วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ข่าวกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้าง,วัสดุและอสังหาริมทรัพย์53

14/01/53
ยอดโอนคอนโดฯ 11 เดือนปี 52 ทะลุ 4.7 หมื่นยูนิต
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ศูนย์ข้อมูลฯ เผยผลสำรวจยอดโอนกรรมสิทธิ์ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 5 จังหวัด รอบ 11 เดือนแรกของปี 52 รวม 1.38 แสนยูนิต คอนโดฯ ทะลุ 4.7 หมื่นหน่วย
เปิดเผยข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 5 จังหวัด ในรอบ 11 เดือนแรกของปีนี้ พบว่ามีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท ทั้งที่อยู่อาศัย ที่ดินเปล่า และอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ ที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย รวมกันประมาณ 189,300 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาแบ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย รวมกันประมาณ 138,500 หน่วย โดยในจำนวนนี้ เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคอนโดมิเนียมมากที่สุดประมาณ 47,400 หน่วย โดยแบ่งเป็นอาคารชุดที่โอนจากนิติบุคคล (คาดว่าเป็นอาคารชุดใหม่) 28,700 หน่วย และอาคารชุดที่โอนจากบุคคลธรรมดา (คาดว่าเป็นอาคารชุดมือสอง) 18,700 หน่วย รองลงมาเป็นทาวน์เฮาส์ 44,600 หน่วย และบ้านเดี่ยวประมาณ 28,600 หน่วย อาคารพาณิชย์ 13,500 หน่วย และบ้านแฝดประมาณ 4,100 หน่วย ส่วนอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยนั้น พบว่ามีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเปล่ามากถึง 43,800 แปลง

จังหวัดกรุงเทพฯ เป็นจังหวัดที่มีสถิติจำนวนแปลงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ของที่อยู่อาศัยมากที่สุด ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 60 ของที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด โดยเฉพาะห้องชุดคอนโดมิเนียม ซึ่งมีสถิติการโอนคิดเป็นถึงร้อยละ 78 ของจำนวนห้องชุดที่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดในกทม.และปริมณฑล และมีพื้นที่ของห้องชุดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์คิดเป็นร้อยละ 82

มูลค่าการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท ทั้งที่อยู่อาศัย ที่ดินเปล่า และอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ ที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย รวมกันประมาณ 478,000 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 จากช่วงเวลาเดียวกัน

อสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์รวมกันประมาณ 288,500 ล้านบาท โดยกรุงเทพฯ เป็นจังหวัดที่มีมูลค่าการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยสูงที่สุด ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 69 ของที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด เป็นมูลค่าการโอนบ้านเดี่ยวสูงที่สุดประมาณ 97,600 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 34 ของที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธ์ทั้งหมด รองลงมาเป็นมูลค่าการโอนห้องชุด ประมาณ 87,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 30 ของที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธ์ทั้งหมด ทาวน์เฮาส์มีมูลค่าประมาณ 58,400 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 20 ของที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธ์ทั้งหมด

สำหรับห้องชุดคอนโดมิเนียมที่มีการโอนกรรมสิทธิ์จากนิติบุคคล คาดว่าเป็นคอนโดมิเนียมใหม่จำนวน 28,700 หน่วยนั้น มีมูลค่าการโอนรวมกันประมาณ 68,700 ล้านบาท ดังนั้น คิดเป็นราคาเฉลี่ยต่อหน่วย 2.39 ล้านบาท ในเชิงเปรียบเทียบกัน จำนวนห้องชุดคอนโดมิเนียมที่มีการโอนกรรมสิทธิ์จากบุคคลธรรมดา ซึ่งคาดว่าเป็นคอนโดมิเนียมมือสองจำนวน 16,800 หน่วยนั้น มีมูลค่าการโอน 18,300 ล้านบาท หรือประมาณ 983,000 บาทต่อหน่วย

สำหรับอสังหาริมทรัพย์อื่นที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยนั้น มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์รวมกันประมาณ 189,500 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นมูลค่าการโอนที่ดินเปล่ามากถึง 140,700 ล้านบาท
krunthepturakij
*********
14/01/53
สมาคมรับสร้างบ้านตั้งเป้าปี53แตะ1.2หมื่นล้าน
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

สมาคมฯรับสร้างบ้านเปิดแนวรุกปี 53 ตั้งเป้ากระตุ้นตลาดโต 10% ประเดิมไตรมาสแรกจัดงาน Home Builder Focus 2010 ตั้งเป้ายอดขาย 500 ล้านบาท
นายวิบูล จันทรดิลกรัตน์ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า ปี 2553 สมาคมฯ ได้วางนโยบายครอบคลุม 4 เรี่องหลักๆ ประกอบไปด้วย ด้านการสร้างมูลค่าตลาดรวมธุรกิจรับสร้างบ้าน นโยบาย ด้านผู้บริโภค นโยบายด้านสมาชิก และ นโยบายด้านความรับผิดชอบขององค์กรธุรกิจต่อสังคม (CSR : Corporate Social Responsibility)

สำหรับเป้าหมายในส่วนของการเติบโตของมูลค่าตลาดรวมธุรกิจรับสร้างบ้านคาดว่าจะสามารถแตะระดับ 12,000 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้น 9-10% ในปี 2553 จากมูลค่าตลาดรวมในปี 2552 ที่ประมาณ 11,000 ล้านบาท

โดยมูลค่าตลาดรวมที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ ประการแรก การเติบโตของตลาดรับสร้างบ้านที่เพิ่มขึ้นผ่านการทำกิจกรรม และประชาสัมพันธ์ของสมาคมฯ ซึ่งส่งผลให้ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรวมตัวกันจัดงานรับสร้างบ้าน และ งาน Home Builder Focus ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคได้รู้จักกับบริษัทรับสร้างบ้านมากยิ่งขึ้น ประการที่สอง ราคาบ้านเฉลี่ยที่ผู้บริโภคนิยมซื้อที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นโดยเพิ่มจาก 4.2 ล้านบาทในปี 2551 มาเป็น 4.7 ล้านบาทในปี 2552 ขณะที่ในปี 2553 คาดว่าราคาเฉลี่ยของบ้านที่เป็นที่นิยมของผู้บริโภคก็น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

สำหรับนโยบายด้านผู้บริโภค โดยสมาคมฯ จะให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ในการร่วมร่างสัญญามาตรฐานเพื่อสร้างความเป็นธรรมและป้องกันการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคจากบริษัทรับสร้างบ้านที่ขาดจริยธรรม

นอกจากนี้ยังเน้นการสื่อสารกับผู้บริโภคอย่างตรงไปตรงมากับกลุ่มผู้บริโภค โดยเฉพาะการให้ข้อมูลข่าวสารและความรู้เกี่ยวกับธุรกิจรับสร้างบ้าน โดยสมาคมฯมีแผนงานที่จะพัฒนาเว็บไซต์ www.hba-th.org ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของสมาคมฯ ให้มีความทันสมัยมากขึ้น และยังมีแนวทางที่จะใช้เว็บไซต์เป็นที่เสาะหา และเก็บรวบรวมข้อมูลความต้องการของผู้บริโภคเพื่อที่จะนำมาพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการต่อไป

นายวิบูล กล่าวต่อว่า นอกจากนี้สมาคมฯ จะเพิ่มจำนวนสมาชิกขึ้น เพื่อสร้างมาตรฐานของการให้บริการรับสร้างบ้าน ขณะเดียวกันจะให้การส่งเสริมกับสมาชิกที่สมัครใจจะพัฒนาองค์กรตามรูปแบบของระบบมาตรฐาน ISO รวมถึงการสนับสนุนให้สมาชิกมีการจดลิขสิทธิ์แบบบ้าน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาด้านการออกแบบให้มากขึ้น

ส่วนนโยบายที่เกี่ยวกับด้านการตอบแทนสู่สังคม หรือ CSR ปัจจุบันสมาคมฯ มีกิจกรรมหลัก 2 ส่วนคือ การให้การสนับสนุนกิจกรรมของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และการให้ทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนในสาขา วิชาการก่อสร้างโดยเป็นโครงการร่วมกับวิทยาลัยเทคนิคดอนเมืองซึ่งในปี 2553 ทั้งสองกิจกรรมก็จะยังคงดำเนินนโยบายต่อไป และจะเพิ่มกิจกรรมเพื่อสังคมอีกหนึ่งกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับด้านสิ่งแวดล้อม โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดกิจกรรมดังกล่าว

สำหรับในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2553 สมาคมฯ จะเน้นในเรื่องของนโยบายการเร่งสร้างมูลค่าตลาดรวม และนโยบายในเชิงของผู้บริโภค ผ่านการจัดงาน Home Builder Focus 2010 ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 26-28 กุมภาพันธ์ 2553 ณ ห้องบางกอกคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว โดยภายในงานจะเป็นการรวมตัวของบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำ พร้อมด้วยสถาบันการเงินที่จะมาให้สินเชื่อในอัตราพิเศษ โดยสมาคมฯ คาดว่าภายในงานดังกล่าวจะสามารถสร้างยอดขายได้ประมาณ 500 ล้านบาท
krungthepturakij
************
08/01/53
INDUSTRY UPDATE
พัฒนาที่อยู่อาศัย (Housing) by asp
ขอต่ออายุมาตรการ ถึงสิ้นปี 2553 ... ถ้าสำเร็จ Profit Margin จะยังสูงต่อไป

** สมาคมอาคารชุดไทย เตรียมยื่นขอต่ออายุมาตรการถึงสิ้นปี 2553
** ปี 2553 ดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับขึ้น ขณะที่การแข่งขันเข้มข้น
** ผลประกอบการดี ราคาถูก AP, SC, และ SPALI ซื้อลงทุนระยะยาว
** สมาคมอาคารชุดไทย เตรียมยื่นขอต่ออายุมาตรการถึงสิ้นปี 2553
สมาคมอาคารชุดไทย เตรียมยื่นหนังสือถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อ
เสนอขอให้ต่ออายุมาตรการภาษีกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่จะหมดอายุใน
วันที่ 28 มีนาคม 2553 ซึ่งประกอบด้วยการลดภาษีธุรกิจเฉพาะจาก 3.3% เหลือ
0.1%, ค่าธรรมเนียมการโอนฯ และจดจำนองจาก 2% และ 1% เหลือ 0.01% โด
จะเสนอขอยื่ดอายุออกไปจนถึง 31 ธันวาคม 2553 ทั้งนี้ให้เหตุผลสนับสนุนว่า
หากไม่ต่ออายุมาตรการออกไป ราคาบ้านอาจปรับขึ้นไป 5-8% ซึ่งเป็นผลมาจาก
สิทธิประโยชน์จากมาตรการที่หายไปและอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ในความเห็นของ
ฝ่ายวิจัย เห็นว่ามาตรการที่จะหมดอายุ 28 มีนาคม 2553 โดยหลักแล้วผู้ที่ได้รับ
ประโยชน์อย่างเต็มที่ได้แก่ ผู้ประกอบการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของภาษี
ธุรกิจเฉพาะ 3.3% ซึ่งโดยปกติเป็นภาระของฝ่ายผู้ประกอบการ ส่วนที่ผู้ซื้อได้รับ
ได้แก่ เรื่องของค่าธรรมเนียมการโอนฯ ซึ่งเป็นภาระของฝ่ายผู้ซื้อ และผู้ขายคนละ
ครึ่ง และค่าธรรมเยมจดจำนอง 1% ของเงินกู้ สำหรับในส่วนของการกระตุ้น
กำลังซื้อ หากพิจารณาจากยอดจดทะเบียนบ้านใหม่ในงวด 10M52 พบว่ามีการ
ขยายตัว 3.9% YoY ซึ่งหากเข้าไปดูในรายละเอียดพบว่าส่วนที่เติบโตสูงที่สุด
ได้แก่ คอนโดฯ เติบโต 31% ขณะที่บ้านเดี่ยวและทาวเฮ้าส์หดตัว 15% และ 8%
ตามลำดับ ซึ่งฝ่ายวิจัยเห็นว่าการที่ผู้ซื้อตัดสินใจซื้อคอนโดฯ มาตรการกระตุ้น
เรื่องภาษีธุรกิจเฉพาะ และค่าธรรมเนียมต่างๆ มีผลไม่มากนัก อย่างไรก็ตามหาก
มีการต่ออายุมาตรการจริง ก็จะทำให้ Profit Margin ของผู้ประกอบการสูงกว่า
ประมาณการที่ฝ่ายวิจัยนำเสนอ เนื่องจากประมาณการดังกล่าวอยู่บน
สมมุติฐานว่าไม่มีการต่ออายุมาตรการ
** ปี 2553 ดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับขึ้น ขณะที่การแข่งขันเข้มข้น
ภาพรวมผลประกอบการปี 2553 ฝ่ายวิจัยประเมินว่าโดยภาพรวมยังมีแนวโน้ม
เติบโตต่อเนื่อง ทั้งนี้ประเมินจาก Backlog ของผู้ประกอบการที่ยังอยู่ในระดับสูง
(ดูกราฟด้านหลังประกอบ) แต่อย่างไรก็ตามการลงทุนในหุ้นอสังหาฯ ยังมีความ
เสี่ยงที่ต้องระวังอยู่ 2 ประการคือ การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากพบว่า
ผู้ประกอบการมีแนวโน้มที่จะเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดย
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ รวบรวมตั้วเลขแผนเปิดตัวโครงการใหม่ของ
ผู้ประกอบการรายใหญ่ 8 แห่ง พบว่าจะมีมูลค่าโครงการสูงถึง 1.27 แสนล้าน
บาท และจากข้อมูลในงบการเงินของ 29 บริษัทในกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัยพบว่ามี
รายการสินค้าคงเหลือสูงถึง 1.56 แสนล้านบาท (เป็นตัวเลขรวมทั้งที่ขายแล้วรอ
โอนฯ และยังไม่ขาย) ปัจจัยเสียงอีกประเด็นสำหรับราคาหุ้นอสังหาฯ ได้แก่
ทิศทางอัตราดอกเบี่ยที่ปรับขึ้น เพราะถึงแม้กระทบต่อกำลัง.ซื้อไม่มาก แต่น่าจะ
กระทบต่อ Sentiment ราคาหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ
**ผลประกอบการดีราคาถูก AP, SC และ SPALI ซื้อลงทุนระยะยาว
หุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย ราคาหุ้นมีการปรับตัวขึ้นไปมากแล้วจน
แทบไม่เหลือ Upside จาก Fair Value ฝ่ายวิจัยจึงแนะนำให้สลับมาลงทุนในหุ้น
ขนาดกลาง-เล็ก ซึ่งมีหลายตัวที่ราคายังต่ำ และมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ซึ่ง
Top Pick ได้แก่ AP (FV @B7.59), SC (FV@B 14.78) และ SPALI (FV@B8.87)
asp view
**********
06/01/52
8 บิ๊กอสังหาฯ โหมลงทุนปีนี้รวมกว่า 1.27 แสนล.
บิ๊กอสังหาฯ โหมลงทุนใหม่ต่อปีเสือ พบ 8 รายใหญ่กระหน่ำผุดโปรเจครวมมูลค่ากว่า 1.27 แสนล้านบาทรับกำลังซื้อกับมารอบใหม่
ผู้ประกอบการรายใหญ่หวังกินรวบทุกระดับราคา-สินค้า เพิ่มสัดส่วนเก็บลูกค้า ควบแผนขยายการลงทุนสู่ต่างจังหวัด ตลาดคอนโดฯยังเฟื่องส่งผลกลุ่มทุนจากอุตสาหกรรมอื่นๆต่อยอดกำไรธุรกิจด้วยการโยกเงินลงอสังหาฯ

"กรุงเทพธุรกิจ" สำรวจและสอบถามแผนการลงทุนของผู้ประกอบอสังหาริมทรัพย์ในปี 2553 "ปีเสือ" เฉพาะรายใหญ่ 8 รายที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกอบด้วย พฤกษาฯ, ศุภาลัย ,แอล.พี.เอ็นฯ ,แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, เอเซี่ยน พร้อพเพอร์ตี้ (เอพี), เอสซี แอสเสท และควอลิตี้ เฮ้าส์ พบแต่ละรายเตรียมพร้อมที่จะเปิดตัวโครงการใหม่รวมมูลค่าไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาทด้วยเพราะหวังรับกำลังซื้อที่คาดว่าจะกลับมาคึกคัก

โดยสินค้าที่เปิดขายใหม่จะมีทุกประเภท ทั้งคอนโด บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝด หลายรายเริ่มคิดที่จะขยายฐานตลาดสู่ต่างจังหวัดจากที่ไม่เคยลงทุนผ่านการลงทุนโดยตรงหรือผ่านบริษัทในเครือ ด้วยเพราะเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ขยายฐานลูกค้า หลังจากที่แนวโน้มตลาดในกรุงเทพฯ มีขนาดเล็กลง โดยบริษัท แอลพีเอ็น ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่ตั้งเป้ายอดรายได้ปี 2553 ไว้ 1 หมื่นล้านบาท เตรียมเปิดโครงการใหม่ประมาณ 10 โครงการรวมมูลค่าโครงการร่วม 1.5 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันก็ขยายฐานการลงทุนสู่ต่างจังหวัดครั้งแรกปักหลักที่จ.ชลบุรี ด้วยการรขึ้นคอนโดมิเนียมตากอากาศย่านพัทยาเหนือ

ส่วนบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ที่ตั้งเป้ายอดขายทั้งปีไว้ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท ขณะที่รายได้ทั้งปีตั้งไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาท มีแผนเปิดโครงการใหม่กว่า 10 โครงการรวมมูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยต่างจังหวัดนั้นได้ขยายสู่จ.เชียงใหม่ เป็นครั้งแรกโดยได้ซื้อที่ดิน 60 ไร่ ทำโครงการบ้านจัดสรร 300 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพ มีความสมบูรณ์ มีดีมานด์ขนาดใหญ่เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดต่างจังหวัดที่ศุภาลัยเคยลงทุนมาแล้ว เช่น ขอนแก่น ภูเก็ต และหาดใหญ่ แม้จะเป็นผู้เล่นรายใหม่ในทำเล แต่ความแข็งแกร่งของแบรนด์น่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี

ขณะที่ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้าโครงการใหม่ 48 -50โครงการ มูลค่ากว่า3 หมื่นฃ้านบาท กระจายทั้งกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ต่างจังหวัด และ ต่างประเทศ ด้านบริษัทเอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ฯเปิดตัวโครงการใหม่ 20 โครงการวมมูลค่าเกือบ 2 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันมีที่ดินที่พร้อมทยอยเปิดตัวแล้วรวมมูลค่าเกือบ 1.6 หมื่นล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 6 โครงการ,ทาวน์เฮ้าส์ 4 โครงการและคอนโดอีก 1 โครงการแต่คาดว่าทั้งปีน่าจะเปิดคอนโดใหม่ได้รวม 4 โครงการ

บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) จะเปิด 13 โครงการ มูลค่า 1.56 หมื่นล้านบาท ด้านบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เตรียมเปิดโครงการ 10 โครงการ มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท และบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ลงทุน 12-13 โครงการ มูลค่า 9 พันล้านบาทถึง 1 หมื่นล้านบาท ฯลฯ

โฟกัสทุกตลาดเสริมรายได้-กระจายเสี่ยง

หากพิจารณาถึงความเคลื่อนไหวในการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2553 เป็นการตอกย้ำว่าตลาดเป็นของผู้เล่นรายใหญ่จริงๆ กล่าวคือ ทุกรายหันลงมาเล่นตลาดทุกระดับราคา มีการขึ้นโครงการทั้งแนวสูง แนวราบ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มแอล.พี.เอ็น.ฯ เดิมเน้นตลาดคอนโดมิเนียม แต่ปีนี้ก็ขยายฐานสู่ตลาดแนวราบผ่านบริษัทในเครือ คือ บริษัท พรสันติ จำกัด ส่วนเอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ปีนี้ปรับแผนหันมาให้น้ำหนักกับโครงการแนวราบ เพราะในช่วงปี 2552 ได้ลุยโครงการแนวสูงไว้ค่อนข้างมาก

ขณะที่แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เห็นสัดส่วนตลาดที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ประกอบกับเพื่อเพิ่มโอกาสในธุรกิจ ก็จะหันมาพัฒนาโครงการแนวสูงเพิ่มขึ้น เพื่อเสริมที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยแลนด์ฯ มีแผนเปิดตัวคอนโดใหม่อีก 4-5 โครงการ

นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวให้ความคิดเห็นว่า โดยส่วนตัวไม่กังวลปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม เพราะหากพิจารณาถึงอัตราการเข้าพักอาศัยจากโครงการที่บริษัทเปิดขายและส่งมอบห้องชุดให้ลูกค้ามีการเข้าอยู่อาศัยกว่า 80-90% ทุกโครงการ

แต่ทั้งนี้ การลงทุนในโครงการใหม่ๆ นั้นผู้ประกอบการจะต้องมีความระมัดระวัง และต้องศึกษาตลาดให้ดี โครงการที่จะเกิดใหม่ในปี 2553-2554 หากผู้ประกอบการไม่คาดการณ์ตลาดให้ดีก็อาจจะเกิดปัญหาโอเวอร์ซัพพลายได้อนาคต เพราะกว่าโครงการจะสร้างเสร็จและส่งมอบก็ใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปีขึ้นอยู่กับขนาดของโครงการ

ส่วนการแข่งขันของตลาดคอนโดฯ น่าจะรุนแรง แต่ก็ขึ้นกับทำเล และยังมั่นใจในทำเลสุขุมวิทยังไปได้ดี แต่จะแข่งกันหนักเรื่องการซื้อที่ดิน

นายอนุพงษ์ กล่าวอีกว่า แม้ตลาดอสังหาฯ จะมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้าสู่วงการแต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะจะถูกสกัดโดยสถาบันการเงิน ทำให้โอกาสเป็นของผู้ประกอบการรายใหญ่

ข้อมูลเพิ่มเติม

ประมาณการแผนลงทุน 8 บิ๊กอสังหาฯ ในปี 2553 รวมมูลค่ากว่า 1 แสนล.

@ บมจ.แอลพีเอ็น เปิดใหม่ 10 โครงการ มูลค่า 1.5 หมื่นล.

@ บมจ.ศุภาลัย เปิดใหม่กว่า 10 มูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล.

@ บมจ.พฤกษาฯเปิดใหม่กว่า 48 -50โครงการ มูลค่ากว่า3 หมื่นล.

@ บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ฯเปิดใหม่ 20 โครงการวมมูลค่าเกือบ 2 หมื่นล.

@ บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ เปิดใหม่ 13 โครงการ มูลค่า 1.56 หมื่นล.

@ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดใหม่ 10 โครงการ มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท

@ บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เปิดใหม่ 14 โครงการมูลค่ากว่า 1หมื่นล.

@ บมจ.เอสซี แอสเสทฯ เปิดใหม่ 12-13 โครงการ มูลค่าเกือบ 1 หมื่นล.
krungthepturakij**********
04/01/53
ตลาดคอนโดฯแสนยูนิตแข่งดุปีเสือ ยักษ์อสังหาฯ-ทุนใหม่-ต่างชาติสั่งลุย เชื่อดีมานด์สูงยันไม่เกิดฟองสบู่

คอนโดฯฮอตข้ามปี เผยดีมานด์ในตลาดยังมีสูงต่อเนื่องตลอดปีเสือ ยักษ์อสังหาฯ-ทุนหน้าใหม่-ต่างชาติ แห่ลงทุนผุดโปรเจ็กต์ใหม่เพิ่ม ส่งผลซัพพลายทะลัก ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯระบุมียอดสะสมกว่า 1 แสนยูนิต สั่งจับตากลุ่มซื้อเพื่อลงทุน-พวกเก็งกำไร หวั่นจุดชนวนห้องชุด ล้นตลาด ด้านบิ๊กแบรนด์ "เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้-พฤกษา เรียลเอสเตท-แอล.พี.เอ็น.ฯ" ยอมรับปี"53 แข่งเดือด เพราะต้องวัดดวงเศรษฐกิจ-กำลังซื้อโตตามที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ ประสานเสียงการันตีไม่เกิดปัญหาฟองสบู่แน่

หลายปีติดต่อกันที่คอนโดฯกลายเป็นที่อยู่อาศัยยอดฮิตเพราะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคนี้ได้ดีกว่าที่อยู่อาศัยประเภทอื่น ๆ ทั้งแง่การใช้ชีวิตประจำวัน หรือไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่ส่วนใหญ่ เป็นคนรุ่นใหม่ ระดับราคาขายที่ไม่สูงเกินไป ตลอดจนทำเลที่ตั้งโครงการที่อยู่ในเมืองหรือแนวรถไฟฟ้า สะดวกสบายในการเดินทาง ห้องชุดในโครงการคอนโดฯจึงเป็น ทางเลือกใหม่ของการอยู่อาศัย และดูเหมือนจะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ

ส่งผลให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะบริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มทุนใหญ่จากธุรกิจอื่นที่ขยายไลน์มาสู่อสังหาฯ รวมทั้งกลุ่มทุนต่างชาติที่จับมือเป็นพันธมิตรกับทุนไทย ต่างหันมารุกลงทุนคอนโดฯกันอย่างคึกคัก

จนทำให้หลายฝ่ายเริ่มเป็นห่วงว่า การแห่ลงทุนพัฒนาคอนโดฯพร้อม ๆ กันจำนวนมากอาจส่งผลให้เกิดปัญหาโอเวอร์ซัพพลายตามมา สะท้อนได้จากพฤติกรรมการซื้อห้องชุดช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ที่นอกจากจะซื้อเพื่อการอยู่อาศัยและลงทุนด้วยการถือครองระยะยาวแทนการฝากเงินกับสถาบันการเงินที่ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ต่ำ หรือเพื่อปล่อยเช่าแล้ว นับวันกลุ่มที่ซื้อเพื่อเก็งกำไรก็ยิ่งมีเพิ่มขึ้น

ซัพพลายพุ่ง 1.07 แสนยูนิต

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยผลสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพ มหานคร (กทม.) และปริมณฑลช่วงครึ่งหลังปี 2552 ว่า ณ กลางเดือนพฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านมามีคอนโดฯเปิดตัวใหม่ 46 โครงการ รวม 14,806 ยูนิต ในจำนวนนี้เป็นโครงการของบริษัทพัฒนาที่ดินในตลาดหลักทรัพย์ฯ 27 โครงการ บริษัทนอกตลาด 19 โครงการ แยกเป็นจำนวนหน่วยของบริษัทพัฒนา ที่ดินในตลาดหลักทรัพย์ฯ 5,687 ยูนิต หรือ 38% บริษัทนอกตลาด 9,119 ยูนิต หรือ 62% โดยผู้ประกอบการที่มีจำนวนหน่วยเปิดขายใหม่มากสุด 5 อันดับ คือ แอล.พี.เอ็น.ฯ 2 โครงการ 3,720 ยูนิต เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ 4 โครงการ 1,530 ยูนิต ศุภาลัย 2 โครงการ 1,370 ยูนิต นารายณ์พร็อพเพอร์ตี้ 2 โครงการ 1,050 ยูนิต พฤกษาเรียลเอสเตท 3 โครงการ 785 ยูนิต

กลุ่มทุนใหม่-ต่างชาติแจมตลาด

ไม่รวมโครงการใหม่ที่พัฒนาโดยกลุ่มทุนใหญ่และตระกูลดังทั้งที่อยู่ในวงการอสังหาฯและธุรกิจอื่น อาทิ VOQUE Condominium ของบริษัท เคพีแอสเซ็ท จำกัด ซึ่งเปิดตัวช่วงต้นเดือนธันวาคม 2552 ที่ผ่านมา เดอะ โคสท์ แบงคอก คอนโดมิเนียม ของบริษัท บีเคเค แกรนด์ เอสเตท ในกลุ่มบีเคเคกรุ๊ปของตระกูล ลิขิตพฤกษ์ ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนซ์ นิสสัน และไครสเลอร์ ตรงข้ามไบเทค บางนา โครงการมหานคร โครงการร่วม ทุนระหว่างบริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ของตระกูลเตชะไกรศรี กับบริษัท อินดัสเทรียล บิลดิ้งส์ คอร์ปอเรชั่น (ไอบีซี) จำกัด (มหาชน) บริษัทพัฒนาอสังหาฯที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อิสราเอล ในเครือฟิช แมน กรุ๊ป ที่จะพัฒนาแบบมิกซ์ยูส ประกอบด้วยพื้นที่ส่วนโรงแรมบูติคหรู คอนโดฯระดับลักเซอรี่ ราคาเริ่มต้น 30 ล้านบาท/ยูนิต และศูนย์การค้าแบบไลฟ์สไตล์ มูลค่าโครงการรวม 1.8 หมื่นล้านบาท

แย่งเค้กแนวรถไฟฟ้า-แอร์พอร์ตลิงก์

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯระบุว่า พิจารณาเป็นรายทำเลพบว่า รัชดาฯ-ลาดพร้าว มี คอนโดฯเปิดขายใหม่ครึ่งหลังปี 2552 สูงสุด 4,541 ยูนิต บางพลัด-ตลิ่งชัน 2,862 ยูนิต เพลินจิต-พญาไท 1,938 ยูนิต สุขุมวิทตอนปลาย 1,430 ยูนิต คลองสาน 1,024 ยูนิต สุขุมวิทตอนต้น 919 ยูนิต และสีลม-สาทร 849 ยูนิต ฯลฯ

เทียบกับ ณ ครึ่งแรกปี 2552 มีคอนโดฯสะสมอยู่ในตลาดทั้งหมด 248 โครงการ 107,749 ยูนิต แยกเป็น กทม. 81,770 ยูนิต นนทบุรี 19,713 ยูนิต สมุทรปราการ 2,165 ยูนิต และนครปฐม 1,056 ยูนิต ไม่รวมคอนโดฯบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ (กคช.)

