วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

china-india monitor

14/01/53
นักวิเคราะห์ ING คาดจีนขยายช่วงการซื้อขายเงินหยวนปีนี้

นักวิเคราะห์จากอินดัสเทรียล แบงค์ และไอเอ็นจี กรุ๊ป คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางจีนจะขยายช่วงการซื้อขายเงินหยวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในปีนี้ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับสกุลเงินหยวน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การสกัดเม็ดเงินเก็งกำไรที่ไหลเข้าจากต่างประเทศ โดยคาดว่าธนาคารกลางจะขยายช่วงการซื้อขายเงินหยวนเป็น 1% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3% ในปีหน้า จากปัจจุบันที่ระดับ 0.5%

จีนเผชิญกับเม็ดเงินไหลเข้าจากต่างประเทศจำนวนมาก อันเนื่องมาจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวแข็งแกร่งและเงินหยวนของจีนจะแข็งค่าขึ้น ซึ่งเม็ดเงินไหลเข้าจำนวนมากนี้ส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อและทำให้จีนมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะฟองสบู่ด้านสินทรัพย์ ขณะที่ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีน ณ สิ้นสุดเดือนธ.ค.ปี 2552 พุ่งขึ้น 24% แตะที่ 2.42 ล้านล้านดอลลาร์

ช่วงที่ผ่านมานักลงทุนเข้าทำธุรกรรมสว็อปค่าเงินหยวนมากที่สุดในรอบ 8 สัปดาห์ หลังจากมีรายงานว่ายอดส่งออกของจีนเดือนธ.ค.ขยายตัวแข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งทำให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางจีนอาจปรับขึ้นค่าเงินหยวนในวันข้างหน้า โดยจีนได้ตรึงค่าเงินหยวนไว้ที่ระดับ 6.83 หยวนต่อดอลลาร์นับตั้งแต่เดือนก.ค.2551 เพื่อช่วยกลุ่มบริษัทส่งออกให้สามารถรับมือกับดีมานด์ที่หดตัวลงอันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์การเงินทั่วโลกได้

ขณะที่นายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่าของจีน ยืนยันเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า จีนจะไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องของนานาชาติที่ต้องการให้จีนปรับขึ้นค่าเงินหยวน

นักวิเคราะห์จากไชน่า เมอร์ชานท์ส แบงค์ กล่าวว่า ตลาดจำเป็นต้องจับตาดูสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศจีนอย่างใกล้ชิดก่อนที่จะมั่นใจว่าอุตสาหกรรมส่งออกขยายตัวอย่างยั่งยืน พร้อมกับคาดการณ์ว่าจีนจะตรึงค่าเงินหยวนไว้ที่ระดับ 6.83 หยวนต่อดอลลาร์จนถึงช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และคาดว่าเงินหยวนจะไม่แข็งค่าเกิน 2%
money wake up
***********
13/01/53
ข่าวจีนชะลอเศรษฐกิจ ฉุดหุ้นสหรัฐฯ – ยุโรปร่วง

ข่าวที่ทางการจีนสั่งให้ธนาคารในประเทศตั้งสำรองเงินทุนในอัตราที่สูงขึ้นเพื่อหวังชะลอการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเร่งตัวเร็วจนเกินไป กลายเป็นปัจจัยลบกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งเรื่องของผลกำไร Alcoa ที่ประเดิมรายงานผลประกอบการต่ำกว่านักวิเคราะห์คาดไว้ และยังไม่รวมถึงการที่มีบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ อย่าง Chevron ออกมาบอกว่า กำไรในไตรมาสที่แล้วจะต่ำลงกว่าไตรมาสก่อนหน้า จนทำให้นักลงทุนหันมาเก็งว่าผลการดำเนินงานของบริษัทล่าสุดจะสร้างความน่าผิดหวัง

ดัชนี S&P 500 ร่วงลงเป็นครั้งแรกของปีนี้ ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงแรงที่สุดในรอบ 3 สัปดาห์ และในเวลาเดียวกัน เทรดเดอร์ก็ขายทำกำไรในตลาดน้ำมัน ทำให้ราคาร่วงลงมากที่สุดในรอบ 5 สัปดาห์

นักวิเคราะห์มองว่า สัญญาณจากประเทศจีนเป็นเหมือนการตอกย้ำความเชื่อที่ว่า รัฐบาลประเทศต่างๆ อาจจะทยอยถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อเห็นตัวเลขที่สำคัญออกมาดีขึ้น

หุ้น Air France – KLM Group นำหุ้นทั้งกลุ่มสายการบินของยุโรปปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ หลังจากที่ Japan Airlines ดิ่งลงกว่า 40% ในการซื้อขายเมื่อวาน รับข่าวความเป็นไปได้ที่บริษัทจะยื่นขออนุมัติเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย แม้ว่าตลาดเอเชียจะมีแรงหนุนจากตัวเลขยอดขายรถในประเทศจีน ที่พุ่งขึ้นแรงที่สุดในรอบ 10 ปีเป็นอย่างน้อย

ส่วนที่ตลาดน้ำมัน ถึงแม้ราคาจะแผ่วลงมายืนใกล้ระดับ 80 เหรียญต่อบาร์เรล จากข่าวที่ทางการจีนใช้มาตรการสกัดกั้นฟองสบู่ในเศรษฐกิจ ล่าสุดทางด้านกระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ ก็ออกมาปรับเพิ่มคาดการณ์ค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันในปีนี้ ขึ้นมาอยู่ที่ 79.8 เหรียญ จากคาดการณ์เดิมที่ 78.6 เหรียญ และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของปีที่แล้ว ที่ราคาน้ำมัน West Texas Intermediate เฉลี่ยอยู่ที่เพียง 61 เหรียญเท่านั้น
************
13/01/53
จีนประกาศเพิ่มสำรองเงินฝากธนาคารพาณิชย์

ธนาคารกลางจีนประกาศเพิ่มสัดส่วนการกันสำรองเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ 0.5% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 มกราคมปีนี้ ซึ่งนับเป็นการปรับเพิ่มครั้งแรกตั้งแต่เดือนมิ.ย.2551

การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มการกันสำรองเงินฝากในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อคลายความร้อนแรงของเศรษฐกิจจีนที่มีอัตราขยายตัวเร็วที่สุดในโลก เนื่องจากหวั่นเกรงว่าการขยายตัวของสินเชื่อที่สูงเกินไปจะส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อและภาวะฟองสบู่ในสินทรัพย์

ธนาคารพาณิชย์จีนทำสถิติปล่อยกู้สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 9.21 ล้านล้านหยวน (1.3 ล้านล้านดอลลาร์) ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2552 ซึ่งผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศดีดตัวขึ้นหลังจากที่วิกฤตการเงินโลกได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของจีน

อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางระบุว่า การปรับเพิ่มสำรองเงินฝากในครั้งนี้ไม่รวมถึงสถาบันการเงินขนาดเล็ก อาทิ สหกรณ์ในเขตชนบท และไม่ได้ระบุชัดเจนถึงสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารขนาดเล็ก

ทั้งนี้ ปัจจุบันสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารขนาดใหญ่อยู่ที่ 15.5% และ 13.5% สำหรับธนาคารขนาดเล็ก


จีนปรับขึ้นดอกเบี๋ยตั๋วเงินคลัง ส่งสัญญาณคุมเศรษฐกิจร้อน

ธนาคารกลางจีน ปรับขึ้นดอกเบี้ยตั๋วเงินคลัง อายุ 1 ปี จาก 0.08% สู่ระดับ 1.843% (มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้) ซึ่งมาตรการดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากก่อนหน้านี้ ปริมาณการปล่อยสินเชื่อของภาคธนาคารพุ่งขึ้นสู่ 600,000 ล้านหยวนเพียงแค่สัปดาห์แรกของปีนี้ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสร้างความวิตกว่า เศรษฐกิจจีนอาจจะอยู่ในภาวะที่ร้อนแรงเกินไป ประกอบกับตัวเลขการค้า เดือน ธ.ค. ที่ระดับสูงก็เป็นอีกปัจจัหนึ่งที่สนับสนุนแนวคิดนี้

ความเห็นของนักวิเคราะห์ มองว่า “การซื้อคืนพันธบัตรวานนี้ เป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งชี้ว่า ธ.กลางจีนกำลังดูดซับเม็ดเงินออกจากตลาดตราสารหนี้ระยะสั้น เพราะ ธ.กลางจีนมองว่าสภาพคล่องอยู่ในระดับที่สูงเกินไป”

อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวทรงตัวเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจาก Trader ไม่มั่นใตว่า ธ.กลางจีนจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝาก มากกว่า 0.54% ในปีนี้


จีนเตรียมก่อสร้างท่าอากาศยานสูงที่สุดในโลก

จีนวางแผนจะก่อสร้างท่าอากาศยานสูงที่สุดในโลกที่ทิเบต ที่ระดับความสูงเกือบ 4,500 เมตร โดยโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานบนหลังคาโลกจะดำเนินการที่เขตหนาฉู่ ที่ระดับความสูงถึง 4,436 เมตร โดยจะเริ่มก่อสร้างในปีหน้า ด้วยงบประมาณมูลค่า 1,800 ล้านหยวน (ประมาณ 8,715 ล้านบาท)

เขตหนาฉู่จะกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในดินแดนดังกล่าว นอกจากนี้ ท่าอากาศยานแห่งใหม่ดังกล่าวจะเป็นท่าอากาศยานแห่งที่ 6 ที่ก่อสร้างขึ้นในดินแดนซึ่งปกครองโดยจีนมานานเกือบ 60 ปี

นักวิจารณ์ระบอบการปกครองของจีนเปิดเผยว่า ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานใหม่ เช่น ทางรถไฟซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อไม่นานมานี้ และท่าอากาศยานแห่งใหม่ดังกล่าว จะทำให้ชาวฮั่นหลั่งไหลเข้ามาในทิเบต เพื่อหาประโยชน์จากทรัพยากรและควบคุมระบบการปกครองของทิเบต แต่ทางการจีนยืนกรานว่า โครงการดังกล่าวจะช่วยยกมาตรฐานความเป็นอยู่ให้กับประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว
money wake up
**********
12/01/53
จีนแซงหน้าสหรัฐเป็นตลาดรถรายใหญ่สุดของโลก

สมาคมผู้ผลิตยานยนต์จีนเผย จีนแซงหน้าสหรัฐขึ้นเป็นตลาดรถรายใหญ่สุดของโลกเป็นครั้งแรก ด้วยยอดขายสูงกว่า 13.64 ล้านคันในปีที่แล้ว หลังจากที่จีนได้แซงหน้าเยอรมนีเป็นประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่สุดเมื่อปีที่แล้วเช่นกัน

สำนักงานศุลกากรจีนเผยยอดการส่งออกเดือนธ.ค.ขยายตัวขึ้น 17.7% นับเป็นสถิติยอดการค้าที่ดีดตัวขึ้นนี้อาจจะทำให้ทางการจีนตัดสินใจปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ในปีนี้ การที่จีนไม่ได้ปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นทำให้จีนแซงหน้าเยอรมนีขึ้นแท่นเป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลกในปีที่แล้วการขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 14 เดือน ขณะที่การนำเข้าพุ่งสูงขึ้น 55.9%

ยอดการค้าที่ดีดตัวขึ้นนี้อาจจะทำให้ทางการจีนตัดสินใจปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ในปีนี้ การที่จีนไม่ได้ปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นทำให้จีนแซงหน้าเยอรมนีขึ้นแท่นเป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลกในปีที่แล้ว
money wake up
**********
12/01/53
นักลงทุนทำสว็อปเงินหยวนมากสุดในรอบ 8 สัปดาห์

นักลงทุนเข้าทำธุรกรรมสว็อปค่าเงินหยวนมากที่สุดในรอบ 8 สัปดาห์ หลังจากมีรายงานว่ายอดส่งออกของจีนเดือนธ.ค.ขยายตัวแข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งทำให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางจีนอาจปรับขึ้นค่าเงินหยวนในวันข้างหน้า

สำนักงานศุลกากรของจีนรายงานเมื่อวานนี้ว่า ยอดส่งออกเดือนธ.ค.ทะยานขึ้น 17.7% ทำสถิติเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 14 เดือน และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 5% ขณะที่ยอดนำเข้าพุ่งขึ้น 55%

นักวิเคราะห์มองว่ายอดนำเข้าและส่งออกที่เพิ่มขึ้นของจีนบ่งชี้ถึงดีมานด์ที่แข็งแกร่งทั่วโลก และอาจทำให้จีนต้องตัดสินใจปรับขึ้นค่าเงินหยวนในที่สุด

ทั้งนี้ เมื่อวานอัตราผลตอบแทนในการทำสว็อปค่าเงินหยวนพุ่งขึ้น 0.5% แตะที่ 6.5920 หยวนต่อดอลลาร์ ซึ่งบ่งชี้ว่าสกุลเงินหยวนมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น 3.6%

จีนได้ตรึงค่าเงินหยวนไว้ที่ระดับ 6.83 หยวนต่อดอลลาร์นับตั้งแต่เดือนก.ค.2551 เพื่อช่วยกลุ่มบริษัทส่งออกให้สามารถรับมือกับดีมานด์ที่หดตัวลงอันเนื่องมาจากวิฤตการณ์การเงินทั่วโลกได้

ขณะที่นายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่าของจีน ยืนยืนเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ที่ผ่านมาว่า จีนจะไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องของนานาชาติที่ต้องการให้จีนปรับขึ้นค่าเงินหยวน

นักวิเคราะห์จากไชน่า เมอร์ชานท์ส แบงค์ กล่าวว่า ตลาดจำเป็นต้องจับตาดูสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศจีนอย่างใกล้ชิดก่อนที่จะมั่นใจว่าอุตสาหกรรมส่งออกขยายตัวอย่างยั่งยืน

พร้อมกับคาดการณ์ว่าจีนจะตรึงค่าเงินหยวนไว้ที่ระดับ 6.83 หยวนต่อดอลลาร์จนถึงช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และคาดว่าเงินหยวนจะไม่แข็งค่าเกิน 2%


ตัวเลขการค้าจีนหนุนตลาดหุ้น ขณะ Alcoa ประเดิมประกาศกำไร Q4

ปัจจัยเรื่องมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นมาสูงเร็วจนเกินไปส่งผลกดดันตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนนี้ ขณะที่ทางฟากของสหรัฐฯ นักลงทุนยังเชื่อมั่นในแรงส่งที่มาจากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ น่าจะช่วยให้ผลประกอบการในไตรมาส 4 ที่กำลังจะทยอยประกาศออกมาปรับตัวดีขึ้น

