วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553

กลุ่มอิเลคทรอนิคส์53

14/01/53
อุตสาหกรรมดาวเด่นปี 53 เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิค
ลุ้นผลประกอบการอีกแล้ว ขณะที่ราคาหุ้นทั่วโลกต่างปรับตัวขึ้นรับข่าวล่วงหน้า หากจะมีการขาย Take Profit บ้างเป็นระยะๆ ก็ไม่เห็นแปลก แต่ที่ต้องมองคือแนวโน้มต่อจากนี้ไป มีธุรกิจอะไรบ้างที่เป็นดาวเด่น อย่างบ้านเรามีหลายอุตสาหกรรมที่หากมองในเชิงพื้นฐานแล้วน่าสนใจทีเดียวเริ่มจากอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิค ซึ่งมีสัดส่วนต่อมูลค่าการส่งออกรวมถึง 10.2 และ 17.6% ตามลำดับ ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 52 คาดตัวเลขส่งออกมีแนวโน้มเติบโตสูงในปี 53 จากการคาดการของศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดอาจโตถึง 10.4% ต่อปีในปีนี้ ดีขึ้นจากปีก่อนที่คาดว่าจะหดตัวร้อยละ -14.0 ต่อปี น้อยกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากผลของข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียนที่จะช่วยให้ตลาดขยายตัว ประกอบกับอุปสงค์ภายนอกที่เริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะจากประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับ 3 ของเครื่องใช้ไฟฟ้า อีกธุรกิจที่น่าสนใจคือธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ที่ดูเหมือนเมื่อปีที่แล้วมีตัวเลขรายงานออกมาน่าสนใจ จากการเปิดเผยของกระทรวงการท่องเที่ยวออกมาระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างชาติมาไทยปี 52 มีจำนวน 14.09 ล้านคน เพิ่มมากขึ้นจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 14 ล้านคน ส่งผลให้สามารถทำรายได้เข้าประเทศ 527,000 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ผลจากงบในโครงการไทยเข้มแข็งมาทำให้สามารถรุกตลาดกลุ่มเป้าหมายให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ และจีน อีกกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มสดใสในปีนี้คืออุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งจะได้รับผลดีจากการเปิดการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) เต็มๆ เนื่องจากไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ โดยมีต้นทุนการผลิตต่ำที่สุดในภูมิภาค ทำให้การผลิตของยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ในปี 53 มีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากปี 52 ที่มีการหดตัวมา 3 ไตรมาสติดต่อกันและจะทำให้การจ้างงานมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น และทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นข้ามมาฝั่งสหรัฐ นักลงทุนไม่ต่างจากบ้านเรา หลังราคาหุ้นสะท้อนตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญไปแล้ว ตอนนี้อยู่ในช่วงแกว่งตัวแคบๆรอข่าวผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว ว่าจะส่งต่อมายังปีนี้อย่างไร แต่ที่ถูกกดดันหนักคือค่าเงินสกุลดอลลาร์ที่ดิ่งลงไปแล้วถึง 4.2% ในปีที่แล้วเมื่อเทียบ 6 สกุลเงินหลักในตะกร้าสกุลเงิน เนื่องจากเฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0-0.25% ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบมีการปรับทิศไปบ้าง หลังจากที่มีความกังวลว่าอุณหภูมิที่อบอุ่นขึ้นในสหรัฐอาจทำให้ดีมานด์พลังงานลดน้อยลง นอกจากนี้สำนักงานสภาพอากาศแห่งชาติของสหรัฐ (NWS) คาดการณ์ว่า ดีมานด์น้ำมันฮีทติ้งออยล์ในสหรัฐอาจอยู่ในระดับปกติในสัปดาห์นี้ หลังจากพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงกว่าปกติ 12% ในสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ตาม จากการที่จีนรายงานว่า ยอดส่งออกเดือนธ.ค.ที่พุ่งขึ้น 17.7% ทำสถิติเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 14 เดือน และยอดนำเข้าพุ่งขึ้น 55.9% โดยยอดส่งออกและนำเข้าที่พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งของจีนจะเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่ายอดนำเข้าน้ำมันดิบของจีนในเดือนธ.ค.2552 พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 21.26 ล้านตัน ส่งผลให้ยอดนำเข้าน้ำมันดิบรายปีอยู่ที่ 203.8 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 13.9% ถือเป็นดีมานต์ความต้องการใช้ที่มีนัยยะสำคัญทีเดียว สำหรับการเคลื่อนตัวของตลาดหุ้นสหรัฐต้องจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติมทั้งเรื่องของยอดค้าปลีก ขอรับสวัสดิการว่างงาน ดัชนีราคาสินค้านำเข้าส่งออก และวันศุกร์รายงานผลประกอบการของเจพีมอร์แกน พร้อมด้วยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค และดัชนีความเชื่อมันผู้บริโภค ส่วนคืนนี้ลุ้นเรื่องของสต๊อกน้ำมัน และตัวเลขการขอสินเชื่อบ้าน มาถึงอีกเรื่องที่ฟันธงมาเนียเกาะติดกระแสมาโดยตลอด คือเรื่องของจีนที่มีนักวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ในตลาดวอลล์สตรีท นายเจมส์ ชาโน้ต ออกมาประเมินว่าจีนจะเจอปัญหาเศรษฐกิจ “Crash หรือ ล่มสลาย” จากปัญหาการปล่อยสินเชื่อล้นเกินตัว จนอาจจะเผชิญกับปัญหา NPL ตามมา ผมว่าแรงไปหน่อย สวนทางกับที่เมื่อวานผมได้นำความเห็นของนายมาร์ค โบเมียส ที่มีมุมองที่เป็นบวกต่อจีน เมื่อผนวกของทั้ง 2 แนวคิดเชื่อว่าจีนน่าจะมีมาตรการในการเข้ามาควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพ สุดท้ายแล้วต้องมาดูข้อเท็จจริงขั้นพื้นฐาน มีการคาดการณ์จากดอยช์แบงค์ เกรทเตอร์ ระบุว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 9% ในปี 2553 เพราะได้แรงหนุนจากยอดส่งออกที่ขยายตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราการลงทุนภายในประเทศจะหดตัวลงสู่ระดับ 50% ในปี 2553 จากระดับ 80% ในปี 2552 และคาดว่าอัตราการอุปโภคบริโภคภายในประเทศจะยังคงทรงตัว นอกจากนี้จีนถือว่าแซงหน้าทั้งสหรัฐและเยอรมันขึ้นมาเป็นผู้ผลิตและครองตลาดรถยนต์อันดับหนึ่งของโลกในปีที่แล้ว สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ของจีน (CAAM) รายงานว่า ยอดขายรถยนต์ของจีนในปี 2552 พุ่งขึ้น 46.15% ต่อปี แตะที่ 13.64 ล้านคันและผลผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้น 48.3%แตะที่ 13.79 ล้านคัน เท่านั้นไม่พอ จีนได้เตรียมแผนแม่บท ภายใต้ชื่อ "Rising of the Central China" นำร่องเพื่อการพัฒนาภูมิภาคตอนกลางของจีนในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ฉะนั้นใครจะพูดยังไงก็พูดได้ แต่จากข้อมูลคงพอจะสรุปได้ว่าใครจะกลายเป็นผู้นำโลกรายต่อไป นั่นคือเหตุผลที่ทำไมฟันธงมาเนีย จึงให้พื้นที่ในการวิเคราะห์เรื่องของจีนมากขนาดนี้ เพราะเชื่ออีกไม่นานประเทศที่จะ Dominate ตลาดหุ้นโลกจะกลายเป็นการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจีนแทนตลาดหุ้นนิวยอร์ค ที่แน่ๆ ถ้าส่งออกของจีนดี หุ้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์ในเชิงบวกน่าจะเป็นกลุ่มเดินเรือ เหล็ก และปิโตรเคมี สอยเล่นสั้น DELTA ดักเก็บก่อนจะรายงานผลประกอบการไตรมาส 4/52 คาดว่ากำไรสูงสุดของปี จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมในช่วงไตรมาส 3 และฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 53 จากเศรษฐกิจโลก ดังนั้น ณ ราคาปิดที่ 18.70 บาทซื้อบางส่วน และซื้อเพิ่มที่ 18.50 บาท โดยมีแนวต้านที่ 19.10 บาท และหากผ่านไปได้จะเกิดสัญญาณซื้อที่มีเป้าหมาย 20 บาท