โดยการพัฒนาส่วนใหญ่จะเน้นเกาะแนวรถไฟฟ้าหรืออยู่ใกล้เส้นทางรถไฟฟ้าทั้งใต้ดินและบนดิน อาทิ แนวรถไฟฟ้าใต้ดินย่านรัชดาภิเษก อโศก เพชรบุรี ลาดพร้าว ฯลฯ แนวรถไฟฟ้าบีทีเอส เช่น สุขุมวิท สาทร เพลินจิต สีลม พหลโยธิน รวมทั้งทำเลตากสิน บางนา สำโรง ซึ่งเป็นทำเลส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่น่าจับตามองอีกทำเลหนึ่ง คือ ทำเลแนว รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์

เก็งกำไรห้องชุด 1-2 ล้าน 20%

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า จากกระแสบูมอย่างต่อเนื่องของตลาด คอนโดฯ ก่อนหน้านี้นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ได้แสดงความเป็นห่วงว่า การที่ผู้ประกอบการแห่เข้ามาลงทุนจำนวนมากอาจจะทำให้เกิดปัญหาโอเวอร์ซัพพลายได้ ขณะเดียวกันจากการสำรวจพบว่าหลังเศรษฐกิจและการเมืองคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น กลุ่มผู้มีเงินเย็นและนักลงทุนหันมาซื้อคอนโดฯระดับราคา 1-2 ล้านบาท เพื่อลงทุนในระยะยาวหรือปล่อยเช่ามากขึ้น โดยพบว่ามีถึง 10-20% ของห้องชุดที่ขายออกไปทั้งหมด เนื่องจากกลุ่มนี้จะเป็นคู่แข่งของตลาดอพาร์ตเมนต์ให้เช่าโดยตรง เพราะจากการสำรวจพบว่าปัจจุบันมีห้องเช่าใน อพาร์ตเมนต์ไม่น้อยกว่า 7 แสนยูนิต

จดทะเบียนแซงบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์

ขณะเดียวกันนายสัมมาได้รายงานสถิติยอดจดทะเบียนโอนที่อยู่อาศัยช่วง 3 ไตรมาสแรกปี 2552 โดยระบุว่า มียอดโอนอสังหาฯทุกประเภทรวมกัน 146,300 ยูนิต ในจำนวนนี้เป็นที่อยู่อาศัยใหม่และมือสอง 107,600 ยูนิต แบ่งเป็นคอนโดฯ 38,200 ยูนิต หรือ 36% รองลงไปเป็นทาวน์เฮาส์ 32,900 ยูนิต หรือ 31% บ้านเดี่ยว 22,600 ยูนิต หรือ 21% อาคารพาณิชย์ 10,400 ยูนิต หรือ 10% ที่เหลือเป็นประเภทอื่น ๆ

ส่วนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ใน กทม.และ 5 จังหวัดปริมณฑลช่วง 3 ไตรมาสแรกปี 2552 มีทั้งสิ้น 64,300 ยูนิต เป็นห้องชุดในคอนโดฯ 32,800 ยูนิต หรือ 51% (รวมบ้านเอื้ออาทร 12,000 ยูนิต) ที่อยู่อาศัยแนวราบ 31,500 ยูนิต ถือเป็นปีแรกที่จำนวนหน่วยห้องชุดสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่มีมากกว่าที่อยู่อาศัยแนวราบสร้างเสร็จจดทะเบียน

ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาฯระบุว่า ในส่วนของที่อยู่อาศัยแนวราบสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 22,300 ยูนิต หรือ 34.6% ของหน่วยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ทั้งหมด ทาวน์เฮาส์ 6,000 ยูนิต หรือ 9.3% อาคารพาณิชย์ 2,200 ยูนิต หรือ 3.4% และบ้านแฝด 1,000 ยูนิต หรือ 1.5% สำหรับยอดที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนทั้งปี 2552 ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯประมาณการไว้ที่ 85,000 ยูนิต เทียบกับ ปี 2551 จำนวน 83,000 ยูนิต สรุปแล้ว คอนโดฯยังได้รับความนิยมจากผู้ซื้อมากขึ้น ผู้ประกอบการจึงแห่เข้ามาลงทุนจนหลายฝ่ายเริ่มเป็นห่วง แม้เวลานี้การดูดซับของกำลังซื้อในตลาดคอนโดฯยังอยู่ในระดับที่ดี ยกเว้นบางทำเลที่ยอดขายอาจจะอืดบ้างแต่ยังห่างไกลคำว่าฟองสบู่อสังหาฯ

บิ๊กอสังหาฯยันไม่โอเวอร์ซัพพลาย

ขณะที่ในมุมมองของผู้ประกอบการอสังหาฯ โดยเฉพาะบิ๊กแบรนด์ในตลาดหลักทรัพย์ฯต่างมั่นใจว่า ปี 2553 ยังเป็นปีที่ตลาดคอนโดฯมาแรง และแม้จะมีผู้เล่นเข้ามาแจมเค้กมากขึ้นก็มั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาโอเวอร์ซัพพลายซ้ำรอยวิกฤตเศรษฐกิจ ปี 2540 แน่ สาเหตุเพราะดีเวลอปเปอร์ทุกบริษัทต่างระมัดระวังในการลงทุน ที่สำคัญปัจจุบันสัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัท อสังหาฯในตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่อยู่ในระดับที่ต่ำ

นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ ยอมรับว่า ปี 2553 ผู้ประกอบการจะเปิดตัวโครงการใหม่เยอะมาก เพราะมองว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น และจีดีพีจะเติบโตที่ 3-4% ส่งผลให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้นด้วย

"เปิดตัวกันมากขนาดนี้ ความเสี่ยงอยู่ตรงไหน ผมมองว่า ถ้าตลาดไม่โตเท่าที่คาดการณ์ไว้ การแข่งขันก็จะหนักกว่าปี 2552 เยอะมาก แต่คงไม่เลวร้ายเหมือนปี 2540 เพราะแม้จะมีโครงการออกมาเยอะแต่จำนวนที่สร้างจะออกมาไม่เยอะ จะมีการพัฒนาเป็นเฟส ๆ"

เช่นเดียวกับความเห็นของนายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ.พฤกษาเรียล เอสเตท และนายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ มองว่าปี 2553 ตลาดคอนโดฯจะแข่งขันกันรุนแรงขึ้น โดยผู้ประกอบการแต่ละรายจะต้องสร้างจุดขายให้แตกต่าง และลอนช์โปรดักต์ให้ตรงความต้องการของผู้บริโภค ที่สำคัญภายใต้สถานการณ์ตลาดปัจจุบันไม่ห่วงว่าโอเวอร์ซัพพลายจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะตลาดคอนโดฯ เพราะพฤติกรรมการอยู่อาศัยเปลี่ยนแปลงไป ปี 2553 จะเป็นอีกปีหนึ่งที่คอนโดฯยังได้รับความนิยม
prachachat
**********
04/01/53
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ปี 2553 รุ่ง หรือ ร่วง

โดย บรรยง วิเศษมงลชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด

หากมีคนถามว่าปี 2553 ที่จะถึงนี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะดีกว่าปี 2552 หรือไม่ ถ้าให้ตอบตามความรู้สึกของคนทั่ว ๆ ไป ก็อาจบอกได้ว่าไม่ค่อยดีเท่าที่ควร แต่ก็ไม่มีใครฟันธงได้ว่าที่ไม่ดีนั้นเพราะอะไร เพื่อให้การตอบคำถามนี้มีเหตุผลยิ่งขึ้น เราลองมาดูปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์กันดีกว่า

ปัจจัยที่มีผลต่อการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์

รายละเอียด
2551
2552
2553

(ประมาณการ)

ปัจจัยภายใน

การขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (ร้อยละต่อปี)
ปริมาณการส่งออกและบริการ (ร้อยละต่อปี)
เงินเฟ้อทั่วไป (ร้อยละต่อปี)
การว่างงาน (ร้อยละของกำลังแรงงานรวม)
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (ณ สิ้นปี)
การลงทุนภาคเอกชน (ร้อยละต่อปี)
การลงทุนภาครัฐ (ร้อยละต่อปี)


2.6

5.4

5.5

1.4

2.75

3.2

-4.8


-3.0

-14.8

-0.8

1.8

1.25

-13.7

5.3


3.3-3.5

5.6

2.5

1.3

1.5

6.6

8.2

ปัจจัยภายนอก

การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก (ร้อยละต่อปี)
การขยายตัวของเศรษฐกิจอเมริกา (ร้อยละต่อปี)
ราคาน้ำมัน (ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล)


2.7

0.4

95.0


-1.5

-3.2

61.2


2.8

1.0

80.0


หมายเหตุ : เศรษฐกิจโลก หมายถึง เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญของประเทศไทย ได้แก่ สหภาพยุโรป, สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, จีน, สิงคโปร์, มาเลเซีย, ฮ่องกง, ทวีปออสเตรเลีย, อินโดนีเซีย, เวียดนาม, เกาหลีใต้, ฟิลิปปินส์, อินเดีย และไต้หวัน


ปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอก พอสรุปได้ ดังนี้

คาดการณ์ตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2553 จะดีกว่าปี 2552 ค่อนข้างชัดเจน
การลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนปี 2553 ดีขึ้นกว่าปี 2552 ค่อนข้างมากเช่นกัน อีกทั้งการส่งออกก็มีแนวโน้มที่ดีกว่าปี 2552
อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่ที่ระดับ 1.50% เท่านั้น และยังคงอยู่ในระดับต่ำเช่นนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งเพียงพอต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในขณะนี้
เศรษฐกิจทั่วโลก รวมทั้งเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเริ่มฟื้นตัว แม้จะมีปัจจัยลบในเรื่องของราคาน้ำมัน ที่มีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นถึง 80 เหรียญต่อบาร์เรลในปี 2553 แต่ก็เป็นไปตามการคาดการณ์ของประเทศต่าง ๆ อยู่แล้ว

ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2553 จึงมีทิศทางที่ดีกว่าปี 2552 ด้วยเหตุผลว่ามีปัจจัยบวกหลาย ๆ ปัจจัย ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเริ่มต้นของปีที่ผ่านมาแล้ว นับว่าปี 2553 ดีกว่ากันมาก อีกทั้งโดยพื้นฐานของสังคมชาวเอเชียยังถือว่า การมี “ที่อยู่อาศัย” เป็นหนึ่งในปัจจัยที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ รวมทั้งยังบ่งบอกถึงความสำเร็จและความภาคภูมิใจในชีวิต ทุกคนจึงต้องการมีบ้านเป็นของตนเอง และไม่น่าแปลกใจเลยว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ของเอเชียจะ “บูม” มากกว่าตลาดอื่น ๆ


จากเหตุผลทั้งหมดคงพอจะฟันธงได้ว่า ปี 2553 ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยดีกว่าปี 2552 อย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามยังประมาทไม่ได้!! เพราะสิ่งที่ไม่คาดคิดอาจจะเกิดขึ้นได้เสมอ อีกทั้ง ตามข้อมูลที่ได้รับ พบว่าการซื้อ-ขายคอนโดมิเนียมในปัจจุบันก็เริ่มที่จะมีการเก็งกำไรกันบ้างแล้ว แม้จะไม่มากมายนัก ซึ่งก็หวังว่า วงการอสังหาริมทรัพย์ของเราจะช่วยกันดูแล อย่าปล่อยให้มีการเก็งกำไรจนส่งผลเสียหายในภาพรวม เพราะตลาดอสังหาฯ ปีหน้าที่หวังว่าจะ “รุ่ง” อาจจะกลายเป็น “ร่วง” ได้เช่นกัน
stock wave
*********
30/12/52
คอนโด ยังรุ่ง-บิ๊กอสังหาฯ ลุยเมืองท่องเที่ยว
โดย : ปรียา เทศนอก
ก่อนที่จะก้าวสู่ปีเสือ 2553 ขอสะท้อนภาพธุรกิจในปี 2552 พบว่า คอนโด ยังเป็นสินค้าดาวรุ่ง และบรรดาบิ๊กอสังหาฯ เล็งเป้าปีหน้ารุกเมืองท่องเที่ยว
ทำเลที่ฮอตก็คือทำเลตามแนวตะเข็บรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน ปี 2553 สินค้าคอนโด ก็จะยังบูมต่อ ส่วนที่ยู่อาศัยแนวราบแม้ในปี 2552 แรงจะแผ่วแต่เมื่อมีการพัฒนาโครงข่ายขนส่งมวลชนครบทุกสาย บ้านจัดสรรรอบนอกกทม.จะต้องได้รับความนิยมจากผู้บริโภค ในกรณีนี้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่คร่ำหวอดในวงการได้ตบเท้าไล่เก็บ ที่ดินผุดโครงการดักหน้าเรียบ.... ภาพการเปิดตัวโครงการ และขายจะคึกคักในปี 2553 เป็นต้นไป

ส่วนอสังหาฯ ในหัวเมืองท่องเที่ยวหลักๆทั้งหัวหิน พัทยา ภูเก็ต และสมุย ต้องยอมรับว่า นอกจากจะโดนพิษเศรษฐกิจโลกแล้วย้ำกระหน่ำซ้ำเติมด้วยปัญหาการเมืองภายใน ต้องขอบอกว่าหัวเมืองหลักๆ เหล่านี้แย่ไปตามๆ กัน เหงาทั้งคนซื้อ และคนลงทุน ที่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ จะพอมีความเคลื่อนไหวด้านการซื้อขายอยู่บ้างก็เห็นจะเป็นที่หัวหิน แต่บรรยากาศการซื้อ การขายนั้นเกือบ 100% เป็นกลุ่มลูกค้าคนไทย

ปี 2553 คนในวงการอสังหาฯ ต่างหวังว่าหัวเมืองใหญ่เหล่านี้จะกลับมามีบรรยากาศคึกคัก ทั้งการลงทุน การซื้อ ขายอีกครั้ง ส่วนที่ว่าต่างชาติจะกลับเข้ามาอีกหรือไม่ ประเด็นใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจคือ การเมือง หากวุ่นวายไม่รู้จบก็ ซึมต่อ ..

แต่อย่างไรก็ดี บรรยากาศที่จะเห็นในปีนี้ ก็คือ การเคลื่อนทัพของบิ๊กอสังหาฯจากส่วนกลาง ได้ขยายฐานตลาดสู่หัวเมืองท่องเที่ยวหลัก ซึ่งก็รวมถึงภาคเหนือ เชียงใหม่ ส่วนหนึ่งเพราะสร้างโอกาสธุรกิจ หลังจากที่พบว่า ขนาดของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกทม.แคบลงๆ
กรุงเทพธุรกิจ**********
30/12/52
เกาะติดอสังหาฯดิ้นหนี หลุมดำ เศรษฐกิจ และ กฎหมาย
โดย : ปรียา เทศนอก
นับถอยหลังลั่นระฆังส่งท้ายปี วัว 2552 ...เป็นปีที่ทำให้วงการอสังหาฯต้องออกแรงดิ้นหนี หลุมดำ ฝ่าวงล้อมวิกฤติทั้งจากเศรษฐกิจ การเมือง
และอุบัติเหตที่เกิดจากกระบวนการทำงานที่ (ผิด) พลาดไปหน่อย เมื่อสำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ(สวล.) เข้ามาจัดระเบียบ "ดัดหลังพวกซิกแซ็ก" แบบไม่มีข้อยกเว้น!!! ปัญหาที่ว่า...นี้คงมียาวข้ามปี 2553 เป็นที่คาดการณ์กันว่า สวล.จะต้องเข้มสุดๆ ด้วยการวางแนวปฎิบัติเช่นเดี่ยวกับ 65 โครงการมาบตาพุด

ปัญหาก่อสร้างผิดกฎหมายควบคุมอาคาร ไม่ผ่านกฎหมายสิ่งแวดล้อม ที่พูดกันตามจริงนั้นล้วนมีเกือบทุกโครงการ ประเภทคอนโดมิเนียม โดนหมด ต่างกันเพียงแค่ "มาก -น้อย " บางโครงการยื่นสวล.ไปแล้วไม่ผ่านก็ต้องมาปรับแบบ แก้แบบใหม่ บางโครงการไม่รู้ไปทำอีท่าไหน ก่อสร้างจนเสร็จ ถึงเวลาโอนให้ลูกค้าไม่ได้ต้อง "ทุบ" ต้อง "รื้อ" ใหม่ให้ถูกต้อง

ตัวอย่างเช่น กลุ่มแสนสิริ ที่ต้องเร่งกู้ภาพลักษณ์หลัง สินค้าคอนโดภายใต้แบรนด์ "พลัส" สะดุด ปมปัญหานี้ แสนสิริสั่งลดบทบาทการเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ทันทีเหลือเพียง ดำเนินธุรกิจเซอร์วิส แมเนจเมนท์เพียงอย่างเดียว...

ด้าน บมจ.ปริญสิริ เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีปัญหาคล้ายกับพลัส ที่ขณะนี้ได้สางปมปัญหาไปได้เกือบ 100% ในปี 2553 ที่จะถึงนี้คงเห็นภาพลักษณ์ใหม่ หลังจากที่ได้ Re Branding โฉมใหม่ที่จะเปิดตัวในเร็วๆ นี้จะสื่อถึงความกระฉับกระเฉงต้องตาต้องใจกับ ลูกค้ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนโลโก้ใหม่ คอนเซ็ปท์ของสินค้าในโครงการที่จะเน้นพื้นที่สีเขียวมากขึ้นกว่ากฎหมายกำหนด

ปัญหาที่ติดขัดกฎระเบียบที่ต้องแก้ ..หรือ ตีความกันนั้นใช่จะมีเพียงกฎหมายสวล.เท่านั้น แต่หากรวมถึง การเข้ามาทำงานด้านการออกแบบอาคารของสถาปนิกต่างชาติ ที่ระหว่างที่รอเปิดเสรีตามข้อตกลงเอฟทีเอ จะมีผลในปี 2558 หรืออีก 5 ปีข้างน้านั้น ระหว่างนี้ก็มีบางอาคารที่ถูกจับตามองพร้อมกับทำการตรวจสอบข้อมูล หลังจากที่สภาสถาปนิก พิจารณาแล้วเบื้องต้นว่า (อาจ) เข้าข่ายใช้สถาปนิกต่างชาติเป็นผู้ออกแบบอาคาร "มหานคร" อาคารที่สูงที่สุดในน่านฟ้ากรุงเทพฯ ที่เจ้าของโครงการ บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด พร้อมที่จะผลักดันให้โครงการเป็นแลนด์มาร์คของประเทศไทย โชว์ศักยภาพเหนือประเทศคู่แข่ง

ขณะนี้ คณะกรรมการสภาสถาปนิก ได้มีมติให้แจ้งความกับพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี ท้องที่ที่เกิดเหตุ ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายเป็นผู้รับมอบอำนาจแจ้งความร้องทุกข์ เพื่อดำเนินคดีกับผู้มีส่วนร่วมหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิด อันเป็นการกระทำฝ่าฝืนพระราชบัญญัติสถาปนิก พ.ศ.2543 ในโครงการมหานครทั้งหมด ต่อพนักงานสอบสวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยถ้อยแถลงของสภาสถาปนิกระบุว่า มีผู้ต้องหาที่ต้องรับผิดชอบในฐานะนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา ทั้งหมด 23 ราย

ทั้งนี้ สภาสถาปนิกได้ตรวจสอบจากระเบียบสภาสถาปนิกแล้ว ไม่พบว่า นายโอเล เซียเรน ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุมจากสภาแต่อย่างใด การที่นายโอเล เซียเรน แสดงตนว่า เป็นผู้ออกแบบโครงการมหานคร จึงเป็นการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการกระทำฝ่าฝืน พระราชบัญญัติสถาปนิกฯ มาตรา 45 มีโทษตามมาตรา 71
ในกรณีนี้ แม้จะยังไม่สรุปผลออกมาชัดเจนว่า "ถูก" หรือ "ผิด" แต่ทางผู้บริหารเจ้าของโครงการ สรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซฯ ก็ออกโรงชี้แจงว่าการออกแบบครั้งนี้บริษัทได้ใช้สถาปนิกอินเฮ้าส์

นั่นเป็นตัวอย่างปัญหาที่เกิดจากตัวบทกฎหมายที่ผู้ประกอบการเจ้าของโครงการ ต้องคิดแก้เกมไว้ ... แต่หากหันกลับมาดูผลกระทบธุรกิจอสังหาฯ ต่อวิกฤติเศรษฐกิจโลก ปัญหาการเมืองภายในประเทศแล้ว ขอบอกว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2552 ค่อนซึม จะคึกคักหน่อยก็ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปี ในขณะที่ปี 2553 พบว่าผู้ประกอบการต่างก็กังวลปัญหาการเมืองว่าจะเป็นตัวฉุดธุรกิจ
กรุงเทพธุรกิจ

ข่าวกลุ่มขนส่งและโลจิสติก53

13/01/53
รับเหมาตีปีกโครงการใหญ่เข้าคิวประมูลปีนี้ 5 แสนล.บิ๊กแบรนด์ตีตั๋วจองล่วงหน้า

คมนาคมเทกระจาดประมูลบิ๊กโปรเจ็กต์ปี53 เผยงานใหญ่รอเข้าคิวประมูลกว่า 5 แสนล้าน ทั้งรถไฟฟ้า 3 สาย 3 สี ระบบราง ร.ฟ.ท. โครงการไทยเข้มแข็ง ถนนปลอดฝุ่น ทางด่วน ถนนเงินกู้ 4 เลน 7 สาย ท่าเรือปากบารา สะพานนนทบุรี 1 ฯลฯ บิ๊กแบรนด์ "ช.การช่าง-อิตาเลียนไทย-ซิโน-ไทย" ตีตั๋วจองล่วงหน้า !!