ดัชนี Dow Jones Stoxx 600 ของยุโรป ย่อลงมาจากระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือนเมื่อคืนนี้ จากความกังวลว่าตลาดปรับตัวขึ้นมาสูงจนเกินปัจจัยพื้นฐาน ขณะที่กำลังเข้าใกล้ฤดูการประกาศผลประกอบการรอบใหม่

ผลพวงจากการลดค่าเงินของประเทศเวเนซูเอล่า ส่งผลให้หุ้น Telefonica ที่เป็นบริษัทโทรศัพท์ยักษ์ใหญ่อันดับสองของยุโรป ร่วงลงกว่า 3% ซึ่งแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคมปีที่แล้ว จากการที่บริษัทมีสัดส่วนรายได้ที่มาจากประเทศนี้ราว 6% ตามข้อมูลในช่วง 9 เดือนแรกของปีที่แล้ว แม้ในปีที่ผ่านมา บริษัทจะมีความพยายามในการดึงเงินประมาณ 2,000 ล้านเหรียญออกจากเวเนซูเอล่า

อย่างไรก็ดี ตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของจีนได้ช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนทั้งที่ตลาดยุโรปและสหรัฐฯ จนทำให้มีแรงซื้อกระจายเข้ามาในหุ้นหลายกลุ่ม รวมถึงผู้ผลิตอลูมินั่มรายใหญ่ อย่าง Alcoa ที่บวกได้กว่า 2% ก่อนหน้าที่บริษัทจะรายงานผลประกอบการหลังจากตลาดปิดการซื้อขาย ด้วยผลกำไรที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ตัวเลขส่งออกของจีนที่ดีกว่าคาดในเดือนที่แล้วยังช่วยผลักดันให้ราคาหุ้นผู้ผลิตเครื่องจักรก่อสร้างรายใหญ่ อย่าง Caterpillar พุ่งขึ้นแรงถึง 6% ทำสถิติบวกแรงที่สุดนับตั้งเดือนกรกฎาคม

ส่วนความเคลื่อนไหวทางด้านกลุ่มสถาบันการเงิน หุ้น Citibank ก็บวกขึ้นจากข่าวมหาเศรษฐีประเทศซาอุดิอาระเบีย เจ้าชาย Alwaleed bin Talal ในฐานะผู้ถือหุ้นรายบุคคลที่ใหญ่ที่สุด บอกว่า จุดต่ำสุดของธนาคารที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของอเมริการายนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว พร้อมกับมั่นใจในอนาคตที่กำลังมีแนวโน้มดีขึ้นมาก

ในสัปดาห์นี้จะมีหุ้นที่น่าสนใจอีก 2 ตัวคือ Intel และ JPMorgan กำลังจะรายงานผลตามมา
money wake up
**********
11/01/53
มาร์ค โมเบียสเชื่อฟองสบู่ในอสังหาฯจีนไม่รุนแรง

มาร์ค โมเบียส ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนชื่อดังระดับโลกและเจ้าของบริษัท เทมเพิลตัน แอสเซท เมเนจเมนท์ คาดการณ์ว่าภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนจะไม่เข้าขั้นรุนแรง เพราะเชื่อว่าจีนจะใช้มาตรการสกัดภาวะฟองสบู่ได้ทันเวลาและจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาด นอกจากนี้ โมเบียสกล่าวว่าอัตราการออมในประเทศจีนยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคปรับตัวสูงขึ้น แต่เขาเชื่อว่าตัวเลขดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ

โมเบียสกล่าวว่า เขาวางแผนที่จะเข้าซื้อหุ้นในตลาดหุ้นจีนมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดีมานด์ผู้บริโภคที่สูงขึ้น รวมถึงหุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบ ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหุ้นจีนร่วงลง 28% ในรอบปีงบการเงินที่สิ้นสุด ณ วันที่ 7 ม.ค.2553 หลังจากทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 ปีเมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ โมเบียสกล่าวว่า แม้จีนจะพยายามควบคุมอัตราการปล่อยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ แต่ก็จะไม่ส่งผลกระทบในด้านลบต่อตลาด เพราะเชื่อว่าประสิทธิภาพด้านการผลิตที่เคลื่อนไหวอย่างสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจจะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยควบคุมเงินเฟ้อในจีนได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ โมเบียสได้กล่าวชื่นชมการทำงานของรัฐบาลจีนว่า จีนเป็นประเทศที่เฝ้าระวังความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจอยู่ตลอดเวลาและจะไม่ปล่อยให้เศรษฐกิจเคลื่อนไหวอย่างเหนือการควบคุม ทั้งนี้ ก็เพราะจีนต้องการให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างยั่งยืน

ธนาคารกลางจีนซึ่งตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภท 1 ปีไว้ที่ระดับต่ำสุดที่ 5.31% มาเป็นเวลากว่า 1 ปี ได้เปิดทางให้ธนาคารพาณิชย์ในประเทศปล่อยเงินกู้ให้กับผู้บริโภคและภาคเอกชนเป็นวงเงินสูงถึง 9.21 ล้านล้านหยวน หรือ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2552
money wake up
***********
08/01/53
ธนาคารกลางจีนส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย

ธนาคารกลางจีนได้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาด ด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ยอัตราผลตอบแทนของตั๋วเงินคลังระยะ 3 เดือน เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่กลางเดือน ส.ค. 2552 ซึ่งเป็นการคุมเข้มสภาพคล่อง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 3 เดือน มีผลตอบแทนอยู่ที่ 1.3684% เพิ่มขึ้น 0.0404% จาก 1.3280% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นผลตอบสนองที่ต่อเนื่องมาจาก ทางการจีนระบุว่าจะควบคุมการขยายตัวของสินเชื่อ ทำให้นักลงทุนเชื่อว่า จะมีโอกาสที่ธนาคารกลางจีนจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ เพื่อลดความร้อนแรงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจรวมถึงจัดการกับเงินเฟ้อ

จากผลดังกล่าว ทำให้หลายฝ่ายวิตกว่า อาจจะกระทบต่อความต้องการเหล็ก /ทองแดง และทรัพยากร อื่นๆ ที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ


จีนจำกัดการใช้ไฟฟ้า หลังเผชิญภัยหนาว

จีนได้สั่งจำกัดการใช้ไฟฟ้า หลังจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นจนทำให้เกิดหิมะตกนั้นได้ส่งผลกระทบต่อการจัดส่งถ่านหิน ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า

อัตราการใช้พลังงานในมณฑลเสฉวน เจียงซี และหูหนาน พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยมณฑลเจียงซู หูเป่ย หูหนาน เจียงซี และนครเซี่ยงไฮ้ และฉงชิ่งได้จำกัดการใช้ไฟฟ้าท่ามกลางภาวะขาดแคลนถ่านหิน

กรมอุตุนิยมวิทยาของจีนรายงานว่าสภาพอากาศที่หนาวเย็นได้แผ่ปกคลุมพื้นที่ทางตอนเหนือของจีน จนส่งผลให้กรุงปักกิ่งเกิดหิมะตกอย่างรุนแรงในรอบเกือบ 60 ปี และมีอุณหภูมิต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2514 อีกทั้งยังแผ่ขยายมายังพื้นที่ตอนใต้ของจีนในหลายจังหวัดเมื่อสัปดาห์นี้

การใช้ไฟฟ้าทางตอนกลางของจีนพุ่งสูงขึ้น 33% จากปีก่อนหน้านี้แตะที่ 5.8 หมื่นล้านกิโลวัตต์/ชั่วโมงในเดือนธ.ค. ซึ่งอัตราการใช้ไฟฟ้าอยู่สูงกว่าความต้องการใช้พลังงานในช่วงฤดูร้อน ขณะที่สต็อกถ่านหินตามโรงไฟฟ้าทางตอนกลางของประเทศเมื่อช่วงสิ้นเดือนธ.ค.ปรับตัวลดลง 24% แตะที่ 8.68 ล้านตันจากเดือนก่อนหน้านี้ และพื้นที่ดังกล่าวได้ปิดโรงงานไฟฟ้า 3.35 ล้านกิโลวัตต์เนื่องจากปัญหาถ่านหินขาดแคลน
**************
จีนคาดการลงทุนในอาเซียนขยายตัวหลังเปิดเขตการค้าเสรี

หยี เสี่ยวจุน รัฐมนตรีช่วยกระทรวงพาณิชย์จีน กล่าวว่า การลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของจีนจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากหลายบริษัทต้องการขยายธุรกิจไปยังประเทศที่เศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว

นายหยีกล่าวระหว่างพิธีเปิดเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน (CAFTA) ว่า จีนและประเทศอาเซียนควรใช้ประโยชน์จากเงินลงทุนและทรัพยากรอื่นๆอย่างเต็มที่ ตลอดจนเดินหน้าก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อรองรับความร่วมมือทางการค้าระหว่างกัน

นายหยีกล่าวว่า "ข้อตกลงการค้าเสรีช่วยทำลายอุปสรรคในการค้าและการลงทุน ซึ่งป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย" ข้อตกลงการค้าเสรีระบุว่า จีนจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศอาเซียนลดลงจาก 9.8% เหลือ 0.1%

ขณะที่ประเทศสมาชิกดั้งเดิมของอาเซียน ได้แก่ บรูไน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนลดลงจาก 12.8% เหลือ 0.6%

ภายในปี 2558 นโยบายเก็บภาษีสินค้า 90% จากจีนที่อัตรา 0% จะมีผลบังคับใช้กับประเทศสมาชิกใหม่ของอาเซียน ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม

ทั้งนี้ เขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน เป็นเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกสำหรับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา และเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา โดยครอบคลุมประชากร 1,900 ล้านคนและมีมูลค่าการซื้อขายราว 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
money wake up
*********
07/01/53
แบงก์ชาติจีนเตรียมคุมการขยายตัวของสินเชื่อในปี 2553

Posted on Thursday, January 07, 2010
ธนาคารกลางจีนตั้งเป้าควบคุมการปล่อยสินเชื่อให้ขยายตัวในระดับปานกลางในปีนี้ หลังจากที่จีนมียอดปล่อยเงินกู้พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วง 11 เดือนแรกของปีที่ผ่านมาถึง 9.21 ล้านล้านหยวน และยังเตรียมมาตรการรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการรับมือภาวะเงินเฟ้อ

แถลงการณ์หลังการประชุมประจำปีของธนาคารกลางจีน ระบุว่า จีนกำลังพยายามเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็ต้องการป้องกันสภาพคล่องส่วนเกินในระบบที่เป็นผลจากภาวะเงินเฟ้อ ภาวะฟองสบู่ในสินทรัพย์ รวมไปถึงหนี้เสียภาคธนาคาร

ด้านนักวิเคราะห์มองว่า ขณะนี้ระบบเศรษฐกิจในจีนมีสภาพคล่องล้นตลาดท่ามกลางอัตราการปล่อยสินเชื่อในระดับสูง ทำให้เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของธนาคารกลางต้องมีความระมัดระวังต่อการปล่อยเงินกู้ในปีนี้ โดยคาดว่ารัฐบาลจะจำกัดยอดการปล่อยกู้ล็อตใหม่ให้อยู่ที่ระดับ 7 ล้านล้านหยวนในปีนี้
money news update
*********
07/01/53
จีนคงจุดยืนนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย

ธนาคารกลางจีนประกาศย้ำถึงจุดยืนในการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนปรนในปีนี้ พร้อมมุ่งเน้นการดำเนินนโยบายที่ยืดหยุ่นให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

รายงานอ้างแถลงการณ์ของธนาคารกลางจีนที่มีขึ้นหลังเสร็จสิ้นการประชุมประจำปีว่า "จีนจะรักษาระดับการขยายตัวด้านสินเชื่อต่อไปในปีนี้ เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศที่รวดเร็วและมั่นคง ตลอดจนปรับปรุงโครงสร้างเงินกู้ให้ดียิ่งขึ้น"

ส่วนประเด็นค่าเงินผู้เชี่ยวชาญจีนแนะข้อเสนอให้รัฐบาลปรับขึ้นค่าเงินหยวน 10% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ พร้อมชี้ว่าเป็นการดำเนินกลยุทธ์ที่ดีสำหรับการลดเม็ดเงินเก็งกำไรไหลเข้าในประเทศ

ทั้งนี้ รัฐบาลจีนมองว่า การปรับมูลค่าเงินหยวน 10% จะมีผลต่อภาคการส่งออกเพียงเล็กน้อยและอาจฉุดรั้งการขยายตัวของยอดขายสินค้าจีนในต่างประเทศลง 3.3% โดยในเดือนพ.ย.จีนมียอดส่งออกลดลง 1.2% จากปีก่อนหน้านี้ และดิ่งลง 13.8% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน
money wake up
*************
06/01/52
ต่างชาติแห่เก็งกำไรหยวนจากคาดการณ์หยวนแข็งค่า

นายจาง เสี่ยวเจียง รองผู้อำนวยการคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีน (NDRC) คาดการณ์ว่า จะมีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาเก็งกำไรสกุลเงินหยวนในประเทศจีนจำนวนมาก

เนื่องจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าสกุลเงินหยวนจะแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะทำให้ทางการจีนประสบความยากลำบากในการจัดการกับสภาพคล่องที่มีอยู่มากเกินไป

นายจางกล่าวผ่านเว็บไซต์ของ NDRC เมื่อวานนี้ว่า นโยบายการเงินแบบผ่อนปรนของกลุ่มชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ รวมทั้งความอ่อนแอของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวขึ้น จะส่งผลให้เงินหยวนของจีนแข็งค่าขึ้น

พร้อมกับกล่าวว่า อัตราการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในปี 2552 อาจทำให้จีนกลายเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจต่างประเทศมากขึ้น

ขณะที่ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนพุ่งขึ้น 17% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2552 แตะที่ระดับ 2.27 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้จีนเป็นประเทศที่มีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสูงสุดของโลก ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ธนาคารกลางจีนแทรกแซงตลาดด้วยการเข้าซื้อสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเพื่อสกัดการแข็งค่าของเงินหยวน

ทั้งนี้ การที่ค่าเงินในเอเชียแข็งค่าขึ้นมากในปีที่แล้วทำให้ประเทศในเอเชียเสียเปรียบในตลาดการค้าโลก เพราะสกุลเงินที่แข็งค่าทำให้ราคาสินค้าเพื่อการส่งออกมีราคาแพงขึ้น