Disclaimer จัดทำโดยพิจารณาจากข้อมูลเท่าที่ผู้จัดทำมีอยู่และเห็นว่าเชื่อถือได้ ทั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักลงทุนใช้ เป็นข้อมูล ประกอบการตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์ ข้อความหรือทัศนะที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้ไม่ว่ากรณีใดๆ ไม่ถือว่าเป็นการยืนยันข้อเท็จจริง หรือรับรองความถูกต้องแท้จริงของข้อมูล หรือเป็นการชักชวน ชี้นำให้นักลงทุนทำการซื้อขายหลักทรัพย์ ที่กล่าวในรายงาน
thunhoon

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553

กลุ่มธุรกิจธนาคารและการเงิน53

13/01/53
กนง.คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.25 %

Posted on Wednesday, January 13, 2010
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย บอกว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ ที่ 1.25% เนื่องจากเห็นว่ายังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสม ที่เอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่า ในปีนี้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งจากราคาน้ำมัน การยกเลิกมาตรการของรัฐ และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องติดตามแนวโน้มเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดต่อไป ส่วนเศรษฐกิจโลกแม้จะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง แต่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงต่อการฟื้นตัว โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมหลัก ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียมีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วกว่า ซึ่งอาจทำให้เกิดความแตกต่างของการดำเนินนโยบาย และส่งผลให้การเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศผันผวนมากขึ้น

นายไพบูลย์บอกด้วยว่า การดำเนินนโยบายการเงินของ กนง.ในระยะต่อไปจะพิจารณาจาก 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ เป้าหมายรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาว โดยดูแลให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำและมีเสถียรภาพในการประคับประคองเศรษฐกิจ ประเด็นต่อมา คือ การดูแลให้เศรษฐกิจที่อยู่ในระยะฟื้นตัว โดยการพิจารณาดอกเบี้ยจะให้ความสำคัญกับความต่อเนื่องในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจด้วย ตราบใดที่ไม่ขัดต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาว