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคมเปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปี 2553 กระทรวงคมนาคมมีแผนงานเตรียมประมูลมากเป็นพิเศษตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะเมกะโปรเจ็กต์ทั้งโครงการใช้งบประมาณภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 หรือ SP2 โครงการเงินกู้ และโครงการใหม่จากงบประมาณประจำปี 2553 คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 5 แสนล้านบาท (ดูตารางประกอบ)
@ รถไฟฟ้า 3 สาย 1.82 แสนล้าน
ตัวอย่างเมกะโปรเจ็กต์ อาทิ โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า 3 สาย มูลค่ารวม 182,118 ล้านบาท ได้แก่ สายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) วงเงิน 65,148 ล้านบาท สายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค) วงเงิน 52,257 ล้านบาท และสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ วงเงิน 28,111 ล้านบาท และหมอชิต-สะพานใหม่ วงเงิน 36,602 ล้านบาท
ล่าสุดการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เตรียมออกประกาศประกวดราคาก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินระหว่าง 20-28 มกราคมนี้ และให้ยื่นซองราคา 29 เมษายน โดยแบ่งงาน 5 สัญญา คือ 1-2 งานก่อสร้างใต้ดิน ช่วงหัวลำโพง-สนามไชย, ช่วงสนามไชย-ท่าพระ 3.งานโครงสร้างยกระดับ ช่วงเตาปูน-ท่าพระ จะมีส่วนก่อสร้างข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา 11 กิโลเมตรด้วย 4.งานโครงสร้างยกระดับช่วงท่าพระ-หลักสอง รวมศูนย์ซ่อมบำรุงและอาคารจอดรถที่หลักสอง และ 5.งานวางราง
สายสีเขียวจะตามมาเร็ว ๆ นี้ รฟม.กำลังออกประกาศ พ.ร.ฎ.เวนคืนที่ดิน บอร์ด รฟม.จะประชุมวันที่ 22 มกราคมนี้ เพื่อติดตามความคืบหน้าและปรับราคาก่อสร้างใหม่ สายสีแดง การรถไฟฯจะประกาศขายแบบเดือนมีนาคมนี้ แบ่ง 3 สัญญา มี 1.งานโยธาและสถานีกลางบางซื่อ 25,200 ล้านบาท 2.งานโยธาจากสถานีบางซื่อ-รังสิต 18,200 ล้านบาท 3.งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมตู้รถไฟฟ้า 26,800 ล้านบาท
@ ยกเครื่องการรถไฟฯ 1.53 แสนล้าน
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ยังมีงานระบบรางของการรถไฟฯผ่านการใช้งบฯอัดฉีดแผนการยกเครื่องการรถไฟฯ 5 ปี (2553-2557) วงเงิน 153,053 ล้านบาท ตามนโยบายของนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติเมื่อ 29 ธันวาคมที่ผ่านมา ขณะนี้กำลังจัดลำดับความสำคัญโครงการ
กรอบแผนงานประกอบด้วย งานโยธา 51,124 ล้านบาท มีปรับปรุงทางระยะที่ 5 วงเงิน 8,508 ล้านบาท ปรับปรุงทางระยะที่ 6 วงเงิน 6,779 ล้านบาท ปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย 23,670 ล้านบาท ปรับปรุงสะพาน 12,167 ล้านบาท งานอาณัติสัญญาณ 19,014 ล้านบาท มีโครงการไฟสี 11,358 ล้านบาท ติดตั้งระบบโครงข่ายโทรคมนาคม 2,200 ล้านบาท ติดตั้งเครื่องกั้นถนน 5,456 ล้านบาท
งานรถจักรและล้อเลื่อน 16,803 ล้านบาท มีการจัดซื้อหัวรถจักรดีเซลไฟฟ้า 13 คัน (20 ตัน/เพลา) 2,145 ล้านบาท รถโดยสารรูปแบบชุด 6 ขบวน 4,736 ล้านบาท รถจักรดีเซลไฟฟ้าทดแทน GE 50 คัน 6,562 ล้านบาท ยกเครื่องรถจักร 56 คัน 3,360 ล้านบาท
โครงการรถไฟทางคู่ 5 สาย 767 กิโลเมตร 66,110 ล้านบาท มีสายลพบุรี-ปากน้ำโพ 7,860 ล้านบาท สายมาบกะเบา-นครราชสีมา 11,640 ล้านบาท สายนครราชสีมา-ขอนแก่น 13,010 ล้านบาท สายนครปฐม-หนองปลาดุก-หัวหิน 16,600 ล้านบาท สายประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร 17,000 ล้านบาท
"โครงการที่พร้อมประมูลก่อนมีจัดซื้อหัวรถจักร ปรับปรุงทางระยะที่ 5 และระยะที่ 6 ในเส้นทางสายตะวันออกเฉียงเหนือ 586 กิโลเมตร เนื้องาน เช่น เปลี่ยนรางให้รับน้ำหนักขนาด 100 ปอนด์ เปลี่ยนไม้หมอน เป็นต้น"
@ สนามบิน-ทางด่วน-ท่าเรือจ่อคิว
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า โครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 ในส่วนของอาคารผู้โดยสารในประเทศทางด้านซ้าย วงเงิน 9,133 ล้านบาท พื้นที่ 80,000 ตารางเมตร โครงการสนามบินภูเก็ต 5,791 ล้านบาท โครงการเช่ารถเมล์ NGV จำนวน 4,000 คัน วงเงินกว่า 63,000 ล้านบาทของ ขสมก. อยู่ระหว่างตรวจสอบร่างทีโออาร์ การกำหนดราคากลาง คาดว่าจะเริ่มประกาศทีโออาร์ได้ประมาณเดือนกุมภาพันธ์หลัง ครม.อนุมัติแล้ว
ขณะที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กำลังผลักดันทางด่วนสายใหม่ "ศรีรัช-วงแหวนรอบนอก" 17 กิโลเมตร 26,762 ล้านบาท ด้านกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี (ขน.) มีโครงการท่าเรือปากบารา 8,633 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีโครงการใช้งบฯไทยเข้มแข็งปี 2553 ซึ่งไฮไลต์อยู่ที่กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ทั้ง 2 หน่วยงานมีเม็ดเงินลงทุนรวม 30,647 ล้านบาท ยังไม่รวมงบประมาณประจำปี 2553 ที่กระทรวงคมนาคมได้รับจัดสรร 76,933 ล้านบาท
@ ทางหลวง-ทางหลวงชนบทงบฯบวม
นายวีระ เรืองสุขศรีวงศ์ อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) กล่าวว่า ปี 2553 นี้ ทล.มีงบฯไทยเข้มแข็ง 11,128 ล้านบาท อาทิ งานประสิทธิภาพทางหลวง บูรณะทางสายหลัก ซึ่งได้เปิดประมูลไปแล้วเมื่อตุลาคม 2552 ที่ผ่านมา คาดว่าภายในเดือนมกราคมนี้จะเซ็นสัญญาก่อสร้างได้หมด
งานประมูลยังรวมถึง ทล.ได้เงินกู้จากธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) และธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) 10,290 ล้านบาท สำหรับก่อสร้างถนน 4 ช่องจราจร 7 สาย ระยะทางรวม 394 กิโลเมตร ได้แก่ สายพิษณุโลก-หล่มสัก สาย อ.สีคิ้ว-อ.หนองบัวโคก สาย อ.นางรอง-อ.ปราสาท สาย อ.สัตหีบ-อ.พนมสารคาม สาย อ.พนมสารคาม-สระแก้ว สายพังงา-กระบี่ตอน 3 และสาย อ.ระโนด-อ.สทิงพระ ทั้งหมดจะเริ่มประมูลกลางปีนี้ โดยกรมตัดแบ่งงานก่อสร้างเป็น 17 สัญญา สัญญาละ 500-800 ล้านบาท เพื่อให้งานก่อสร้างทำได้เร็วขึ้น
ส่วนงบประมาณปี 2553 ของ ทล.ปีนี้ได้น้อยลง เพราะส่วนใหญ่ไปอยู่ในงบฯไทยเข้มแข็ง เหลือกว่า 26,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นงบฯบำรุงทาง 10,006 ล้านบาท คาดว่าแบ่งการประมูลเป็น 100 สัญญา
นายวิชาญ คุณากูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) กล่าวว่า ขณะนี้ ทช.รองบฯไทยเข้มแข็งรอบที่ 2 เพื่อลงทุนโครงการถนนปลอดฝุ่น 4,100 กิโลเมตร วงเงิน 19,519 ล้านบาท สำหรับใช้ในปี 2553-2554 หากผ่านสภาจะเริ่มประมูลได้ในเดือนมีนาคมนี้
"มีอีก 2 โครงการใหญ่ คือ สะพานนนทบุรี 1 วงเงิน 3,900 ล้านบาท รอเซ็นสัญญาเงินกู้จากองค์การเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น หรือไจก้า อีกโครงการเป็นถนนต่อเชื่อมถนนราชพฤกษ์-ถนนกาญจนาภิเษก (แนวตะวันออก-ตะวันออก) อยู่ในงบฯไทยเข้มแข็ง วงเงิน 2,450 ล้านบาท น่าจะประมูลได้ปีนี้เช่นกัน"
@ ชี้บิ๊กรับเหมากินรวบ "รถไฟฟ้า"
แหล่งข่าวจากวงการรับเหมาก่อสร้างกล่าวว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการรับเหมารายใหญ่ รายกลางและรายเล็ก บริษัทที่ปรึกษามีความเคลื่อนไหวคึกคักมาก หลังรัฐบาลจะเปิดประมูลงานใหญ่และเล็กในปีนี้ อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตว่าเมกะโปรเจ็กต์รถไฟฟ้า 3 สาย มีแนวโน้มว่ารับเหมารายใหญ่ตีตราจองไว้หมดแล้ว คาดว่าไม่น่าจะพ้นกลุ่มบิ๊กทรีของวงการคือ อิตาเลียนไทย ช.การช่าง และซิโน-ไทย
"ผู้รับเหมารายกลางและเล็กไม่มีกำลังมากพอทั้งผลงานและรายได้ที่จะเป็นแกนนำยื่นประมูลได้ ไม่ว่ารับเหมาชั้น 1 จากกรมทางหลวงที่พยายามจะเข้ามา เช่น ยูนิค วิจิตรภัณฑ์ กรุงธน ชัยนันท์ เนาวรัตน์ คริสเตียนี เป็นต้น เป็นได้แค่ผู้ร่วมทุนลำดับที่ 2 และ 3 เท่านั้น ซึ่งต้องไปจับขั้วกับบิ๊กแบรนด์ 3 รายนี้"
@ เมกะเพลเยอร์คึกคักแข่งประมูล
นายพลพัฒ กรรณสูต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) และนายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า ปีนี้ตลาดรับเหมาก่อสร้างคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากมีการเปิดประมูลก่อสร้างออกมาจำนวนมาก มากกว่าในช่วงปีที่แล้ว ทั้งโครงการขนาดใหญ่ ขนาดกลางและขนาดเล็ก มีทั้งที่ใช้เงินกู้ งบฯไทยเข้มแข็ง อาจจะเป็นเพราะในช่วงที่ผ่านมามีการอั้นมานาน
แหล่งข่าวจากบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทสนใจเข้าร่วมประมูลเฉพาะโครงการขนาดใหญ่และขนาดกลาง ส่วนโครงการขนาดเล็กวงเงิน 2-3 ล้านบาท บริษัทคงจะไม่สนใจเข้าร่วมประมูลด้วยเนื่องจากไม่คุ้ม
นายวัลลภ รุ่งกิจวรเสถียร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทสนใจประมูลงานรถไฟฟ้าทุกสายทั้งสีแดง สีน้ำเงิน ส่วนจะร่วมกับใครบ้างยังตอบไม่ได้ต้องดูทีโออาร์ก่อน แต่โครงการไหนที่คิดว่าบริษัทสามารถดำเนินการได้จะยื่นเดี่ยวเหมือนสายสีม่วง
นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เฉพาะในส่วนของ ช.การช่างนั้น การตอกเข็มเริ่มก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งบริษัทประมูลได้สัญญาก่อสร้างช่วงที่ 1 จะเริ่มดำเนินการในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ตั้งแต่ช่วงเตาปูน-แคราย
"การประมูลรถไฟฟ้าอีกหลายสาย เราพร้อมที่จะเข้าร่วม รวมถึงหากจะมีการเจรจากันเพื่อให้เกิดประโยชน์ในเรื่องค่าโดยสารซึ่งจะเป็นผลดีต่อประชาชน บริษัทก็ยินดี เราเชื่อว่ารัฐบาลจะผลักดันงบประมาณลงไปสู่การดำเนินการได้มากขึ้น" นายปลิวกล่าว
prachachat**********
30/12/52
TTAŽหุ้นท็อปสุดกลุ่มเดินเรือ

เซียนเผยดัชนีค่าระวางเรือปี 2553 เคลื่อนไหวระดับ 2,500-3,000 จุดด้านซัพพลายเพิ่มขึ้นจากปีนี้อย่างแน่นอนสอดคล้องกับดีมานด์ที่ดีขึ้นต่อเนื่อง โดดเด่น Top Pick สุดในกลุ่มยกให้ TTA คาดรายได้ปี 2553 อยู่ที่ 24,407 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,256 ล้านบาท แจกเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.67 บาท ราคาเป้าหมายสูงถึง 34.75 บาทรองลงมาหุ้น JUTHA เล็กพริขี้หนู คาดรายได้ 523 ล้านบาท กำไรสุทธิ 27 ล้านบาทจ่ายปันผลหุ้นละ 0.10 บาทราคาเป้าหมาย 6.30 บาท
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สถาบันวิจัยนครหลวงไทย กล่าวว่า คาดว่าดัชนีค่าระวางเรือ(BDI)ปี 2553 คาดจะใกล้เคียงกับปี2552หรืออยู่ระดับ 3,000-3,500 จุดขณะที่คาดว่าปริมาณเรือ(Supply)ในปีหน้าจะเพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะไปหายเนื่องจากอู่ต่อเรือไม่สามารถต่อเรื่อได้เป็นผลมาจากปัญหาทางด้านการเงินอย่างไรก็ตามจาการที่รัฐบาลของประเทศที่ดำเนินธุรกิจต่อเรือได้เข้ามาช่วยเหลือส่งผลให้ Supply กลับมาขณะที่ความต้องการ(Demand)ไม่น่าห่วงคาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆจากภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นทำให้ดัชนีค่าระวางเรือไม่แตกต่างจากปีนี้มากนัก
สำหรับหุ้นในกลุ่มเดินเรือแนะนำ บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน)TTA ราคาเป้าหมาย 28.60 บาท สำหรับธุรกิจเรือสินค้าแห้งเทกองของ TTA นั้นผู้บริหารวางกลยุทธ์ที่ค่อนข้าง Conservative ในธุรกิจนี้โดยเตรียมที่จะปลดระวางเรือที่มีอายุมากกว่า 10 ปีในปี 2553 ซึ่งมีอยู่ราว 10 ลำ (จากในปัจจุบัน35 ลำ) อย่างไรก็ตาม TTA ได้มีการสั่งซื้อเรือ(มือสอง) ไว้จำนวน 5 ลำและจะทยอยส่งมอบในช่วงปี 2553-2555
ราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มทรงตัวสูงกว่า 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้บริษัทสำรวจใต้ทะเลมีแรงจูงใจมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อแนวโน้มการใช้บริการธุรกิจวิศวกรรมใต้น้ำของ TTA และการใช้บริการเรือขุดเจาะ ซึ่งในปี 2553 บริษัทได้มีการซื้อเรือสำหรับให้บริการวิศวกรรมใต้น้ำเพิ่มจำนวน3 ลำ (จากปัจจุบัน 5 ลำ) ซึ่งจะส่งมอบในปี2553
ส่วนเรือขุดเจาะนั้นในปัจจุบัน TTA มีอยู่จำนวน 2 ลำ และจากการที่หมดสัญญาการให้บริการไป 1 ลำ และอยู่ระหว่างการต่อสัญญา โดยรวมคาดอัตราการให้บริการ (Utilization Rate) ของธุรกิจวิศวกรรมใต้น้ำจะอยู่ที่ระดับประมาณ 70%(ปี 2552 เท่ากับ 52.6%) และคาด Utilization Rate ของธุรกิจเรือขุดเจาะจะลดลงเหลือประมาณ 80% (ปี 2552 เท่ากับ 94.9%)
สำหรับหากการทำเสนอซื้อหุ้น UMS เสร็จสิ้น โดย TTA จะถือหุ้น UMS ราว 90% ประเมินกำไรสุทธิในอีก 3 ปีข้างหน้าของ UMS จะเติบโตไม่ต่ำกว่าปีละ 5% จากความต้องการใช้ถ่านหินที่อยู่ในระดับสูง จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกประเมินแนวโน้มกำไรสุทธิของ TTA ในปี 2553 จะเพิ่มขึ้นราว 52.4% เมื่อเปรียบเทียบกับปีนี้
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป(ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า คาดว่าอัตราค่าระวางเรือแบบเทกองของ TTA ในปี 2553 จะอยู่ที่ 12,000 บาทต่อลำจากปีนี้ที่อยู่ระดับ 11,000 บาทต่อลำ ส่วนPSL อัตราค่าระวางเรือแบบเทกองในปี 2553อยู่ที่ 14,000 บาทต่อลำ ส่วนปีนี้อยู่ในระดับเดียวกัน และอัตราค่าระวางเรือแบบเทกองของ JUTHA ในปี 2553 อยู่ที่ 6,694 บาทต่อลำจากปีนี้ที่อยู่ 6,086 บาทต่อลำ ส่วน RCL อัตราค่าระวางเรือแบบตู้คอนเทนเนอร์ปี 2553 อยู่ที่ 185 บาทต่อตู้จากปีนี้ที่อยู่ 177 บาทต่อตู้
ขณะที่หุ้นแนะนำ Top Pick สุดในกลุ่มเดินเรือคือ TTA คาดว่าปี 2553 จะมีรายได้จำนวน 24,407 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,256 ล้านบาท คาดบริษัทจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.67 บาท ราคาเป้าหมาย 34.75 บาทรองลงมาคือ JUTHA คาดรายได้ปี 2553 อยู่ที่ 523 ล้านบาท กำไรสุทธิ 27 ล้านบาท คาดบริษัทจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท ราคาเป้าหมาย 6.30 บาท
www.thunhoon.com

กลุ่มเกษตรและอาหาร53

14/01/53
เอกชนคาดส่งออกข้าวปีนี้พุ่งแตะ 10 ล้านตัน

Posted on Thursday, January 14, 2010
น.ส.กอบสุข เอี่ยมสุรีย์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย บอกว่า ในปีนี้ไทยน่าจะสามารถส่งออกข้าวได้ 9 - 9.5 ล้านตันตามเป้าที่ตั้งไว้ และมีโอกาสเพิ่มไปถึง 10 ล้านตัน จากปี 52 ที่ส่งออกได้ 8.6 ล้านตัน เนื่องจากข้อตกลงการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา จะทำให้ข้าวไทยส่งออกไปมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ได้มากขึ้น ขณะเดียวกันรัฐบาลก็จะมีการเจรจาขายข้าวในสต๊อกที่มีอยู่ประมาณ 5-6 ล้านตัน

นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย บอกด้วยว่า ข้อตกลง AFTA จะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดข้าวเพื่อการบริโภคของไทย เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์มีมาตรการรองรับไว้หลายด้าน ทั้งการเปิดศูนย์ Hot Line ให้คำปรึกษา, การกำหนดประเภทของข้าวที่ให้นำเข้าได้เฉพาะปลายข้าวสำหรับใช้ในภาคอุตสาหกรรม, การตรวจสอบสารตกค้าง, การลงทะเบียนผู้นำเข้า, การตรวจสอบติดตามการนำข้าวไปใช้ และการกำหนดด่านนำเข้านั้น เชื่อว่าเพียงพอที่จะเป็นเกราะป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

**********
14/01/53
นายกฯเร่งพัฒนาศก.อาหาร-เกษตรแทนพึ่งพาอุตฯ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

นายกรัฐมนตรี เผยแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตยั่งยืน จำเป็นต้องขับเคลื่อนด้านการเกษตรและอาหาร แทนการพึ่งพาภาคอุตสาหกรรม
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “อนาคตอุตสาหกรรมในสายตานายกฯ” ในงานสัมมนา “กรีนจีดีพี อนาคต ประเทศไทย” ของสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ โดยย้ำว่า จากเศรษฐกิจที่ติดลบร้อยละ 3 ในปีที่ผ่านมา ก่อนที่ในปลายปี 2552 จะเริ่มฟื้นตัวขึ้น จึงคาดว่า จีดีพีในปี 2553 น่าจะเติบโตได้มากกว่าร้อยละ 3.5 แม้ยังมีวิกฤติหลายด้าน และที่สำคัญเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนและมีพื้นฐานเข้มแข็ง รัฐบาลยังยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในภาคส่วน

และยอมรับว่า แม้ภาคอุตสาหกรรมจะมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ แต่ไทยยังมีศักยภาพด้านการเกษตร และอุตสาหกรรมอาหารที่มีความสำคัญมาก จึงให้ความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจด้านการเกษตรและอาหารให้เพิ่มขึ้นมากกว่าการพึ่งพาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ

นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า จากแนวคิดในการเน้นพัฒนาเศรษฐกิจด้านอาหารและการเกษตร ดังนั้น จึงเร่งปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านเศรษฐกิจ ทางด้านพื้นที่ทำกิน แก้ปัญหาหนี้สินการแทรกแซงด้วยการใช้ระบบประกันราคาสินค้าเกษตร การพัฒนาระบบชลประทานเพื่อให้ต้นทุนเกษตรกรลดลง และเพิ่มผลผลิตสินค้าให้มีคุณภาพแข่งขันกับต่างชาติได้ ขณะที่แนวโน้มราคาน้ำมันที่สูงขึ้น อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน จะมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้น แนวโน้มต่อไปจะเน้นเรื่องการปลูกพืชพลังงาน อาหารแปรรูป เพื่อให้เป็นที่พึ่งทางเศรษฐกิจของประเทศได้อีกทางหนึ่ง เพราะจะช่วยลดการนำเข้าน้ำมัน และกระจายรายได้ให้เกษตรกร

ส่วนปัญหานิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ยอมรับว่า ขณะนี้แนวทางการแก้ปัญหาคืบไปมาก จึงน่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ เพราะรัฐบาลได้ออกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการทำการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA ) และการศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) และเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีก็ได้ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดตั้งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการวางข้อกำหนดให้ภาคอุตสาหกรรม เพื่อปูทางไปสู่ขั้นตอนพระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อมในอนาคต

“ยอมรับว่า ธุรกิจด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม จะเติบโตและขยายตัวได้ดี เนื่องจากกระแสสังคมให้ความสำคัญด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังนั้นข้อกฎเกณฑ์หรือการส่งเสริมธุรกิจด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม ก็จะมีออกมาสนับสนุนมากขึ้น” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายอภิสิทธิ์ ยอมรับว่า ภาคเอกชนมีความพร้อมในการปฏิบัติตามข้อกำหนดต่าง ๆ แต่ภาคเอกชนกังวลเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลง เพราะทำให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และเกรงว่า เมื่อกฎเกณฑ์ต่าง ๆ หย่อนยานลงไปเหมือนในอดีต จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเข้าลงทุน และข้อกำหนดต่าง ๆ เกี่ยวกับการตั้งโรงงานอุตสาหกรรม ต้องการให้ครอบคลุมไปทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพราะเมื่อนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดโตเต็มที่ รัฐบาลมีแผนย้ายนิคมอุตสาหกรรมลงไปยังภาคใต้ เพราะมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว ซึ่งอาจจะมีความขัดแย้งกับการเติบโตภาคอุตสาหกรรม

จึงให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ไปศึกษาอย่างละเอียด จากผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ทั้งการเดินหน้าโครงการสะพานเศรษฐกิจ (แลนด์บริดจ์) ที่เชื่อมท่าเรือฝั่งตะวันตกและตะวันออก ในการส่งเสริมการเติบโตภาคอุตสาหกรรม ขณะที่ไทยยังต้องการรายได้จากการท่องเที่ยว จึงต้องศึกษาอย่างรอบด้านเพื่อให้เกิดความสมดุล

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในคำถามการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจเพื่อลดการพึ่งพาการส่งออก เมื่อเศรษฐกิจโลกมีปัญหา ยอมรับว่า เมื่อไทยอยู่ในเวทีการค้าเสรี คงไม่สามารถจำกัดการแสวงหาโอกาสที่ดีเมื่อบรรยากาศการค้าการลงทุนระหว่างประเทศดีขึ้น ก็ไม่ควรจำกัดโอกาส เมื่อพื้นฐานเศรษฐกิจภายในประเทศเข้มแข็งขึ้นในระดับหนึ่ง ก็ยังสามารถเน้นการพึ่งพารายได้จากการค้า การลงทุนกับต่างประเทศได้เหมือนเดิม ขณะเดียวกันยังต้องให้ความสำคัญการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศควบคู่กันไปด้วย
krungthepturakij***************

14/01/53
กลุ่มเกษตรและอาหารแนวโน้มดี
รายงานโดย :เจียรนัย อุตะมะ:

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ วิเคราะห์ว่าราคาสินค้าเกษตรน่าจะสร้างความประหลาดใจตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2553 เป็นต้นไป และมีมุมมองที่ดีต่อธุรกิจสินค้าเกษตรและอาหารในปี 2553

เนื่องจากสาเหตุหลัก 3 ประการ ได้แก่

1.มีโอกาสที่ราคาสินค้าเกษตรจะปรับตัวสูงขึ้นจากการขาดแคลนอุปทาน อันเป็นผลมาจากสภาพอากาศที่เลวร้ายจากภาวะ El Nino

2.ธุรกิจแปรรูปอาหารของไทยมีแนวโน้มปรับเข้าสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง สินค้าที่สร้างมูลค่าเพิ่ม

3.การเติบโตของความต้องการจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วจากประเทศจีนและอินเดีย โดยหุ้นที่ชอบได้แก่ บริษัท ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) บริษัท น้ำมันพืชไทย (TVO) และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF)

อย่างไรก็ตาม ยังคงแนะนำ “ขาย” สำหรับหุ้นบริษัท น้ำตาลขอนแก่น (KSL) จากมูลค่าหุ้นที่ตึงตัวและการปรับขึ้นต่อผลประกอบการที่ค่อนข้างจำกัด

TVO : มีโอกาสลดลงจำกัด และกำลังการผลิตสูงขึ้นจำกัด รวมถึงการขยายกำลังการผลิต 50% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้การเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ยังเป็นประโยชน์ต่อ TVO เนื่องจากจะทำให้การส่งออกน้ำมันถั่วเหลืองของบริษัทไปยังภูมิภาคเพิ่มขึ้น

KSL : ซื้อขายตามการขึ้นลงของราคาน้ำตาล แม้ว่าราคาน้ำตาลดิบในปัจจุบันจะทำสถิติสูงสุดในรอบ 29 ปี แต่เห็นว่าการปรับขึ้นต่อผลประกอบการในปี 2553 ของบริษัทค่อนข้างจำกัด เนื่องจาก KSL ได้ทำการล็อกราคาน้ำตาลไปแล้ว 70-80% ของการผลิตในปี 2553 ด้วยราคาที่ต่ำ

นอกจากนี้ ยังคาดว่าราคาน้ำตาลที่ปรับตัวสูงขึ้นจะดึงดูดให้เกษตรกรเพิ่มพื้นที่ปลูกอ้อย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอุปทานส่วนเกิน ปัจจัยเสี่ยงต่อประมาณการของเรา คือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในอุตสาหกรรม อันเนื่องมาจากความต้องการเอทานอลที่เพิ่มมากขึ้น
CPF : คาดผลประกอบการทรงตัว ด้วยราคาวัตถุดิบสำหรับอาหารสัตว์ที่สูงขึ้นน่าจะส่งผลให้อัตราส่วนกำไรขั้นต้นของ CPF แคบลงในครึ่งหลังปี 2553 อย่างไรก็ตามสต๊อกวัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำที่มีอยู่เพียงพอ และการทำสัญญาล่วงหน้า (Forward Contracts) ของต้นทุนขนส่ง น่าจะส่งผลให้การลดลงต่ออัตรากำไรของบริษัทสำหรับทั้งปี 2553 จำกัด อัตราส่วนกำไรขั้นต้นของบริษัทน่าจะได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของสินค้าอาหารที่มีอัตรากำไรสูง และธุรกิจอาหารสัตว์ในต่างประเทศ

“เรายังคงแนะนำ ‘ซื้อ’ หลังจากปรับประมาณการผลประกอบการสำหรับปี 2553 ขึ้น 20% มาอยู่ที่ 9,900 ล้านบาท และปรับราคาเป้าหมายมาเป็น 14.20 บาท”

ด้านบล.ธนชาต ได้รับเกียรติให้เข้าร่วม Executive Forum กับผู้บริหารระดับสูงของ CPF โดยข้อมูลที่ได้นั้นโดยรวมแล้วเป็นบวก ซึ่งได้ยืนยันมุมมองที่เป็นบวกที่มีต่อ CPF และ CPF ยังคงเป็นหุ้นที่แนะนำให้เลือกลงทุนสูงสุดในกลุ่มอาหาร คงคำ แนะนำ “ซื้อ” โดยมีราคาเป้าหมาย 14 บาท/หุ้น

กำไรแกร่ง

กำไรในช่วงไตรมาส 4 ปี 2552 น่าจะออกมาแข็งแกร่งตามคาด ซึ่งทำให้ CPF จ่ายปันผลในช่วงครึ่งหลังปี 2552 ที่ 0.50 บาท/หุ้น ได้ (หมายถึงอัตราผลตอบแทนที่ 4.1% สำหรับการถือหุ้น 5 เดือน)

นอกจากนี้ ยังมีกำไรที่แน่นอนชัดเจนต่อเนื่องไปยังช่วงครึ่งแรกปี 2553 ผลักดันโดยอัตรากำไรที่ขยายตัว เนื่องจากมีสต๊อกวัตถุดิบที่ถูก และกำไรของธุรกิจอาหารสัตว์และอาหารที่เติบโต

นอกจากธุรกิจอาหารสัตว์และเลี้ยงสัตว์ที่มีกำไรที่มีเสถียรภาพ และอัตรากำไรที่ดีแล้ว แนวโน้มการส่งออกกุ้งยังสดใส ผลักดันโดยการขาดแคลนอุปทานในจีน เนื่องจากอากาศหนาวกว่าปกติ ถึงแม้ว่าแนวโน้มกำไรในช่วงครึ่งหลังปี 2553 จะมีความไม่ชัดเจนในช่วงครึ่งแรกปี 2553 แต่ก็ยังคงไม่มีสัญญาณที่เป็นลบในสายตาของผู้บริหาร

เน้นธุรกิจอาหารสัตว์

CPF จะยังคงเน้นการเติบโตของธุรกิจอาหารสัตว์และอาหาร โดยมี เป้าหมายที่จะทำให้ธุรกิจอาหารสัตว์และธุรกิจอาหารมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 55% มาอยู่ที่ 75% ของยอดขายในช่วง 3-5 ปีข้างหน้าให้ได้

ปัจจัยที่ช่วยผลักดันธุรกิจอาหารสัตว์ คือ การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของส่วนแบ่งรายได้จากต่างประเทศ โดยเฉพาะฟิลิปปินส์ อินเดีย และรัสเซีย

ขณะที่ความมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของแบรนด์ CP และการเป็นศูนย์การกระจายสินค้าไปทั่วประเทศของกลุ่ม CP จะช่วยให้ CPF แทรกซึมเข้าไปยังตลาดอาหารนำกลับบ้านได้ CPF เชื่อว่านวัตกรรมอาหารเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ธุรกิจอาหารประสบความสำเร็จ และบริษัทได้ตั้งเป้าการอัตราเติบโตของยอดขายอาหารไว้ที่ 20-30% ต่อปี

นอกจากนี้ บริษัทกำลังพิจารณาการขายธุรกิจเลี้ยงสัตว์ที่มีความผันผวนออกไป ไก่ ซึ่งมีความผันผวนมากที่สุดน่าจะเป็นสิ่งแรกที่ CPF ตั้งใจจะขายออกไป สำหรับหมูและกุ้ง ซึ่งมีการทำวิจัยและพัฒนา น่าจะช่วยให้ CPF สามารถเพิ่มผลผลิตที่เร็วขึ้นกว่าเดิมได้ ดังนั้นการมีอัตรากำไรที่สูงขึ้น น่าจะทำให้หมูและกุ้งเป็นสิ่งสุดท้ายที่ CPF จะขายออกไป
โครงสร้างธุรกิจ