จีนตรึงค่าเงินหยวนไว้ที่ระดับ 6.83 หยวนต่อดอลลาร์นับตั้งแต่เดือนก.ค.ปี 2551 เพื่อช่วยให้กลุ่มผู้ส่งออกของจีนสามารถรับมือกับวิกฤตการณ์การเงินโลกได้ ขณะที่นายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่าของจีน ยืนกรานว่าจีนจะไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องของนานาชาติที่ต้องการให้จีนปรับขึ้นคาเงินหยวน

นักวิเคราะห์จากเอสเจเอส มาร์เก็ตส์ คาดการณ์ว่า สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะร่วงลง 6% ในไตรมาสแรกปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนแห่ซื้อสินทรัพย์ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ โดยดัชนี Dollar Index ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของ 6 สกุลเงินที่เป็นคู่ค้าของสหรัฐ ร่วงลง 4% ในเดือนธ.ค. ขณะที่สกุลเงินรูเปียห์ของอินโดนีเซียและเงินวอนเกาหลีใต้ ทะยานขึ้นกว่า 15% ในปีที่แล้ว
money wake up
**********
05/01/53
จีนเพิ่มเงินอุดหนุนผู้ซื้อรถ หวังกระตุ้นยอดขายรถใหม่

จีนเพิ่มงบประมาณการให้เงินอุดหนุนแก่ผู้นำรถเก่ามาแลกซื้อรถใหม่จากเดิมที่ 5,000 หยวนเป็น 18,000 หยวนต่อคัน เพื่อกระตุ้นยอดขายรถใหม่และส่งเสริมให้มีการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

รัฐบาลจีนได้เริ่มโครงการให้เงินอุดหนุนสำหรับการนำรถเก่ามาขายเพื่อซื้อรถใหม่เมื่อเดือนส.ค. 2552 ในวงเงิน 3,000 - 6,000 หยวนต่อคัน ขึ้นอยู่กับรถแต่ละรุ่น

กระทรวงคลังและกระทรวงพาณิชย์ของจีนได้ออกประกาศเรื่องโครงการเพิ่มเงินอุดหนุนดังกล่าวดังนี้

การให้เงินอุดหนุนสำหรับรถบรรทุกขนาดเล็กจะสูงขึ้นเป็น 6,000 หยวน ขนาดย่อมจะสูงขึ้นเป็น 9,000 หยวน ส่วนขนาดกลางจะสูงขึ้นเป็น 13,000 หยวน และขนาดใหญ่ 18,000 หยวนตามลำดับ

สำหรับรถโดยสารขนาดเล็กจะได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มขึ้นเป็น 5,000 หยวน ขนาดย่อม 7,000 หยวน ขนาดกลาง 11,000 หยวน และขนาดใหญ่ 18,000 หยวน

ส่วนรถที่มีขนาดเครื่องยนต์ 1.35 ลิตรหรือมากกว่านั้น จะได้รับเงินอุดหนุนถึง 18,000 หยวน ส่วนรถที่ใช้เครื่องยนต์ 1-1.35 ลิตร จะได้ 10,000 หยวน และ รถที่มีเครื่องยนต์ขนาด 1 ลิตรหรือต่ำกว่านั้น จะได้เงินอุดหนุน 6,000 หยวน

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังจะคุมเข้มเรื่องการควบคุมองค์กรที่ทำหน้าที่รีไซเคิลรถยนต์ที่ไม่มีการใช้งานแล้วในประเทศอีกด้วย
money wake up
**********
05/01/53
จีนเตรียมเปิดตลาดอนุพันธ์ มี.ค.นี้
Tuesday, 05 January 2010 10:18
รายงานข่าวบนเว็บไซท์บลูมเบิร์กดอทคอมระบุว่า จีนเตรียมเปิดตลาดอนุพันธ์แห่งแรกของประเทศอย่างเร็วที่สุดในเดือนมีนาคมปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่จะมีการประชุมใหญ่สมัชชาประชาชนประจำปี

โดยแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดเปิดเผยว่า จีนจะเริ่มการซื้อขายอนุพันธ์ CSI 300 Index เป็นสัญญาแรกในเดือนดังกล่าว ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จีนได้เห็นชอบในหลักการแล้ว

'ตลาดหุ้นจีนเป็นตลาดที่มีการซื้อขายทางเดียว กล่าวคือ นักลงทุนสามารถทำกำไรได้แต่เพียงการซื้อขายหุ้นเท่านั้น การเปิดตลาดอนุพันธ์จะเป็นกลไกที่ช่วยให้นักลงทุนมีช่องทางทำกำไรได้มากขึ้น' นายเติ้ง หยินหัวหน้านักกลยุทธ์ที่เอเวอไบรทซิเคียวริตี้ส์ในเซี่ยงไฮ้กล่าว
stock wave
********
30/12/52
จีนคาดยอดขายบ้านใหม่ปีนี้แตะ 4.5 ล้านล้านหยวน

ไชน่า ซิเคียวริตีส์ เจอร์นัล เผยยอดขายบ้านใหม่ตลอดทั้งปี 2552 มีแนวโน้มว่าจะพุ่งขึ้นถึง 90% จากปีก่อน มาอยู่ที่ 4.57 ล้านล้านหยวน โดยยอดขายบ้านใหม่ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 86.8% เพิ่มขึ้น 7.6% จากยอดขายในช่วง 10 เดือนแรก และคาดว่า ยอดขายบ้านใหม่จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงเดือนธ.ค.

ส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ปีนี้ จะอยู่ที่ 33.91 ล้านล้านหยวน เมื่อพิจารณาจากอัตราการขยายตัว 8% ต่อปี ซึ่งหมายความว่า ยอดขายบ้านใหม่จะคิดเป็นสัดส่วนกว่า 13% ของ GDP ปี 2552 ขณะที่สถิติของปี 2551 อยู่ที่ 7.6% และปี 2550 อยู่ที่ 10.4%

การลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของจีนในปีนี้ขยายตัวอย่างมาก โดยมีการลงทุนในโครงการอสังหาฯไปแล้ว 3.1271 ล้านล้านหยวน ขณะที่นักวิจัยสถาบันบางส่วนคาดการณ์ว่า การลงทุนในปีนี้จะอยู่ที่ 3.6 ล้านล้านหยวน
money wake up
**********
30/12/52
สำนักข่าวซินหัวจับมือธนาคารเพื่อการเกษตรจีนพัฒนาฐานข้อมูลการเงิน

สำนักข่าวซินหัวลงนามความร่วมมือกับธนาคารเพื่อการเกษตรแห่งประเทศจีน (ABC) เพื่อทำการพัฒนาฐานข้อมูลด้านการเงิน รวมถึงบริการด้านการเงินสำหรับบุคคลและองค์กร

ข้อตกลงดังกล่าวระบุว่าธนาคาร ABC จะปล่อยสินเชื่อมูลค่าสูงสุด 1 หมื่นล้านหยวน (1,460 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ให้กับสำนักข่าวซินหัวในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ เพื่อให้ซินหัวนำไปใช้ในโครงการต่างๆ อาทิ "Xinhua 08" ซึ่งเป็นฐานข้อมูลการเงินที่ซินหัวพัฒนาขึ้นเองและเริ่มให้บริการเมื่อปี 2550

ซินหัวจะตั้งระบบข้อมูลในธนาคาร ABC และจะเผยแพร่ข้อมูลของ ABC สู่ตลาดเงินทั่วโลกผ่าน "Xinhua 08" ขณะเดียวกันซินหัวก็สามารถรวบรวมข้อมูลการเงินจากทั่วโลกมาให้ ABC เพื่อช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้ด้วย

นายหลู เหว่ย รองประธานสำนักข่าวซินหัว กล่าวว่า "การสร้งความร่วมมือกับ ABC ถือเป็นการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคการเงินของประเทศ"

นายเซียง จุนโป ประธานธนาคาร ABC กล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายสามารถใช้จุดเด่นของตัวเองในการพัฒนาฐานข้อมูลและบริการด้านการเงินเพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย
money wake up
**********
29/12/52
จีนสั่งปิดโรงงานแบตเตอรี่หลังพบสารตะกั่วในเด็ก

จีนสั่งปิดโรงงานผลิตแบตเตอรี่แห่งหนึ่งในมณฑลกว่างตงทางภาคใต้ของประเทศ พร้อมทำการตรวจร่างกายเด็กทุกคนที่อาศัยอยู่ใกล้โรงงาน หลังจากพบว่ามีเด็กหลายสิบคนที่มีระดับสารตะกั่วในเลือดสูงเกินมาตรฐาน

โรงงาน Aokelai Power Co. Ltd หรือในอดีตเคยใช้ชื่อว่า Zeliang Battery Factory ภายใต้เขตเศรษฐกิจชิงหยวน มณฑลกว่างตง (หรือกวางตุ้ง) ซึ่งที่นั่นมีเด็กอาศัยอยู่หลายสิบคน
หญิงคนหนึ่งซึ่งขายผลไม้อยู่บริเวณทางเข้าชุมชนหยินหยวนกล่าวว่า ลูกชายของเธอมีสารตะกั่วในเลือดสูงถึง 320 ไมโครกรัม/ลิตร ซึ่งมากกว่าระดับปกติถึง 100 ไมโครกรัม/ลิตร

ผลการสืบสวนของหนังสือพิมพ์หนานฟังเมื่อช่วงต้นเดือนพบว่ามีเด็ก 44 คนที่มีสารตะกั่วในเลือดสูงกว่าปกติ แต่ชาวบ้านกล่าวกับสำนักข่าวซินหัวว่าจำนวนที่แท้จริงน่าจะมากกว่านั้น เนื่องจากมีหลายครอบครัวที่ย้ายออกไปแล้ว

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมารัฐบาลเขตชิงหยวนได้ตั้งทีมสืบสวนนำโดยรองนายกเทศมนตรีฉี ฟางเฝ่ย ซึ่งจากการตรวจสอบความเข้มข้นของสารตะกั่วในน้ำเสียของบริษัทพบว่ามีมากเกินมาตรฐาน แต่ระดับการปล่อยก๊าซยังไม่เป็นอันตราย

ในวันเสาร์บริษัทดังกล่าวได้ระงับการปล่อยก๊าซและน้ำเสียทันที หลังจากที่รัฐบาลท้องถิ่นสั่งปิดโรงงานเพื่อทำการปรับปรุงคุณภาพโดยสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และล่าสุดในวันนี้รัฐบาลท้องถิ่นได้สั่งให้มีการตรวจร่างกายเด็กทุกคนอย่างละเอียดแล้ว


กำไรของภาคอุตสาหกรรมจีนเพิ่มขึ้น

สำนักงานสถิติจีนเผยกำไรของบริษัทที่ทำธุรกิจภาคอุตสาหกรรมของจีนขยายตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี ที่ 7.8% ในช่วงเดือนม.ค.-พ.ย. แตะระดับ 2.59 ล้านล้านหยวน หรือ 3.79 แสนล้านดอลลาร์ นับเป็นการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศ

การใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการปล่อยเงินกู้สูงเป็นประวัติการณ์ในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาช่วยกระตุ้นดีมานด์ และรายได้ของบริษัทต่างๆ ขณะที่นายเหวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีจีนกล่าวเมื่อวานนี้ว่า จีนระมัดระวังไม่ให้การฟื้นตัวได้รับผลกระทบจากการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วเกินไป

ทั้งนี้ ยอดขายของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมที่มียอดขายสูงกว่า 5 ล้านหยวนขยายตัว 7.1% แตะ 47.5 ล้านล้านหยวน

โตโยต้าเผยยอดขายในเอเชียปี 09 แซงยอดขายในญี่ปุ่น

ยอดขายรถของบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ในเอเชีย ไม่รวมญี่ปุ่น จะเหนือกว่ายอดขายรถในตลาดญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในปี 2552 นี้ โดยมีสาเหตุหลักมาจากยอดขายที่พุ่งขึ้นในประเทศจีน

สำนักข่าวเกียวโดรายงานอ้างแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมว่า ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ โตโยต้าขายรถได้ราว 1,354,000 คันในเอเชีย เพิ่มขึ้น 4.5% จากปีก่อน เทียบกับยอดขายในญี่ปุ่นที่ 1,256,000 คัน

ยอดขายที่เพิ่มขึ้นในเอเชียนำโดยจีนที่มียอดขายเพิ่มขึ้น 20.7% แตะ 622,000 คัน แหล่งข่าวเผยด้วยว่า ยอดขายในจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแตะ 700,000 คันตลอดปีนี้

จากยอดขายดังกล่าวจึงคาดว่าตลาดเอเชียจะกลายเป็นตลาดใหญ่อันดับ 2 ของโตโยต้าในปี 2552 รองจากอเมริกาเหนือที่มียอดขาย 1,770,000 คันในช่วงเดือนม.ค.-พ.ย. โดยในเดือนพ.ย. ยอดขายของโตโยต้าในอินเดีย ไทย และเวียดนาม ฟื้นตัวขึ้น
money wake up
***********
29/12/52
ชาวนาจีนเฮ..!รายได้ต่อหัวประจำปีพุ่งกว่า 6%

สำนักข่าวซินหัวในจีน รายงานว่า รายได้สุทธิต่อหัวของชาวนาจีนเพิ่มขึ้นกว่า 6% ในปี 2552 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า โดยรายได้ต่อปีของชาวนาจีนประจำปีนี้ติดอยู่ในระดับ 5,000 หยวนหรือประมาณ 732 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีย้ายงานข้ามถิ่นมากขึ้น และส่งเงินกลับไปในพื้นที่ชนบทมากขึ้น

โดยเฉพาะในปีนี้ การเพิ่มขึ้นของแรงงานย้ายถิ่นในโรงงานอุตสาหกรรม และในธุรกิจก่อสร้างทำให้เกิดการจ้างงานมากขึ้น พร้อมกับมีการเพิ่มเงื่อนไขการทำงานที่ทำให้แรงงานเหล่านี้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น แม้ว่า เมื่อต้นปีจะมีแรงงานต่างถิ่นตกงานมากกว่า 20 ล้านคน เนื่องจากโรงงานหลายแห่งปิดตัว และลดการผลิต จากการลดลงของการส่งออกจากตลาดในยุโรปและสหรัฐ แต่รัฐบาลจีนได้ก็สามารถหางานให้คนเหล่านี้ได้กว่า 96% ของแรงงานทั้งหมดที่ตกงาน ภายในเดือนกันยายน ทั้งนี้ จีนมีแรงงานต่างถิ่นเข้ามาทำงานมากกว่า 225 ล้านคน