ส่วนประเด็นสุดท้าย กนง.จะไม่ปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยต่ำนานเกินไป หลังจากที่มีการคงอัตราดอกเบี้ยมาแล้วในการประชุมทั้ง 6 ครั้ง เพราะหากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำและสภาพคล่องส่วนเกินในระบบค่อนข้างมาก จะทำให้เศรษฐกิจเกิดความไม่สมดุล และอาจกดดันให้เกิดการเร่งตัวของภาวะฟองสบู่ได้
money news update
*******
12/01/53
คลังเล็งคลอดพันธบัตร8มื่นล. แบงก์ลั่นไม่กระทบดอกเบี้ย
ทันหุ้น-นายแบงก์ไม่หวั่นเงินฝากไหลออก แม้คลังเล็งออกพันธบัตรออมทรัพย์หนุนโครงการไทยเข้มแข็งอีก 5-8 หมื่นล้านบาท หลังรอบแรกประชาชนแห่จองล้นหลาม ลั่นไม่กระทบสภาพคล่องธนาคารพาณิชย์ เหตุพันธบัตรเกาหลีใกล้หมดอายุสร้างสภาพคล่องสู่ระบบไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท รองรับพันธบัตรคลังได้สบาย ส่วนดอกเบี้ยในระบบเชื่อยังไม่ได้ผลกระทบ มองดอกเบี้ยขยับไตรมาส 3/2252
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้มีการเตรียมแผนการออกพันธบัตรออมทรัพย์วงเงิน 50,000-80,000 ล้านบาท ในช่วงปลายไตรมาส 1/2553 ซึ่งเป็นเงื่อนไขเดิมในการออกพันธบัตรออมทรัพย์ที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าผลตอบแทนจากเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ เพื่อเป็นการจูงใจให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาล
โดยการเปิดขายพันธบัตรดังกล่าวถือเป็นการออกพันธบัตรงวดที่ 2 ของกระทรวงการคลัง ซึ่งหลังการเปิดขายงวดแรกได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นจำนวนมาก และเป็นการออกพันธบัตรตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อใช้ในการฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
นายอนุรักษ์ ตันติพิพัฒนา ผู้อำนาวยการฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์เงินฝากและการลงทุนลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK กล่าวว่า การที่กระทรวงการคลังมีแผนการออกพันธบัตรออมทรัพย์อีกจำนวนไม่เกิน 8 หมื่นล้านบาทในช่วงไตรมาส 1/2553 จะไม่ส่งผลกระทบต่อเงินฝากธนาคารพาณิชย์และสภาพคล่องของระบบ
ทั้งนี้การออกพันบัตรของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับเงินจากกองทุนต่างๆของไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะเงินกองทุนที่ลงทุนในประเทศเกาหลีที่ใกล้ครบกำหนดอายุ คาดว่าเงินจากกองทุนต่างๆที่ใกล้ครบกำหนดน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้สภาพคล่องในระบบมีเพิ่มขึ้นกว่าปัจจุบัน
“ตอนนี้น่าจะเริ่มเห็นแบงก์ชาติหรือคลังทยอยออกพันธบัตรออกมา เพราะช่วงนี้กองทุนเกาหลีใกล้ครบกำหนด ซึ่งไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท เชื่อว่าทางราชการคงต้องทำอะไรบ้างอย่างเพื่อดูดซับสภาพคล่องออกจากระบบ เพื่อไม่ให้สภาพคล่องมีล้นจนเกินไป” นายอนุรักษ์ กล่าว
สำหรับในปีนี้ ธนาคารตั้งเป้าหมายการเติบโตในส่วนของเงินฝากไว้ที่ประมาณ 10% ซึ่งแบ่งเป็นเงินฝากรายย่อย 7-8 หมื่นล้านบาท และเงินฝากรายใหญ่อีกประมาณ 2 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันธนาคารมีฐานเงินฝากอยู่ที่ประมาณ 9 แสนล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีเงินฝากออมทรัพย์และกระแสรายวัน 52% และบัญชีเงินฝากประจำ 48% ซึ่งในปีนี้ธนาคารมีความต้องการเพิ่มสัดส่วนบัญชีออมทรัพย์รายย่อยเป็นหลัก เพื่อลดต้นทุนทางการเงินของธนาคารลง
ขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากนั้น มองว่าจะเริ่มเห็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในช่วงประมาณปลายไตรมาส 3/2552 เนื่องจากขณะนี้สัญญาณการเติบโตสินเชื่อยังไม่เห็นอย่างชัดเจน ประกอบกับสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งมีเหลืออีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากปรับเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้คือ ตัวเลขเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นเร็ว หรือธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงนี้ก็จะส่งผลกดดันให้อัตราดอกเบี้ยของไทยต้องขยับเพิ่มขึ้นตาม
ในส่วนของการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันพรุ่งนี้(13 ม.ค.53) คาดว่า กนง.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.25% ต่อไป เนื่องจากภาพรวมของเศรษฐกิจหลักยังไม่มีการฟื้นตัวเท่าที่ควร และการเติบโตยังไม่มีเสถียรภาพมากนัก รวมทั้งการที่ตัวเลขเงินเฟ้อยังมีการเพิ่มขึ้นที่ไม่เร็วมากนัก
thunhoon
***********
12/01/53
BANKING : คาดกำไรสุทธิ 4Q52F เพิ่มขึ้น 28% YoY
คำแนะนำ ระดับปกติ