บริษัทย่อยของ CPF กำลังมองหาโอกาสในการเพิ่มผู้ถือหุ้นในบริษัท ซีพี ออลล์ (CPALL) จาก 24% มาอยู่เหนือระดับ 25% เพื่อได้รับประโยชน์ทางภาษี

TUF : คาดผลประกอบการปี 2553 สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

บล.ทิสโก้ คาดว่า TUF จะรายงานผลประกอบการที่สร้างสถิติสูงสุดใหม่ 3,650 ล้านบาท ในปี 2553 (บวก 16% จากปี 2552) หลังจากประมาณการอัตราการเติบโตผลประกอบการ 43% สำหรับปีที่ผ่านมา ปัจจัยหนุนมาจากอิงจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการปิดโรงงานใน Samoa ที่ลดลงอย่างมาก การประหยัดต้นทุนสำหรับ CoS อัตรากำไรที่อยู่ในระดับสูงและสัดส่วนเพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม (Value-Added) น่าจะกระตุ้นผลประกอบการ นอกจากนี้บริษัทยังได้รับแรงหนุนจากราคาปลาทูน่าที่ผันผวนน้อยลง

สถาบันวิจัยนครหลวงไทย (SCRI) ประเมินราคาสินค้าเกษตรโดยรวม โดยเฉพาะพืชผลทางการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทน เช่น น้ำตาล ถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม รวมถึงยางพารา มีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นในปี 2553 เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 2550-2551 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น และความต้องการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อใช้เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ที่มากขึ้น รวมทั้งความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ ที่จะส่งผลกระทบต่อการผลิตของสินค้าเกษตรให้ลดลง

พืชผลทางการเกษตร : แม้ SCRI จะประเมินว่าราคาพืชผลทางการเกษตรส่วนใหญ่จะปรับตัวสูงขึ้นในปี 2553 ก็ตาม แต่ด้วยปัจจัยพื้นฐานด้านความต้องการซื้อและความต้องการขายที่แตกต่างกัน จะทำให้การปรับตัวขึ้นของราคาพืชผลทางการเกษตรแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันไป ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดพบว่าพืชผลทางการเกษตรที่มีแนวโน้มอุปทานตึงตัวมาก ที่สุด (เรียงตามลำดับ) ได้แก่ น้ำตาล ข้าว และยางพารา

ดังนั้น ราคาสินค้าเหล่านี้มีแนวโน้มจึงมากกว่าตลาด ครึ่งแรกปีนี้ส่วนพืชผลทางการเกษตรอื่นๆ เช่น ถั่วเหลืองและน้ำมันปาล์มดิบ มีปริมาณความต้องการซื้อ-ความต้องการขายค่อนข้างสมดุล ทำให้แนวโน้มราคาจะปรับตัวตามราคาน้ำมันดิบเป็นหลัก

ธุรกิจเนื้อสัตว์ : ในส่วนของธุรกิจเนื้อสัตว์ คาดอุปสงค์-อุปทานจะเริ่มสมดุล แต่ราคามีแนวโน้มปรับขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ ซึ่งอัตรากำไรขั้นต้นของผู้ประกอบการมีแนวโน้มลดลงในปี 2553

อาหารทะเลและสัตว์น้ำ : คาดอุปสงค์ในปี 2552 เพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงอยู่ที่ราคาน้ำมันดิบที่อาจปรับสูงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนวัตถุดิบของผู้ประกอบการ

สถาบันวิจัยนครหลวงไทยแนะนำหุ้นของกลุ่มเกษตรและอาหาร ได้แก่ TUF (แนะนำ “ซื้อ” มูลค่าเหมาะสม 40 บาท) เนื่องจาก แนวโน้มผลการดำเนินงานที่เติบโต จากการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และราคาหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าเหมาะสม 19.4%
posttoday

*********
05/01/52
อินโดฯ ตั้งเป้าผลิตข้าวปี 53 ที่ 66.8 ล้านตัน

รัฐบาลอินโดนีเซียประเมินว่า ปริมาณการผลิตข้าวในประเทศปีนี้จะอยู่ที่ 66.8 ล้านตัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่ายอดการผลิตปี 2552 อยู่ 4.45% โดยการผลิตข้าวปีที่แล้วของอินโดนีเซียอยู่ที่ 63.84 ล้านตัน

ฮัตตา ราดจาซา รัฐมนตรีฝ่ายประสานงานเศรษฐกิจอินโดนีเซีย กล่าวว่า รัฐบาลได้จัดส่งปุ๋ย 4.615 ตันแก่เกษตรกร ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 84% ของเป้าหมายเบื้องต้นที่ได้กำหนดไว้

ทางด้านมุสตาฟา อาบูบาคาร์ รัฐมนตรีวิสาหกิจรัฐบาลกล่าวว่า อินโดนีเซียจะสามารถส่งออกข้าวได้ในปีหน้าถึง 1-2 ล้านตัน หากอินโดนีเซียสามารถบรรลุเป้าหมายในการผลิตข้าว
*********
30/12/52
อินโดฯ ยืนยันสำรองข้าวเพียงพอสำหรับ 6 เดือน

สำนักงานลอจิสติคส์ของอินโดนีเซียเผยสำรองข้าวของประเทศในช่วงสิ้นปี 2552 มีปริมาณที่เพียงพอตอบสนองต่อความต้องการภายในประเทศในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งในช่วงสิ้นปีนี้ สำรองข้าวของอินโดนีเซียอยู่ที่ 1.7 ล้านตัน

อย่างไรก็ดี สำนักงานระบุว่า สำรองข้าวจำนวนมากนี้จะทำให้เกิดปัญหาใหม่ๆตามมา อาทิ คุณภาพของข้าวที่กักเก็บไว้ แม้ว่าสำรองข้าวจำนวนมหาศาลจะสามารถเติมเต็มคลังข้าวในหลายภูมิภาคได้ก็ตาม

ซูตาร์โต อาลีโมโซ ผู้อำนวยการของสำนักงานกล่าวว่า ยิ่งสำรองข้าวมีจำนวนมากขึ้นกว่าเดิม การจัดส่งข้าวก็จะยิ่งใช้เวลามากขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน และมีความเป้นไปได้ที่จะมีการนำข้าวที่เหลืออยู่มาแปรรูปเพื่อการพาณิชย์ เช่น การผลิตแป้งสำหรับทำอาหารและแป้งสำหรับทำบะหมี่

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำรองข้าวจำนวนมากนี้เป็นเพราะการผลิตที่สูงขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

ขณะที่นักวิเคราะห์จากสถาบันวิทยาศาสตร์อินโดนีเซีย (LIPI) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอินโดนีเซียจะขยายตัวราว 5.9% ในปีหน้า มากกว่าที่รัฐบาลคาดว่าจะขยายตัวเพียง 5.5% โดยอากัส อีโค นูโกรโฮ นักวิเคราะห์จาก LIPI กล่าวว่า ตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวอ้างอิงจากดีมานด์โลกที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงผลงานของรัฐบาลในการรักษาอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดีอยู่แล้ว

ขณะเดียวกันเขาคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้ออาจทะยานแตะ 5.6% ในปีหน้า หรือมากกว่าที่รัฐบาลคาดไว้ว่าจะอยู่ที่ราว 5% ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอาจกดดันให้ธนาคารกลางต้องขึ้นดอกเบี้ยแตะ 7% ในปีหน้า มากกว่าที่รัฐบาลคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยแตะ 6.5%

ภาคการส่งออกและนำเข้าคาดว่าจะขยายตัว 6.0% และ 7.1% ตามลำดับ ซึ่งมากกว่าที่รัฐบาลคาดว่าจะขยายตัว 4.1% และ 6.9% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม นายอากัสกล่าวว่าอินโดนีเซียอาจเผชิญอุปสรรคหลายประการในปีหน้า อย่างจำนวนผู้ยากไร้ที่เพิ่มขึ้น
money news update
********
30/12/52
เกษตรขาขึ้นส่งออกสวย

นักวิเคราะห์ให้น้ำหนักการลงทุนระดับปกติหุ้นกลุ่มเกษตรเหตุปริมาณการส่งออกกุ้งไทยงวด 10 เดือนของปี 2552เพิ่มขึ้น 7.76%เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว คาดการส่งออกกุ้งมีแนวโน้มดีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกขณะที่ปัญหาค่าเงินบาทและการเปิดเสรีนำเข้าไม่น่าจะกระทบ ชี้ TUF เด่นสุดในกลุ่มราคาเหมาะสม 34.50 บาท ด้านผู้บริหาร ธีรพงศ์ จันศิริŽการันตรีผลประกอบการทั้งปีสูงสุดเป็นประวัติการณ์ขึ้นสู่ระดับ 3,000 ล้านบาทชัวร์
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับการลงทุนหุ้นในกลุ่มธุรกิจการเกษตรให้คำแนะนำ: "ลงทุนปกติ" ระบุว่า กรมศุลกากรได้รายงานปริมาณการส่งออกกุ้งของไทยใน 10 เดือนแรกของปี 2552 ที่ 320,855 ตันเพิ่มขึ้น 7.76% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว จากปริมาณ 297,745 ตัน
ขณะที่มูลค่าการส่งออกกุ้งอยู่ที่ 77,132 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 12.24% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้วจาก 68,719 ล้านบาททั้งนี้ตลาดส่งออกหลักคืออเมริกาซึ่งมีสัดส่วนการ ส่งออกราว 48% ของปริมาณการส่งออกของไทยพบว่ามีการส่งออกเพิ่มขึ้น 3% ขณะที่ เอเชียคิดเป็น 27% ของการส่งออกพบว่าปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้น 6% โดยเฉพาะในญี่ปุ่น ส่วนสหภาพยุโรปพบว่าปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้น 33.3% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้วซึ่งคิดเป็น 14% ของการส่งออก
นายกสมาคมกุ้งไทยคาดการส่งออกกุ้งจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยคาดปริมาณการส่งออกกุ้งในปี 2553 อยู่ที่ 380,000 ตันซึ่งคาดว่าจะใกล้เคียงเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2552 ขณะที่คาดว่าผลผลิตและราคาขายจะเพิ่มขึ้นราว 10% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ 2552
ขณะที่ยังมีความกังวลต่อปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย รวมถึงการเปิดเสรีการนำเข้า อาจทำให้กุ้งจากประเทศอื่นที่ไม่มีคุณภาพเข้ามาในไทย โดยได้สอบถามข้อมูลจากบริษัทผู้ผลิตกุ้ง ในอุตสาหกรรมคาดว่าปริมาณการส่งออกกุ้งของไทยในปี 2553 จะยังขยายตัวได้ตามการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจ และไม่คาดว่าปัญหาการลดค่าเงินของเวียดนามจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย เนื่องจากกุ้งของไทยจะเน้นในกลุ่มสินค้ามูลค่าเพิ่มเป็นหลัก
โดยมีมุมมองที่ดีต่อการส่งออกกุ้งของไทยแม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวแต่ยังสามารถส่งออก ได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดส่งออกหลัก และคาดว่าการส่งออกกุ้งในปี 2553 ยังมีแนวโน้มที่ดีต่อได้ แนะนำ "ลงทุนปกติ" ในกลุ่มดังกล่าว จากปัจจัยรับอานิสงส์จากการส่งออกกุ้งที่มากขึ้นและยังคงให้น้ำหนักที่ TUF แนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 34.50 บาท ขณะที่ CPF และ CFRESH แนะนำเพียง "ถือ" ราคาเหมาะสม 11.30 บาท และ 3.94 บาท ตามลำดับ
ขณะที่ก่อนหน้านี้นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยนโฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) TUF กล่าวว่า ปีนี้จะเป็นปีที่บริษัทสามารถทุบสถิติการทำกำไรสุทธิ และต้องจดบันทึกสถิติใหม่ว่า เป็นปีที่มีกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมั่นใจกำไรสุทธิในปีนี้จะทะลุถึง 3,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน สถิติกำไรสุทธิสูงสุดของบริษัทที่ผ่านมาคือ ปี 2546 ที่มีกำไรสุทธิทั้งปีเท่ากับ 2,279 ล้านบาท
โดยผลการดำเนินงานไตรมาส3/2552 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,017.9 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 12% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ทำกำไรสุทธิเท่ากับ 911.9 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 1.15 บาท เพิ่มขึ้น12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่อยู่ระดับ 1.03 บาท
สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้น TUF ปิดที่ บาท เพิ่มขึ้น เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย ล้านบาท
www.thunhoon.com

กลุ่มสื่อ,สิ่งพิมม์และบันเทิง53

30/12/52
กลุ่มสื่อ-สิ่งพิมพ์ ลงทุน'เท่ากับตลาด'
รายงานโดย :บล.เคจีไอ (ประเทศไทย): วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เม็ดเงินโฆษณา (Advertising Expenditure : ADEX) มีการเติบโตต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ส.ค. โดยล่าสุด ADEX ในเดือนพ.ย. เพิ่ม 8.3% จากปีก่อน

ซึ่งเติบโตเป็นบวก 4 เดือนติดต่อกัน และเป็นการเติบโตที่สูงสุดในรอบสองปีที่ผ่านมาในช่วง 11 เดือนของปี 2552 ADEX อยู่ที่ 8,190 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 0.5%

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) หรือ KGI คาดว่าเม็ดเงินโฆษณาจะเติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ซึ่งจะทำให้อำนาจในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันการใช้งบโฆษณาตลอดจนแผนการตลาดต่างๆ ของเจ้าของสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อของผู้บริโภค

บล.เคจีไอ คาดว่าจีดีพีของประเทศไทย จะเติบโตเป็นบวกที่ 3.0% ในปี 2553 หลังจากลดลง 3.0% ในปี 2552

ปัจจัยบวกจากภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้นทำให้เม็ดเงินโฆษณาเติบโต โดยคาดว่า ADEX จะเติบโตได้ 2.0% ในปี 2553 เป็น 9.19 หมื่นล้านบาท หลังจากเติบโตคงที่ในปี 2552

ความเสี่ยงจาก Pay-TV มีจำกัด

ความเสี่ยงของสื่อโฆษณาที่มีอยู่ในปัจจุบัน คือ การเกิดของสื่อใหม่ โดยโทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิก (Pay-TV เช่น เคเบิลทีวี และทีวีดาวเทียม)

ทั้งนี้ พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 อนุญาตให้ผู้ประกอบกิจการ Pay-TV โฆษณาใน เชิงพาณิชย์ได้เฉลี่ยไม่เกิน 5 นาทีต่อชั่วโมง ซึ่งน้อยกว่าเทียบกับ 10 นาทีต่อชั่วโมงของฟรีทีวี โดย True Visions (ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการ Pay-TV ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศที่ดำเนินกิจการภายใต้สัญญาสัมปทานของบริษัท อสมท หรือ (MCOT) ได้รับอนุมัติจาก MCOT ให้โฆษณาเชิงพาณิชย์ได้ในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา)

บล.เคจีไอ มองว่าความเสี่ยงจากการแข่งขันของ Pay-TV ต่อฟรีทีวี ควรมีจำกัด เนื่องจาก 1) กลุ่มผู้ชมแตกต่างกัน : ฟรีทีวีเน้นผู้ชมกลุ่มใหญ่ (Mass Market) ในขณะที่ Pay-TV เน้นไปที่กลุ่มผู้ชมที่มีลักษณะเฉพาะ (Niche Market) ในปัจจุบันอัตราการเข้าถึงลูกค้า (Penetration Rate) ของ Pay-TV อยู่ที่ 16.3% ของจำนวนครัวเรือนรวม ดังนั้น จึงเห็นว่าเป็นไปได้ยากที่บริษัทโฆษณาสินค้าอุปโภคบริโภคขนาดใหญ่ ซึ่งมุ่งเน้นเจาะตลาดลูกค้าแบบกลุ่มใหญ่จะใช้งบโฆษณาใน Pay-TV อย่างมีนัยสำคัญ

2) ผู้ประกอบกิจการ Pay-TV จะใช้ความระมัดระวังในการโฆษณา : คาดว่าผู้ประกอบกิจการ Pay-TV เช่น True Visions จะใช้ความระมัดระวังในการโฆษณา เนื่องจากบริษัทต้องคำนึงถึงว่าการโฆษณาที่มากเกินไปจะทำให้เกิดผลกระทบต่อความพึงพอใจผู้ชมหรือไม่ เห็นได้จากเป้ารายได้ค่าโฆษณาที่ ค่อนข้างต่ำของ True Visions เพียง 500 ล้านบาท ในปี 2553 คิดเป็นเพียง 5.0% ของรายได้รวมของ True Visions และมีสัดส่วนเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตลาดโฆษณาของฟรีทีวีที่ 5.3 หมื่นล้านบาท

เร็วเกินไปที่จะกังวลเกี่ยวกับปัญหากฎหมาย

บล.เคจีไอ มองว่าประเด็นกฎหมายที่จะทำให้ต้นทุนการประกอบกิจการเพิ่มขึ้นนั้นไม่น่าเป็นความกังวลในปี 2553 เพราะปัจจุบัน ยังไม่มีคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงวิทยุ กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม แห่งชาติ (กสทช.) เนื่องจากพ.ร.บ.องค์กร จัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ยังไม่ได้มีการประกาศใช้

ปัจจัยดังกล่าวจึงจะยังไม่ก่อให้เกิดต้นทุนส่วนเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญต่อ BEC และ MCOT ในปี 2553 อย่างไรก็ดีเห็นว่า BEC จะได้รับผลกระทบต่อกำไรน้อยกว่า เนื่องจากบริษัทมีแนวโน้มต้องจ่ายเพียงส่วนแบ่งรายได้ให้แก่กองทุนฯ โดยอาจจะไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใบอนุญาต เพราะบริษัทประกอบกิจการภายใต้สัญญาสัมปทานของ MCOT

สื่อโรงภาพยนตร์ : รายการภาพยนตร์แข็งแกร่งในปี 2553

รายได้จากการขายบัตรชมภาพยนตร์ ของ MAJOR (ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการ โรงภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุด) ควรเพิ่มขึ้นตาม รายการภาพยนตร์ที่แข็งแกร่งในปี 2553 โดยมีภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยม เช่น ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 3 และ 4 ซึ่งถูกเลื่อนจากปี 2552 และมีกำหนดฉายในเดือน เม.ย. 2553 ซึ่งเรื่องดังกล่าวในภาคก่อนสร้างรายได้มากกว่า 200 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีภาพยนตร์ต่างประเทศ ที่ได้รับความนิยมเตรียมฉายในปีหน้าด้วย เช่น The Twilight Saga และ Harry Potter นอกจากยอดขายบัตรชมภาพยนตร์ที่เพิ่มขึ้นแล้ว

บล.เคจีไอ ยังมีมุมมองเป็นบวกต่อการ ฟื้นตัวของรายได้โฆษณาตั้งแต่ในไตรมาส 3/2552 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่จะช่วยกระตุ้นโฆษณาที่เป็นบีโลว์เดอะไลน์ จึงคาดว่ารายได้โฆษณาของบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) จะเพิ่ม 24.4% ในปี 2553 หลังจากลดลง 36.6% ในปีนี้ จากปัจจัยพื้นฐานที่ดีและปัจจัยเศรษฐกิจต่างๆ โดย เชื่อว่ากำไรของ MAJOR ได้ผ่านจุดต่ำสุด ไปแล้วและพร้อมจะเติบโตในปี 2553 โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโต 65.2% ในปี 2553 อยู่ที่ 276 ล้านบาท หลังจากที่หดตัว 59.6% ในปี 2552

ตัวเลขเม็ดเงินโฆษณาที่รายงานโดย Nielson นั้นได้ยืนยันมุมมองของฝ่ายวิจัยที่ว่าโทรทัศน์เป็นสื่อหลักที่มีประสิทธิภาพมาก ที่สุด เราคาดว่าแนวโน้มของการใช้เม็ดเงินโฆษณาจะดีต่อเนื่องไปในอนาคต จากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นและทำให้ผู้ใช้งบโฆษณามีการใช้งบโฆษณามากขึ้นด้วย สำหรับสื่อโทรทัศน์นั้น การเติบโตที่โดดเด่นสะท้อนให้เห็นว่าความต้องการใช้งบโฆษณานั้นฟื้นตัว และน่าจะเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการช่องอื่นๆ ทำการปรับเพิ่มอัตราค่าโฆษณาได้ในปีหน้า

อย่างไรก็ตาม บล.เคจีไอ ชอบ BEC จากผลประกอบการที่คาดว่าจะฟื้นตัวในปี 2553 และความเสี่ยงด้านกฎหมายที่น้อยกว่าในระยะยาว คงให้น้ำหนักกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ “เท่ากับตลาด” โดยมี BEC เป็นหุ้นเด่น
posttoday

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

อุตสาหกรรมประกันชีวิต53

14/01/53
ประกันผุดเบี้ยรถถูกดึงลูกค้า
สมาคมประกันวินาศภัย เล็งออกประกันภัยรถยนต์ราคาถูก จูงใจรถนอกระบบ 4.2 ล้านคัน ซื้อคุ้มครอง รองรับกลุ่มรถอีโคคาร์

นายนพดล สันติภากรณ์ ประธานคณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัย เปิดเผยว่า ปี 2553 มีแผนที่จะออกกรมธรรม์รถยนต์ราคาถูก หรือไมโครอินชัวรันส์ ออกมา ที่ไม่ต้องผ่านการพิจารณารับประกันภัย คาดว่าจะสามารถสรุปตัวเลขออกมาได้เร็วๆ นี้ เพื่อส่งเสริมให้รถนอกระบบที่ยังไม่ได้ทำประกันภาคสมัครใจสัดส่วน 40% ของจำนวนรถทั้งหมด 9.5 ล้านคัน มาทำประกันภัย
“ปีนี้เบี้ยรับรวมของประกันภัยรถยนต์ไม่โต เพราะเบี้ยต่ำ จึงเน้นให้รถที่ยังไม่ทำประกันเข้าสู่ระบบเป็นเรื่องแรก กลุ่มนี้ไม่ทำประกันรถชั้น 1 แน่นอน เพราะเบี้ยแพง จึงต้องนำประกันราคาถูกออกมา และการทำประกันต้องสะดวกและรวดเร็ว” นายนพดล กล่าว

นายนพดล กล่าวว่า นอกจากนี้ปี 2553 จะมีลูกค้าประกันรถยนต์กลุ่มใหม่เพิ่มขึ้นในส่วนของรถอีโคคาร์ ซึ่งเป็นรถประหยัดพลังงาน ราคาประมาณ 4 แสนบาท ออกมาในปีนี้ ซึ่งเป็นรถขนาดเล็ก เหมาะสำหรับวิ่งในเมือง ที่จะต้องออกแบบกรมธรรม์เฉพาะให้สอดคล้องกับความเสี่ยง ซึ่งขณะนี้รอดูนโยบายที่ชัดเจนจากรัฐบาลเกี่ยวกับรถอีโคคาร์ จึงจะสามารถกำหนดเบี้ยออกมาได้

“ปัจจุบันเราคิดเบี้ยประกันจากราคารถ แต่รถอีโคคาร์แม้ราคารถจะต่ำ แต่มีความแข็งแรงเมื่อเกิดเหตุแต่ละครั้งถึงกับต้องซ่อมทั้งคัน ต้องมีเบี้ยที่เหมาะสมออกมา” นายนพดล กล่าว

นายนพดล กล่าวอีกว่า ทั้งสองกลุ่มตลาดถือเป็นกลุ่มใหม่ที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้เบี้ยประกันภัยรถยนต์รวมทั้งปีไม่ลดลงมาก คาดว่าปี 2553 จะมีเบี้ยรับรวม 6.53 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 4% จากปี 2552 ที่มีเบี้ยรับรวม 6.32 หมื่นล้านบาท

สำหรับสาเหตุที่เบี้ยประกันภัยรถยนต์ไม่เติบโตมาก เนื่องจากลูกค้าประกันรถยนต์ชั้น 1 มีการหันมาทำประกันประเภท 3 หรือประกันพิเศษ ที่มีราคาถูกลงมากขึ้น

ขณะที่รถทำประกันภัยภาคบังคับ หรือพ.ร.บ. ไม่ได้เพิ่มขึ้น เพราะถือว่าได้รถกลุ่มนี้ได้ทำประกันพ.ร.บ. เกือบ 100% ยกเว้นรถจักรยานยนต์ที่มีการทำประกันพ.ร.บ. เพียง 60% เท่านั้น

สำหรับค่าสินไหมทดแทนในปี 2553 จะเพิ่มขึ้นเป็น 60% ของเบี้ยรับรวม ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่อยู่ประมาณ 58% เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลและค่าซ่อมแซมเพิ่มขึ้น

นายนพดล กล่าวด้วยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2553 ผู้ประสบภัยจากรถจะได้รับความคุ้มครองเพิ่มขึ้นเป็น 2 แสนบาท กรณีบาดเจ็บจะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นโดยไม่ต้องรอพิสูจน์ 1.5 หมื่นบาท และกรณีสูญเสียอวัยวะและทุพพลภาพ 3.5 หมื่นบาทต่อราย หากเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยในจะได้รับเงินชดเชยรายวัน วันละ 200 บาท ไม่เกิน 20 วัน
postoday
*********
ปีนี้เบี้ยอัคคีภัยถูกลงอีก5%
ปี 2553 นายประกันพร้อมใจลดเบี้ยอัคคีภัยอีก 5%

นายอานนท์ โอภาสพิมลธรรม ประธานคณะกรรมการประกันภัยทรัพย์สิน สมาคมประกันวินาศภัย เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2553 เป็นต้นไป บริษัทประกันภัยได้ปรับลดอัตราเบี้ยประกันอัคคีภัยสำหรับทุกกลุ่มภัยให้กับประชาชนทั่วไปลงอีก 5% ส่วนเจ้าของธุรกิจหากมีระบบการจัดการความเสี่ยงภัย หรือมีระบบป้องกันไฟไหม้อย่างดี จะได้รับการพิจารณาลดเบี้ยประกันมากกว่า 5%
“ปี 2552 เราปรับลดเบี้ยอัคคีภัยลง 10% ปีนี้ลดลงอีก 5% เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัยได้ในราคาที่ถูกลง” นายอานนท์ กล่าว

นายอานนท์ กล่าวว่า จากการลดเบี้ยประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัย และเบี้ยประกันอัคคีภัยธุรกิจลงอีก 5% ในปีนี้ คาดว่าจะทำให้เบี้ยประกันอัคคีภัยทั้งระบบคงเพิ่มขึ้นประมาณ 5% เป็นเบี้ยรวม 1.61 หมื่นล้านบาท แยกเป็นประกันอัคคีภัย 8,100 ล้านบาท และประกันภัยทรัพย์สิน 8,000 ล้านบาท จากปี 2552 ที่คาดว่าเบี้ยทั้งสองประเภทจะมีจำนวน 1.47 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ ปี 2553 ทางสมาคมประกันวินาศภัย ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ออกแบบประกันสำหรับผู้ประกอบการร้านค้าย่อย โดยจะเป็นการประกันร้านค้าย่อยแบบประหยัด เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้ประกอบการร้านค้าขนาดเล็ก ซึ่งเบี้ยประกันภัยจะอยู่ที่ระดับ 1,000 บาทต่อปี เท่านั้น

ขณะที่ประชาชนทั่วไปประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัยแบบประหยัดเบี้ย 600 บาทต่อปี จะได้รับความคุ้มครอง 6 แสนบาทต่อปี ขึ้นอยู่กับลักษณะของที่อยู่อาศัย
posttoday***********
11/01/53
ตัวแทนเร่งกู้วิกฤติปรับกลยุทธ์สู้แบงก์ ชี้คปภ. 2 มาตรฐาน
สมาคมตัวแทนประกันชีวิตเร่งพัฒนาศักยภาพตัวแทนทั่วประเทศ หวังสร้างความเชื่อมั่น เพื่อแข่งขันกับช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ที่มีการเติบโตเร็วกว่า พร้อมเสนอ คปภ.แก้ปัญหาและอุปสรรคในการขาย กติกาและการส่งเสริมการขายของแบงก์ รวมถึงพิจารณาชั่วโมงการอบรมและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ด้าน คปภ.ยันไม่มี 2 มาตรฐาน
pantip
********
29/12/52
ประกันชีวิตพุ่งฉลุย ปี’53คาดโต23%