รายได้ที่เพิ่มขึ้นของแรงงานในชนบท นับเป็นสิ่งสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดการบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับความต้องการของรัฐบาลกลาง ที่ต้องการหาทางลดการพึ่งพาการส่งออกไปต่างประเทศ สำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังมีแผนจะอุดหนุนการซื้อหาเครื่องใช้ภายในบ้านของชาวนานในปีหน้า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภคภายในท้องถิ่นของทั้งประเทศด้วย
prachachat**********
28/12/52
จีนคาดเศรษฐกิจโตจ่อแซงหน้าญี่ปุ่น

สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนออกรายงานคาดการณ์เศรษฐกิจในวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวมากกว่า 8% ในปีนี้ และมีแนวโน้มที่จะแซงหน้าญี่ปุ่นในฐานะชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของเอเชีย เนื่องจากภาคบริการและการส่งออกของจีนขยายตัวอย่างรวดเร็ว

เศรษฐกิจจีนขยายตัวขึ้นนับตั้งแต่รัฐบาลจีนใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 583,000 ล้านดอลลาร์ และธนาคารภายในประเทศปล่อยวงเงินกู้สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 9.2 ล้านล้านหยวน หรือ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้

รัฐบาลจีนได้ให้คำมั่นว่าจะยังคงใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างงาน รักษาเสถียรภาพทางสังคม และเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนจะพุ่งขึ้น 11%ต่อปี ในปีนี้ เพราะได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมของจีนได้รับความผ่อนคลายจากปัญหาอัตราการชะลอตัว

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วของจีนทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าจะก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อทั้งในตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้น

ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตทะยานขึ้นไปแล้ว 67% ในปีนี้ ขณะที่ราคาบ้านใน 70 เมืองใหญ่ๆของจีนพุ่งช่วงเดือนพ.ย.ขึ้นรวดเร็วที่สุดในรอบ 16 เดือน
money wake up*********
25/12/52
บริษัทเหล็กยักษ์ใหญ่ของจีนเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตอีก 24% ในปีหน้า

Posted on Friday, December 25, 2009
หวูฮั่นไอรอนแอนด์สตีลกรุ๊ป ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่อันดับ 3 ของจีน ประกาศเพิ่มการผลิตเหล็ก 24% ในปีหน้าเพื่อรองรับความต้องการใช้เหล็กในจีน โดยหวูฮั่นคาดว่า ปริมาณการผลิตเหล็กต้นน้ำของบริษัทในปี 2553จะอยู่ที่ 37.9 ล้านตันจาก 30.5 ล้านตันในปีนี้ พร้อมกับคาดว่า ในปีหน้าบริษัทจะมีรายได้อยู่ที่ 1.5 แสนล้านหยวน หรือ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ หวูฮั่นไอรอนแอนด์สตีลกรุ๊ประบุว่า สำหรับปีนี้เป็นปีที่ความต้องการใช้เหล็กมีความผันผวน แม้เศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีขึ้น แต่ในเชิงปัจจัยพื้นฐานนับว่ายังไม่ฟื้นตัวอย่างแท้จริง

ขณะที่แมควอรี่ซิเคียวริตี้ส์กรุ๊ป เตือนว่า ในปีหน้าผู้ผลิตเหล็กในจีนยังคงประสบปัญหาจากการต้นทุนแร่เหล็กที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 30% และจากราคาถ่านหินในประเทศที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 14%

**********
25/12/52
คาดจีนจะเกินดุลการค้าลดลง 19% ในปี 2010
Friday, 25 December 2009 11:24
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวบลูมเบิร์กดอทคอมระบุว่า แบงก์ออฟอเมริกา-เมอร์ริลลินช์คาดว่า จีนจะเกินดุลการค้าลดลง 19% มาอยู่ที่ 160 พันล้านดอลลาร์ในปี 2010 จากที่คาดว่าจะเกินดุลการค้าอยู่ที่ 198 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้

นายหลู่ ทิงนักเศรษฐศาสตร์เมอร์ริลลินช์กล่าวว่า ความต้องการภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยกระตุ้นการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยคาดว่าในปีหน้าจีนจะจีนจะนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น 16% ขณะที่การส่งออกจะขยายตัว 9%

ขณะเดียวกันนายหลู่กล่าวว่า อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพีจีนปีหน้าจะอยู่ที่ 10.1%

นอกจากนี้ นายหลู่คาดว่า ในปี 2010 ข้อพิพาททางการค้าระหว่างจีนกับประเทศคู่ค้าอย่างสหรัฐฯและยุโรปจะยังคงเป็นความเสี่ยงต่อภาคส่งออกจีน แต่การเกินดุลการค้าในระดับ 160 พันล้านดอลาร์ยังคงนับเป็นระดับที่สูง
stock wave
************
25/12/52
จีนลั่นปีหน้าอัดฉีดเม็ดเงิน 1 ล้านล้านหยวน กระตุ้นเศรษฐกิจ

รัฐบาลกลางจีนยืนยันจะทำตามสัญญาในการทุ่มเม็ดเงิน 1.18 ล้านล้านหยวน หรือ 173,000 ล้านดอลลาร์ ก่อนสิ้นปีหน้า ตามมาตรการกระตุ้น ศก.

การออกมาตอกย้ำในประเด็นนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาด ซึ่งได้รับผลกระทบจากความกังวลต่อ มาตรการคุมเข้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ และ การปล่อยกู้ ที่อาจจะมีฉุดการขยายตัวของ GDP

จากความเห็นของ นายลี หัวหน้าสำนักงานกำกับธุรกิจของรัฐ กล่าวว่า “การลงทุน และการบริโภคโดยรวมกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพราะปัจจัยด้านนโยบาย แต่การใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงไม่เพียงพอ และการส่งออกได้ลดลง ตาม Demand จากต่างประเทศ

ตัวเลขดังกล่าว ยืนยันได้จาก ยอดการลงทุนในเขตเมืองของจีนพุ่งสูงขึ้น 32.1% ในช่วง 11 เดือนแรกของปี

ส่วนแนวทางในการปล่อยกู้นั้น ทาง ธ.กลาง และผู้ควบคุมกฎระเบียบด้านการธนาคาร และหน่วยงานอื่นๆ ยังยืนยันแนวนโยบายที่เข้มงวด แต่ก็เปิดช่อง ด้วยการสนับสนุนโครงการพลังงานใหม่ๆ รวมถึงการปล่อยกู้แก่ผู้บริโภค ขณะที่ลดการปล่อยกู้ให้กับผู้ก่อมลภาวะ และภาคธุรกจที่มีกำลังการผลิตส่วนเกิน


จีน-ญี่ปุ่น เล็งปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลง

จีนจะสนับสนุนเศรษฐกิจที่มีการปล่อยปริมาณก๊าซเรือนกระจกในระดับต่ำ ด้วยการใช้นโยบายจูงใจต่างๆ ตลอดจนเดินหน้าโครงการนำร่องในปี 2553

เจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน กล่าวว่า จีนจะปรับปรุงโครงสร้างอุตสาหกรรม การใช้พลังงาน ด้วยการพัฒนาพลังงานที่สามารถนำมาใช้งานใหม่ได้ รวมถึงอุตสาหกรรมบริการอื่นๆ

จีนวางแผนที่จะยกระดับการดำเนินโครงการประหยัดพลังงานที่สำคัญ 10 โครงการ และสรุปรายละเอียดเกี่ยวกับการให้เงินอุดหนุนของรัฐบาลกับสินค้าต่างๆ ได้แก่ เครื่องล้างจาน ทีวีจอแบน เครื่องทำน้ำอุ่นแบบใช้แก็ส เครื่องใช้ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อื่นๆ

นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเผยญี่ปุ่นจะจดทะเบียนกับสหประชาชาติภายในเดือนม.ค.2553 เรื่องเป้าหมายลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 25% ภายในปี 2563 จากระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเมื่อปี 2533 โดยมีเงื่อนไขว่า ประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่จะต้องทำตามเป้าหมายในการลดก๊าซด้วยเช่นกัน ซึ่งเรื่องดังกล่าวในการประชุมเรื่องนโยบายเกี่ยวกับสภาพอากาศของประเทศกับคณะกรรมการครม.ญี่ปุ่น
money wake up
*******
25/12/52
จีนเร่งตัดไฟฟองสบู่อสังหาฯ ห่วงแบงก์ซุกหนี้เน่าย่ำรอยซับไพรม

การเคลื่อนไหวของรัฐบาลจีนเพื่อสกัดความร้อนแรงของราคาสินทรัพย์ในประเทศ โดยเฉพาะราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะเข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2552 กำลังเป็นที่จับตามองของหลายฝ่ายทั้งในและต่างประเทศ

เมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมากระทรวงการคลังจีนร่วมกับธนาคารกลางและหน่วยงานต่าง ๆ ออกแถลงการณ์ร่วมกันว่า รัฐบาลจีนได้ปรับเกณฑ์การชำระเงินสดล่วงหน้า (down payment) ในการซื้อที่ดินเป็นอย่างน้อย 50% ของราคาที่ดิน จากเดิมที่กำหนดให้ต้องจ่ายเงินดาวน์ประมาณ 20-30% ของมูลค่าที่ดิน ทั้งยังพ่วงเงื่อนไขให้บริษัทพัฒนาที่ดินต้องจ่ายเงินซื้อที่ดินจากรัฐบาลให้ครบภายใน 1 ปี นับจากทำข้อตกลง โดยอนุโลมให้ขยายเวลาเพิ่มอีก 1 ปี เฉพาะโครงการพิเศษในบางโครงการเท่านั้น อีกทั้งบริษัทอสังหาริมทรัพย์จะไม่รับอนุญาตให้ซื้อที่ดินใหม่ หากพวกเขาไม่สามารถจ่ายเงินซื้อที่ดินได้ตามกำหนดเวลา

ที่สำคัญรัฐบาลปักกิ่งยังสั่งการให้รัฐบาลท้องถิ่นต้องจัดทำรายละเอียดแผนขายที่ดินไว้ในงบประมาณ และห้ามให้ส่วนลด หรืออนุญาตให้ชำระเงินล่าช้ากว่ากำหนดด้วย

เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรักษาเสถียรภาพราคาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ หลังจากราคาพุ่งทะยานขึ้นต่อเนื่อง

ก่อนหน้านี้ธนาคารกลางจีนได้สั่งการให้ธนาคารในประเทศคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อใหม่ และกำหนดเป้าหมายการขยายตัว ของสินเชื่อในปี 2553 ว่า ต้องไม่เกิน 7-8 ล้านล้านหยวน หลังจากสินเชื่อใหม่โตพรวดพราดรวม 8.9 ล้านล้านหยวนในระยะเวลาเพียง 10 เดือนแรกของปี

สัญญาณความเสี่ยงของการเกิดภาวะฟองสบู่สินทรัพย์ในจีนเริ่มเด่นชัดขึ้นหลังสถิติต่าง ๆ ที่ทยอยออกมาเริ่มสร้างความวิตกกังวลให้กับรัฐบาล อาทิ การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาที่อยู่อาศัย แม้ว่ารัฐบาลจะดำเนินมาตรการควบคุมสินเชื่อก็ตาม โดยพบว่าราคาที่อยู่อาศัยใน 70 เมืองใหญ่ของจีนปรับราคาขึ้นเฉลี่ย 5.7% ในเดือนพฤศจิกายน จากเพิ่มขึ้น 3.9% ในเดือนตุลาคม ถือเป็นการเพิ่มขึ้นของราคาที่อยู่อาศัยเร็วที่สุดในรอบ 16 เดือน

นอกจากนี้ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ยังพุ่งลิ่ว 86.8% รวมมูลค่า 3.6 ล้านล้านดอลลาร์ ในแง่ของพื้นที่พบว่ายอดขายเพิ่มขึ้น 53% รวม 752 ล้านตารางเมตร เช่นเดียวกับการลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพิ่ม 17.8% รวม 3.13 ล้านล้านหยวน ในช่วงมกราคมถึงพฤศจิกายน

แม้แต่ธนาคารโลกยังยอมรับความเป็นไปได้ถึงโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดฟองสบู่สินทรัพย์ในจีน เพียงแต่เชื่อมั่นว่าทางการจีนจะดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อสลายความเสี่ยงดังกล่าวได้ในที่สุด

ปัญหาฟองสบู่สินทรัพย์ในจีนได้รับการจับตามองมากยิ่งขึ้น หลังจากฟิทช์ เรตติ้งส์ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินของสหรัฐได้ออกรายงานเตือนเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (18 ธ.ค.) ว่า ธนาคารจีนกำลังสร้างหลุมซ่อนความเสี่ยงสินเชื่อที่ใหญ่ขึ้น โดยใช้การทำรายการนอกงบดุลเพื่อทำให้การปล่อยสินเชื่อโตขึ้น

รายงานของฟิทช์ฯระบุว่า การกระทำ ดังกล่าวอาจจะนำไปสู่เงื่อนไขที่คล้ายคลึงกับกรณีวิกฤตซับไพรมในสหรัฐ

ฟิทช์ฯระบุว่า แบงก์อาจจะขายต่อตราสารหนี้ให้แก่สถาบันการเงิน หรือ นำมารวมเป็นแพ็กเกจใหม่ในรูปของผลิตภัณฑ์ด้านการจัดการความมั่งคั่ง (wealth-management) ซึ่งเป็นธุรกรรมที่ไม่ต้องมีการรายงาน

"ชาร์ลีน ฉู่" และ "เวิน ชุนหลิง" นักวิเคราะห์ระบุว่า ฟิทช์ฯสงสัยว่ากิจกรรมเหล่านี้อาจจะเป็นปัจจัยที่ซ่อนอยู่หลังการชะลอตัวของตัวเลขการขยายตัวของเงินกู้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ขณะที่เงินกู้ที่ไม่มีการรายงานอาจจะทำให้ฟิทช์ฯปรับลดอันดับเรตติ้งของธนาคารจีนบางแห่งใน ปีหน้าและปี 2554

