการตลาด เพื่อ
ช่วยเร่งการตัดสินใจของผู้บริโภค อาทิ การลดราคา การแจกของสมนาคุณ เป็นต้น
ในขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยที่อาจจะประสบกับปัญหาในช่วงที่เหลือของปี น่าจะเป็นตลาดปลูกสร้างบ้าง
เอง นอกจากปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่ออำนาจซื้อของผู้บริโภคโดยภาพรวมแล้ว ปัญหาผู้รับเหมาที่ละทิ้งงานก็
อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ที่จะปลูกสร้างบ้านต้องพิจารณาเลือกผู้รับเหมาอย่างระมัดระวังมากขึ้น นอกจากนี้
ตลาดอสังหาริมทรัพย์สำหรับชาวต่างชาติ อย่างธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ ยังคงได้รับผลกระทบจากจำนวน
ชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทยน้อยลง เนื่องมาจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ยังคงอาศัยระยะเวลาในการ
ฟื้นตัว
สำหรับจำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลในปี 2552 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาด
ว่า จำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลในปี 2552 น่าจะมีจำนวนประมาณ 66,500
หน่วย ลดลงร้อยละ 10.5 เมื่อเทียบกับปี 2551 ที่มีประมาณ 74,320 หน่วย โดยเป็นการลดลงของที่อยู่
อาศัยประเภทโครงการบ้านจัดสรร เนื่องจากยังมีโครงการที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จที่รอขายอยู่ในตลาดเป็น
จำนวนมาก ทำให้การเปิดโครงการใหม่ในระยะข้างหน้านับจากนี้น่าจะชะลอลง โดยเฉพาะการเปิด
โครงการใหม่จากผู้ประกอบการขนาดเล็กที่น่าจะหดตัวลง นอกจากนี้ยังเป็นการลดลงของที่อยู่อาศัยประเภท
ปลูกสร้างเอง เนื่องจากผู้บริโภคชะลอการสร้างที่อยู่อาศัยออกไป ในขณะที่จำนวนที่อยู่อาศัยประเภท
คอนโดมิเนียมสร้างเสร็จน่าจะมีระดับที่ใกล้เคียงกับปีก่อน หรือลดลงเล็กน้อย
stock in focus

**********
15/07/52
นิปปอน สตีล เตรียมฟื้นกำลังการผลิตเหล็ก
นิปปอน สตีล เผยเตรียมผลิตเหล็กที่โรงงานที่โออิตะอีกครั้งในวันที่ 2 ส.ค.นี้ ขานรับดีมานด์ดีดตัวโดยเฉพาะจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ หลังจากที่ปิดทำการชั่วคราวตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ก.ค.เป็นต้นมา เพราะอุปสงค์เหล็กร่วงลงอย่างหนัก สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การผลิตเหล็กดิบในเดือนก.ค.-ก.ย.มีแนวโน้มจะพุ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 2
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MorningBrief/tabid/104/newsid553/93288/Default.aspx
stock in focus

**********
09/07/52
กลุ่มเหล็ก ลุ้นโชค 2 ชั้น
หลังรมช.คลัง "ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์" ส่งซิกหั่นภาษีนำเข้าเหล็ก JTEPA กลุ่มยานยนต์ เหลือ 0% จากเดิม5% ดันเข้าครม.ไฟเขียวสัปดาห์หน้า พ่วงอีกข่าวดีกระทรวงพาณิชย์ต่ออายุภาษีเอดีส่งออกเหล็กรีดร้อน 14 ประเทศเหลือ 0% อีก 5 ปีด้านผู้บริหาร SSI ยิ้มรับอานิสงส์ ฟุ้งไตรมาส 2 รายได้อู้ฟู
; (ทันหุ้น)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น