ประกันชีวิตโตสวนกระแสเศรษฐกิจ กสิกรไทยคาดปีหน้าโต 18-23%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปี 2553 ธุรกิจประกันชีวิตมีอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับรวมประมาณ 18-23% เทียบกับประมาณ 20% ในปี 2552 โดยมีปัจจัยบวกจากทิศทางสินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในปี 2553 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จะส่งผลดีต่อการทำประกันสินเชื่อให้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนี้ แนวนโยบายของทางการที่สนับสนุนให้ธุรกิจประกันชีวิตขยายตลาดลงไปถึงระดับฐานรากผ่านการสนับสนุน Micro Insurance หรือแบบประกันชีวิตที่มีต้นทุนต่ำ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจประกันขยายฐานได้กว้างขวางมากขึ้น รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ยังได้ประกาศตารางมรณกรรมสำหรับแบบประกันประเภทบำนาญ (Annuity) หากได้รับการสนับสนุนจากกรมสรรพากรให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมทางภาษี เพื่อกระตุ้นให้เกิดการออมผ่านการทำประกันชีวิต

ซึ่งสมาคมประกันชีวิตได้เสนอขอใน 3 ประเด็น คือ การหักลดหย่อนภาษีกรณีซื้อประกันสุขภาพ หรือประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล การหักลดหย่อนภาษีสำหรับกรมธรรม์แบบบำนาญ และการหักลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมแบบขั้นบันได สำหรับกรมธรรม์แบบพ่วงการลงทุน โดยมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับการพิจารณาบ้าง แม้จะไม่ทั้งหมดตามที่ภาคเอกชนร้องขอ จะมีส่วนกระตุ้นการขยายธุรกิจประกันได้

อย่างไรก็ตาม ในปี 2553 ตลาดคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ในครึ่งหลังของปี 2553 เช่นเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นจริง ก็อาจกระทบต่อความต้องการทำประกันขีวิตได้
posttoday

ข่าวต่างประเทศ53

14/01/53
เฟดทำกำไรพุ่งทำสถิติในปี 2552

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานผลกำไร 5.21 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2552 ซึ่งพุ่งขึ้น 47% จากปีก่อน ซึ่งกำไรจำนวนมากดังกล่าวเปิดทางให้เฟดสามารถจ่ายเงินให้กับ

กระทรวงการคลังได้ 4.61 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นจำนวนเงินมากที่สุดที่เฟดจ่ายให้กับกระทรวงการคลังนับตั้งแต่ก่อตั้งธนาคารในปีพ.ศ.2457 โดยตัวเลขที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์นี้มีสาเหตุหลักมาจากความพยายามของเฟดที่จะให้การสนับสนุนระบบการเงินตลอดช่วงวิกฤตการเงิน

ทั้งนี้ เฟดหารายได้ด้วยตัวเองจากการดำเนินงานต่างๆ และคืนกำไรกลับไปให้แก่กระทรวงการคลัง

นอกจากนี้ กำไรบางส่วนของเฟดยังมาจากดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลและหลักทรัพย์ที่อิงกับสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งรวมถึงหลักทรัพย์ของแฟนนีเม และ เฟรดดีแมค

รายงานระบุด้วยว่า โครงการเงินกู้ฉุกเฉินต่างๆซึ่งริเริ่มจัดตั้งโดยธนาคารกลางในช่วงวิกฤตการเงินเมื่อปีที่แล้ว มีส่วนช่วยเพิ่มงบดุลบัญชีให้เฟดได้มากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์

*******
มูดีส์ เตือนญี่ปุ่น หลังตั้ง รองนายกฯควบตำแหน่งรมว.คลัง

มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส เตือนว่า การที่รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจแต่งตั้งนายนาโอโตะ คัง เป็นรัฐมนตรีคลังคนใหม่แทนนายฮิโรฮิสะ ฟูจิอิ อาจทำให้เกิดกระแสความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นเรื่องความน่าเชื่อถือในเรื่องวินัยด้านการคลัง รวมถึงการควบคุมตัวเลขหนี้สาธารณะ โดยขณะนี้หนี้สินสาธารณะของญี่ปุ่นติดอันดับสูงสุดของโลก

ความคิดเห็นของมูดีส์ สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนลีย์ ที่กล่าวว่า นายคังไม่มีเป้าหมายชัดเจนที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาในภาคการเงินของญี่ปุ่น ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจนในการพยุงเศรษฐกิจและควบคุมหนี้สาธารณะ

อย่างไรก็ดีแนวโน้มความน่าเชื่อถือระยะกลางของญี่ปุ่นขึ้นอยู่กับว่าอัตราการขยายตัว และขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถลดยอดขาดดุลและลดหนี้สาธารณะได้มากน้อยแค่ไหน

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า ตัวเลขหนี้สาธารณะของญี่ปุ่นจะพุ่งขึ้นเป็น 246% ของตัวเลข GDP ในปี 2557 เมื่อเทียบกับสหรัฐที่ระดับ 108% และเยอรมนีที่ระดับ 89%
money wake up**********
14/01/53
ตัวเลขเศรษฐกิจหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุนทั่วโลกพุ่งต่อ

ผลสำรวจความเชื่อมั่นนักลงทุนทั่วโลกที่จัดทำโดยสำนักข่าว Bloomberg ปรับตัวดีขึ้นในเดือนนี้ หลังจากที่เห็นสถานการณ์ที่ดีขึ้นทั้งในภาคการผลิตและบริการ ทำให้หลายคนมั่นใจมากขึ้นสำหรับทิศทางเศรษฐกิจต่อจากนี้

The Bloomberg Professional Global Confidence Index ขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 66.6 ในเดือนมกราคม เพิ่มจาก 58.9 ในเดือนธันวาคม และทำสถิติเป็นตัวเลขที่สูงสุดนับตั้งแต่มีการจัดทำดัชนีนี้ขึ้นมาเมื่อสองปีก่อน

ตัวเลขตลอด 6 เดือนล่าสุดโชว์มุมมองว่าเศรษฐกิจกำลังขยายตัว ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่มีรายงานทางเศรษฐกิจสำคัญๆ ทยอยประกาศออกมา และถ้าไล่เลียงกันไปตามภูมิภาคแล้ว เริ่มจากที่สหรัฐฯ สภาวะการจ้างงานเดือนพฤศจิกายนก็เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสองปี ขณะภาคการผลิตก็แสดงทิศทางการขยายตัวในเดือนธันวาคม ด้วยอัตราการเพิ่มที่สูงสุดในรอบกว่าสามปี แม้ว่าอัตราการว่างงานจะยังยืนอยู่ที่แถวๆ 10% แต่ก็ยังไม่ปิดโอกาสที่ตัวเลขจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น

ส่วนที่ยุโรป ผู้ตอบแบบสำรวจรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเป็นเดือนที่สองแล้วว่า เศรษฐกิจจะฟื้นตัวต่อ ซึ่งสามารถสะท้อนได้จากดัชนีภาคการผลิตและบริการที่ยังขยับดีขึ้นต่อเนื่อง แถมทางธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังได้แสดงท่าทีที่จะถอนมาตรการอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างกำลังไปในทิศทางบวก

ปิดท้ายที่เอเชีย ที่ดัชนีความเชื่อมั่นปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 76.2 มาเป็น 79.8 ซึ่งก็ไม่เป็นที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด ถ้าดูจากอัตราการเติบโตของผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และความแข็งแกร่งของการใช้จ่ายบริโภคในประเทศในช่วงที่ผ่านมา

และกับคำถามที่ว่าเศรษฐกิจเอเชียดีหรือไม่ดีจริงนั้น ก็น่าจะชัดเจนมากขึ้น เมื่อล่าสุดธนาคารกลางจีนได้สั่งให้ธนาคารในประเทศปรับเพิ่มระดับเงินสำรองไปเมื่อวันก่อน เพื่อหวังชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจ หลังจากปรากฏการณ์สินเชื่อที่บูมสุดขีดได้สร้างความกังวลในเรื่องแนวโน้มเงินเฟ้อ และฟองสบู่ในตลาดสินทรัพย์ ขณะที่ดัชนีชี้สภาวะการผลิตล่าสุด ที่รวบรวมโดย HSBC Holdings และ Markit Economics ขยายตัวแรงที่สุดในรอบ 5 ปี
money wake up*********
13/01/53
ผลสำรวจ RICS ชี้ราคาบ้านอังกฤษร่วงผิดคาดในเดือนธ.ค.

ขณะที่นักลงทุนกำลังรอดูตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนในช่วงต่อไป แต่หลายคนก็ยังไม่ลืมที่จะหันกลับมามองที่ตลาดบ้าน ในฐานะตัวแปรสำคัญอย่างหนึ่งที่จะกำหนดแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต

ล่าสุด ผลสำรวจราคาบ้านที่อังกฤษสะท้อนถึงการแผ่วลงของดีมานด์ในเดือนธันวาคม เมื่อข้อมูลในส่วนที่แสดงถึงความต้องการหาซื้อบ้านใหม่ออกมาลดลง

ผลสำรวจของ Royal Institution of Chartered Surveyors (RICS) ชี้ว่า สัดส่วนของจำนวนเอเยนต์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่บอกว่าราคาเพิ่มขึ้น มีมากกว่าจำนวนคนที่บอกว่าราคาลดลงอยู่ 30% ซึ่งน้อยลงจาก 35% ในเดือนพฤศจิกายน ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่า สัดส่วนดังกล่าวจะอยู่ที่ 37%

รายงานนี้อาจถูกมองว่า ตลาดบ้านในอังกฤษที่เคยเป็นนความหวังสำหรับการฟื้นตัว กำลังกลับมาอ่อนแรงลงอีกครั้ง หลังจากที่ในช่วงวิกฤติมูลค่าบ้านได้ร่วงลงไปถึง 20% นอกจากนี้ รายงานล่าสุดก็ยังสอดคล้องกับมุมมองของบริษัท Halifax ที่เป็นสาขาธุรกิจของ Lloyds Banking Group ที่คาดว่า แนวโน้มราคาบ้านของอังกฤษในปีนี้น่าจะยังยืนอยู่ที่ระดับเดิมต่อไป

และที่สำคัญสำหรับการจับตาดูราคาบ้านจากนี้ ก็คือ การเร่งทำคะแนนของนายกรัฐมนตรี Gordon Brown ก่อนหน้าที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมิถุนายนที่จะถึง ซึ่งทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับนโยบายทั้งหลายว่าจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมาได้มากขนาดไหน

นักเศรษฐศาสตร์ของ BNP Paribas พูดถึงรายงานตลาดบ้านล่าสุดด้วยว่า ผลของความต้องการที่อั้นมาในช่วงวิกฤติและมาช่วยผลักดันให้ราคาขยับเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้ กำลังเริ่มหมดแรงลงแล้ว และนี่คือสัญญาณเตือนภัยอันแรกๆ ที่กำลังจะบอกว่า ตลาดบ้านมีโอกาสที่จะร่วงลงอีกครั้ง

ความกังวลดังกล่าวยังไปเหมือนกับมุมมองของผู้บริหารธนาคารกลาง ที่ก่อนหน้านี้มีคนของ BOE เคยแสดงความรู้สึกแปลกใจในตัวเลขราคาบ้านที่ฟื้นขึ้น ขณะที่บริษัทวิจัย Hometrack ในลอนดอนคาดการณ์ว่า ราคาบ้านในอังกฤษมีแนวโน้มที่จะลดลงในปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามสภาวะการว่างงานที่เพิ่มขึ้นและความกังวลที่รัฐบาลจะจำกัดการใช้จ่าย และยิ่งไปกดดันความต้องการในตลาดลงอีก
**********
12/01/53
เกาหลีใต้ยกเลิกแผนย้ายหน่วยงานราชการไป “เซจอง”

รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศยกเลิกแผนย้ายกระทรวงและหน่วยงานราชการบางส่วนไปยังเมืองเซจอง ในจังหวัดชงชองใต้ ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโซลราว 150 กิโลเมตร และตัดสินใจว่าจะพัฒนาเมืองดังกล่าวให้เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจและวิทยาศาสตร์แทน

แผนย้ายหน่วยงานราชการไปยังเมืองเซจองเป็นความคิดของอดีตประธานาธิบดีโรห์ มู ฮยอน เนื่องจากเขาต้องการให้การพัฒนาภูมิภาคต่างๆ เป็นไปอย่างสมดุล หลังจากที่มีการวิพากย์วิจารณ์ว่าการพัฒนาเศรษฐกิจไปรวมอยู่ที่กรุงโซลเพียงแห่งเดียว

อย่างไรก็ตาม นายลี เมียง บัค ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน แสดงความไม่เห็นด้วยกับแผนดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าการย้ายหน่วยงานราชการจะทำให้การบริหารไร้ประสิทธิภาพ พร้อมสั่งให้มีการร่างแผนขึ้นมาใหม่

แผนการใหม่ตั้งเป้าว่าจะพัฒนาเมืองเซจองให้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การศึกษา และวิทยาศาสตร์ ด้วยจำนวนประชากร 500,000 คน และการลงทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชนมูลค่ารวม 16.5 ล้านล้านวอน (1.46 หมื่นล้านดอลลาร์)

อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ว่ารัฐสภาจะอนุมัติแผนที่ร่างขึ้นใหม่หรือไม่ เนื่องจากมีสมาชิกสภานิติบัญญัติประมาณ 60 คนที่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกแผนเดิม

ทั้งนี้ หลังการประกาศยกเลิกแผนเดิม พรรคฝ่ายค้านเกาหลีใต้ออกมาขู่ว่าจะทำการประท้วงอย่างรุนแรงต่อการตัดสินใจของรัฐบาล

********
12/01/53
ประกอบการธุรกิจการเงินของอังกฤษหวั่นรายได้ Q1 ร่วง

เพียงแค่สัปดาห์ที่สองของปีก็มีรายงานทางเศรษฐกิจที่เป็นสัญญาณบวกทยอยออกมาเรื่อยๆ แม้ในบางครั้งอาจต้องเจอกับแรงสะดุดได้บ้าง ล่าสุดต้องจับตาดูที่ยุโรป เมื่อมีรายงานผลสำรวจที่บ่งชี้ถึงความมั่นใจของผู้ประกอบการในธุรกิจการเงินออกมาแย่ลงกว่าเดิม อย่างน้อยเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเหตุผลหลักคงหนีไม่พ้นการเปลี่ยนแปลงมุมมองในเรื่องการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

สหพันธ์อุตสาหกรรมแห่งสหราชอาณาจักร (Confederation of British Industry) ในฐานะกลุ่ม lobbyist รายใหญ่ที่สุดของประเทศ เผยผลสำรวจออกมาว่า ผู้ให้บริการทางการเงินที่คาดว่าธุรกิจจะหดตัวลงในไตรมาสแรก มีจำนวนที่มากกว่าผู้ที่บอกว่าจะดีขึ้นอยู่ถึง 13% ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ของ CBI ยังได้ตอกย้ำถึงมุมมองในแง่ลบนี้อีกว่า ไม่มีสัญญาณใดๆ ที่บ่งบอกถึงการขยับขึ้นของความสามารถในการทำกำไรในช่วง 3 เดือนข้างหน้านี้

ทั้งหมดก็สอดคล้องกับ ความเห็นของผู้บริหารธนาคารกลางอังกฤษ ที่ก่อนหน้านี้ระบุว่า ประเทศอังกฤษกำลังเผชิญกับเส้นทางที่มุ่งหน้าออกจากความถดถอย ในแบบที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและความไม่คงเส้นคงวาอยู่มาก

สำหรับปัจจัยที่ขัดแข้งขัดขาการก้าวออกจากสภาวะธุรกิจตกต่ำ ก็รวมไปถึงความไม่แน่ใจถึงแนวโน้มความต้องการสินค้า ภาวะการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นทุกขณะ และรวมถึงการคุมเข้มผ่านกฏหมายที่เพิ่มระดับการกำกับดูแลขึ้น

อย่างไรก็ดี มีข้อดีอย่างน้อยหนึ่งข้อ ที่ผลสำรวจนี้ระบุไว้ ก็คือ บริษัทส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่าตลาดการเงินจะไม่ย่ำแย่ลงไปมากกว่านี้อีกแล้ว

ผลสำรวจของ CBI พบว่า เทรดเดอร์ของบริษัทหลักทรัพย์คาดแนวโน้มการหดตัวลงมากในส่วนของกำไรในไตรมาสแรกของปี 2553 นี้ เนื่องจากการซื้อขายหุ้นในพอร์ทของตนเริ่มทำรายได้ให้น้อยลง ซึ่งตรงนี้ก็สอดคล้องกับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มองว่า ไตรมาสที่กำลังจะถึงน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากในการทำเงิน แม้ในระยะกลางทุกอย่างน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น ก่อนที่สถานการณ์เลวร้ายต่างๆ จะหมดไปในที่สุด

ความหนักใจของบรรดาเทรดเดอร์หลักทรัพย์สะท้อนได้จากผลสำรวจที่แสดงให้เห็นว่า จำนวนเทรดเดอร์ที่คาดว่ารายได้จากการลงทุนและซื้อขายหลักทรัพย์จะลดลงในไตรมาสนี้ ปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเป็นเหมือนกับความกังวลที่ตลาดหุ้นอาจจะไม่ได้ดีดังหวัง ยังมีความเป็นไปได้สูง


ไฮเนเกนซื้อกิจการเบียร์จาก Femsa

ไฮเนเกนบริษัทผู้ผลิตเบียร์สัญชาติเนเธอร์แลนด์ ตัดสินใจซื้อกิจการเบียร์ของโฟเมนโต เอโคโนมีโค เม็กซิกาโน เอสเอบี หรือเฟมซา (Femsa) เพื่อช่วยในการขยายตลาดเข้าไปในตลาดลาตินอเมริกาได้มากขึ้น

ไฮเนเกนจะซื้อกิจการของเฟมซาผ่านทางการซื้อขายหุ้นมูลค่า 5,300 ล้านยูโร หรือ 7,700 ล้านดอลลาร์ โดยเฟมซาผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่อันดับ 2 ของเม็กซิโกจะได้ถือหุ้นในไฮเนเกน 20% จากการซื้อหุ้นครั้งนี้

ทั้งนี้ เฟมซามียอดขายในปี 2008 ที่ 2,880 ล้านดอลลาร์ โดยยอดขายประมาณ 2,160 ล้านดอลลาร์มาจากตลาดเม็กซิโก ส่วนที่เหลือเป็นยอดขายในตลาดบราซิล

ส่วนยอดขายทั่วโลกของเฟมซาในปี 2552 คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์ และ ประมาณ 3,600 ล้านดอลลาร์มาจากผลิตภัณฑ์เบียร์

ข่าวดังกล่าวก็ส่งผลให้ราคาหุ้นของไฮเนเกนปรับขึ้นทันที 6.2% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา

การซื้อกิจการในครั้งนี้จะทำให้ไฮเนเกนสามารถเจาะเข้าไปในตลาดเบียร์เม็กซิโกซึ่งมีขนาดใหญ่และเป็นตลาดที่สามารถสร้างกำไรได้เป็นอันดับสี่ของโลกและทำให้ไฮเนเกนลดการพึ่งพิงตลาดยุโรปลงได้

ไฮเนเกนคาดว่าการซื้อกิจการครั้งนี้ จะทำให้บริษัทประสบความสำเร็จด้านกลยุทธ์ภายในปี 2556 และยังจะช่วยเพิ่มกำไรต่อหุ้นให้กับบริษัทหลังจากระยะเวลา 2 ปีผ่านไป
money wake up
***********
11/01/53
ประธานาธิบดีอาร์เจนตินาสั่งปลดประธานธนาคารกลาง

ประธานาธิบดีคริสตินา เฟอร์นานเดซ ของอาร์เจนตินามีคำสั่งปลดนายมาร์ติน เรดราโด ประธานธนาคารกลางอาร์เจนตินาออกจากตำแหน่ง โดยอ้างเหตุผลด้านการประพฤติผิดระเบียบและละเว้นการปฎิบัติหน้าที่

หลังจากที่นายเรดราโดประธานธนาคารกลาง ปฏิเสธที่จะโอนเงินในทุนสำรองระหว่างประเทศ 6,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐเข้าสู่กองทุนชำระหนี้ต่างประเทศของรัฐบาล

ด้านโฆษกของนายเรดราโด กล่าวว่า ประธานธนาคารกลางยอมที่จะทำตามคำสั่งของประธานาธิบดีก็ได้ แต่จะไม่ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งความเคลื่อนไหวครั้งนี้ได้จุดชนวนให้เกิดการต่อสู้ทางกฎหมายขึ้น

ขณะเดียวกัน ทนายความหลายรายกล่าวว่า คำสั่งดังกล่าวของประธานาธิบดีอาร์เจนตินาอาจเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือกฎหมาย

เนื่องจากจริงๆ แล้ว สภาคองเกรสเป็นผู้เดียวที่มีอำนาจตามกฎหมายในการสั่งปลดประธานธนาคารกลางออกจากตำแหน่ง

ทั้งนี้ อาร์เจนตินามีหนี้ต่างประเทศที่ครบกำหนดชำระคืนจำนวน 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ ขณะที่ดุลบัญชีงบประมาณยังขาดดุลอยู่ 2-7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่า การสั่งปลดนายเรดราโด แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งเรื่องการจัดสรรเงินทุนชำระหนี้ระหว่างธนาคารกลางกับรัฐบาลอาร์เจนตินา ซึ่งนับเป็นสัญญาณบ่งชี้ที่เลวร้ายในการกระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศมากขึ้น


เวเนซุเอลาลดค่าเงินในรอบ 5 ปี

ประธานาธิบดีฮิวโก ชาเวซ ของเวเนซุเอลา สั่งลดค่าเงินโบลิวาร์เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เมื่อปี 2548 เป็นต้นมา โดยใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา 2 ระบบ

ระบบดังกล่าว จะดีต่อต่อภาคธุรกิจที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ โดยภาคสาธารณสุขนำเข้าอาหาร เครื่องจักรกล หนังสือ เทคโนโลยี รวมทั้งการนำเข้าภาครัฐและการส่งเงินกลับประเทศจะได้ประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนที่สูงขึ้นจะใช้กับสินค้าประเภทอุตสาหกรรมรถยนต์ โทรคมนาคม ยาสูบ เครื่องดื่ม เคมีภัณฑ์ ปิโตรเคมี และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

ภายใต้อัตราแลกเปลี่ยนใหม่ 1 ดอลลาร์สหรัฐ จะเท่ากับ 2.6 โบลิวาร์ ลดลงจากเดิมซึ่ง 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 2.1 โบลิวาร์ ส่วนสินค้านำเข้าที่ไม่จำเป็นจะใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 4.3 โบลิวาร์

เวเนซุเอลาดำดิ่งสู่ภาวะถดถอยเมื่อปีที่แล้วนับเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี เนื่องจากราคาน้ำมันและการผลิตร่วงลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงถึงร้อยละ 25


JAL เตรียมยื่นล้มละลาย 19 ม.ค.

สายการบินเจแปน แอร์ไลนส์ เตรียมยื่นเรื่องขอล้มละลายในวันที่ 19 ม.ค.นี้ ภายใต้แผนปรับโครงสร้างที่รัฐบาลสนับสนุน เช่น การลดตำแหน่งงาน 13,000 ตำแหน่ง

รัฐบาลญี่ปุ่นเห็นชอบทางเลือกให้ เจแปน แอร์ไลนส์ ยื่นขอล้มละลายต่อศาล ซึ่งเป็นข้อเสนอของหน่วยงานกำกับดูแลการฟื้นฟูกิจการของ JAL ที่รัฐให้การสนับสนุน ภายใต้แผนปรับโครงสร้าง JAL จะลดตำแหน่งงาน 13,000 ตำแหน่ง ในช่วง 3 ปีข้างหน้า และจะยกเลิกเส้นทางการบินเกือบ 50 เส้นทางทั้งใน และต่างประเทศ

นอกจากนี้ หน่วยงานกำกับดูแลการฟื้นฟูกิจการของ JAL จะขอให้ธนาคารยกหนี้ 350,000 ล้านเยน (ราว 126,000 ล้านบาท) เพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้สินของเจเอแอล

JAL มีภาระหนี้สินสูงถึง 4,290 ล้านเยน หรือ (4,600 ล้านดอลลาร์) ที่ผูกพันอยู่กันเจ้าหนี้รายใหญ่ในกลุ่มแบงก์ญี่ปุ่น 4 ราย ซึ่งของยอดการขาดทุนมหาศาลเกิดมาจากสภาพธุรกิจการบินที่ย่ำแย่ทั่วโลก และต้นทุนเงินสนับสนุนให้กับผู้เกษียณอายุจำนานมาก ก่อนหน้านี้ทาง JAL ได้ยื่นข้อเสนอให้ ผู้เกษียณอายุกว่า 9,000 คนยอมรับการปรับลดเงินช่วยเหลือลง 30% ซึ่งในวันอังคารที่จะถึงนี้ จะเป็นวันสุดท้ายของการให้คำตอบ
money wake up*********
11/01/53
การว่างงานสหรัฐฯ – ยุโรปยังวิกฤติ

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่าอัตราว่างงานเดือนธันวาคมยังอยู่ที่ระดับ 10% ซึ่งยังคงใกล้เคียงกับระดับของเดือนตุลาคมที่ 10.1% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2526

ขณะที่ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรร่วงหนักเกินคาดถึง 85,000 อัตรา จากที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะทรงตัวหรือลดลงเพียงเล็กน้อย โดยภาคส่วนที่มีการปลดพนักงานมากที่สุดคือภาคการก่อสร้าง การผลิต และการค้าส่ง

สำหรับทั้งปี 2552 อัตราจ้างงานในสหรัฐร่วงลงถึง 4.16 ล้านอัตรา ซึ่งถือว่ามากที่สุดในรอบ 65 ปี ขณะที่อัตราว่างงานรายเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 9.3% ซึ่งถือว่าสูงสุดในรอบ 27 ปี

อัตราว่างงานใน 16 ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร ปรับตัวสูงขึ้นแตะ 10% ในเดือนพ.ย.2552 ถือเป็นสถิติที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2541 หรือก่อนที่จะมีการใช้เงินยูโรเป็นครั้งแรกในปี 2542

สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) รายงานว่า อัตราว่างงานเดือนพ.ย.ไต่ขึ้นมา 0.1% จากเดือนต.ค. โดยในบรรดาประเทศสมาชิกยูโรโซนนั้น สเปนมีอัตราว่างงานสูงที่สุดที่ระดับ 19.4% ส่วนอัตราว่างงานต่ำสุดในยูโรโซนอยู่ที่เนเธอร์แลนด์ที่ระดับ 3.9%

ขณะที่อัตราว่างงานในกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปทั้ง 27 ประเทศ หรือนับรวมถึงประเทศที่ไม่ใช้เงินยูโร อาทิ อังกฤษ และ สวีเดน ขยับขึ้น 0.1% เช่นกัน มาอยู่ที่ 9.5% ในเดือนพ.ย.
money wake up
**********
08/01/53
นิวเอดจ์ คาดราคายางโลกพุ่งสูงสุดในรอบ 30 ปี

บริษัท นิวเอดจ์ เจแปน อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ของญี่ปุ่น คาดการณ์ว่า ราคายางในตลาดโลกจะพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 30 ปีภายในเดือนมี.ค.นี้ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวขึ้นซึ่งทำให้ความต้องการ หรือ ดีมานด์ในสินค้าโภคภัณฑ์จำพวกยางเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และคาดว่าดีมานด์ที่เพิ่มจะส่งผลให้ซัพพลายหดตัวลง ซึ่งจะยิ่งหนุนราคายางทะยานขึ้น