ทั้งนี้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2552 ธนาคารจีนมีการปล่อยเงินกู้ใหม่เป็นมูลค่ารวมกันมหาศาลถึง 7.4 ล้านล้านหยวน ในจำนวนนั้นเป็นการปล่อยกู้ในเดือนมีนาคม เพียงเดือนเดียวสูงถึง 1.89 ล้านล้านหยวน อย่างไรก็ดีการปล่อยกู้เริ่มชะลอลงในครึ่งปีหลังหลังจากคณะกรรมการกำกับดูแลธนาคารสั่งการให้ควบคุมการปล่อยสินเชื่อและเพิ่มความเข้มงวดในด้านการจัดการความเสี่ยงท่ามกลางกระแสวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้เสียและคลางแคลงใจว่า เงินทุนตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ถูกนำไปใช้ลงทุนในตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ส่งผลให้ราคาพุ่งทะยานอย่างต่อเนื่อง

อีกทั้งข้อมูลล่าสุดเดือนพฤศจิกายนสินเชื่อใหม่ของธนาคารจีนเริ่มกระเตื้องขึ้นอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน โดยมีมูลค่ารวม 2.948 แสนล้านหยวน หลังจากชะลอลงเหลือ 2.53 แสนล้านหยวนในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นระดับการปล่อยกู้ที่ต่ำสุดในรอบปี
prachachat**********
24/12/52
จีนเพิ่มความเข้มงวดด้านการตรวจสอบระบบการเงิน

จีนเตรียมศึกษาวิธีตรวจสอบความเสี่ยงในระบบการเงินที่รัดกุมมากขึ้น มุ่งคลี่คลายกระแสความวิตกกังวลต่อภาวะฟองสบู่ในประเทศ หลังยอดปล่อยเงินกู้ของจีนในปีนี้พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ธนาคารกลางจีนจะเริ่มศึกษาถึงการกำหนดระบบบริหารจัดการตลาดเงินอย่างรัดกุมและรอบคอบ โดยมีเป้าหมายที่จะป้องกันความเสี่ยงและสร้างความมั่นใจในระบบการเงิน ซึ่งความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งในความพยายามของจีนที่จะสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับที่สหรัฐและยุโรปที่กำหนดมาตรการรับมือกับควันหลงจากวิกฤตการเงินในขณะนี้

ความเคลื่อนไหวของจีนในครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่กำกับดูแลด้านตลาดเงินตรวจสอบความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในสถาบันการเงิน อันจะเป็นภัยคุกคามอุตสาหกรรมโดยรวม ขณะที่ธนาคารกลางย้ำว่าจะควบคุมการออกเงินกู้อย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้เกิดภาวะสภาพคล่องล้นตลาด

ธนาคารพาณิชย์ของจีนส่วนใหญ่มีสินทรัพย์ที่เกี่ยวโยงกับหลักทรัพย์จำนองซึ่งเป็นภัยคุกคามระบบการเงินของสหรัฐ และการที่จีนมียอดปล่อยเงินกู้ที่พุ่งสูงในปีนี้ยังสร้างความเสี่ยงภายในประเทศ

ฟิทช์ เรทติ้งส์ ได้ออกโรงเตือนธนาคารพาณิชย์ในจีนว่า อาจเผชิญความเสี่ยงด้านเงินทุนในภาคธุรกิจธนาคาร เนื่องจากผู้ปล่อยกู้หลายรายทำธุรกรรมเปิดบัญชีประเภทต่างๆที่เปิดช่องให้มีการขยายตัวของเงินกู้มากขึ้น

ทั้งนี้ ธนาคารกลางกล่าวว่าจะดำเนินการดูแลด้านการขยายตัวของเงินทุนและเงินกู้ รวมถึงแนะนำให้สถาบันการเงินต่างๆปล่อยเงินกู้ให้สอดคล้องกับดุลบัญชีของธนาคารและหลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูง
money wake up*********
23/12/52
EU ยืดอายุภาษีนำเข้ารองเท้าจากผู้ผลิตในจีนและเวียดนาม

สหภาพยุโรปตัดสินใจขยายเวลาในการจัดเก็บภาษีนำเข้ารองเท้าที่มาจากประเทศจีนและเวียดนามต่อไปอีก 15 เดือน ด้วยความหวังที่จะช่วยผู้ประกอบการในภูมิภาคให้สามารถแข่งขันได้กับสินค้านำเข้าราคาถูกของบริษัทชั้นนำ อย่าง Nike, Puma และ Adidas

มาตรการที่ช่วยป้องกันการ dump ราคาหรือขายในราคาต่ำกว่าทุนสำหรับสินค้าที่ผลิตในจีนและเวียดนามในอัตราที่สูงถึง 16.5% นี้ ถูกประนีประนอมให้ผ่อนเบาลงมาแล้ว ภายหลังจากที่กลุ่มประเทศยุโรปทางตอนเหนือออกมาคัดค้านการกำหนดภาษีในอัตราปกติเป็นเวลา 5 ปี

สำหรับมาตรการล่าสุดนี้ ทาง EU ก็หวังที่จะช่วยเหลือเรื่องความสามารถทางการแข่งขันของผู้ผลิตรองเท้าหนังในภูมิภาคกว่า 8,000 ราย โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดเล็กที่อยู่ทางตอนใต้

มีข้อมูลระบุว่า 4 ใน 5 ของรองเท้าที่ขายอยู่ในสหภาพยุโรป มาจากประเทศอิตาลี โปรตุเกส และสเปน ซึ่งเป็นที่ที่ผู้ผลิตเริ่มมีกระบวนการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันได้บ้างแล้วในขณะนี้

และในการแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ของสหภาพยุโรปที่กรุงบรัสเซล ระบุว่า ผู้ผลิตรองเท้าของยุโรปกำลังปรับโมเดลทางธุรกิจเพื่อให้สอดรับกับตลาดโลกที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น ซึ่งการที่มาตรการดังกล่าวถูกยืดออกไป ก็หมายความว่าประเทศในภูมิภาคจะมี safety net และมีเวลาในการปรับตัวมากยิ่งขึ้น

มาตรการคุ้มครองทางการค้านี้เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของผู้ส่งออกจีนและเวียดนามใน EU ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 28% ในระหว่างเดือนกรกฏาคม ปี 2550 จนถึงเดือนมิถุนายนปีนี้ จากที่มาร์เก็ตแชร์เคยอยู่สูงถึง 35% ในปี 2548

อย่างไรก็ดี ก็มีความไม่เห็นด้วยที่มาจากกลุ่มธุรกิจ ที่พยายามต่อต้านการเก็บภาษีนำเข้านี้มาตลอด และบอกว่ารู้สึกผิดหวังที่ EU ตกลงใจที่จะขยายมาตรการคุ้มครองดังกล่าวออกไปอีก 15 เดือน โดยกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า the European Footwear Alliance นี้ ได้มีการประเมินว่า ผลจากการขยายเวลาการเก็บภาษีนำเข้าครั้งนี้ จะสร้างภาระให้กับธุรกิจรองเท้าในยุโรปสูงกว่า 1,000 ล้านยูโรเลยทีเดียว ซึ่งนั่นก็หมายถึง เงินที่ผู้บริโภคจะต้องควักออกมาจ่ายนั่นเอง
************
23/12/52
จีนหวั่นธุรกิจส่งออกซึมนาน

ทางการจีนคาดยอดส่งออกของประเทศอาจเผชิญภาวะตกต่ำนานต่อเนื่อง จากปัจจัยลบของอุปสงค์ในตลาดโลกที่อาจซบเซาเป็นเวลานาน ท่ามกลางวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในต่างประเทศที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลงในเร็ววันนี้

หลิว หมิงกัง ประธานคณะกรรมาธิการกำกับดูแลภาคธุรกิจธนาคารเชื่อว่า การใช้นโยบายกีดกันทางการค้าจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ซึ่งจะยิ่งสร้างแรงกดดันต่อภาคธุรกิจส่งออกต่อไปอีก แต่ภาวะตกต่ำของภาคธุรกิจส่งออกจะกระตุ้นให้รัฐบาลเดินหน้าใช้นโยบายปฏิวัติโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศ โดนอัตราการนำเข้าและส่งออกของประเทศมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.96 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลง 17.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะยอดส่งออกที่ทรุดตัว 18.8%

หลิวกล่าวว่า "การปรับโครงสร้างในบางภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกเป็นสำคัญนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ในยามที่ภาพรวมอุปสงค์ในตลาดโลกหดตัวลง"

นอกจากนี้ หลิวกล่าวเสริมว่า จีนได้กระตุ้นการใช้พลังงานอย่างคุ้มค้าและส่งเสริมการใช้นวัตกรรมทางเทคนิค ตลอดจนพัฒนาเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมมากขึ้น ด้วยการประกาศเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2563 ลง 40-45% ต่อหน่วยผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จากระดับในปี 2548

หลิวกล่าวทิ้งท้ายว่า "การพัฒนาเศรษฐกิจที่เพิ่มความใส่ใจต่อสภาพแวดล้อมถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วน ขณะที่การพัฒนาความเป็นเมืองและระบบเศรษฐกิจแบบอุตสาหกรรมก็เป็นความท้าทายใหญ่หลวงเช่นเดียวกัน"


จีนร้อง WTO สอบสหรัฐกีดกันสินค้านำเข้า

จีนเรียกร้องให้ WTO สองสวนการที่สหรัฐเรียกเก็บยางรถยนต์ที่ผลิตในจีน ซึ่งเป็นข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างยักษ์ใหญ่ 2 ประเทศ

ประเด็นดังกล่าวถูกหยิบยกขึ้นมาในการประชุมยุติข้อพิพาทของ WTO ที่กรุงเจนีวา ซึ่งจีนเรียกร้องให้มีการตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบการใช้อำนาจตาม กม.ของการเก็บภาษี ปกป้องพิเศษ กับยางรถยนต์นำเข้าจากจีน ในเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา

จีนไม่พอใจต่อการตัดสินใจของ ปธน.โอบามา ที่เรียกเก็บภาษีรถยนต์ของจีนในอัตรา 35% หลังจากสหภาพคนงานเหล็กกล้าเรียกร้องว่า การนำเข้ายางของจีน เพิ่มขึ้น 3 เท่าเป็น 46 ล้านเส้นในช่วงปี 2547 -2551 และกังวลว่า อาจเป็นการกำหนดให้มีกำแพงป้องกันในแบบเดียวกันกับสินค้าส่งออกของจีน

ข้อพิพาททางการค้าระหว่างจีน และสหรัฐที่ WTO กำลังพิจารณาอยู่นั้นยังครอบคลุมสินค้าต่างๆ เช่น เหล็กกล้า สัตว์ปีก และวัตถุดิบ


จีนคาดโทรคมนาคมขยายตัว 14% ปีนี้ หลังไฟเขียว 3G

นายหลี่ ยีจง รมว.อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีนคาดการณ์ว่า วอลุ่มทางธุรกิจของอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคมของจีนจะขยายตัวในอัตรา 14% และรายได้จะขยายตัวในอัตรา 5% ในปีนี้

ขณะเดียวกันคาดว่า จำนวนผู้ใช้โทรศัพท์ในจีนจะพุ่งขึ้นแตะ 1.06 พันล้านคนในปีนี้ ซึ่งรวมผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ 740 ล้านคน หลังจากที่จีนพยายามผลักดันให้มีการใช้

เทคโนโลยี 3G และออกใบอนุญาตการใช้เทคโนโลยี 3G รวมทั้งมีการจัดตั้งเครือข่าย 3G และสนับสนุนการบริการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี 3G เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมทั้งอัพสตรีมและดาวน์สตรีม

นอกจากนี้ คาดว่าการลงทุนเทคโนโลยี 3G ของจีนจะพุ่งขึ้นแตะ 1.435 แสนล้านหยวน และคาดว่าจะมีการจัดตั้งสถานีเครือข่าย 285,000 แห่ง ซึ่งจะช่วยให้มีผู้ใช้บริการ 3G มากกว่า 10 ล้านคน

ส่วนในปี 2553 นั้น นายจีซองคาดว่าวอลุ่มอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคมของจีนจะขยายตัวตามเป้า 12% และรายได้จะเพิ่มขึ้นในอัตรา 4.5%
money nwake up
*********
22/12/52
จีนเดินหน้าใช้มาตรการกันสำรองเงินสดธนาคารพาณิชย์

Posted on Tuesday, December 22, 2009
นายโจว เสี่ยวฉวน ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน บอกว่า แบงก์ชาติจีนจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการเพิ่มอัตราส่วนกันสำรองเงินสดในธนาคารพาณิชย์ เพื่อเป็นเครื่องมือในการควบคุมการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากมีกังวลถึงความเสี่ยงด้านภาวะฟองสบู่ในสินทรัพย์

ท่ามกลางกระแสเม็ดเงินลงทุนยังคงไหลเข้าประเทศมาเก็งกำไรในสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง และทำให้ดุลการชำระเงินของจีนยังคงเกินดุลอยู่ในระดับที่สูง

ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ของจีนมียอดปล่อยเงินกู้สูงเป็นประวัติการณ์ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ที่ 9.21 ล้านล้านหยวน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 4 ล้านล้านหยวน

แต่อัตราการขยายตัวของสินเชื่อของจีนเริ่มชะลอตัวลงนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม เป็นต้นมา หลังจากที่เจ้าหน้าที่กำกับดูแลภาคธนาคารแสดงความกังวลถึงความเสี่ยงด้านภาวะฟองสบู่ในสินทรัพย์ และพยายามออกมาตรการสกัดอย่างต่อเนื่อง ทว่าในส่วนของรัฐบาลจีนยังคงสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศอยู่
money news update
********
22/12/52
จีนตั้งเป้าเศรษฐกิจโต 8% ปีหน้า

รมว.อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี เปิดเผยว่า รัฐบาลจีนตั้งเป้าการขยายตัวทาง ศก. ที่ระดับ 8% ปีหน้า แม้ว่ารัฐบาลเผชิญกับความยากลำบากมากขึ้นในการกระตุ้น Demand ในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อน ศก.