คงน้ำหนักการลงทุน “ระดับปกติ” โดยหุ้นที่ชอบสุดได้แก่ SCB และ KBANK
หุ้นที่ชอบที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ได้แก่ SCB (ศักยภาพในการเติบโตที่แข็งแกร่งหลังจากชะลอตัวในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา) และ KBANK (การเติบโตอย่างแข็งแกร่งหลังจากพัฒนารูปแบบของธนาคาร) โดยดูเหมือนว่าตลาดได้สะท้อนการคาดการณ์ถึงการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของหลาย ๆ ธนาคารมากพอสมควรแล้วและการที่ไม่สามารถมีผลประกอบการตามคาด น่าจะส่งผลให้เกิดแรงขายทำกำไร
คาดผลประกอบการโดยรวมลดลง 32% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 28% YoY ใน 4Q52F
เราคาดว่า 9 ธนาคารที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของเราจะรายงานกำไรสุทธิลดลง 32% QoQ จาก 1) ฤดูกาลที่มีค่าใช้จ่ายสูงในไตรมาส 4 2) กำไรจากสินทรัพย์ที่ลดลง และ 3) ค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองฯ ที่สูงขึ้นสำหรับบางธนาคารเพื่อเพิ่มอัตราการตั้งสำรอง สำหรับการคาดการณ์ว่ากำไรน่าจะเพิ่มขึ้น YoY มาจากการตัดขาดทุนพอร์ตลงทุนและค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองฯ ที่สูงอย่างมากใน 4Q51
Upside ต่อผลประกอบการปี 2553F มาจากต้นทุนเครดิตที่ลดลง
ปี 2553 น่าจะเป็นปีที่ดีขึ้นสำหรับธนาคารส่วนใหญ่ โดยน่าจะมีอัตราการเติบโตผลประกอบการเฉลี่ย 21% YoY เทียบกับ -0.8% YoY สำหรับปี 2552F โดย upside ต่ออัตราการทำกำไรจากดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) และอัตราการขยายตัวสินเชื่อน่าจะมีค่อนข้างจำกัด แต่น่าจะมีความเป็นไปได้ของ upside จากต้นทุนเครดิตที่ลดลงกว่าสมมติฐานในปัจจุบันของเรา (0.82% ของสินเชื่อในปี 2553F เทียบกับ 0.9% ในปี 2552F) หลังจากเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นของ NPLs
การประเมินมูลค่า
เราประเมินมูลค่าหุ้นธนาคารโดยอิงจาก PBV ซึ่งได้มาจากวิธี RoE-g/CoE-g ด้วยสมมติฐาน CoE ที่ 12% และ g ที่ 6-8% (ขึ้นอยู่กับการคาดการณ์การเติบโต BV ในแต่ละธนาคาร) โดย upside ต่อประมาณการของเรามาจากต้นทุนเครดิตที่ลดลง (ภาระการตั้งสำรองฯ) และเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวแข็งแกร่งกว่าคาด ส่วนความเสี่ยง downside มาจากการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และคุณภาพสินเชื่อที่แย่ลงในกรณีที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสะดุด
โดย สำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ประจำวันที่ 12 ม.ค. 2553
*********
11/01/53
จับตานโยบายการเงิน "กนง." คาดคงดอกเบี้ย 1.25%
ในวันที่ 13 มกราคม 2553 คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) จะมีการประชุมรอบแรกของปี 2553 เพื่อกำหนดทิศทางนโยบายการเงิน หรืออัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 1.25 ทั้งนี้ แม้ว่าเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยจะปรับตัวไปในทิศทางที่เป็นบวกมากขึ้น แต่เส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังมีแนวโน้มต้องเผชิญกับปัจจัยท้าทายอีกหลายประการ
pantip
*********
07/01/53
แบงก์ชาติคาดสินเชื่อปีนี้ฟื้นตามเศรษฐกิจ

Posted on Thursday, January 07, 2010
นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินว่า ยอดการให้สินเชื่อปีนี้จะเติบโตดีขึ้นกว่าปี 2552 โดยเฉพาะสินเชื่ออุปโภคบริโภคและสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะเร่งตัวขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่สภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ก็ยังมีค่อนข้างมาก ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ การเร่งตัวของสินเชื่อเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ปลายปี 2552 โดยในเดือนพฤศจิกายน 2552 สินเชื่อสามารถขยายตัวเป็นบวกติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 และเมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2551 ขยายตัว 1.8% โดยสินเชื่อผู้บริโภคและสินเชื่อที่อยู่อาศัยเติบโตมากกว่า 10%

นายบัณฑิตบอกด้วยว่า การแข่งขันของธนาคารพาณิชย์จะรุนแรงขึ้นในปีนี้ ซึ่งภาวะเศรษฐกิจจะเป็นสิ่งกำหนดการเร่งตัวของสินเชื่อด้วย

ด้านนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย บอกว่า ธนาคารตั้งเป้าการเติบโตสินเชื่อปีนี้ที่ 7-9% ภายใต้จีดีพีที่คาดว่าจะขยายตัว 3-3.5 % และอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3-4% โดยธนาคารตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อในธุรกิจขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น 2-4% สินเชื่อ SMEs เพิ่มขึ้น 8-10% สินเชื่อบุคคลเพิ่มขึ้น 15-16%

นายประสารยอมรับว่า แม้เศรษฐกิจปีนี้จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากปีก่อน แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาการเมืองที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนและนักธุรกิจ โดยประเมินว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะค่อยเป็นค่อยไป ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยคาดว่าจะปรับขึ้นช่วงหลังของปีนี้