นักวิเคราะห์ของนิวเอดจ์ เจแปนคาดว่า สัญญายางล่วงหน้าที่ตลาด TOCOM มีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดที่เคยทำไว้เมื่อปี 2552 ที่ระดับ 356.9 เยน/ก.ก. (3,868 ดอลลาร์/เมตริกตัน) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 30 ปี

ส่วนในปี 2552 สัญญายางในตลาดโลกทะยานขึ้นกว่า 2 เท่า ซึ่งต่างจากปี 2551 ที่ราคายางดิ่งลงไปรุนแรงถึง 56% โดยดัชนี Reuters/Jefferies CRB Index ทะยานขึ้น 23% ในปี 2552 ทำสถิติพุ่งขึ้นแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2522

เนื่องจากดีมานด์วัตถุดิบในประเทศจีนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ คาดว่าการพุ่งขึ้นของราคายางในตลาดโลกจะเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มผู้ผลิตยางในประเทศไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย แต่จะทำให้ต้นทุนบริษัทผลิตยางรถยนต์พุ่งสูงขึ้น รวมถึงบริษัท บริดจ์สโตน คอร์ป

นักวิเคราะห์คาดว่า ยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นในประเทศจีนจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่หนุนราคายางพุ่งสูงขึ้น โดยสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ของจีนรายงานว่า ยอดขายรถยนต์โดยสารเดือนพ.ย.ของจีนทะยานขึ้น 98% แตะที่ 1.04 ล้านคัน ซึ่งเป็นสถิติที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งที่สุดในรอบ 5 ปี นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดว่ายอดขายรถยนต์ปี 2552 ของจีนจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 13 ล้านดอลลาร์


ค้าปลีกหนุนหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวก หลังยอดขายปลายปีดีเกินคาด

ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ ปิดบวกและสามารถยืนอยู่แถวระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือนต่อไปได้ แม้ในช่วงต้นของการซื้อขายจะปรับตัวลงตามตลาดอื่นๆ จากการที่ธนาคารกลางจีนออกขายพันธบัตรระยะสั้นด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 20 สัปดาห์ และบอกเหตุผลว่าต้องการควบคุมไม่ให้สินเชื่อในประเทศขยายตัวในอัตราที่สูงจนเกินไป และอยากจะรักษาระดับราคาสินค้าไม่ให้เร่งตัวขึ้นมากในปีนี้

ขณะเดียวกัน นักลงทุนก็กำลังจับตาความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางต่างๆ อย่างใกล้ชิด หลังจากในช่วงไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา แบงก์ชาติ อย่างเช่น ของออสเตรเลีย เวียดนาม นอร์เวย์ และอิสราเอล ปรับขึ้นดอกเบี้ยไปเรียบร้อยแล้ว และมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะทำตามในปีนี้

และถ้าดูจากสัญญาในตลาดฟิวเจอร์ส จะพบว่า นักลงทุนคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยเฟดจะปรับเพิ่มขึ้นในการประชุมเดือนกันยายน

ล่าสุด หน่วยงานกำกับดูแล ที่รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็ออกมาเตือนธนาคารต่างๆ ในประเทศว่า ให้เตรียมรับมือกับสภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น รวมทั้งให้ดำเนินการเพิ่มทุนหากจำเป็น

อย่างไรก็ดี เมื่อคืนนี้บรรยากาศการลงทุนกลับได้แรงหนุนจากข่าวดีสำหรับยอดขายของธุรกิจค้าปลีกในช่วงปลายปี นำโดย Sears Holding ที่รายงานยอดขาย รวมทั้งออกคาดการณ์กำไรที่เหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์ จนราคาหุ้นของเชนดีพารท์เมนท์สโตร์เจ้าใหญ่ที่สุดของอเมริกาแห่งนี้ พุ่งแตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2551

ส่วนหนึ่งของยอดขายของ Sears ที่พุ่งขึ้นในเดือนธันวาคมมาจาก Kmart ในส่วนแผนกของเล่น เสื้อผ้า และของใช้เกี่ยวกับบ้าน ส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่เบอร์สอง อย่างห้าง Macy’s ก็รายงานยอดขายที่เพิ่มขึ้น 1% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เล็กน้อย ขณะที่บริษัทบอกว่า กำไรในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว อาจจะทำได้สูงถึง 1.18 เหรียญต่อหุ้น หากไม่รวมต้นทุนการปรับโครงสร้างธุรกิจ เมื่อเทียบกับตัวเลขที่เคยคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ราว 1 เหรียญ


ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจยุโรปพุ่งแตะจุดสูงสุดในยุคหลัง Lehman

ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปพุ่งสูงขึ้นในเดือนธันวาคม จนแตะระดับสูงสุดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่เกิดเหตุสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ อย่าง Lehman Brothers Holdings ต้องเหลือเพียงแค่ชื่อทิ้งไว้เป็นตำนาน

ตัวเลขล่าสุดถือเป็นสัญญาณที่สร้างความมั่นใจให้เพิ่มมากขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งว่า เศรษฐกิจจะค่อยๆ สะสมความแข็งแกร่งในปีนี้

คณะกรรมาธิการยุโรป หรือ European Commission เปิดเผย sentiment index ที่สำรวจจากบรรดาผู้บริหารและผู้บริโภคใน 16 ประเทศสมาชิก โดยตัวเลขขยับขึ้นมาที่ระดับ 91.3 จาก 88.8 ในเดือนพฤศจิกายน และยังมากกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ นอกจากจะทำลายสถิติสูงสุดที่เคยทำไว้เมื่อครั้ง Lehman Brothers ประกาศล้มละลาย

ตัวเลขความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นยังตอกย้ำถึงมุมมองในเรื่องเศรษฐกิจ ที่หลายคนยังต้องลุ้นให้มีการเร่งสะสมแรงเอาไว้ก่อนที่จะมีอะไรทำให้เกิดความพลิกผัน จนเศรษฐกิจอาจกลับมาร่วงลงสู่จุดตกต่ำอีกครั้งในอนาคต

นักลงทุนได้รับข่าวดีในแบบเดียวกัน เมื่อมีรายงานที่เกี่ยวข้องกับ real sector ในส่วนของดัชนีชี้วัดอุตสาหกรรมการผลิตและบริการในเดือนธันวาคม ที่ขยายตัวได้เป็นเดือนที่ 5 ซึ่งก็สอดคล้องกับอีกหนึ่งเครื่องชี้ที่แสดงถึงการปรับเพิ่มขึ้นของความเชื่อมั่นนักลงทุน และถ้าเจาะลงไปดูเฉพาะที่ประเทศเยอรมนีแล้ว จะพบว่าความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนธันวาคม ก็ปรับตัวขึ้นไปยืนอยู่ ณ ระดับสูงสุดในรอบ 17 เดือนเลยทีเดียว

สำหรับสถานการณ์ตลาดบ้านที่ประเทศอังกฤษ ผู้ประกอบการของที่นี่ก็คงจะโล่งใจขึ้นได้บ้าง เมื่อบริษัทที่เป็นธุรกิจลูกของ Lloyds Banking Group อย่าง Halifax เปิดเผยดัชนีราคาบ้านที่เพิ่มขึ้นในเดือนธันวาคม และถือเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 6 แล้ว ด้วยสาเหตุที่มีผู้มองว่าเป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำช่วยกระตุ้นความต้องการในตลาดให้เพิ่มขึ้น ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ของ Halifax เองก็มีมุมมองราคาบ้านในปีนี้ ว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงจากปีที่แล้วมากนัก ซึ่งแนวโน้มตลาดก็จะขึ้นอยู่กับว่าสภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร และจำนวนซัพพลายที่ปล่อยออกมาขายมีมากน้อยแค่ไหน


ผู้ว่าแบงก์ชาติทั่วโลกเตรียมประชุมที่สวิตเซอร์แลนด์

ผู้ว่าการธนาคารกลางทั่วโลกเตรียมเข้าร่วมประชุมกับตัวแทนสถาบันการเงินที่กรุงบาเซิล สวิตเซอร์แลนด์ ในสัปดาห์นี้ เพื่อหารือถึงการกำหนดมาตรการกำกับดูแล ในที่ประชุมคณะกรรมาธิการกำกับดูแลด้านการธนาคารของธนาคารเพื่อการชำระบัญชีระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements หรือ BIS)

รัฐมนตรีคลังและธนาคารกลางทั่วโลกได้ส่งสัญญาณถึงความต้องการลดการทำธุรกรรมที่มีความเสี่ยงของกลุ่มสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ในปีที่ผ่านมา ซึ่งผู้นำจากกลุ่มประเทศ G-20 และกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วได้ให้คำมั่นในระหว่างการประชุมเมื่อเดือนก.ย.ว่าจะปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆให้ดีขึ้นภายในปีนี้ เพื่อให้ธนาคารได้บริหารจัดการเม็ดเงินทุนที่มีคุณภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ ผู้ว่าการธนาคารกลางได้ประชุม BIS กันปีละ 6 ครั้ง ซึ่งต่างฝ่ายต่างเรียกร้องให้ธนาคารกลางถือครองทุนสำรองในฐานะที่เป็นสมาชิกและเป็นผู้ดำเนินการวิจัย

หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์สรายงานว่า BIS ได้เชิญให้ธนาคารต่างๆเข้าร่วมประชุมโดยอ้างถึงความวิตกกังวลว่า สถาบันการเงินเริ่มกลับมาดำเนินธุรกิจที่มีความเสี่ยง เหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นก่อนช่วงวิกฤตการเงินทั่วโลกในปี 2550

ทั้งนี้ ผู้ว่าการธนาคารกลางอิตาลี ซึ่งเป็นผู้นำคณะกรรมาธิการกำหนดเสถียรภาพด้านการเงินเตรียมที่จะรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการเพิ่มความเข้มงวดด้านการกำกับดูแลก่อนที่การประชุมจี-20 ครั้งต่อไปจะเปิดฉากขึ้นในเดือนมิ.ย.
money wake up
**********
07/01/53
เกาหลีใต้กระตุ้นเอกชนลงทุนฟื้นเศรษฐกิจ

Posted on Thursday, January 07, 2010
ประธานาธิบดีลี เมียง บัค ของเกาหลีใต้ได้เรียกร้องให้ภาคเอกชนเพิ่มการลงทุนให้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากช่วงผ่านมาภาคเอกชนหลายแห่งยังไม่ได้เริ่มลงทุนในโครงการใหญ่ๆ ซึ่งการแสดงความเห็นของประธานาธิบดีมีขึ้น หลังจากที่รัฐบาลได้ออกรายงานการประชุมเศรษฐกิจเร่งด่วนในปีที่ผ่านมา โดยได้ให้คำมั่นว่าจะขยายนโยบายการเงินและใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรูปแบบอื่นๆต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อรักษาระดับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีลี เมียง บัค บอกว่า เกาหลีใต้ยังคงอยู่ในข่ายที่ต้องได้รับการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2554 และคาดว่าจะมีการจัดประชุม เพื่อกำหนดทางออกของปัญหารวมถึงการสร้างงานมากขึ้น

เศรษฐกิจเกาหลีใต้เผชิญกับมรสุมจากวิกฤตการเงินโลกอย่างหนักในปีที่ผ่านมา เนื่องจากเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกขาดปัจจัยกระตุ้นการขยายตัว แต่เมื่อเร็วๆนี้ เกาหลีใต้เริ่มมีความหวังว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็วเกินคาดเมื่อพิจารณาจากปัจจัยชี้นำเศรษฐกิจที่เคลื่อนไหวในเชิงบวก
money news update
***********
07/01/53
สิงคโปร์เตรียมปรับมาตรฐานพัฒนาตลาดทุน

Posted on Thursday, January 07, 2010
ตลาดหุ้นสิงคโปร์เตรียมปรับมาตรฐานการคัดเลือกบริษัทที่เข้าจดทะเบียนซื้อขายในกระดานหลัก และปรับมาตรการการซื้อขายหุ้น ซึ่งรวมถึงการขึ้นราคาขั้นต่ำสำหรับการเสนอขายหุ้นครั้งแรก (IPO) โดยจะนำมาบังคับใช้ในไตรมาส 4/52 เพื่อให้เกิดความแตกต่างของหุ้นระหว่างบริษัทขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนซื้อขายในกระดานหลัก กับบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายในกระดานรอง โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาสถานะของสิงคโปร์ ในฐานะที่เป็นตัวเลือกด้านตลาดทุนและเสนอแนวทางที่ชัดเจนด้านการซื้อขายหุ้นให้กับบริษัทต่างๆ

ทั้งนี้ บริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายบนกระดานหลักในตลาดหุ้นสิงคโปร์จะมีข้อได้เปรียบในระยะยาว มากกว่าบริษัทที่ซื้อขายในกระดานรอง ขณะที่บนกระดานรองจะมีบริษัทที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ภายใต้มาตรการกำกับดูแลของผู้ให้การสนับสนุน

สำหรับข้อเสนอครั้งนี้มีขึ้น หลังจากที่ตลาดหุ้นสิงคโปร์ได้ประเมินเกณฑ์มาตรฐานการซื้อขายหุ้นที่ใช้กับกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งพบว่าบริษัทต่างๆที่จดทะเบียน ซื้อขายในตลาดหุ้นเหล่านี้อยู่ในข่ายที่เหนือเกณฑ์มาตรฐาน
money news update
**********
07/01/53
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอังกฤษร่วงหนักสุดในรอบกว่า 1 ปี

เนชั่นไวด์ บิลดิ้ง โซไซตี้ เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอังกฤษเดือนธ.ค. 2552 ร่วงหนักสุดในรอบกว่า 1 ปี โดยลดลง 5 จุด มาอยู่ที่ 69 จุด เนื่องจากมีการคาดการณ์เรื่องเศรษฐกิจถดถอย

มาร์ติน กาบาวเออร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเนชั่นไวด์ กล่าวว่า ผู้บริโภคอาจจะระมัดระวัง และคงจะมีการลดการคาดการณ์เรื่องแนวโน้มของผู้บริโภคในปีนี้ เนื่องจากมีการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆลง

ตัวเลขความเชื่อมั่นดังกล่าวอาจจะเป็นสัญญาณของการจับจ่ายใช้สอยที่ลดลง เนื่องจากผู้บริโภคเตรียมพร้อมรับมือกับการจ่ายภาษีที่สูงขึ้น เนื่องจากรัฐบาลต้องการควบคุมภาวะขาดดุลงบประมาณที่สูงเป็นประวัติการณ์

ทางด้านนายกอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษก็กำลังพยายามที่จะฟื้นเศรษฐกิจ และดึงคะแนนเสียงสนับสนุนในกลุ่มประชาชนก่อนที่จะถึงศึกเลือกตั้งในเดือนมิ.ย.นี้


GMAC หวั่นปี 52 จะขาดทุนกว่าหมื่นล้านเหรียญ

จีแมค อิงค์ (GMAC Inc.) บริษัทปล่อยสินเชื่อรถยนต์และอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของสหรัฐส่อเค้าขาดทุนกว่าหมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2552

หลังผู้กู้เงินจำนองบ้านผิดนัดชำระหนี้เพิ่มมากขึ้น โดยล่าสุดบริษัทคาดว่าตัวเลขขาดทุนในไตรมาส 4 ของปีที่แล้วจะอยู่ที่ 5 พันล้านดอลลาร์ โดยบริษัทอาจมีตัวเลขขาดทุนรายปีและรายไตรมาสหนักสุดเป็นประวัติการณ์ในฐานะที่บริษัทเป็นผู้ปล่อยกู้หลักของเจนเนอรัล มอเตอร์ และไครสเลอร์ กรุ๊ป

พร้อมคาดว่าอัตราการผิดนัดชำระหนี้จะพุ่งขึ้นสูงสุดในปีหน้า และราคาบ้านอาจเคลื่อนไหวลงสู่จุดต่ำสุดและพร้อมจะดีดตัวขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2554

ทั้งนี้ บริษัทได้รับเงินช่วยเหลือจากกระทรวงคลังสหรัฐจำนวน 3,790 ล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยการอัดฉีดเงินทุนระลอก 2 ของสหรัฐ ทำให้วงเงินที่รัฐบาลสหรัฐช่วยเหลือจีแมคเพิ่มขึ้นเป็น 13,500 ล้านดอลลาร์และยังส่งผลให้รัฐบาลกลายเป็นผู้ถือหุ้นในจีแมค 56%

จากการอัดฉีดเงินช่วยเหลือครั้งล่าสุดทำให้จีแมคมีเงินทุน 2,700 ล้านดอลลาร์สำหรับปล่อยกู้ให้กับบริษัท Residential Capital ซึ่งมีสินทรัพย์จำนองที่พร้อมเสนอขายมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม จีแมคต้องพิจารณาทางเลือกหลายๆด้านสำหรับบริษัทดังกล่าว รวมถึงการยื่นพิทักษ์ทรัพย์ล้มละลาย และคาดว่าอาจต้องขายสินทรัพย์จำนองบางส่วนของ Residential Capital ออกไป

ขณะเดียวกันมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิสมองว่า การอัดฉีดเงินทุนครั้งล่าสุดและการปรับลดโครงสร้างยังไม่เพียงพอที่จะสร้างเสถียรภาพให้กับ Residential Capital รวมถึงไม่สามารถเป็นหลักประกันได้ว่าบริษัทจะสามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้
money wake up**********
07/01/53
แรงซื้อโภคภัณฑ์หนุนดัชนีหุ้น ขณะ IMF แย้มเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจโลก

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปยังถูกพยุงจากแรงซื้อในหุ้นกลุ่มโภคภัณฑ์ ที่ได้รับผลบวกจากราคาพลังงานและวัตถุดิบอุตสาหกรรม ขณะที่รายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในรอบล่าสุด หรือเมื่อกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ระบุว่า มีคณะกรรมการบางคนกำลังพิจารณามาตรการอัดฉีดเพิ่มเติม ซึ่งก็กลายเป็นที่ถกเถียงกันเนื่องจากมีบางคนแสดงความเป็นห่วงว่าการขยายเวลาซื้อสินทรัพย์ รวมถึงการเพิ่มปริมาณการซื้อ อาจจะทำให้เศรษฐกิจยิ่งแย่ลงกว่าเดิม

นอกจากนี้ ในที่ประชุมเฟดยังมีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องแนวโน้มเงินเฟ้อ ว่าจะเร่งตัวหรือกลับมาร่วงลงในช่วงหลังจากนี้ ซึ่งก็เกิดขึ้นเพราะมุมมองที่ไม่เหมือนกันในเรื่องเศรษฐกิจ ระหว่างความเชื่อที่ว่าอัตราการผลิตส่วนเกินจะไปส่งผลกดดันให้สภาวะราคาปรับตัวลง ขณะที่อีกฝ่ายยังเชื่อว่าผลจากการอัดฉีดสภาพคล่องอย่างหนักของเฟดจะทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น

สำหรับแนวโน้มการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกจากระบบนั้น ในรายงานการประชุมของเฟดระบุว่า ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนมีความเห็นตรงกันที่ต้องการให้นโยบายการเงินควรจะต้องตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งในแง่ร้ายหรือดีก็ตาม โดยมองว่าเฟดควรจะต้องสื่อสารออกมาอย่างชัดเจน รวมไปถึงการประกาศเจตนาในการถอนมาตรการกระตุ้นที่ทำผ่านนโยบายการเงินภายในเวลาและสถานการณ์ที่เหมาะสมต่อไป

ราคาหุ้นและ commodity ยังวิ่งในทิศทางบวกต่อเนื่อง สอดคล้องกับข่าวที่ผู้บริหารของกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF ออกมาเปิดเผยว่า อาจจะปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในรายงานฉบับล่าสุดที่จะออกมาภายในเดือนนี้ หลังจากเห็นสถานการณ์ที่ดีขึ้นทั้งในฟากของประเทศที่มีรายได้สูง ลงมาถึงประเทศที่ยากจน

นาย Jonh Lipsky ที่นั่งเป็นเบอร์สองในองค์กรการเงินโลกนี้ บอกว่า เขามองเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งมาจากทางด้านประเทศตลาดเกิดใหม่ ขณะที่เครื่องชี้เศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วก็ได้ให้มุมมองทางด้านบวก แม้ว่าจะต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษก็ตาม


กรีซเผชิญแรงกดดันด้านเครดิต - EU รุดตรวจสถานะการคลัง

รัฐบาลกรีซ ซึ่งกำลังวางแผนลดยอดขาดดุลงบประมาณที่พุ่งขึ้นสูงสุดในในบรรดาชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) กำลังเผชิญกับบททดสอบความน่าเชื่อถือเป็นครั้งแรก เมื่อเจ้าหน้าที่อียูเดินทางมายังกรุงเอเธนส์เพื่อตรวจสอบตัวเลขรายรับจากการจัดเก็บภาษีและงบประมาณการใช้จ่ายของรัฐบาล

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของกรีซร่วงลงอย่างหนักในเดือนธ.ค. เนื่องจากยอดขาดดุลงบประมาณของกรีซที่พุ่งขึ้นรุนแรง ส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า สถานะทางการคลังของกรีซจะย่ำแย่กว่าสเปน ไอร์แลนด์ และประเทศอื่นๆในยุโรป ซึ่งแม้ว่านายจอร์จ ปาปันเดรอู นายกรัฐมนตรีกรีซให้คำมั่นสัญญาว่าจะลดยอดขาดดุลงบประมาณให้ต่ำกว่าเพดาน 3% ของอียูให้ได้ภายในปี 2554 แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ไม่ได้เชื่อเช่นนั้น

นักวิเคราะห์จากฟอร์ติส โกลบอล มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า การปรับลดยอดขาดดุลงบประมาณถือเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับกรีซ เพราะทุกครั้งที่รัฐบาลพยายามลดงบประมาณการใช้จ่ายก็จะเกิดการจลาจลและประชาชนก็แห่กันออกมาชุมนุมประท้วงตามท้องถนน ทำให้รัฐบาลกรีซเดินทางมาถึงทางตันเพราะหากไม่เร่งลดยอดขาดดุลงบประมาณ ก็จะยิ่งทำให้สถานะทางการคลังภายในประเทศย่ำแย่ลง

เอมิเลีย ตอร์เรส โฆษกหญิงของ EU กล่าวว่า คณะกรรมาธิการยุโรปจะยังไม่ออกแถลงการณ์ก่อนที่กรีซจะเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับแผนการลดยอดขาดดุลงบประมาณในปลายเดือนนี้ ส่วนการเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่อียูและกรีซนั้นถือเป็นการเจรจาในระดับเทคนิค

ยอดขาดดุลงบประมาณที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงของกรีซส่งผลให้ S&P ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของกรีซลงหนึ่งขั้น สู่ระดับ BBB+ จากเดิมที่ระดับ A- และเตือนว่าจะลดอันดับเครดิตลงอีกหากรัฐบาลไม่สามารถลดยอดขาดดุลงบประมาณ ขณะที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ ปรับลดอันดับเครดิตของกรีซลงสู่ระดับ BBB+ เช่นกัน ส่วนมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ลดอันดับเครดิตของกรีซลงหนึ่งขั้นสู่ระดับ A2 จากเดิมที่ A1


S&P จ่อลดอันดับความน่าเชื่อถือของไอซ์แลนด์

สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) จัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไอซ์แลนด์ให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่อาจถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงสู่สถานะ "ขยะ"

หลังจากที่เมื่อวันก่อน ประธานาธิบดีโอลาฟูร์ กริมสัน ไม่ยอมลงนามในร่างกฎหมายชดใช้เงินมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการชดใช้เงินให้กับชาวอังกฤษและชาวดัตช์ที่สูญเสียเงินฝากของตนในธนาคารของไอซ์แลนด์ที่ล้มละลาย

S&P ให้เครดิตพินิจ แนวโน้ม "ลบ" แก่ตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศของไอซ์แลนด์ที่ BBB- /A-3 และสกุลเงินในประเทศที่ BBB+/A-2

ทั้งนี้ การประกาศจุดยืนของประธานาธิบดีไอซ์แลนด์เมื่อวานนี้ทำให้ไอซ์แลนด์อาจถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงอีก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งถูก ฟิทช์ เรตติ้งส์ ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือสู่ระดับ BB+ ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับความน่าลงทุนหนึ่งขั้น ขณะที่ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ก็จัดอันดับตราสารหนี้ของไอซ์แลนด์ไว้ที่ Baa3 ซึ่งเหนือกว่าระดับ "ขยะ" เพียงขั้นเดียว
money wake up***********
06/01/53
นักลงทุนหวั่น “สัมพันธ์สหรัฐ-จีน” ฉุดการลงทุนปี 53

ยูเรเซีย กรุ๊ป เผยรายงานปัจจัยเสี่ยงสำหรับนักลงทุนทั่วโลกประจำปี 2553 จำนวน 10 อันดับ ในชื่อ ''Top Risks for 2010'' โดยปัจจัยเสี่ยงอันดับที่ 1 ได้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐ อันดับที่ 2 คือ อิหร่าน อันดับ 3 ได้แก่ ความหลากหลายทางการเงินของยุโรป ขณะที่ญี่ปุ่นติดอันดับที่ 5

รายงานชี้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐติดอันดับ 1 เพราะอัตราว่างงานสหรัฐยังอยู่ในระดับสูงและการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีนจะยิ่งทวีความตึงเครียดในปีนี้ และสำหรับจีนเองนั้น การเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจกับสหรัฐดูเหมือนว่า ความสัมพันธ์ดังกล่าวจะมีความดึงดูดใจน้อยกว่าช่วง 2-3 ปีที่แล้ว

ในขณะที่การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐจะมีขึ้นในเดือนพ.ย. คาดว่า จะมีการใช้การเมืองกดดันนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น

รวมถึงเรื่องความตึงเครียดด้านนโยบายการลงทุนทั้งในสหรัฐและจีน การวิจารณ์อย่างรุนแรงของจีนเมื่อประธานาธิบดีโอบามาผลักดันเรื่องเพดานการค้าเข้าสู่ที่ประชุมวุฒิสภา ความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะเรื่องเหล็ก และประเด็นต่างๆที่เกี่ยวกับความปลอดภัยบนระบบอินเทอร์เน็ต

สำหรับประเด็นเรื่องอิหร่านกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ 2 นั้น เพราะในรายงานระบุว่า อิหร่านดูเหมือนสัตว์ที่ถูกต้อนจนมุมและบาดเจ็บมากขึ้น ปีนี้จึงดูเหมือนว่า จะมีการลงมือทำอะไรสักอย่างออกมา

ขณะที่ยุโรปซึ่งรั้งปัจจัยเสี่ยงอันดับที่ 3 นั้น เนื่องจากยังไม่เห็นว่ามีความชัดเจนในเรื่องความแตกต่างระหว่างตลาดเกิดใหม่และตลาดที่อิ่มตัวแล้วในเขตเศรษฐกิจที่ใช้สกุลเงินยูโรในปีนี้

สำหรับอันดับที่ 5 นั้น รายงานระบุว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ในญี่ปุ่นถือเป็นการปรับโฉมหน้าญี่ปุ่น โดยมีการคาดการณ์ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นภายใต้การนำของนายยูคิโอะ ฮาโตยามะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นจะอยู่ไม่ครบปีในปีนี้

เนื่องจากนโยบายของรัฐที่ไม่ได้เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับความต้องการของธุรกิจขนาดใหญ่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางการเงิน และทำให้เกิดความกังวลว่า ญี่ปุ่นอาจจะต้องเผชิญกับภาวะถดถอยอีกครั้งในปีนี้

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ปัจจัยเสี่ยงที่ติดอันดับอีก 6 อันดับ ได้แก่ กฎระเบียบด้านการเงินของสหรัฐ การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ บราซิล อินเดียและปากีสถาน ยุโรปตะวันออก และตุรกี


เยอรมนีเผยว่างงานลดลง หลังส่งออกฟื้น

สถานการณ์ในตลาดแรงงานของเยอรมนีปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น หลังรัฐบาลใช้มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจซึ่งช่วยหนุนเศรษฐกิจของประเทศให้ฟื้นตัวจากภาวะถดถอย