ส่วนภาคการผลิต ตั้งเป้าว่าการผลิตภายในอุตสากรรมจะขยายตัวราว 11% ในปีหน้า โดยการผลิตในภาคอุตสาหกรรมในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้เพิ่มขึ้น 10.3% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งการผลิตในเดือน พ.ย. เพียงเดือนเดียวเพิ่มขึ้นถึง 19.2%

ส่วนภาพของธนาคารพาณิชย์นั้น ทางการจีนคาดว่า ธนาคารจีนอาจจำเป็นต้องระดมทุนรวม 5 แสนล้านหยวน(7.3 หมื่นล้านดอลลาร์) จากตลาดทุนในปีหน้า ซึ่งการปล่อยกู้อย่างรวดเร็ว กระทบต่อความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคาร ซึ่งออกมาคาดการณ์ในครั้งนี้ นับเป็นการประมาณการอย่างเป็นทางการครั้งแรกเกี่ยวกับการระดมทุนในระยะใกล้ของภาคธนาคาร

ปริมาณเงินกู้ใหม่ของจีน พุ่งสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการร์ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ถึงแม้ว่าการปล่อยเงินกู้ได้ลดลงในครึ่งปีหลัง แต่จากการสำรวจของรอยเตอร์กับนักวิเคราะห์ 20 คนระบุว่า เงินกู้มีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างสูงในปีหน้า เมื่อเทียบจากมาตรฐานที่ผ่านมา โดยอยู่ที่ 7.5 ล้านล้านหยวน

การให้เงินกู้ครั้งใหม่ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาการขยายตัวทาง ศก. ของจีนให้คงอยู่อย่างยั่งยืน จะทำให้สัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงลดลง ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญในการวัดความสามารถของธนาคารในการรองรับการขาดทุนที่เกิดขึ้น
money news update
********
21/12/52
จีนตั้งเป้าเศรษฐกิจปีหน้าโต 8%

Posted on Monday, December 21, 2009
นายหลี่ หยีจง รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมจีน บอกว่า จีนตั้งเป้าว่า เศรษฐกิจประเทศจะขยายตัว 8% ในปีหน้า ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่มั่นคง นอกจากนั้นยังคาดการณ์ว่าผลผลิตอุตสาหกรรมจะขยายตัวราว 11%

สำหรับเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งครั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ต่างๆ เชื่อว่า เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวตามเป้าดังกล่าวได้ไม่ยาก และอาจทะลุเป้าด้วยซ้ำ

ก่อนหน้านี้ นายฝาน กัง ที่ปรึกษาธนาคารกลางจีน ระบุว่า เศรษฐกิจจีนไม่ควรขยายตัวแบบเลขสองหลักในปีหน้า เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์

ทั้งนี้ทางการจีนยังเดินหน้าใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในปีหน้าเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศ หลังจากประเมินว่าการส่งออกยังคงอ่อนแอ โดยจะเดินหน้าใช้นโยบายการเงิน การคลัง และภาษีเช่นเดิม
money news update
********
21/12/52
ปี 2553 แบงก์จีนจ่อเพิ่มทุน 73.2 พันล้านดอลล์

เอเอฟพี รายงานว่า ธนาคารจีนอาจจะจำเป็นต้องเพิ่มทุนราว 500 พันล้านหยวน (73.2 พันล้านดอลลาร์) ในปี 2553 เพื่อป้องกันหนี้เสียที่เกิดจากการปล่อยกู้ในปีนี้ ซึ่งรวมถึง 100-200 พันล้านหยวน ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรของจีน (Agricultural Bank of China) 1 ใน 4 แบงก์ยักษ์ใหญ่ของจีน เตรียมจะออกหุ้นไอพีโอ
"หลี่ ฟูอัน" ผู้อำนวยการคณะกรรมาธิการด้านกฎระเบียบการธนาคารของจีน กล่าวว่า ธนาคารจีนมีความจำเป็นมากที่จะต้องเพิ่มทุน

โดยธนาคารจีนอยู่ภายใต้แรงกดดันที่จะต้องเพิ่มทุน หลังจากปล่อยกู้ก้อนใหม่ๆ รวมประมาณ 7.4 ล้านล้านหยวนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เนื่องจากรัฐบาลจีนเรียกร้องให้บรรดาธนาคารจีนปล่อยเงินออกสู่เศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ตัวเลขการปล่อยเงินกู้ใหม่เริ่มชะลอลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่ยังคาดว่าการปล่อยกู้จะยังอยู่ในระดับสูงในปีหน้า ก่อนหน้านี้ คณะกรรมาธิการฯ ได้ออกมาเตือนว่า ธนาคารจีนควรจะจำกัดการขยายธุรกิจไว้จนกว่าจะเสริมแกร่งเพื่อรับมือกับหนี้เสีย ซึ่งเป็นการแตะเบรกการปล่อยกู้

โดยอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงขั้นต่ำสำหรับธนาคารขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นเงินทุนที่แบงก์ควรจะถือไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยง น่าจะเพิ่มจาก 8% อยู่ที่ 11% ส่วนธนาคารขนาดกลางและเล็ก ควรจะมีสัดส่วนอยู่ที่ 10%
อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับการโหมออกหุ้นใหม่ของแบงก์อาจจะส่งผลต่อสภาพคล่องของตลาด ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นจีนถูกฉุดลงราว 3.2% ในเดือนนี้


ขณะที่ "ซิเคียวริตี้ส์ ไทม์ส" รายงานว่า หนึ่งในบทเรียนที่ได้จากวิกฤตการเงินโลกที่เกิดขึ้น คือ ความสำคัญในการที่จะปกปักรักษาเงินทุนหลัก (core capital) เอาไว้ ซึ่งดีกว่าการออกหุ้นเพิ่ม
prachachat
********
21/12/52
คาดเกิดประท้วงใหญ่รับประชุมไต้หวัน-จีนสัปดาห์นี้

นักวิเคราะห์ในไต้หวันคาดว่า การประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไต้หวันและจีนในสัปดาห์นี้ที่เมืองไท้จงของไต้หวันจะถูกประท้วงใหญ่จากฝูงชนที่กังวลนโยบายผูกมิตรกับจีน

นายเฉิน หยุนหลิน ประธานสมาคมเพื่อความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบไต้หวันของจีนและนายเจียง ผินกุง ประธานมูลนิธิแลกเปลี่ยนข้ามช่องแคบไต้หวันของไต้หวันจะหารือกันเรื่องการเก็บภาษีซ้ำซ้อนและการกักตรวจสินค้าเกษตร

นายเฉินเผยเมื่อวันศุกร์ว่าจะไม่หารือเรื่องการลงนามข้อตกลงกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ แต่จะพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนทัศนะกันมากกว่า

ข้อตกลงนี้เป็นสิ่งที่ประธานาธิบดีหม่าของไต้หวันพยายามผลักดันให้มีผลในปีหน้าโดยให้เหตุผลว่า จะส่งเสริมการแลกเปลี่ยนกับจีนและสร้างงานให้แก่ชาวไต้หวัน แต่ฝ่ายค้านแย้งว่า สิ่งที่ประธานาธิบดีหม่าผลักดันจะทำให้ชาวไต้หวันยิ่งตกงานมากขึ้นและทำให้ต้องพึ่งพาจีนมากขึ้น

ส่วนผู้เชี่ยวชาญความสัมพันธ์กับจีนที่มหาวิทยาลัยซูโจวเห็นว่า การผลักดันให้การเจรจาเดินหน้ามีความสำคัญต่อรัฐบาลไต้หวันมากกว่าสาระของการประชุม

ดังนั้นประธานาธิบดีหม่าจึงต้องสร้างหลักประกันว่าการเจรจาดำเนินไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย เพื่อปูทางไปสู่การเจรจารอบต่อไป และคาดว่าเขาจะชะลอการแลกเปลี่ยนกับจีนลง หลังจากเห็นว่าการกระชับสัมพันธ์กับจีนทำให้พรรคก๊กมินตั๋งเสียคะแนนในการเลือกตั้งท้องถิ่นเมื่อต้นเดือนนี้ จึงหันไปใส่ใจปัญหาในไต้หวันและปฏิรูปพรรคเป็นหลัก


มาเก๊าฉลอง 10 ปีกลับคืนสู่การปกครองของจีน

มาเก๊าฉลองครบรอบ 10 ปีการกลับคืนสู่การปกครองของจีน และในโอกาสที่นายเฟอร์นันโด ชุย ทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารเขตปกครองพิเศษมาเก๊าในวันนี้

ผู้นำจีนพร้อมด้วยเลขาธิการคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ได้เข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเป็นรัฐบาลสมัยที่ 3 ของคณะบริหารเขตปกครองตนเองพิเศษมาเก๊าเมื่อวานนี้

ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ของจีน ได้เป็นประธานในพิธีสาบานตน และกล่าวสุนทรพจน์หลังเสร็จสิ้นพิธี โดยผู้นำจีนได้แสดงความยินดีกับนายเฟอร์นันโด ชุย พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลมาเก๊าจะสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในหมู่ประชาชนและพัฒนามาเก๊าให้เจริญยิ่งขึ้นไป

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีหู ได้กล่าวชื่นชมรัฐบาลท้องถิ่นของมาเก๊าว่า พัฒนามาเก๊าให้เจริญรุดหน้าได้อย่างรวดเร็ว สมกับเป็นส่วนหนึ่งของจีน และเป็นการแสดงให้โลกได้เห็นว่า 1 ประเทศ 2 ระบบของจีนนั้นได้ผลดีเป็นอย่างยิ่ง

นายหู ได้เข้าพบนายเอ็ดมันด์ โห หัวหน้าคณะบริหารรัฐบาลมาเก๊า ซึ่งอยู่ในตำแหน่งมาแล้ว 2 สมัยนานถึง 10 ปี ซึ่งจะหมดวาระการบริหารมาเก๊าในปีนี้ โดยมอบตำแหน่งให้กับนายเฟอร์นานโด ฉุ่ย ซึ่งทำพิธีสาบานตนรับตำแหน่งไปเมื่อวานนี้

นายฉุ่ย เป็นลูกหม้อในคณะบริหารของมาเก๊า ที่ลงชิงตำแหน่งหัวหน้าคณะบริหารมาเก๊าเพียงคนเดียว และผ่านความเห็นชอบของคณะผู้เลือกตั้ง ที่ได้รับการสนับสนุนจากแผ่นดินใหญ่จีน เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีจีนหวังว่า การเดินทางเยือนมาเก๊าในครั้งนี้จะทำให้เขาได้สัมผัสและเห็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆรวมถึงความก้าวหน้าและความสำเร็จที่เกิดขึ้นในมาเก๊า หลังจากเขาเคยเดินทางเข้าร่วมงานฉลองครบรอบ 5 ปีของการกลับสู่การปกครองจีนเมื่อปี 2547
money wake up
*************
19/12/52
นักเศรษฐศาสตร์ชี้ปี54 ฟองสบู่หุ้นจีนแตก
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

นักเศรษฐศาสตร์เชี่ยวชาญจีน เตือนตลาดหุ้นกับอสังหาริมทรัพย์แดนมังกร เป็นฟองสบู่โตเร็วตามเงินเฟ้อพร้อมจะระเบิดในปี"54
นายแอนดี้ เซียะ อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์มอร์แกน สแตนเลย์ และปัจจุบันเป็นนักเศรษฐศาสตร์อิสระผู้เชี่ยวชาญจีนประจำเมืองเซี่ยงไฮ้ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวบลูมเบิร์กวานนี้ (18ธ.ค.) อสังหาริมทรัพย์และหุ้นของจีน เป็นฟองสบู่อีกลูกหนึ่งที่พร้อมจะระเบิดเมื่ออัตราเงินเฟ้อถีบตัวสูงขึ้นในปี2554

"ตลาดสินทรัพย์ของจีน และอสังหาริมทรพย์กำลังระเบิดครั้งใหญ่ ซึ่งจะใช้เวลานาน1ปีครึ่งถึงจะปรากฎให้เห็น" นายเซียะกล่าวคาดการณ์ และให้ข้อมูลว่าหุ้นฮ่องกงมีมูลค่าเกินจริงอยู่ประมาณ30% และอาจเผชิญกับการปรับตัวครั้งใหญ่ในช่วง4-5เดือนข้างหน้า และการปรับขึ้นของตลาดหุ้นจีนสัปดาห์นี้มีทิศทางสู่การเฟื่องฟูและระเบิดได้ในปี2553

นายเซียะ กล่าวว่า การปรับขึ้นคึกคักของตลาดหุ้นจีนช่วงครึ่งแรกปีหน้าอาจสะดุด เมื่อเงินเฟ้อถีบตัวสูงขึ้นและรัฐบาลถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจบางส่วน โบรกเกอร์คาดว่าดัชนีเอ็มเอสซีไอ ไชน่าอาจพุ่งขึ้นถึง81.7%ปีหน้า ซึ่งสูงกว่าระดับปิดวานนี้เกือบ29%

บลูมเบิร์กให้ข้อมูลว่าราคาที่พักอาศัยของจีนเดือนพ.ย.ปีนี้ ขึ้นเร็วสุดในรอบ1ปีครึ่ง นับตั้งแต่เดือนก.ค.ปี2551 ผลจากตัวเลขการปล่อยกู้ บวกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน ส่วนดัชนีหุ้นคอมโพสิตที่ตลาดเซี่ยงไฮ้ ปรับขึ้น 75%แล้วปีนี้ ขณะที่หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในดัชนีเอ็มเอสซีไอ ไชน่าเพิ่มขึ้นเฉลี่ยจากเดิม2เท่า

ทั้งนี้ จากการสำรวจชาวจีนเกือบครึ่งหนึ่งมองเงินเฟ้อสูงเกินไป ขณะที่นายมาร์ค โคนีน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอาร์ซีเอ็ม เอเชีย แปซิฟิก ลิมมิเทด ในฮ่องกง ยอมรับเงินเฟ้อจีนเป็นเรื่องน่าวิตก และจะเป็นประเด็นให้ติดตามในปี2553

ขณะเดียวกันเอเอฟพีรายงานอ้างคำเตือนของฟิทช์สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นจากสหรัฐ ว่า ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งของจีนกำลังก่อเกิดความเสี่ยงสินเชื่อซ่อนเร้นมากขึ้น จากการเคลื่อนไหวทางการเงิน ซึ่งมีการโยกสินเชื่อออกจากงบบัญชี เพื่อให้เป็นไปตามกฎข้อบังคับด้านเงินทุนของรัฐบาล

โดยการกระทำข้างต้น อาจนำไปสู่ภาวะแวดล้อมคล้ายคลึงวิกฤตสินเชื่อบ้านปล่อยกู้ลูกค้าความน่าเชื่อถือต่ำ หรือ ซับไพร์ม อีกทั้งธนาคารจีนหลายแห่งขายสินเชื่อให้กับสถาบันการเงิน หรือนำสินเชื่อมาปรับโฉมใหม่เป็นผลิตภัณฑ์บริหารความมั่นคั่ง ที่ส่วนใหญ่ไม่ได้รายงานการทำธุรกรรมนี้