สำหรับภาพรวมสินเชื่อของธนาคารในปีที่ผ่านมามั่นใจว่าจะขยายตัวในแดนบวกเล็กน้อย ส่วน NPL ของธนาคารยังไม่น่าเป็นห่วง
money news update
***********
สินเชื่อบุคคลร้อนรับปีเสือ
วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553

เอชเอสบีซี เลิกเก็บเนื้อเก็บตัว ติดเครื่องลุยชิงเค้กสินเชื่อบุคคล หลังคนไทยกลับมาใช้จ่าย

นายวิชิต พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย เปิดเผยว่า ในปีนี้ธนาคารจะหันมาลุยตลาดสินเชื่อบุคคลไม่มีหลักประกันอย่างเต็มที่ จากที่หยุดทำการตลาดไป 1 ปี เพราะภาวะเศรษฐกิจ โดยได้ปรับลดฐานเงินเดือนขั้นต่ำผู้สมัครสินเชื่อลงมาเหลือ 1.5 หมื่นบาท จากเดิมที่กำหนดเพดานไว้ 3 หมื่นบาท เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นกว่าเดิม
สำหรับอัตราดอกเบี้ยนั้นถือว่าใกล้เคียงกับตลาดระหว่าง 20-28% ขึ้นอยู่กับวงเงินสินเชื่อ กรณีกู้เงิน 3 แสนบาท ดอกเบี้ยจะอยู่ที่ระดับ 20% อนุมัติสูงสุด 5 เท่าของเงินเดือน ผ่อนชำระตั้งแต่ 12-60 เดือน

ผู้บริหารเอชเอสบีซี กล่าวว่า ในช่วง 1 ปีที่หยุดทำตลาดธุรกิจมีกำไรดี เพราะควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ไว้ได้ แต่ปีนี้สภาพเศรษฐกิจดีขึ้น ผู้คนเริ่มมั่นใจกลับมาใช้จ่ายเงินอีกครั้ง ความต้องการสินเชื่อบุคคลในตลาดจะกลับมาคึกคัก ธนาคารจึงกลับมาลุยในธุรกิจนี้เพื่อขยายฐานสินเชื่อให้ใหญ่ขึ้น

นายวิชิต ยอมรับว่า การปรับลดฐานเงินเดือนลูกค้าทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดหนี้เสียมากขึ้น อาจทำให้กำไรเฉลี่ยของลูกค้าต่อรายปรับลดลง แต่การมีฐานลูกค้าที่ใหญ่ขึ้นมากจะทำให้การทำกำไรดีขึ้น

ปัจจุบัน ธนาคารเอชเอสบีซี มียอดสินเชื่อบุคคลไม่ถึงหมื่นล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 2% แต่ธนาคารตั้งเป้าจะขยายฐานสินเชื่อให้โตขึ้นเป็น 2 เท่าภายในปี 2555 โดยจัดโปรโมชันดอกเบี้ย 0% และกำนัลเงินสด 500 บาท สูงสุดไม่เกิน 5,000 บาท คาดว่าภายใน 2 เดือนจะปล่อยกู้ได้ 500 ล้านบาท

นายวิชิต กล่าวว่า จากสถิติลูกค้าสินเชื่อบุคคลทั่วโลกจะพิจารณาแหล่งเงินกู้โดยเน้นการเข้าถึงเงินกู้ได้ง่ายเป็นลำดับแรก รองลงมา คือ อนุมัติเร็ว แต่คนไทยมีบุคลิกภาพเป็นคนขี้อาย จึงต้องใช้กลยุทธ์เพิ่มเติมด้วยการสร้างทีมขายสินเชื่อทางโทรศัพท์ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าทั้งในกทม. และต่างจังหวัด

อย่างไรก็ดี ได้ให้ข้อกำหนดในการขายแก่บริษัทภายนอกที่ธนาคารได้ว่าจ้างมาว่า หากได้รับการร้องเรียนจากลูกค้าจะทำการขึ้นบัญชีดำพนักงานคนนั้นทันที และไม่ว่าจ้างอีก แต่การบริการลูกค้านับแสนรายหากมีเสียงบ่นบ้าง 5-10 รายก็ถือ ว่าปกติ

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ปีนี้สินเชื่อบุคคลจะกลับมาคึกคัก โดยน่าจะเติบโตได้ 4-5% จากปีที่แล้วเติบโต 0% ผู้เล่นที่จะรุกตลาดชัดเจนได้แก่ธนาคารพาณิชย์ไทยอย่างกสิกรไทย กรุงศรีอยุธยา ไทยพาณิชย์ หรือธนาคารต่างประเทศอย่างเอชเอสบีซี ซิตี้แบงก์ ยูโอบี

ขณะที่ผู้เล่นที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นันแบงก์) ซึ่งได้ชะลอการปล่อยกู้หรือหยุดการขยายธุรกิจไปในปีที่แล้ว เพราะฐานลูกค้าคือกลุ่มเงินเดือน 5,000-7,000 บาท มีความเสี่ยงต่อหนี้เสีย แต่เชื่อว่าปีนี้จะกลับมาทำตลาดกันมากขึ้น

สำหรับธนาคารกสิกรไทยจะรุกสินเชื่อบุคคลไม่มีหลักประกันให้เติบโต 50% โดยเจาะกลุ่มลูกค้าเงินเดือน 1 หมื่นบาทขึ้นไป ต่ำกว่าระบบที่มีเพดาน 1.5 หมื่นบาท