ขณะที่ยอดส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวสดใส ทำให้ล่าสุดตัวเลขว่างงานของเยอรมนีปรับตัวลดลงเหนือความคาดหมายในเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา

กระทรวงแรงงานของเยอรมนีรายงานว่า จำนวนคนตกงานในเดือนธ.ค.ปรับตัวลดลง 3,000 ราย เหลือ 3.42 ล้านราย ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าอาจจะเพิ่มขึ้นราว 5,000 ราย นอกจากนี้ ตัวเลขผู้ว่างงานยังทำสถิติลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ขณะที่อัตราว่างงานยังทรงตัวที่ระดับ 8.1%

ด้านนักวิเคราะห์ชื่อดังมองว่า ตลาดแรงงานเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรปนั้นเริ่มฟื้นตัวขึ้นแล้ว จากอานิสงส์ของยอดสั่งซื้อสินค้าที่กระเตื้องขึ้นในภาคอุตสาหกรรมการผลิตบางประเภท

ขณะเดียวกัน เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบที่เพิ่มขึ้นอันเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลยังมีส่วนช่วยกระตุ้นตลาดแรงงานด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ เศรษฐกิจเยอรมนีขยายตัว 0.7% ในไตรมาส 3 หลังจากที่สามารถหลุดพ้นจากภาวะถดถอยได้ในไตรมาส 2

ขณะที่ยอดส่งออกของเยอรมนีเริ่มขยายตัวในเดือนต.ค. ท่ามกลางภาวะที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว โดยรัฐบาลทั่วโลกต่างอัดฉีดเงินหลายพันล้านดอลลาร์ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจยุโรปเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปีนี้
money wake up
***********
06/01/53
Dow Jones ติดลบ หลังตลาดบ้านมือสองร่วง ขณะคำสั่งซื้อภาคโรงงานบวก

นักลงทุนตลาดวอลล์สตรีทถือโอกาสขายหุ้นทำกำไร หลังรายงานสภาวะตลาดบ้านสร้างความน่าผิดหวัง โดยในครั้งนี้เป็นการเปิดเผยจำนวนสัญญาจะซื้อจะขายบ้านมือสอง ที่ออกมาร่วงลงมากกว่าตลาดคาดในเดือนพฤศจิกายน ด้วยเหตุผลที่ผู้ซื้ออาจตัดสินใจรอการต่ออายุมาตรการจูงใจทางภาษีจากรัฐสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรกในขณะนั้น จนทำให้จำนวนสัญญาดังกล่าวออกมาร่วงลงถึง 16% หลังจากที่เคยเพิ่มขึ้นเกือบ 4% ในเดือนตุลาคม และถือเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 10 เดือนอีกด้วย

และที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่านั้นก็คือ แนวโน้มจากนี้ที่ตลาดบ้านอาจยังแวดล้อมด้วยความเสี่ยงต่อไป เมื่อมาตรการจูงใจทางภาษีที่ถูกต่ออายุมาแล้วครั้งหนึ่งจะสิ้นสุดลงในปีนี้ ขณะเดียวกับที่อัตราการว่างงานยังอยู่ใกล้เคียงกับระดับสูงสุดในรอบ 26 ปี และยังไม่รวมถึงสถานการณ์ด้านการเงินของผู้บริโภคที่ยังเป็นตัวขัดขวางยอดขายบ้าน หลังจากที่ครั้งหนึ่งเคยมีผู้หวังว่าตลาดบ้านจะเป็นปัจจัยเกื้อหนุนต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในรอบนี้

อย่างไรก็ดี เมื่อคืนที่ผ่านมากลับมีอีกหนึ่งรายงานที่โผล่มาช่วยให้นักลงทุนใจชื้นขึ้นได้บ้าง เมื่อกระทรวงพาณิชย์รายงานยอดคำสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรม ขยับขึ้นมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ ซึ่งเหตุผลหลักๆ ก็มาจากการเพิ่มของออเดอร์สินค้าที่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในภาคธุรกิจ จนทำให้ยอดบุ๊คกิ้งโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 7 ในรอบ 8 เดือนล่าสุด

นอกจากนี้ ภาพรวมของตลาดรถยนต์ในเดือนธันวาคมส่งสัญญาณว่าธุรกิจเริ่มที่จะทรงตัวได้ หลัง Ford Motor, Toyota Motor และ Honda Motor ต่างรายงานยอดขายที่เพิ่มขึ้น และดีกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ สำหรับมุมมองแนวโน้มอุตสาหกรรมรถสหรัฐฯ ในปีนี้ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Center for Automotive Research มองว่า ยอดขายทั้งปี 2010 อาจจะเพิ่มขึ้นถึง 19% มาอยู่ที่ 12.4 ล้านคัน จากความต้องการรถใหม่และสภาวะสินเชื่อผู้บริโภคที่กำลังมีทิศทางดีขึ้น เช่นเดียวกับ มุมมองของผู้ผลิตรถเองที่คิดว่าในปีนี้ยอดขายน่าจะกลับมาสดใส เมื่อดูจากความเห็นของบริษัท Chrysler ที่คาดว่ายอดขายของทั้งอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ 10.8 ล้านคัน ขณะ Ford คาดว่าตัวเลขจะอยู่ที่ 12.3 ล้านคัน

กลับมาดูที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่แม้ว่าจะมีแรงขายหุ้นทำกำไร แต่หุ้นส่วนใหญ่กลับยังบวกขึ้นได้ในช่วงปิดตลาด ส่งผลให้ S&P 500 สามารถยืนหยัดอยู่ได้แถวระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือน นำโดย หุ้นกลุ่มแบงก์ ที่บวกขึ้นมาเป็นวันที่ 9 ไปจนถึงหุ้นกลุ่มพลังงานที่ได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมัน


จับตาหุ้น IPO อาจถ่วงดัชนีหุ้นตลาดเกิดใหม่ร่วงปีนี้

ในขณะที่ทุกอย่างกำลังดูดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจหรือแนวโน้มราคาหุ้น ทางด้านกูรูนักลงทุนชื่อดัง อย่าง Mark Mobius ก็ออกโรงเตือนนักลงทุนในประเทศตลาดเกิดใหม่ว่า หุ้นเข้าเทรดใหม่หรือหุ้น IPO ในกลุ่มประเทศเหล่านี้กำลังจะกลายเป็นตัวดึงดูดเม็ดเงินอย่างมาก แทนที่จะเป็นบริษัทในประเทศอุตสาหกรรมเหมือนอย่างที่เคยเป็น

สถานการณ์นี้ Mobius มองว่า อาจจะทำให้ดัชนีหุ้นของ Emerging markets ร่วงลงได้ถึง 20% เลยทีเดียว

ในอีกด้านหนึ่ง ข้อมูลจากฝ่ายงานที่ดูแลเรื่องหลักทรัพย์ของ Barclays ในนิวยอร์ก ชี้ให้เห็นว่า สภาวะเศรษฐกิจที่เร่งตัวของประเทศจีน อินเดีย และบราซิล ช่วยทำให้ดีล IPO เพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุด ด้วยจำนวนการออกขายหุ้นใหม่ถีบตัวขึ้นถึงเกือบ 2 เท่า มาอยู่ที่ 200,000 ล้านเหรียญ ขณะที่ทางด้านประเทศโปแลนด์เพียงที่เดียวก็มีผู้คาดการณ์ว่า บริษัทที่เป็นรัฐวิสาหกิจอาจจะออกหุ้นขายที่มีมูลค่าสูงกว่า 10,000 ล้านเหรียญ

และนอกจากเรื่องการออกหุ้นใหม่ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแล้ว ปัจจัยกดดันยังอยู่ที่เรื่องมูลค่าหุ้นในตลาดที่ทำการซื้อขายอยู่ ณ ระดับราคาสูงสุด เมื่อเทียบกับผลกำไรของตัวเองหากย้อนหลังไปจนถึงปี 2543 หลังจากที่ดัชนี Emerging market กระโดดขึ้นมาราว 75% นอกจากเรื่องที่บริษัทต่างๆ ในประเทศเหล่านี้ระดมทุนผ่านการออกหุ้นใหม่ที่สูงถึง 77,000 ล้านเหรียญ

ตามข้อมูลของ Bloomberg ที่รวบรวมไว้ แสดงให้เห็นว่า การออกหุ้นใหม่ในประเทศกำลังพัฒนามีมูลค่าที่แซงหน้าประเทศที่พัฒนาแล้วไปถึงกว่า 160% และเป็นครั้งแรกที่ประเทศอุตสาหกรรมดึงดูดเม็ดเงินจากการทำ IPO น้อยกว่า

Mark Mobius ในฐานะผู้บริหารกองทุนยักษ์ใหญ่ Templeton Asset Management บอกว่า ถ้ายิ่งดูขนาดของจำนวนการออกหุ้นใหม่เหล่านี้ ก็ยิ่งน่าเป็นห่วงถึงเรื่องซัพพลายที่กำลังจ่อเข้าตลาดอยู่อย่างมหาศาล แม้ว่าราคาหุ้น IPO บางตัวจะดูสมเหตุสมผลก็ตาม ซึ่งเขาเองก็คาดว่าน่าจะมีปัจจัยที่เป็นอุปสรรคจนฉุดตลาดร่วงลงได้บ้าง

ถ้าดูเฉพาะในส่วนของตลาดจีน ก็มีการประเมินโดยบริษัท Ernst & Young และ Bloomberg ว่า ในปีนี้มูลค่าหุ้น IPO ที่ตลาดเซี่ยงไฮ้อาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า มาอยู่ที่ 380,000 ล้านหยวน หรือราว 56,000 ล้านเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกง ตัวเลขอาจจะอยู่ที่ 370,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือประมาณ 48,000 ล้านเหรียญ ซึ่งถ้าหากรวมกันทั้งสองตลาด ตัวเลขก็จะพุ่งสูงกว่ามูลค่าหุ้น IPO ในสหรัฐฯ ที่มีนักวิเคราะห์ประเมินไว้ว่า น่าจะอยู่แถวๆ 40,000-50,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้
money wake up
*********
05/01/53
เกาหลีใต้สามารถคุมเงินเฟ้อได้ตามเป้าปี 2549 - 2552

ธนาคารกลางเกาหลีใต้เปิดเผยว่า เกาหลีใต้สามารถคุมเงินเฟ้อได้ตามเป้าหมายระยะกลางระหว่างปี 2549 - 2552 แม้ว่าราคาน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยนจะมีความผันผวนก็ตาม

ดัชนีราคาผู้บริโภคของเกาหลีใต้ขยายตัวโดยเฉลี่ย 3.3% ในปี 2549-2552 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายเงินเฟ้อที่กำหนดไว้ที่ 2.5-3.5%

เมื่อเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว ธนาคารกลางเกาหลีใต้ได้ขยายช่วงเป้าหมายเงินเฟ้อปี 2553-2555 ไว้ที่ 2-4% และชี้ว่า จะพยายามความควบคุมภาวะผันผวนทางเศรษฐกิจด้วยวิธีการที่มีความยืดหยุ่น

ด้านนักวิเคราะห์กล่าวว่า เป้าหมายเงินเฟ้อที่มีการขยายออกไปนั้น จะเปิดโอกาสให้ธนาคารกลางสามารถใช้นโยบายที่ยืดหยุ่นได้

*******
05/01/53
GM ตีปีกหลังยอดขายตลาดจีนพุ่ง 67% ในปี 2552

หลังจากรอดพ้นสภาวะล้มละลายมาได้ไม่นาน General Motors ก็ประเดิมบอกข่าวดีด้วยยอดขายรถยนต์ในตลาดจีนของทั้งปี 2009 ว่าทำได้กว่า 1.83 ล้านคัน หรือถีบตัวขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 67% ซึ่งปรากฏการณ์นี้ได้ตอกย้ำถึงความสำคัญของตลาดเอเชียที่มีต่อบริษัท

ผู้ผลิตรถจาก Detroit รายนี้ รายงานด้วยว่า ส่วนแบ่งตลาดของตนในจีนขยับขึ้นมาอีก 1.3% ไปอยู่ที่ 13.4% และรั้งตำแหน่งค่ายรถจากต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดในประเทศที่มีจำนวนประชากรมหาศาลนี้

ภายหลังจากที่ยักษ์ใหญ่แห่งวงการรถสามารถสลัดหลุดออกมาได้จากแผนล้มละลายเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา GM ก็ได้เร่งการลงทุนขนานใหญ่ที่ประเทศจีน ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจของที่นี่กำลังขยายตัวและได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นภาครัฐ จนได้ชื่อว่าเป็นตลาดรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าสหรัฐฯ ไปได้เรียบร้อยแล้ว และในเวลาเดียวกัน ที่ประเทศบ้านเกิด บริษัทที่มีรัฐบาลอเมริกันเข้าไปเป็นผู้ดูแลบริหารงานแทนนั้น ก็ได้ทำการปิดโรงงานไปหลายแห่งเพื่อรับมือกับความต้องการที่หดหายลง ถึงขนาดที่นักวิเคราะห์บางรายพูดออกมาว่า ตลาดรถจีนได้ช่วยชีวิต GM ไว้ แม้อัตราการเติบโตในปีนี้ อาจไม่แรงเทียบเท่ากับปี 2552 แต่ที่แน่ๆ ก็คือดีมานด์ที่แข็งแกร่งในตลาดนี้จะยังคงอยู่

สำหรับบริษัท Shanghai General Motors ที่ GM เป็นหุ้นส่วนอยู่กับบริษัท SAIC Motor เปิดเผยยอดขายรถที่สูงถึง 727,620 คันในปีที่แล้ว หรือเพิ่มขึ้น 63% จากปี 2551 ขณะยอดขายของบริษัท SAIC-GM-Wuling Automobile ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถมินิแวนรายใหญ่ที่สุดของประเทศ ก็รายงานยอดขายที่สูงถึง 1.1 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้นถึง 64% โดยตัวเลขยอดขายในส่วนนี้คิดเป็นสัดส่วนถึงราว 60% สำหรับยอดขายรวมทั้งหมดของ GM ในจีนเลยทีเดียว จากการที่ราคาขายเฉลี่ยต่อคันของรถประเภทนี้เริ่มต้นแค่เพียง 4,000 เหรียญเท่านั้น

ตอนนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าตลาดรถจีนเป็นที่ดึงดูดใจต่อผู้ผลิตจากตะวันตกและเพื่อนบ้านในเอเชียด้วยกันให้เข้ามาขยายการลงทุน นำทีมโดย Ford Motor, Volkswagen และ Hyundai Motor ซึ่งทางด้าน Ford ก็กำลังอัดฉัดเงินทุนกว่า 490 ล้านเหรียญสำหรับโรงงานแห่งที่ 3 ในจีน

ขณะที่ Volkswagen มีแผนที่จะลงทุน 4,000 ล้านยูโร หรือราว 5,700 ล้านเหรียญในประเทศนี้ภายในปี 2554 ส่วนผู้ผลิตจากกรุงโซล อย่าง Hyundai ก็มีแผนที่จะเปิดตัวโรงงานแห่งที่ 3 ที่บริษัทหวังว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตในประเทศได้ถึง 50% ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 900,000 คันต่อปี ภายในปี 2554


PIMCO ลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐและอังกฤษ

แปซิฟิก อินเวสเมนท์ แมเนจเมนท์ (PIMCO) ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนพันธบัตรรายใหญ่สุดของโลก ลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐและอังกฤษ หลังจากทั้งสองประเทศมีอัตราการกู้ยืมสูงสุดเป็นประวัติการณ์

พอล แมคคัลลีย์ คณะกรรมการบอร์ดและผู้จัดการพอร์ทของพิมโค กล่าวว่า PIMCO เพิ่มความระมัดระวังในการถือครองพันธบัตร โดยได้ตัดสินใจลดการถือพันธบัตรและตราสารที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยรองรับ (MBS) นอกจากนี้ PIMCO ยังลดการถือครองหลักทรัพย์ที่เป็นเครื่องมือการลงทุนหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ

เมอร์ริล ลินช์ คาดการณ์ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรในสหรัฐและอังกฤษจะสูงขึ้นในปีนี้ หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐร่วงลง 3.7% ในปี 2552 ซึ่งเป็นสถิติที่ร่วงลงหนักสุดในรอบกว่า 30 ปี ขณะที่ยอดขายพันบัตรของสรหัฐร่วงลงหนักสุดนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930

กองทุนพิมโค โททัล รีเทิร์น ฟันด์ ของบิล กรอส ได้ลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และสามารถกระตุ้นเงินสดหมุนเวียนได้มากที่สุดนับตั้งแต่การล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์สในปี 2551 โดยกองทุน PIMCO มีผลตอบแทนสูงถึง 13.8% ในปีที่แล้ว ซึ่งสูงมากกว่าคู่แข่งรายอื่นๆถึงครึ่งหนึ่ง ส่งผลให้พิมโค โททัล รีเทิร์น ก้าวขึ้นเป็นกองทุนรายใหญ่สุดในประวัติศาสตร์กองทุนโลก ด้วยทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงถึง 2.025 แสนล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 17 ธ.ค.2552
money wake up
***********
05/01/52
หุ้น-โภคภัณฑ์ร้อน ประเดิมปีเสือดุ

เพียงแค่วันทำการแรกของปี ตลาดหุ้นโลกก็บวกสดใส รวมถึงราคาน้ำมันที่ขึ้นไปยืนอยู่เหนือ 80 เหรียญต่อบาร์เรลเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักได้ส่งผลให้ราคาทองคำบวกขึ้นแรงที่สุดในรอบกว่า 2 เดือน ส่วนราคาทองแดงก็แรลลี่ขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบ 16 เดือนเช่นกัน จากปัจจัยการหยุดงานประท้วงของแรงงานในเหมืองที่ประเทศชิลี

จริงๆ แล้วความร้อนแรงของตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ปะทุขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่เมื่อวานนี้ เมื่อดัชนี MSCI Asia Pacific บวกขึ้นได้กว่า 1% หลังจากเห็นตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ดัชนีชี้สภาวะการผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้นด้วยสถิติสูงสุดหากนับย้อนไปจนถึงเดือนเมษายน ปี 2004 ก่อนที่จะตามมาด้วยตัวเลขทางฝั่งสหรัฐฯ ที่ดัชนีภาคโรงงาน (ISM factory index) ปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบมากกว่า 3 ปี

แรงซื้อที่ตลาดสหรัฐฯ เมื่อคืนนี้มีเข้ายังหุ้นกลุ่มพลังงาน นำโดย Exxon Mobil และ Chevron ขณะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีก็มาแรงไม่แพ้กัน เมื่อมีนักวิเคราะห์ปรับเพิ่มคำแนะนำในหุ้นผู้ผลิตชิพคอมพิวเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลก อย่าง Intel ด้วยการเก็งว่า ความต้องการเครื่อง PC จะเดินหน้าขยายตัวต่อ

ส่วนที่ยุโรป ดัชนี Dow Jones Stoxx 600 ก็บวกได้ 1.5% ในวันทำการแรกของปี 2553 ด้วยคำสั่งซื้อของนักลงทุนที่กระจายเข้ามายังหุ้นทุกกลุ่ม หลังจากปีที่แล้วดัชนีทำสถิติบวกขึ้นมา 28% ซึ่งถือว่าดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2542 โดยหุ้นยักษ์ใหญ่ในวงการเหมือง อย่าง BHP Billiton ปรับตัวขึ้น 3.4% ที่ตลาดหุ้นลอนดอน

หลายคนยังติดตามความเคลื่อนไหวของบริษัททางด้านอุปโภคบริโภครายใหญ่ อย่าง Nestle ที่ราคาหุ้นขยับขึ้นกว่า 1% เมื่อคืนนี้ที่ตลาดหุ้นสวิส เมื่อบริษัท Novartis ตัดสินใจใช้สิทธิ option เพื่อซื้อหุ้นของบริษัท Alcon ที่เป็นผู้ทำผลิตภัณฑ์ดูแลดวงตารายใหญ่ที่สุดของโลก ในส่วนที่ Nestle ถืออยู่ ด้วยมูลค่ารวมเฉียด 40,000 ล้านเหรียญ ในขณะเดียวกัน ผู้ผลิต Nescafe รายนี้ ยังประกาศแผนการซื้อหุ้นคืนในวงเงินรวม 10,000 ล้านฟรังก์สวิส หรือราว 9,650 ล้านเหรียญอีกด้วย
money wake up
**********
04/01/52
"เบอร์นันเก้" แง้มทิศทางดอกเบี้ย

เอเอฟพี รายงานว่า เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ส่งสัญญาณถึงการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยในระยะสั้น ในระหว่างการกล่าวปาฐกถาที่จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์อเมริกันที่เมืองแอตแลนต้า

โดยเขาระบุว่าการดำเนินนโยบายทางการเงินจะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ แต่ธนาคารกลางสหรัฐก็อาจเปิดกว้างต่อแนวทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

เบอร์นันเก้ กล่าวว่า ความพยายามทั้งหมดควรจะเป็นไปเพื่อเสริมระบบด้านกฎระเบียบ เพื่อป้องกันการกลับมาของวิกฤตเศรษฐกิจ และบรรเทาผลกระทบหากเกิดวิกฤตรอบใหม่ แต่หากการปฏิรูปยังไม่เกิดขึ้น หรือยังไม่เพียงพอที่จะป้องกันอันตรายจากความเสี่ยงทางการเงิน เราก็ต้องเปิดกว้างที่จะใช้นโยบายทางการเงิน ในฐานะเครื่องมือเสริมเพื่อจัดการกับความเสี่ยงต่างๆ แต่ก็จะต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ

"การรักษาให้เกิดความยืดหยุ่นและเปิดใจกว้างจะเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้การดำเนินนโยบายประสบความสำเร็จ"

ด้าน "โดนัลด์ คอห์น" รองประธานเฟด กล่าวว่า ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างต้นทุนและความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้นโยบายทางการเงิน เพื่อสู้กับฟองสบู่จากการเก็งกำไร ซึ่งจำเป็นต้องมีการพิจารณาใหม่ ด้วยใจที่เปิดกว้าง

เขาเตือนว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจจะส่งผลต่อกิจกรรมธุรกิจในเซ็กเตอร์ต่างๆ และส่วนใหญ่อาจไม่คุ้นเคยกับเรื่องการเก็งกำไร หากอัตราดอกเบี้ยที่สูงส่งผลให้การผลิตอ่อนแอ โดยไม่ได้บรรเทาการเก็งกำไรให้ลดลง เศรษฐกิจก็อาจจะยิ่งอ่อนแอ เมื่อฟองสบู่จากการเก็งกำไรแตก

********
04/01/53
เกาหลีใต้ตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยว 8.5 ล้านคนในปีนี้

เกาหลีใต้ตั้งเป้าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 8.5 ล้านคนในปีนี้ โดยเฉพาะจากจีนและญี่ปุ่น ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย 7.8 ล้านคนที่ตั้งไว้ในปีที่แล้ว

กระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว ร่วมกับการท่องเที่ยวเกาหลี เปิดเผยว่า ในปี 2552 มีชาวต่างชาติประมาณ 7 ล้านคนเดินทางเยือนเกาหลีใต้ และในปีนี้ รัฐบาลตั้งเป้าหมายว่าจะต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากรัฐบาลได้กำหนดให้ช่วงเวลา 3 ปีนี้เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวเกาหลี หรือ "Visit Korea" โดยเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการส่งเสริมอุตสาหกรรมการบริการของประเทศ

นอกจากนี้ กระทรวงฯและการท่องเที่ยวเกาหลียังเผยว่าอีกด้วยว่า จะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้มากกว่า 10 ล้านคนในปี 2555


ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งญี่ปุ่นปล่อยกู้ JAL 1 แสนล้านเยน

รัฐบาลญี่ปุ่นเผยธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งญี่ปุ่น (Development Bank of Japan: DBJ) จะเพิ่มวงเงินสินเชื่อให้กับสายการบินเจแปน แอร์ไลน์ส (JAL) สูงถึง 2 แสนล้านเยน

ธนาคารได้ข้อสรุปในการขยายวงเงินกู้จำนวนดังกล่าวก่อนที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะเปิดทำการซื้อขายในวันจันทร์นี้ หลังจากที่ปิดทำการเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ โดยการขยายวงเงินกู้ครั้งนี้มีเป้าหมายที่จะยืดเวลาการให้ความช่วยเหลือสายการบิน JAL ที่กำลังประสบปัญหา ขณะที่มูลค่าหุ้นของบริษัทดิ่งลงอย่างหนัก

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ธนาคาร DBJ เห็นชอบกับข้อเรียกร้องของรัฐบาลที่ต้องการขยายวงเงินสินเชื่อตามที่ได้ลงนามไปเมื่อปลายเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่า สายการบิน JAL กำลังยื่นขอพิทักษ์ล้มละลาย

ช่วงที่ผ่านมามีข่าวว่า บริษัท Enterprise Turnaround Initiative Corp. of Japan ซึ่งรัฐบาลได้มอบหมายให้ดูแล JAL ได้เสนอให้มีการยื่นล้มละลาย แต่ทางรมว.คมนาคมญี่ปุ่นก็ได้ออกมาระบุว่า ทางเลือกดังกล่าวเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
money wake up
*********
04/01/53
รัสเซียเชื่อตลาดหุ้นพุ่งต่อในปี 2553

รัฐบาลรัสเซียคาดการณ์ว่า ทิศทางของตลาดหุ้นรัสเซียในปีนี้จะขยายตัวอย่างสดใสต่อเนื่องจากปีที่แล้ว

ขณะที่บรรดานักลงทุนก็เห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกันว่า บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นปีนี้จะเป็นไปอย่างคึกคัก

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนี RTS และ MICEX ตลาดหุ้นรัสเซียในปี 2552 ขยายตัวได้กว่า 120% โดยมีหุ้นกลุ่มธนาคารและการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นแกนนำ หลังจากตลาดหุ้นทั้งสองแห่งเคยดิ่งลงไปกว่า 70% ในปี 2551 จากพิษวิกฤตการเงินโลก

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นรัสเซียขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งในปีที่ผ่านมาคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ได้อัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ภาคธนาคาร

ขณะเดียวกันทางการยังจัดสรรวงเงินค้ำประกันให้กับธนาคารรายใหญ่เพื่อใช้เป็นหลักประกันด้านเสถียรภาพของตลาดและการสร้างความมั่นใจด้านเงินฝากของประชาชน

นอกจากนี้ ธนาคารกลางรัสเซียได้เข้าแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราเพื่อสร้างเสถียรภาพต่อค่าในประเทศ ซึ่งช่วยหนุนให้ตลาดเงินดีดตัวขึ้น


GMAC รับเงินช่วยเหลือจากรัฐฯ 3.79 พันล้านดอลลาร์

จีแมค ไฟแนนเชียล เซอร์วิสเซส (GMAC) ซึ่งเป็นบริษัทปล่อยสินเชื่อรถยนต์และอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของสหรัฐได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐ จำนวน 3,790ล้านดอลลาร์

การให้ความช่วยเหลือครั้งนี้ จะทำให้รัฐบาลสหรัฐถือครองหุ้นในบริษัทมากขึ้น จาก 35.4% เป็น 56.3% ซึ่งจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ GMAC

นาย ไมเคิล คาร์เพนเตอร์ CEO ของ GMAC ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า การได้รับเงินช่วยเหลือรัฐบาลรอบนี้ ซึ่งเป็นรอบที่ 3 ทำให้บริษัท มีเวลามากขึ้นในการตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับหน่วยงานที่ให้บริการด้านสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อว่า Residential Capital (ResCap)

ทั้งนี้ ผลการขาดทุนของ ResCap เป็นตัวกระตุ้นให้ GMAC นั้นต้องพิจารณาถึงกลยุทธ์ทางเลือก เช่น การขายส่วนงานดังกล่าว การปิดส่วนงานดังกล่าว หรือ แม้แต่กระทั่งการล้มละลาย