ฟิทช์ให้ข้อมูลด้วยว่า ธนาคารจีนโต้แย้งอ้างความเสี่ยงขาดทุนจากการทำธุรกรรมมีน้อย จึงไม่จำเป็นต้องเปิดเผยสถานะการเงินของแต่ละธนาคาร แต่ฟิทช์เชื่อว่าปัญหาเกี่ยวโยงกับวิกฤตซับไพร์มของสหรัฐ เพราะธนาคารโอนความเสี่ยงให้กับคนกลุ่มที่3 หวังป้องกันผลตามมาจากการตัดสินใจไม่ดีเรื่องสินเชื่อ ละเลยการติดตามดูหลักทรัพย์ใช้ค้ำสินเชื่อเช่นเดียวกับซับไพร์มสหรัฐ

โดยสินเชื่อใหม่ที่มีอยู่ในตลาดจีนเดือนพ.ย.ปีนี้ อยู่ที่ประมาณ 2.95 แสนล้านหยวน เพิ่มขึ้นจากระดับต่ำสุดของปีที่ 2.53 แสนล้านหยวนในเดือนต.ค. ซึ่งในปี2553ฟิทช์คาดว่าการเติบโตของสินเชื่อไม่หวือหวา เมื่อสินเชื่อใหม่ขยายตัวได้20%เทียบปีต่อปี อยู่ที่ 8 ล้านล้านหยวน
krungthep********
19/12/52
จีนซุกระเบิดเวลาวิกฤตสินเชื่อ
โพสต์ทูเดย์
— จับตาพญามังกร ซุกซ่อนความเสี่ยงเพียบ ทั้งเงินกู้ปริมาณมหาศาล บวกกับฟองสบู่ หุ้น-อสังหาฯ

ฟิทช์ เรทติ้งส์ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก เตือนว่า ธนาคารในจีนกำลังซุกซ่อนความเสี่ยงด้านสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ด้วยการโยกย้ายตัวเลขปล่อยเงินกู้จาก ดุลบัญชีเพื่อตบแต่งบัญชีให้สอดคล้องกับมาตรการควบคุมของรัฐบาล
ฟิทช์ เรทติ้งส์ ชี้ว่า ธนาคารในจีนใช้วิธีการขายสินเชื่อให้กับสถาบันการเงิน หรือปรับเปลี่ยนเงินกู้ให้เป็นรูปแบบการลงทุนแบบใหม่เพื่อขายให้กับนักลงทุน โดยไม่มีการแจ้งหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับการทำธุรกรรมในลักษณะดังกล่าว

ทั้งนี้ การซุกซ่อนความเสี่ยงของธนาคารในจีนอาจบ่มเพาะให้เกิดเงื่อนไขของวิกฤตการเงินในลักษณะเดียวกับวิกฤตสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ ซึ่งในกรณีของสหรัฐมีสาเหตุมาจากการปล่อยสินเชื่อปริมาณมหาศาลโดยไม่มีการตรวจสอบความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ

“ธุรกรรมทางการเงินดังกล่าวซึ่งเป็นการเปิดช่องให้ธนาคารสามารถขยายวงเงินกู้ และแรงกดดันจากระดับทุนและสภาพคล่องอาจเป็นตัวการที่นำไปสู่การลดระดับอย่างน่าตกใจของระดับทุนของธนาคาร ฟิทช์ฯ วิตกว่าความเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าวจะเป็นปัจจัยให้เกิดภาวะชะลอตัวรุนแรงในตัวเลขปล่อยเงินกู้ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งอันที่จริงแล้วเงินกู้ไม่ได้ชะลอตัวลงดังที่รัฐบาลระบุ” ชาร์ลีน จู และเวินชุนหลิง นักวิเคราะห์ของฟิทช์ เรทติ้งส์ ระบุ

ทั้งนี้ ธนาคารในจีนปล่อยเงินกู้ในปริมาณมหาศาลถึง 7.4 ล้านล้านหยวน (ราว 37 ล้านบาท) ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ตัวเลขเริ่มชะลอตัวลงหลังจากที่รัฐบาลเรียกร้องให้ธนาคารต่างๆ ชะลอการปล่อยเงินกู้ เนื่องจากวิตกว่าเงินกู้ดังกล่าวอาจถูกนำไปใช้ในการปั่นราคาหุ้นและอสังหาริมทรัพย์

ด้าน แอนดี เซี่ย อดีตหัวหน้านักวิเคราะห์ฝ่ายเศรษฐกิจเอเชียของมอร์แกน สแตนเลย์ เตือนว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นของจีนได้กลายสภาพเป็นฟองสบู่แล้ว และจะระเบิดเป็นเสี่ยงหากตัวเลขเงินเฟ้อทวีความรุนแรงเมื่อถึงปี 2554

“ตลาดหุ้นของจีนกลายสภาพเป็นเครือข่ายแชร์ลูกโซ่ปั่นราคา ส่วนตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังใกล้เข้าสู่ภาวะฟองสบู่แตกภายในเวลา 1 ปีครึ่ง” เซี่ย กล่าวกับสำนักข่าวบลูมเบิร์ก

ขณะนี้ราคาที่พักอาศัยในจีนเมื่อเดือนพ.ย. ขยายตัวในอัตรา รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2551 ส่วนราคาหุ้นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในดัชนีเอ็มเอสซีไอ ไชนา ปรับขึ้นมาเฉลี่ย 2 เท่าตัว แต่ในขณะเดียวกันจากผลสำรวจของธนาคารกลางจีนพบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของชาวจีนเห็นว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่สูงเกินไป แม้ว่าดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนที่แล้วปรับลดลงมากที่สุดในรอบปีก็ตาม
posttoday
************
17/12/52
จีนไม่เห็นด้วยกับการเก็บภาษีคาร์บอน

เหยา เจี้ยน โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน ออกมายืนยันจุดยืนอีกครั้งว่า จีนไม่เห็นด้วยกับการเก็บภาษีคาร์บอนที่คนบางกลุ่มและองค์กรบางแห่งเสนอขึ้นมาโดยไม่คำนึงว่าประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาแล้วมีความแตกต่างกัน ดังนั้นแต่ละประเทศก็ไม่ควรแบกรับความรับผิดชอบเท่ากัน

อย่างไรก็ตาม นายเหยาไม่ได้ระบุชื่อของบุคคลหรือองค์กรที่เสนอมาตรการดังกล่าว

แนวคิดเรื่องการเก็บภาษีคาร์บอนได้รับการนำเสนอครั้งแรกโดยนายฌาคส์ ชีรัค อดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศส และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากสหรัฐ แคนาดา และสหภาพยุโรป โดยแนวคิดดังกล่าวระบุให้มีการเก็บภาษีคาร์บอนกับประเทศที่ไม่พยายามลดการปล่อยก๊าซ

เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้ผ่านร่างกฎหมายแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมซึ่งรวมถึงการเก็บภาษีคาร์บอน ส่งผลให้สหรัฐสามารถเก็บภาษีนำเข้าสินค้าที่ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนจำนวนมากอย่าง เหล็ก ซีเมนต์ แก้ว และกระดาษ จากประเทศที่ไม่พยายามลดการปล่อยก๊าซได้ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป

รายงานบนเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า ประธานาธิบดีของจีนจะกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมสุดยอดที่กรุงโคเปนเฮเกน ของเดนมาร์ก เพื่ออธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับจุดยืนของจีน

จีนและสหรัฐเป็นสองประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนมากที่สุดของโลก แต่เพิกเฉยต่อการเรียกร้องของยุโรปที่ให้ประนีประนอมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก่อนหน้านี้ จีนเคยประกาศว่า จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหนึ่งหน่วยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพี ลงให้ได้ร้อยละ 40-45 ภายในปี 2563

ยูคิโอะ ฮาโตยามะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เปิดเผยแผนการเพิ่มความช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเดิมที่ได้ให้คำมั่นไว้ว่าจะจัดสรรงบในส่วนนี้ประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์ พร้อมกับตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 25% จากระดับการปล่อยก๊าซในปี 2533 ให้ได้ภายในปี 2563

ขณะที่ความเคลื่อนไหวจากการประชุมว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่กรุงโคเปนเฮเกนนั้น กลุ่มผู้ชุมนุมหลายร้อยคนกำลังเดินขบวนไปยังสถานที่จัดการประชุม เพื่อพยายามขัดขวางการประชุม

ทางด้านผู้นำจากหลายประเทศต่างก็เตรียมเดินทางไปยังเดนมาร์ก เพื่อเข้าร่วมการประชุมในวันที่ 18 ธ.ค. อาทิ บารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ นายยูคิโอะ ฮาโตยามะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ประธานาธิบดีหู จิ่นเทาของจีน นายกอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ นายนิโคลาส์ ซาร์โกซี ประธานาธิบดีฝรั่งเศส


จีนเดินหน้านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในปีหน้า

ทางการจีนเตรียมใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในปีหน้า เพราะอุปสงค์สินค้าส่งออกยังคงอ่อนแอ พร้อมประกาศจะเดินหน้าใช้นโยบายการเงิน การคลัง และภาษีเช่นเดิมในปีหน้า เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังไม่ชัดเจน

เหยา เจียน โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนกล่าวว่า กลุ่มผู้ส่งออกยังต้องอาศัยเวลาในการพิจารณาถึงการฟื้นตัวของธุรกิจ ขณะเดียวกันก็ย้ำว่า รัฐบาลยังไม่ต้องการที่จะปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ

หลังจากรัฐบาลกำหนดนโยบายควบคุมเงินหยวนให้เคลื่อนไหวที่ประมาณ 6.83 ต่อดอลลาร์นับตั้งแต่เดือนก.ค.ปีที่แล้ว ซึ่งช่วยรักษาระดับการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศได้มากขึ้น หลังจากที่วิกฤตการเงินโลกส่งผลกระทบต่อดีมานด์ในตลาดโลก

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ยอดส่งออกสินค้าของจีนในเดือนพ.ย. ขยับลง 1.2% ซึ่งเป็นระดับที่ร่วงลงน้อยที่สุดในรอบ 13 เดือน ซึ่งการที่จีนมียอดเกินดุลการค้าที่ลดลงในปีหน้าจะช่วยลดข้อพิพาทระหว่างจีนกับประเทศคู่ค้ารายใหญ่และทำให้นโยบายด้านการเงินของจีนมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า ของจีนเผชิญกับแรงกดดันจากสหรัฐและยุโรปให้เร่งปล่อยลอยตัวเงินหยวน โดยให้เหตุผลว่า การแข็งค่าของเงินหยวนช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศและหนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เงินหยวนแข็งค่าขึ้นราว 21% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ หลังจากที่ยกเลิกนโยบายผูกติดเงินดอลลาร์ในเดือนก.ค.2548

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์เชื่อว่า ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนจะขยายตัวขึ้น 9.3% ในปีหน้า หลังจากที่เมื่อช่วงไตรมาสที่แล้วเศรษฐกิจจีนเติบโต 8.9% เพราะได้รับอานิสงส์จากยอดปล่อยเงินกู้ที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ รวมถึงการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 586,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค
money wake up********
16/12/52
เดือน พ.ย. FDI จีนพุ่ง 32%

เอเอฟพี รายงานว่า เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ของจีน พุ่งขึ้น 32% ในเดือนพฤศจิกายน เทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4

เหยา เจียน โฆษกของกระทรวงพาณิชย์จีน เปิดเผยว่า จีนดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติได้ราว 7.023 พันล้านดอลลาร์ในเดือนที่แล้ว เทียบกับในเดือนตุลาคมที่เพิ่มขึ้น 5.7% ส่วนเดือนกันยายนที่เพิ่มขึ้น 18.9% และเดือนสิงหาคมที่เพิ่มขึ้น 7% หลังจากเม็ดเงิน FDI ลดลงต่อเนื่อง 10 เดือนก่อนหน้านั้น
ทั้งนี้ FDI ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ ลดลง 9.9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่อยู่ที่ 77.9 พันล้านดอลลาร์


*******
16/12/52
จีนเตรียมเก็บภาษีนำเข้าโภคภัณฑ์กว่า 600 ประเภทในปีหน้า

กระทรวงคลังจีนเผยเตรียมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์กว่า 600 รายการที่ระดับต่ำเป็นการชั่วคราวในปีหน้า

สินค้าโภคภัณฑ์ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้แก่ สินค้าโภคภัณฑ์ประเภททรัพยากร เช่น ถ่านหิน หินแกรนิต สินแร่ฟอสเฟต ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบสื่อสารแบบอ็อปติค จอพลาสมา และวัคซีน รวมทั้งเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตบางประเภท

นอกจากนี้ รัฐบาลจีนจะลดภาษีนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ 6 ประเภท ซึ่งรวมถึงสตรอเบอรี่สด ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.เป็นต้นไป ซึ่งความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้เป็นการทำตามคำมั่นในเรื่องการลดภาษีที่จีนได้ให้ไว้เมื่อครั้งที่จะเข้าเป็นสมาชิกขององค์กรการค้าโลก ในปี 2544 ทางจีนไม่ได้ระบุชื่อสินค้าโภคภัณฑ์อีก 5 รายการที่เหลือ และไม่ได้ระบุอัตราภาษีที่จะเก็บด้วย

สำหรับอัตราภาษีทั่วไปจะยังอยู่ในระดับเดิมที่ 9.8% ในปีหน้า ซึ่งเป็นระดับเดียวกับเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เทียบกับระดับ 15.3% เมื่อปี 2545 ส่วนอัตราภาษีสินค้าที่เกี่ยวกับการเกษตรลดลงมาเหลือ 15.2% จากระดับ 18.8% เมื่อปี 2545 ส่วนอัตราภาษีของสินค้าภาคอุตสาหกรรมลดลงมาเหลือ 8.9% จากระดับ 14.7%

ส่วนอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจจากทางการจีน มีการรายงานว่า จีนเริ่มการก่อสร้างสะพานที่ยาวที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลกที่เชื่อมมณฑลกวางตุ้งตอนใต้ของจีน ไปยังฮ่องกงและมาเก๊า ทั้งนี้เพื่อช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ

สะพานรูปตัววาย ฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊า ซึ่งเจ้าหน้าที่ของทางการระบุว่าเป็นสะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในโลก มีระยะทางเกือบ 50 กม. มีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2559 โดยจะมีความยาวมากกว่าสะพานเลค พอนต์ชาร์เทรน คอสเวย์ ทางตอนใต้ของสหรัฐ ที่ยาว 38.4 กม. และได้ชื่อว่าเป็นสะพานที่ยาวที่สุดในโลก