“ตอนนี้ยังไม่เห็นการแข่งขันด้านราคากันมากนัก สำหรับกสิกรไทยจะคิดดอกเบี้ย 20-27% กรณีกู้เงิน 2.4 แสนบาทขึ้นไป จะคิดดอกเบี้ย 20% หากกู้เงินตั้งแต่ 8 หมื่น-2.4 แสนบาท จะคิดดอกเบี้ย 24% แต่ถ้ากู้เงินต่ำกว่า 8 หมื่นบาท จะคิดดอกเบี้ย 27%” นายชาติชาย กล่าว

ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานยอดสินเชื่อเพื่อการอุปโภคและบริโภค ซึ่งประกอบด้วยสินเชื่อบุคคล สินเชื่อหมุนเวียน และสินเชื่อบุคคลซึ่งมีบ้านเป็นหลักประกันในระบบอยู่ที่ 2.1 แสนล้านบาท มีฐานลูกค้า 8.8 ล้านบัญชี
posttoday

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

อุตสาหกรรมค้าปลีก53

อุตสาหกรรมค้าปลีก53
05/01/53
อุตสาหกรรมเด่น
SCRI มีมุมมองเป็น Bullish ต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีก
: รายงานดัชนีค้าปลีกของไทย ในเดือน ต.ค. 2552 เท่ากับ 156.9 จุด เพิ่มขึ้น 2.1% mom และเพิ่มขึ้น 2.1% yoy ซึ่งเป็นการปรับขึ้นของดัชนีติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 นับตั้งแต่เดือน ส.ค. 2552 เป็นต้นมา และยังเป็นการปรับขึ้น yoy ครั้งแรกในรอบปี ทั้งนี้ SCRI คาดดัชนีค้าปลีกเดือน พ.ย. – ธ.ค. 2552 จะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากเดือน ต.ค. 2552 ส่งผลบวกต่อผลประกอบการของกลุ่มพาณิชย์ ซึ่งโดยปกติแล้วช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จะเป็นช่วง High Season ของธุรกิจค้าปลีก การฟื้นตัวของดัชนีค้าปลีกในเดือน ต.ค. 2552 และแนวโน้มการฟื้นตัวในเดือน พ.ย. – ธ.ค. 2552 ดังนั้น SCRI จึงประเมินว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานของกลุ่มพาณิชย์ใน Q4/52 จะเติบโตอย่างโดดเด่น โดยเฉพาะผลประกอบการของ BIGC และ MAKRO ที่อ่อนแอตลอดในช่วง Q1/2552 – Q3/2552 ซึ่งเป็นไปตามแนวโน้มดัชนีค้าปลีกของประเทศไทย
โดย สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ประจำวันที่ 5 มกราคม 2553

อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน53

อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน53
06/01/53
อุตฯรถกระเตื้อง ฟอร์ด ระบุยอดเดือนธ.ค.พุ่งสูงสุดรอบสองปี
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ฟอร์ด เผยยอดส่งท้ายปี 2552 ยอดขายเดือนธันวาคมพุ่งสูงสุดในรอบ 24 เดือน คาดว่ายอดรวมปี 2553 สดใส หลังจากเฟียสต้าใหม่พร้อมออกขายปีนี้
นายสาโรช เกียรติเฟื่องฟู รองประธานอาวุโส ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า ผู้จำหน่ายรถยนต์ฟอร์ด เปิดเผยว่า ยอดขายรถฟอร์ด เรนเจอร์ เดือนธันวาคมอยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2551 หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 37% เทียบกับเดือนก่อนหน้าด้วยจำนวน 660 คัน ขณะที่ยอดขายรวมในไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้นกว่า 11 % จากไตรมาสที่ 3 ด้านฟอร์ด เอสเคป ทำยอดขายอยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2551 หรือเพิ่มขึ้น 175 % จากเดือนก่อนหน้าฟอร์ด เอเวอเรสต์ นับเป็นอีกหนึ่งในแบรนด์ของฟอร์ดที่มียอดขายในเดือนธันวาคม อยู่ในระดับสูงสุดในรอบกว่า 4 ปี หรือมียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 39 % เทียบกับเดือนก่อนหน้า ยอดขายฟอร์ด เอเวอเรสต์ ประจำไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้น 102% จากไตรมาสที่ 3 ของปี 2552

รถยนต์ฟอร์ด โฟกัส ทีดีซีไอ พร้อมระบบเกียร์เพาเวอร์ชิฟท์ช่วยเพิ่มยอดขายให้กับฟอร์ด โฟกัส ในเดือนธันวาคมอยู่ที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2550 หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 216% จากเดือนพฤศจิกายน และยอดขายรวมในไตรมาสที่ 4 ของฟอร์ด โฟกัส เพิ่มขึ้น 81% จากไตรมาสก่อนหน้า

"ปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ยอดขายรวมในเดือนธันวาคม เป็นผลจากการที่รถยนต์ทุกรุ่นสามารถทำยอดขายต่อเดือนได้สูงที่สุดในรอบปี การที่ยอดขายรถยนต์ฟอร์ดทุกรุ่นอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งแสดงให้เห็นว่าเราได้นำเสนอสินค้าที่มีความเหมาะสมต่อไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของลูกค้าฟอร์ดในประเทศไทย นอกจากนี้แผนการเปิดตัวรถฟอร์ด เฟียสต้าใหม่ ในปีนี้จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของสินค้าระดับโลกภายใต้แบรนด์ฟอร์ดเพิ่มขึ้นอีกขั้น และจะช่วยต่อยอดความสำเร็จของเราในอนาคต" นายสาโรช กล่าว
ทั้งนี้ รถยนต์ฟอร์ด เฟียสต้าใหม่ ที่กำลังจะเปิดตัวในเร็วๆ นี้ เป็นรถที่ได้รับความนิยมทั่วโลกเปิดตัวครั้งแรกในภูมิภาคอาเซียน โดยฟอร์ดได้นำรถดังกล่าวมาแสดงในงานมหกรรมยานยนต์ ไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2009 เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งรถยนต์ ฟอร์ด เฟียสต้าใหม่ จะผลิตที่โรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย ในจังหวัดระยอง ด้วยเงินลงทุนมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท) และจะพร้อมวางจำหน่ายในประเทศไทยและทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียนในปีนี้
krungthepturakij
************
05/01/53
คลังชงมาตรการภาษีรถยนต์ไฮบริดเข้าครม.
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
คลังชงมาตรการภาษีส่งเสริมรถยนต์ไฮบริด เข้าครม.ในวันนี้ คาดนายกฯเตรียมยกปัญหา "หวยออนไลน์" เข้าถกครม.
ในวันนี้ (5 ม.ค.) การประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรกของปี 2553 คาดว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะมีการหยิบยกปัญหาการเดินหน้าโครงการจำหน่ายหวยออนไลน์ขึ้นหารือในที่ประชุม ท่ามกลางความเห็นจาก 2 ด้าน ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการเดินหน้าโครงการดังกล่าว

สำหรับวาระการประชุมคณะรัฐมนตรีที่สำคัญวันนี้ มีเรื่องที่ต้องพิจารณา เช่น กระทรวงการคลังเตรียมเสนอร่างประกาศกระทรวง เรื่องมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการผลิตและการใช้รถยนต์นั่งประหยัดพลังงานประเภทพลังงานผสม ชนิดพลังงานเชื้อเพลิงและพลังงานไฟฟ้าในประเทศ (รถยนต์ไฮบริด)

นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง จะรายงานการรับ การใช้จ่ายเงิน และการชำระคืนเงินกู้ชดใช้ค่าเสียหาย ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ประจำปีงบประมาณ 2552 และขอเสนอระยะเวลายกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันตามโครงการ PortFolio Grarantee Scheme ของบริษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม และการชดเชยธรรมเนียมค้ำประกัน
krungthepturakij

กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและครัวเรือน53

กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและครัวเรือน53
05/01/53
เครื่องใช้ไฟฟ้าปีเสือแข่งดุหลังเศรษฐกิจฟื้น

ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าปีเสือแข่งดุ กลุ่มไอทีและเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กมาแรง มั่นใจมาตรการกระตุ้นของภาครัฐดันอุตสาหกรรมโต
ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมาสามสี่ปีติดต่อกัน ทำให้ผู้ประกอบการเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างคาดการณ์ว่า ภาพรวมตลาดปี 2552 ที่ผ่านมา จะทรุดตัวลงไม่ต่ำกว่า 20% อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ไตรมาสสุดท้าย ของปี สถานการณ์กลับดีขึ้น ภาพรวมของตลาด มีการเติบโต 5% โดยสินค้าหลักที่ช่วยผลักดันยอดขายในตลาด คือสินค้า หมวดจอภาพ ไอที และเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก ซึ่งสินค้าในหมวดดังกล่าวถือเป็นสินค้าที่ทำยอดขายเป็นหลักอยู่แล้วในตลาด
"ภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน (เอชเอ) โดยเฉพาะในส่วนของชิ้นเล็ก ในช่วง 11 เดือนของปีที่ผ่านมา (ม.ค.-พ.ย. 2552) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2551 ปรากฏ มียอดจำหน่ายปรับตัวสูงขึ้นในทุกประเภท เฉพาะอย่างยิ่งยอดจำหน่ายของเครื่องทำน้ำอุ่นปรับตัวสูงขึ้นถึง 85% ขณะที่ในด้านมูลค่าตลาดก็ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน 87% สำหรับยอดขายเครื่องทำน้ำอุ่นนั้น ในช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดตามฤดูกาล" ชัยฤทธิ์ ปิยบุตร ผู้จัดการประจำประเทศไทย จีเอฟเค รีเทล แอนด์ เทคโนโลยี ประเทศไทย บริษัทวิจัยและทำการสำรวจเครื่องใช้ไฟฟ้าในส่วนรีเทล กล่าว
นอกจากเครื่องทำน้ำอุ่นแล้ว ในส่วนของเครื่องเตรียมอาหาร ในแง่ของทั้งยอดจำหน่ายเชิงยูนิตและมูลค่าก็มีการปรับตัวขึ้นอย่างมากเช่นเดียวกัน โดยเชิงปริมาณ เติบโต 24% ส่วนมูลค่า 21% สำหรับเครื่องดูดฝุ่นแม้ว่ายอดขายในเชิงของปริมาณ เติบโต 13% แต่ในแง่ของมูลค่าการตลาดพบว่ามีการปรับตัวลดลง 1% เนื่องจากราคาเฉลี่ยปรับตัวลดลงนั่นเอง
"สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กโดยเฉลี่ยแต่ละปีโต 5-10% เป็นตัวที่ช่วยดันตลาดในกลุ่มเอชเอ สำหรับปีนี้เราคาดว่านอกจากชิ้นเล็กอื่นๆ แล้ว เครื่องปรับอากาศเป็นอีกสินค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่ดันให้ตลาดขยายตัว เพียงแต่ปีที่ผ่านมาไตรมาสแรกและไตรมาสสองอาจ ลดลงไปบ้าง แต่ไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมาเครื่องปรับอากาศกลับมาขยายตัว 5%" ผู้บริหารกล่าว
ส่วนเครื่องใช้ไฟอื่นๆ โดยเฉลี่ยมียอดจำหน่ายสูงขึ้นไม่มากนัก เช่น เตารีดมียอดจำหน่ายเชิงจำนวน และเชิงมูลค่าอยู่ที่ 4% โดยผู้บริโภคยังคงให้การตอบรับกับเตารีดชนิดไอน้ำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคให้ความใส่ใจในรายละเอียดของการรักษาคุณภาพของเสื้อผ้ามากขึ้น รวมทั้งการใช้งานของเตารีดชนิดไอน้ำในปัจจุบันใช้งานง่ายและรวดเร็วกว่าเตารีดชนิดแห้ง
ส่วนตลาดไดร์เป่าผมเป็นอีกสินค้าหนึ่งที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 11 เดือนของปีที่ผ่านมามียอดจำหน่ายเชิงปริมาณ และเชิงมูลค่าอยู่ที่ 3% และ 7% ตามลำดับ ขณะที่ตลาดของหม้อหุงข้าว มียอดจำหน่ายเชิงปริมาณคงที่และเชิงมูลค่าเพิ่มขึ้น 3% สำหรับตลาดหม้อหุงข้าวแบบอุ่นทิพย์ หรือ Jar Type ในปีนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้นต่อเนื่องจากปีที่แล้วใน ในขณะที่หม้อหุงข้าวแบบธรรมดา หรือ Conventional Type มีสัดส่วนลดลง
เอกชนมั่นใจมาตรการกระตุ้น ศก.ดันตลาดโต
นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด เปิดเผยว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่มีมาตั้งแต่ต้นปี 2552 โดยเฉพาะมาตรการระยะสั้นช่วยให้ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศไม่ได้ตกต่ำอย่างที่คาดการณ์ของหลายๆ ฝ่าย และส่งผลดีมาถึงหลายๆ อุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า
“การแข่งขันในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าปีนี้ ยังคงมีการแข่งขันที่รุนแรง สินค้าที่ขายได้ยังมีหลายกลุ่ม โดยกลุ่มไอทีและเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กช่วยดันให้ตลาดโต เชื่อว่าผู้ประกอบการจะงัดกลยุทธ์ในรูปแบบต่างๆ ออกมา โดยเฉพาะในปีนี้ที่จะมีมหกรรมกีฬาอย่างฟุตบอลโลก 2010 เราเชื่อว่าจะช่วยให้ภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าคึกคักอย่างแน่นอน”
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในปีนี้ (เม.ย. 2552 - มี.ค. 2553) ถึงแม้บริษัทจะยังไม่ปิดปีงบประมาณ แต่ก็มั่นใจว่าจะได้ตามเป้าหมายที่วางไว้คือ 5,700 ล้านบาท เติบโต 15% ส่วนปีหน้า (เม.ย. 2553-มี.ค. 2554) บริษัทก็มั่นใจเช่นกันว่าจะเติบโต โดยตั้งเป้ารายได้ไว้ 6,500 ล้านบาท สำหรับรายได้หลักของบริษัทยังคงมาจากกลุ่มเอชเอ 55% รองลงมาคือ ไอที 30% และ 15% เป็นกลุ่มเอวี
นายอลงกรณ์ ชูจิตร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าปีที่ผ่านมาแม้จะมีสินค้าบางตัวที่หดตัว เช่น เครื่องปรับอากาศ, ซีอาร์ที ทีวี,กล้องดิจิทัล และเครื่องเสียง แต่ก็ยังมีสินค้าอีกหลายๆ กลุ่มช่วยขับเคลื่อนตลาด เช่น แอลซีดี ทีวี, เครื่องซักผ้า ตู้เย็น และเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก
สำหรับแอลจีสินค้าที่โดดเด่นและช่วยขับเคลื่อนคือ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น แอลซีดี และแอลอีดี ทีวี โดยภาพรวมที่ผ่านมาเติบโต 16-17% หรือคิดเป็นรายได้ 1.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่ในปีนี้บริษัทยังมั่นใจว่าจะสามารถเติบโตได้อย่างน้อย 20% เนื่องจากสินค้าหลักอีกตัวหนึ่งที่ช่วยไดร์ฟตลาด คือ เครื่องปรับอากาศ หลังจากที่ภาษีสรรพสามิตเหลือ 0% จะส่งผลให้ตลาดเครื่องปรับอากาศในปี 2553 นี้ กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากที่ซัมเมอร์ที่ผ่านมาตลาดหดตัวกว่า 10%
"ปีนี้เรามั่นใจว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น ดูจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐที่มีการลงทุนระบบสาธารณูปโภค รวมทั้งโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งโครงการต่างๆ เหล่านี้จะมีผลในระยะยาว และจากการที่ซัพพลายเออร์มีออเดอร์เพิ่มขึ้น มีการเพิ่มกำลังผลิต เราจึงมั่นใจว่าปีนี้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น และส่งผลต่อภาพรวมในอุตสาหกรรมดีขึ้นเช่นกัน" ผู้บริหารกล่าว
krungthepturakij