นักวิเคราะห์ได้ให้ความเห็นว่าทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับ GMAC ก็คือ การขายส่วนงานดังกล่าวให้กับนักลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งบริษัทลงทุน เบิร์กไชร์ แฮทธาเวย์ ของมหาเศรษฐีวอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็แสดงความสนใจที่จะเข้าซื้อเมื่อเดือนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี ResCap เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทแม่อย่าง GMAC ก้าวขึ้นไปเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อบ้านอันดับ 5 ของสหรัฐฯ (จากข้อมูลโดย Inside Mortgage Finance ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 กันยายน)

GMAC ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลไปแล้ว 13,500 ล้านดอลลาร์ หลังจากที่ธุรกิจบริการสินเชื่อบ้านในเครือขาดทุนอย่างหนัก ซึ่งรวมถึง ResCap และการรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลนั้นทำให้ GMAC สามารถปล่อยสินเชื่อบ้านไปได้ถึง 27,000 ล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ CEO ของ GMAC กล่าวว่า บริษัทยังเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของ General Motors และ Chrysler ที่ล้มละลายไป ดังนั้นการที่รัฐบาลให้ความช่วยเหลือ GMAC ก็ถือว่าเป็นการช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์ด้วย
money wake up
***********
04/01/53
ลุ้นตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ จ่อขยับขึ้น ต้อนรับปีเสือ

ประเดิมสัปดาห์แรกของปีเสือก็จะมีรายงานทางเศรษฐกิจหลายตัวที่จะออกมาสร้างความคึกคักหรือแม้แต่อาจจะสร้างความผิดหวังให้กับตลาด โดยเฉพาะเรื่องสภาวะการจ้างงานที่เป็นปัจจัยกดดันมาตลอดปี 2552

ล่าสุดนักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าตัวเลขของเดือนธันวาคมที่กำลังจะประกาศกันออกมาอาจบ่งชี้ถึงจุดสิ้นสุดของความถดถอยในตลาดแรงงานแล้ว เมื่อดูจากตัวเลขการจ้างงานที่น่าจะลดลงเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน ขณะอัตราการว่างงานอาจยังยืนอยู่แถวระดับ 10% ต่อไปหรือแม้แต่ขยับขึ้นได้เล็กน้อย

ความหวังของนักลงทุนสำหรับปีใหม่ ปี 2553 นี้ สิ่งหนึ่งอยู่ที่เรื่องการฟื้นตัวของความต้องการในตลาดโลกที่เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะทำให้บรรดาบริษัทอเมริกันต่างๆ หันกลับมาจ้างงานเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ต้องปลดพนักงานออกไปมากถึงกว่า 7 ล้านคนนับตั้งแต่เศรษฐกิจตกสู่ภาวะถดถอยในปี 2550

สัญญาณที่ดีน่าจะเริ่มต้นมาจากการผลิตภาคอุตสาหกรรม เมื่อนักวิเคราะห์เห็นการฟื้นตัวของคำสั่งซื้อและยอดขายในตลาดส่งออก รวมถึงระดับสินค้าคงค้างในสต็อกที่ลดลงมาก จนทำให้โบรกเกอร์ อย่าง JPMorgan Chase และ Credit Suisse ล่าสุดปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ของสหรัฐฯ ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีที่ผ่านมา ขึ้นเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงกว่า 4% หลังจากไตรมาส 3 เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวได้ 2.2% ด้วยตัวเลขที่เป็นบวกครั้งแรกในรอบมากกว่า 1 ปี

อย่างไรก็ดี ปี 2553 นี้ยังได้รับคำเตือนจากผู้บริหารธนาคารกลางถึงความเสี่ยงที่คงอยู่ โดยนาย Donald Kohn รองประธานเฟด บอกว่า ภาวะตึงตัวของสินเชื่อภาคธนาคาร บวกกับความระมัดระวังของภาคครัวเรือนและธุรกิจ อาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการใช้จ่าย แม้ว่าตลาดการเงินจะมีอาการดีขึ้นแล้ว ซึ่งทำให้เขาเชื่อว่ากิจกรรมในภาคเศรษฐกิจน่าจะค่อยๆ ฟื้นตัว เช่นเดียวกับอัตราการว่างงานที่น่าจะลดลงไม่เร็วนัก

ผู้บริหารเฟดรายนี้ยังให้ความมั่นใจด้วยว่า ธนาคารกลางไม่มีนโยบายที่จะตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำมากเช่นนี้ต่อไปเพียงเพื่อต้องการช่วยให้รัฐใช้จ่ายได้มากขึ้น แต่เฟดจะมุ่งดูที่การรักษาเสถียรภาพทางราคาและเศรษฐกิจเป็นหลัก ด้วยจุดมุ่งหมายต้องการให้มีการจ้างงานในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง


ชาวอเมริกันใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าน้อยลง

ผลสำรวจจากนิวยอร์กไทม์ส/สำนักข่าวซีบีเอสระบุว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าตามร้านค้าและสั่งซื้อสินค้าผ่านรูปแบบออนไลน์น้อยลง

นิวยอร์กไทม์สได้เปิดเผยผลการสำรวจในเว็บไซต์ซึ่งระบุว่า เกือบครึ่งหนึ่งของชาวอเมริกันใช้เวลาในการซื้อสิ่งของที่ไม่จำเป็นน้อยลง

ขณะที่บางรายมีชั่วโมงการทำงานเพิ่มมากขึ้น และมีชาวอเมริกันจำนวนมากใช้เวลาอยู่กับครอบครัว เพื่อนฝูงมากขึ้น รวมถึงการใช้เวลาในการทำสวน ทำอาหาร อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ และทำงานอดิเรกอื่นๆมากขึ้นด้วย

นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวยังเปิดเผยผลสำรวจการใช้เวลาจากทางกระทรวงแรงงานสหรัฐที่เปรียบเทียบกับข้อมูลในปี 2548 ว่า ในปี 2551 มีชาวอเมริกาใช้เวลาในการซื้อสินค้าน้อยลง และหันไปใช้เวลาในการทำอาหาร หรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมขององค์กรต่างๆ รวมถึงกิจกรรมทางศาสนามากขึ้น ขณะที่ในปีที่ผ่านมามีผู้ออกมาชมภาพยนตร์เพิ่มขึ้น 5%

ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 26 ธ.ค.ร่วงลง 22,000 คน เหลือเพียง 432,000 คน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 1 ปี บ่งชี้ว่าการฟื้นตัวของตลาดแรงงานจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่พยุงเศรษฐกิจสหรัฐให้ขยายตัวได้ดีในปี 2553

นอกจากนี้ ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคซึ่งคิดเป็น 70% ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ มีแนวโน้มสูงขึ้นเนื่องจากอัตราว่างงานปรับตัวลดลง

นักวิเคราะห์คาดว่า การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นนิวยอร์กและรายได้ส่วนบุคคล จะช่วยกระตุ้นชาวอเมริกันให้จับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น และจะช่วยให้ภาคเอกชนเพิ่มปริมาณการซื้อสินค้าเข้าสู่สต็อกเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการในปีหน้า
money wake up
*********
04/01/53
ประธนาคารเฟดยืนยัน ดอกเบี้ยต่ำ ไม่ทำให้เกิดฟองสบู่อสังหาฯ

Posted on Monday, January 04, 2010
นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มั่นใจว่า อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ ไม่ได้ก่อให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน FED กำลังปรับปรุงระบบการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ และใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อปกป้องลูกค้าในตลาดการเงินและตลาดสินเชื่อเพื่อการซื้อบ้าน รวมทั้งได้เพิ่มนโยบายป้องกันความผันผวนในตลาดสินเชื่อเพื่อการซื้อบ้านและพยายามลดตัวเลขการสำรองหนี้สูญ ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้เป็นหนึ่งในแนวทางการสกัดกั้นภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์

เบอร์นันเก้ยังส่งสัญญาณว่า มีความเป็นไปได้ที่ FED จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในระบบการเงิน หากการเปลี่ยนแปลงกฎข้อบังคับใช้ไม่ได้ผล

นอกจากนี้ เบอร์นันเก้ยังตอบโต้กระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่านโยบายอัตราดอกเบี้ยของ FED ได้ก่อให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาฯ ซึ่งนโยบายการเงินของ FED หลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยในปี 2544 นั้น ถือเป็นนโยบายที่มีความเหมาะสมมากที่สุด และจากข้อมูลวิจัยของ FED พบว่า ราคาบ้านที่พุ่งสูงขึ้นแทบจะไม่ส่งผลกระทบต่อนโยบายการเงินหรือระบบเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ
money news update
*********
30/12/52
อิควิตี้ฟันด์ลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่เพิ่มเป็น 3 เท่าในสัปดาห์ที่แล้ว

EPFR Global ซึ่งเป็นองค์กรที่ติดตามความเคลื่อนไหวของกองทุนทั่วโลก เผยว่า กองทุนรวมหุ้น หรือ Equity Funds เข้าลงทุนในตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ หรือ emerging markets ทั้งสิ้น 1,700 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 23 ธ.ค. ซึ่งพุ่งขึ้นเป็น 3 เท่าเมื่อเทียบกับรอบสัปดาห์ก่อนหน้านั้นที่ 571.4 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากอิควิตี้ฟันด์มีความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นเกิดใหม่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศส่งออก

ตัวเลขการลงทุนที่พุ่งขึ้นถึง 3 เท่าในรอบสัปดาห์ที่แล้วทำให้ยอดการลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ในปีนี้พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 80,300 ล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2551 ที่ 48,000 ล้านดอลลาร์ โดยอิควิตี้ฟันด์ลงทุนในตลาดหุ้นจีนทั้งสิ้น 153 ล้านดอลลาร์ในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 23 ธ.ค.

ขณะที่ตัวเลขการลงทุนในกลุ่ม BRIC (บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน) อยู่ที่ 451 ล้านดอลลาร์

ดัชนี MSCI Emerging Markets Index พุ่งขึ้น 73% ในปีนี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นรายปีที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาขยายตัวได้ดีในปีนี้เนื่องจากรัฐบาลในหลายประเทศ รวมถึงจีนและบราซิล ประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

กรรมการผู้จัดการของ EPFR คาดการณ์ว่า นักลงทุนจะอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ตลาดหุ้นเกิดใหม่มากขึ้นในปี 2553 เพราะเชื่อมั่นว่ากลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่จะมียอดส่งออกที่แข็งแกร่งขึ้น


แรงขายทำกำไรฉุด S&P ร่วง ขณะรายงานทางเศรษฐกิจออกมาดีตามคาด

นักลงทุนตลาดวอลล์สตรีทเทขายหุ้นทำกำไรในช่วงท้ายตลาด ขณะดัชนี S&P 500 ยังเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ระดับสูงสุดของปี ซึ่งหลายคนก็ไม่แปลกใจที่ตลาดจะยังไม่ไปไหนไกลนักนับจากจุดนี้ในช่วงส่งท้ายปี 2552

แรงขายมีเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงาน นำโดย Chevron และ Schlumberger แม้ว่าราคาน้ำมันจะขยับเพียงเล็กน้อย ขณะหุ้นในกลุ่มอื่น อย่าง Apple ราคาปรับตัวลง หลังพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ไปเมื่อวันก่อน ส่วนหุ้น Walt Disney และ General Electric กลับมีแรงซื้อสวนเข้ามาเมื่อคืนนี้

ตลาดได้แรงหนุนจากรายงานทางเศรษฐกิจ 2 เรื่อง ก็คือ ดัชนีราคาบ้านและความเชื่อมั่นผู้บริโภค ที่ทั้งคู่ต่างส่งสัญญาณการฟื้นตัว โดยดัชนีราคาบ้าน S&P/Case-Shiller ที่สำรวจใน 20 เมืองใหญ่ของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือนตุลาคมเมื่อเทียบกับเดือนกันยายน และลดลง 7.3% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งนับเป็นอัตราการลดลงที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2550

ข่าวดีในตลาดบ้านยังสอดคล้องกับอีกหนึ่งรายงานทางเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาล่าสุด อย่าง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ the Conference Board โดยดัชนีขยับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 52.9 ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ก่อนหน้านี้

และแม้ผลสำรวจจะชี้ว่าผู้บริโภคยังคงกังวลในเรื่องสถานการณ์ของเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมถึงเรื่องแนวโน้มค่าจ้าง เมื่อดูจากอัตราการว่างงานที่สูงอยู่ในตอนนี้ แต่การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้น รวมถึงราคาบ้าน ได้ช่วยผ่อนคลายความกังวลของคนอเมริกันลงได้บ้าง

รายงานที่รวบรวมโดยสำนักข่าว Bloomberg ที่แสดงถึงแชมป์ค่าธรรมเนียมการขายหุ้น IPO ในปีนี้ ซึ่งตกเป็นของ Goldman Sachs Group ด้วยค่าธรรมเนียมที่คว้าไปได้กว่า 191 ล้านเหรียญ จากทั้งหมด 923 ล้านเหรียญ ขณะที่ยักษ์ใหญ่ อย่าง Citigroup ทำได้แค่เพียง 68 ล้านเหรียญเท่านั้น จนส่งผลให้สถาบันการเงินจากนิวยอร์กรายนี้ร่วงลงหลุดอันดับ Top five ไปเรียบร้อยแล้ว จากรายได้ที่หดหายไปกว่า 50%
money wake up
********
29/12/52
ราคาอสังหาฯ อังกฤษจะลดลงในปี 53

โฮมแทร็ค บริษัทวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ของอังกฤษเปิดเผยว่า ราคาบ้านในอังกฤษจะปรับตัวลดลงในปีหน้า เนื่องจากอัตราว่างงานที่พุ่งสูงและความวิตกกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลจะกดดันให้ดีมานด์หรือความต้องการบ้านลดลง โดยโฮมแทร็คคาดการณ์ว่ามูลค่าบ้านในอังกฤษจะลดลง 1% ในปี 2553

หลังจากที่ราคาบ้านเดือนธันวาคมขยับขึ้น 0.1% จากเดือนที่แล้วแตะที่ 156,900 ปอนด์ (250,000 ดอลลาร์สหรัฐ)

ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้คนอังกฤษตกงานกว่า 600,000 คน และจำนวนผู้ว่างงานก็อาจพุ่งสูงขึ้นอีกในช่วงที่เศรษฐกิจอังกฤษกำลังฟื้นตัว

ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีกอร์ดอน บราวน์ และพรรคอนุรักษ์นิยมซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน ก็กำลังพยายามหาทางควบคุมตัวเลขขาดดุลงบประมาณที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์


อาเซียน+3 และฮ่องกงจับมือใช้มาตรการริเริ่มเชียงใหม่

รัฐมนตรีกระทรวงการคลังและผู้ว่าธนาคารกลางอาเซียน+3 ซึ่งประกอบด้วยจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และผู้ว่าการธนาคารกลางฮ่องกงได้ลงนามมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่พหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation: CMIM) โดยจุดประสงค์สำคัญก็เพื่อเป็นการแก้ปัญหาสภาพคล่องทางการเงินในระยะสั้น

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ประเทศดังกล่าวได้บรรลุข้อตกลงกันเมื่อเดือนพ.ค.เรื่องจัดตั้งเครือข่ายสำรองเงินตราในภูมิภาคมูลค่า 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อจัดหาสภาพคล่องฉุกเฉินให้กับประเทศต่างๆในช่วงที่เกิดวิกฤตการเงิน

ธนาคารกลางจีนเปิดเผยว่า เป้าหมายหลักของแผนริเริ่มเชียงใหม่ ก็คือ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องภาวะสมดุลของการชำระเงินและปัญหาสภาพคล่องระยะสั้นในภูมิภาค ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือทางการเงินระหว่างประเทศที่มีอยู่เดิม

จีนและญี่ปุ่นจะจัดหาเงินเข้าร่วมโครงการประเทศละ 38,400 ล้านดอลลาร์ ส่วนเกาหลีใต้จะจัดหางบ 19,200 ล้านดอลลาร์ ขณะที่กลุ่มอาเซียนจะจัดหางบรวม 24,000 ล้านดอลลาร์


จีนชื่นชมฮ่องกงฝ่าฟันวิกฤตเศรษฐกิจโลก

นายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า ของจีน แสดงความหวังว่าฮ่องกงจะสามารถรักษาระดับการขยายตัวของเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่องในปีหน้า พร้อมทั้งกล่าวชื่นชมความพยายามของฮ่องกงในการผลักดันตนเองจนผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจโลกมาได้

นายเหวินกล่าวระหว่างการพบกับ โดนัลด์ ซาง ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกงว่า "ในปีหน้ารัฐบาลเขตปกครองพิเศษฮ่องกงควรมุ่งมั่นทำงานเพื่อรับมือกับวิกตการเงินโลกและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจต่อไป

โดนัลด์ ซางได้เดินทางเยือนกรุงปักกิ่งเพื่อบรรยายสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์ในฮ่องกงและการทำงานของรัฐบาลฮ่องกงในรอบปีที่ผ่านมาให้ผู้นำจีนได้รับทราบ

นายเหวินกล่าวชื่นชมว่า "ในช่วงเวลาที่ยากลำบากฮ่องกงก็ยังสามารถใช้มาตรการต่างๆ จนทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างมีเสถียรภาพและหลุดพ้นจากภาวะถดถอยในที่สุด

นอกจากนั้นนายเหวินยังกระตุ้นให้รัฐบาลฮ่องกงแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ฝังรากลึกมานาน ปรับปรุงยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ วางแผนระยะยาวที่มีความครอบคลุม และพัฒนาจุดเด่นของตนเองเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

"รัฐบาลจีนจะยังคงให้การสนับสนุนฮ่องกงในการพัฒนาตนเองให้เป็นศูนย์กลางการเงินของโลกต่อไป" นายเหวินกล่าวทิ้งท้าย
money wake up
*********
29/12/52
นักวิเคราะห์คาดพันธบัตรเอกชนจ่อคึกรับดอกเบี้ยขาขึ้น

ตราสารหนี้ภาคเอกชนสหรัฐฯ ประเภทที่ให้อัตราผลตอบแทนสูง (Junk Bond) มีแนวโน้มกลับมาคึกคักอีกครั้งตามสภาวะเศรษฐกิจ เมื่อมีข้อมูลระบุว่า การออกตราสารจากภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างน้อยๆ มาอยู่ที่ 1,360 ล้านเหรียญแล้วในตอนนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่นักลงทุนกำลังให้ความสนใจมากขึ้นกับตราสารหนี้ที่มีอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงที่สูงกว่าตราสารประเภท investment grade ทั้งหลาย

ถ้าดูการเปลี่ยนแปลงอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์ประเภท Junk Bonds ในดัชนีที่จัดทำโดย Merrill Lynch จะพบว่า yield ล่าสุดได้ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 9.2% หากเทียบกับ 9.7% เมื่อสิ้นเดือนที่แล้ว ซึ่งก็หมายถึงการที่ราคาพันธบัตรปรับตัวขึ้น ขณะที่อัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์ประเภท investment grade ขยับเพิ่มจาก 4.6% มาเป็น 4.8% หรือหมายถึงภาวะราคาพันธบัตรปรับตัวลง

สาเหตุที่พันธบัตรที่เรียกกันว่า high-yield bond นี้ สามารถสร้างผลกำไรให้แก่นักลงทุนได้มากขึ้น ก็เป็นเพราะสถานการณ์ที่เริ่มสดใสในตลาดสินเชื่อ ที่สะท้อนผ่านแนวโน้มที่ดีขึ้นของตัวเลขการผิดนัดชำระหนี้ และเป็นเวลาเดียวกับที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ

นักวิเคราะห์จาก Bank of America Merrill Lynch ในนิวยอร์กคาดว่า Junk Bond มีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าหลักทรัพย์ประเภท Investment Grade ในปีหน้า นั่นก็เพราะความที่เป็นตราสารที่สามารถสร้างเกราะให้กับนักลงทุนในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ขณะบริษัทผู้ที่ออกตราสารเองก็กำลังเพิ่มเครดิตให้กับตัวเองด้วยการปรับลดระดับหนี้ที่มีอยู่ลงในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเดินออกจากภาวะถดถอย และผลที่ตามมาก็คือ การลดลงของอัตราการผิดนัดชำระหนี้

นอกจากนั้น นักลงทุนเองก็กำลังมองหาตราสารที่ให้อัตราผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจ มากกว่าที่จะดูแต่ในเรื่องความเสี่ยงเพียงอย่างเดียว

นักวิเคราะห์รายเดียวกันยังบอกด้วยว่า high-yield bond หรือ junk bond อาจสร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 10% ในปีหน้า ขณะที่บรรดาหลักทรัพย์ประเภท investment grade อาจทำได้แค่เพียง 2-3% เท่านั้น


หุ้นสหรัฐปิดบวก แม้ถูกกดดันจากแผนก่อการร้าย

ปัจจัยบวกหนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ มาจากกระทรวงการคลังที่ประกาศไว้เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วว่า จะยอมให้สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ภาคอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ อย่าง Freddie Mac และ Fannie Mae ที่รัฐเข้ามาเป็นเจ้าของ ให้สามารถเข้าขอความช่วยเหลือทางด้านเงินทุนได้อย่างไม่จำกัดจำนวนภายในระยะเวลา 3 ปี จากเดิมที่ถูกจำกัดไว้ที่แห่งละ 200,000 ล้านเหรียญ

นักวิเคราะห์รายหนึ่งมองว่า จริงๆ แล้วทั้ง Fannie และ Freddie อาจไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินมากเกินกว่าระดับที่รัฐเคยกำหนดไว้เดิม แม้ในกรณีที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะไม่เป็นใจก็ตาม ซึ่งสาเหตุหลักที่รัฐบาลยอมเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขดังกล่าวก็น่าจะเป็นเพราะ ความต้องการในการช่วยเหลือตลาดบ้านที่จะมีความยืดหยุ่นในการใช้มาตรการที่เข้มข้นมากกว่าเดิม รวมถึงเรื่องการล้างหนี้เสียในระบบ

ข่าวดีดังกล่าวยังเป็นแรงหนุนให้กับหุ้นที่เข้ารับความช่วยเหลือมาจากรัฐราวๆ 180,000 ล้านเหรียญ อย่าง American International Group หรือ AIG ที่เริ่มมีการคาดการณ์ว่า รัฐบาลอาจจะใช้วิธีการเดียวกันกับบริษัท รวมถึงการถอนข้อจำกัดต่างๆ บนบัญชี

นอกจากปัจจัยดังกล่าวแล้ว แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นและตัวเลข GDP ที่แข็งแกร่งของประเทศจีนยังเป็นตัวผลักดันให้หุ้นกลุ่มโภคภัณฑ์ดีดตัวขึ้นแรงเมื่อคืนนี้ โดยเฉพาะสินค้าโลหะและน้ำมัน นำโดยหุ้น Exxon Mobil ที่บวกได้ 0.6% ขณะราคาน้ำมันตลาดนิวยอร์กขยับขึ้นอีกเกือบ 1% ไปอยู่ที่ 78.70 เหรียญต่อบาร์เรล

อย่างไรก็ดี ตลาดยังเจอกับแรงขายในทันทีที่มีข่าวว่ากลุ่ม al-Queda ประกาศยอมรับว่าเป็นผู้วางแผนระเบิดเครื่องบินในวันคริสต์มาส จนทำให้ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ต้องสั่งให้ทบทวนกระบวนการรักษาความปลอดภัยทั้งหมด หลังจากที่พบชายชาวไนจีเรียสามารถผ่านขึ้นไปบนเครื่องของสายการบิน Northwest Flight 253 ที่กรุง Amsterdam มุ่งหน้า Detroit

นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีความกังวลเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศมาตรการถอนสภาพคล่องออกจากระบบธนาคาร ส่งผลให้หุ้นกลุ่มแบงก์ปรับตัวลง นำโดย Fifth Third Bancorp ที่ร่วงลง 2.5% และ Wells Fargo ลดลง 1.3%


ราคาอสังหาฯ อังกฤษจะลดลงในปี 53

โฮมแทร็ค บริษัทวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ของอังกฤษเปิดเผยว่า ราคาบ้านในอังกฤษจะปรับตัวลดลงในปีหน้า เนื่องจากอัตราว่างงานที่พุ่งสูงและความวิตกกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลจะกดดันให้ดีมานด์หรือความต้องการบ้านลดลง โดยโฮมแทร็คคาดการณ์ว่ามูลค่าบ้านในอังกฤษจะลดลง 1% ในปี 2553

หลังจากที่ราคาบ้านเดือนธันวาคมขยับขึ้น 0.1% จากเดือนที่แล้วแตะที่ 156,900 ปอนด์ (250,000 ดอลลาร์สหรัฐ)

ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้คนอังกฤษตกงานกว่า 600,000 คน และจำนวนผู้ว่างงานก็อาจพุ่งสูงขึ้นอีกในช่วงที่เศรษฐกิจอังกฤษกำลังฟื้นตัว

ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีกอร์ดอน บราวน์ และพรรคอนุรักษ์นิยมซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน ก็กำลังพยายามหาทางควบคุมตัวเลขขาดดุลงบประมาณที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์
money wake up
*********
29/12/52
ดาวโจนส์ปิดบวก ขานรับยอดค้าปลีกสหรัฐฯสดใส

Posted on Tuesday, December 29, 2009
นักวิเคราะห์จากบริษัท เฟดเดอเรทเต็ด คัฟเวอร์ อินเวสท์เมนท์ แอ๊ดไวเซอร์ส กล่าวว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นขานรับรายงานของบริษัท สเปนดิงพัลซ์ ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านธุรกิจค้าปลีกในเครือมาสเตอร์การ์ด แอดไวเซอร์ส ที่ระบุว่า บริษัทค้าปลีกในสหรัฐฯทำยอดขายพุ่งขึ้น 3.6% ในช่วงวันหยุดระหว่างวันที่ 1 พ.ย. - 24 ธ.ค. ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยหนุนราคาหุ้นกลุ่มค้าปลีกรายใหญ่พุ่งขึ้น รวมถึงหุ้นเมซีส์ อิงค์พุ่ง ขึ้น 1.1%

ข้อมูลของสเปนดิงพัลซ์สอดคล้องกับที่สมาคมผู้ค้าปลีกแห่งชาติของสหรัฐฯ (NRF) รายงานไว้ก่อนหน้านี้ว่า ยอดค้าปลีกในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เนื่องในวัน วันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ในสหรัฐฯ ดีดตัวขึ้น 0.5% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.12 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จากปีที่แล้วที่ระดับ 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากห้างค้าปลีกปรับลดราคาสินค้าซึ่งช่วยดึงดูดประชาชนให้เข้าซื้อสินค้าอย่างคึกคัก

หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ทะยานขึ้น หลังจากราคาน้ำมันดิบ NYMEX พุ่งขึ้น 72 เซนต์ แตะที่ 78.77 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลง โดยเมื่อวานนี้ดัชนี ICE Futures U.S ร่วงลง 0.1%

ส่วนหุ้นสายการบินร่วงลงและส่งผลให้ตลาดหุ้นนิวยอร์กเคลื่อนตัวผันผวน หลังจากเกิดเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายพยายามจุดระเบิดบนเครื่องบินนอร์ธเวสต์ แอร์ไลน์สในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์หุ้นกลุ่มคมนาคมร่วงลง 0.6% โดยหุ้นเดลค้า แอร์ไลน์ส ซึ่งเป็นเจ้าของสายการบินนอร์ธเวสต์ แอร์ไลน์ส ดิ่งลง 4.1%

นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯในสัปดาห์นี้ โดยวันอังคาร สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์จะเปิดเผยราคาบ้านเดือนต.ค. และสำนักงานคอนเฟอร์เรนซ์ บอร์ด จะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯเดือนธ.ค.

วันพุธ สมาคมผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อแห่งชาติ (NAPM) จะเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโกเดือนธ.ค.และกระทรวงพลังงานจะเปิดเผยรายงานสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ และวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐฯจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่สถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) จะเปิดเผยดัชนีภาวะธุรกิจปัจจุบันในนิวยอร์กเดือนธ.ค.
money news update