สะพานแห่งนี้ยังจะช่วยย่นระยะเวลาในการเดินทางระหว่างเมืองจูไห่-ฮ่องกง เหลือ 30 นาที จาก 3.5 ชม. และระหว่างฮ่องกง-มาเก๊า เหลือไม่ถึงชั่วโมงจาก 3 ชม. สะพานแห่งนี้จะมีค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง 73,000 ล้านหยวน

โดนัลด์ เจิง ผู้บริหารเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ซึ่งเข้าร่วมในพิธีวางศิลาฤกษ์กับรองนายกรัฐมนตรีหลี่ เคอเฉียงของจีน กล่าวว่า สะพานแห่งนี้จะนำไปสู่การรวมตัวทางด้านสังคมและเศรษฐกิจในภูมิภาค
money wake up
*********
15/12/52
ผู้ว่าแบงค์ชาติฮ่องกงชี้ภาวะฟองสบู่เป็นภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจเอเชีย

นายนอร์แมน ชาน ผู้ว่าการธนาคารกลางฮ่องกงกล่าวแสดงความคิดเห็นในเมือวานนี้ว่า ภาวะฟองสบู่ด้านสินทรัพย์ หรือ asset bubble เป็นภัยคุกคามหมายเลขหนึ่งที่จะสั่นคลอนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในเอเชีย พร้อมกับแนะนำให้ธนาคารกลางในเอเชียหลีกเลี่ยงการมุ่งเน้นประเด็นเงินเฟ้อมากเกินไป

เว็บไซต์ของธนาคารกลางฮ่องกงรายงานคำกล่าวของนายชานว่า "จากประสบการณ์ของภูมิภาคเอเชียในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ภาวะฟองสบู่ด้านสินทรัพย์เป็นภัยคุกคามเศรษฐกิจมากกว่าภาวะเงินเฟ้อ

นายชานหมายความว่าเอเชียยังคงมีความจำเป็นต้องกังวลหรือป้องกันภาวะเงินเฟ้อ แต่สิ่งที่เราควรให้ความสนใจก็คือเรื่องภาวะฟองสบู่ด้านสินทรัพย์ที่กำลังก่อตัวขึ้นและความเสียหายอันใหญ่หลวงที่จะตามมา

นายชานยังกล่าวด้วยว่า เม็ดเงินกว่า 640,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือ 82,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่ไหลเข้าสู่ฮ่องกงตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว ส่งผลให้ราคาบ้านในฮ่องกงพุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 10

ขณะที่นายโดนัลด์ ซัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกงกล่าวว่า เขารู้สึกกังวลเรื่องเม็ดเงินจำนวนมากที่ไหลเข้าสู่เอเชียที่เป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำในสหรัฐ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้เอเชียเผชิญวิกฤตการณ์การเงินระลอกใหม่

ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนต.ค.ของฮ่องกงขยายตัวรวดเร็วที่สุดในรอบ 3 เดือนเนื่องจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นส่งผลให้ผู้บริโภคเพิ่มการใช้จ่าย 22% ในเดือนต.ค.

ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตของจีนในเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 0.6% ทำสถิติเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน

ราคาบ้านในฮ่องกงพุ่งขึ้น 28% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ขณะที่รัฐบาลฮ่องกงพยายามสกัดกั้นความร้อนแรงของราคาบ้านด้วยการออกกฎหมายการดาวน์บ้านหรูหราที่เข้มงวดมากขึ้น รวมทั้งประกาศยกเลิกการประกันเงินกู้จำนองสำหรับอสังหาริมทรัพย์เพื่อาการเช่าซื้อ

นายโดนัลด์ ซัง ประธานเขตปกครองพิเศษฮ่องกงได้แสดงความวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังก่อตัวขึ้นในฮ่องกง
money news update
***********
12/12/52
แรงซื้อจีนฟื้น-นำเข้าพุ่ง26%
โพสต์ทูเดย์
— การค้าจีนส่งสัญญาณฟื้นตัวแรงปลายปี นำเข้าพุ่งกระฉูดรอบ 1 ปี รับนโยบายกระตุ้นการบริโภคภายใน

รัฐบาลยันยังไม่เห็นสัญญาณเงินเฟ้อ

สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนแถลงวานนี้ว่า การค้าของจีนเริ่มส่งสัญญาณขยับตัวครั้งใหญ่ โดยภาคการส่งออกนั้นปรับตัวลดลงเพียง 1.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว หรือลดลงน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. ปีที่แล้ว ขณะที่การนำเข้าเพิ่มสูงขึ้นถึง 26.7% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 1 ปี หลังจากที่รัฐบาลจีนได้กระตุ้นเศรษฐกิจและเน้นการบริโภคภายในอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าการฟื้นตัวของจีนเริ่มแข็งแกร่งแล้ว
เฉิงไล่หยุน โฆษกสำนักงานสถิติแห่งชาติ กล่าวว่า การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ตัวเลขการค้าของจีนในเดือนพ.ย. เกินดุลลดลงมาอยู่ที่ 1.99 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6.76 แสนล้านบาท) หรือลดลงจากเมื่อเดือนต.ค. ซึ่งอยู่ที่ 2.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 8.16 แสนล้านบาท)

ขณะเดียวกัน ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย. ยังได้ปรับตัวบวกอย่างรวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2550 โดยขยายตัวขึ้น 19.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และยังมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ 18% หลังจากที่ตัวเลขในเดือนต.ค. ยังทรงตัวอยู่ที่ระดับ 16.1%

“ตัวเลขเหล่านี้จะยิ่งกดดันให้รัฐบาลจีนเริ่มหันมาควบคุมนโยบายต่างๆ ให้เข้มงวดมากขึ้นในปีหน้า” ไบรอัน แจ๊กสัน นักวิเคราะห์อาวุโสจากธนาคารรอยัล แบงก์ ออฟ แคนาดา ในสาขาฮ่องกง กล่าว

แม้ตัวเลขทางเศรษฐกิจของจีนที่ปรับตัวดีขึ้นครั้งนี้ จะส่งผลด้านบวกทั้งต่อสถานะทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีนเอง และต่อการค้าโลก ทว่าในขณะเดียวกัน ก็ยังมาพร้อมสัญญาณเงินเฟ้อด้วย กับแนวโน้มที่ราคาสินค้า โดยเฉพาะอาหาร อาจปรับตัวสูงขึ้นตามมา

ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพ.ย. ขยับเพิ่มสูงขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากที่ดิ่งลงต่อเนื่องมานานถึง 9 เดือนติดต่อกัน โดยปรับเพิ่มขึ้น 0.6% จากที่คาดการณ์ไว้ที่ 0.4%

อย่างไรก็ดี โฆษกของจีนยังยืนยันว่า ไม่มีสัญญาณของแนวโน้มเงินเฟ้อในตอนนี้

หลินสงลี่ นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กัวเซิน ซีเคียวริตีส์ ในกรุงปักกิ่ง กล่าวกับรอยเตอร์สว่า เชื่อว่าจีนจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ด้านนโยบาย ภายในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า หลังจากที่ได้ส่งสัญญาณมาเมื่อต้นสัปดาห์ว่า จะยังคงนโยบายการเงินและการคลังเดิมต่อไป

ขณะที่เหรินเสียงฟาง นักเศรษฐศาสตร์จากบริษัท ไอเอชเอส โกลบอล อินไซต์ กล่าวว่า จะเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นเล็กน้อยในจีน เนื่องจากกำลังการผลิตที่มากเกินไปของภาคการผลิต ทว่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่และจะเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น
posttoday
*********
11/12/52
ยอดปล่อยสินเชื่อจีนเดือน พ.ย. ยังพุ่ง

Posted on Friday, December 11, 2009
ธนาคารกลางจีน ระบุว่า ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ของธนาคารพาณิชย์เดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 294,800 ล้านหยวน หรือ 43,200 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 253,000 ล้านหยวนในเดือนก่อนหน้า

ขณะที่ปริมาณเงิน M2 หรือ ปริมาณเงินหมุนเวียนในมือประชาชน ซึ่งรวมไปถึงเงินฝากประจำและออมทรัพย์ในระบบธนาคาร เดือนพฤศจิกายน ก็เพิ่มสูงสุดในประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 29.74%

นายหวาง เตา นักเศรษฐศาสตร์จาก UBS บอกว่า ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ดังกล่าวนับเป็นระดับที่สูง แม้รัฐบาลจีนพยายามส่งสัญญาณให้มีการควบคุมการปล่อยสินเชื่อ และมีแผนจะควบคุมการปล่อยสินเชื่อใหม่สำหรับปี 2010 ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 7-8 ล้านล้านหยวน และหวังว่า การปล่อยสินเชื่อใหม่ในจีนปีหน้าจะชะลอลงเพื่อหลีกเลี่ยงวงจรภาวะฟองสบู่

ทั้งนี้ ในช่วง 10 เดือนแรกปีนี้ ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ในจีนอยู่ที่ 8.9 ล้านล้านหยวน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งก่อให้เกิดความหวั่นเกรงเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่สินทรัพย์
money news update
*********
11/12/52
จีนออกกฎคุมภาคอสังหา – กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศต่อ

จีนจะยังคงใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปในปีหน้า พร้อมกับควบคุมการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์

จีนจะออกมาตรการป้องกันการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยกำหนดให้ผู้คนที่จะได้รับการยกเว้นภาษีซื้อขายบ้าน จะต้องถือครองกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นเวลา 5 ปี จากเดิมที่ต้องถือครองกรรมสิทธิ์เพียงแค่ 2 ปี

รัฐบาลจีนพยายามที่จะลดความร้อนแรงของอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ หลังจากหลายฝ่ายได้เริมออกมาแสดงความวิตกต่อโอกาสในการเกิด วิกฤติภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจีน จากรายงานตัวเลขของสำนักงานสถิติในจีนเดือนล่าสุด พบว่าราคาบ้านใน 70 เมืองใหญ่ในจีน ได้พุ่งทะยานขึ้นสูงสุดในรอบ 14 เดือน

ขณะที่คณะรัฐมนตรีของจีนประกาศเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ว่า รัฐบาลจีนจะยังคงสนับสนุนตลาดภายในประเทศอย่างต่อเนื่องในปีหน้า ด้วยการส่งเสริมนโยบายด้านการบริโภคที่มีอยู่ให้เดินหน้าต่อไป เพื่อที่เศรษฐกิจของประเทศจะได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วและมั่นคงขณะที่เศรษฐกิจของจีนยังคงเผชิญกับความท้าทายต่างๆในปีที่กำลังจะมาถึง

สำหรับนโยบายที่ที่ประชุมครม.จีนมีมติให้คงเอาไว้ในปีหน้า ได้แก่ การให้เงินสงเคราะห์ภาคครัวเรือนในชนบทซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและรถยนต์ เป็นต้น

ขณะที่นโยบายลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ขนาดไม่ถึง 1.6 ลิตร จะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป แต่จะปรับภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 7.5% จากปัจจุบันที่ 5.0% ซึ่งลดลงมาจากระดับเดิมที่ 10% ก่อนที่จะมีการประกาศใช้นโยบายลดหย่อนภาษีในปีที่แล้ว

ที่ประชุมครม.จีนระบุว่า นโยบายต่างๆเหล่านี้สามาถกระตุ้นการบริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลสืบเนื่องต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ

ทั้งนี้ รัฐบาลจีนได้ใช้นโยบายต่างๆเพื่อปรับปรุงมาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชนและกระตุ้นการบริโภคมาตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2551 เพื่อต่อสู้กับวิกฤตการเงินโลก
money wake up
*********
08/12/52
จีนยืนยันคงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปในปีหน้า

จีนประกาศจะคงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและนโยบายสินเชื่อแบบผ่อนคลายต่อไปในปีหน้า เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจจีนซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ขณะเดียวกันก็จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจ ด้วยการสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น

บรรดาผู้นำระดับสูงของจีน ซึ่งรวมถึงประธานาธิบดีหู จิ่นเทา และนายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า ได้กล่าวปิดการประชุม Central Economic Work Conference ประจำปีที่กรุงปักกิ่งเมื่อวานนี้ ด้วยการให้คำมั่นว่า จีนจะใช้นโยบายการคลังในเชิงควบคุมสถานการณ์ และนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายปานกลางต่อไปในปีหน้า เพื่อรับประกันว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะมีความต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ

ผู้เข้าร่วมการประชุม ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายจากรัฐบาลกลางและรัฐบาลระดับมณฑล ยังเห็นพ้องกันด้วยว่า จะเพิ่มความพยายามในการส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยชี้ว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกทำให้จีนมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ จากปัจจุบันที่มุ่งเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมซึ่งรัฐให้การสนับสนุน ไปเป็นการกระตุ้นอุปสงค์และส่งเสริมการบริโภคในประเทศ

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นปีละครั้ง โดยในปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 - 7 ธ.ค. เพื่อกำหนดรูปแบบหรือทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจในปีหน้า
money wake up
********
08/12/52
ยอดผลิต-ขายรถในจีนทะลุ 12 ล้านคัน
Tuesday, 08 December 2009 07:45
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสมาคม ผู้ผลิตยานยนต์จีน หรือ CAAM รายงานว่า ในเดือนพฤศจิกายนเพียงเดือนเดียว ยอดขายรถอยู่ที่ 1.35 ล้านคัน โดยเซี่ยงไฮ้ ออโตโมทีฟ อินดัสทรี ผู้ผลิตรถรายใหญ่สุดของจีน ขายรถได้ 2.44 ล้านคัน ณ สิ้นสุดเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้สมาคมคาดการณ์ว่า ยอดขายและผลผลิตยานยนต์ตลอดทั้งปีจะมากกว่า 13 ล้านคัน ถือเป็นครั้งแรกที่จีนผลิตรถได้มากกว่า 10 ล้านคันภายใน 1 ปี และจีนจะเป็นประเทศที่ 3 ต่อจากสหรัฐและญี่ปุ่นที่ผลิตรถได้เกินหลัก 10 ล้านคันในปีเดียวยอดขายยานยนต์ของจีนคึกคักเมื่อเทียบกับตลาดใหญ่ ๆ ของโลก เป็นผลมาจากมาตรการจูงใจของรัฐบาล อาทิ การลดภาษีรถยนต์ขนาดเล็ก และการให้เงินอุดหนุนผู้ที่นำรถเก่ามาแลกซื้อรถยนต์ใหม่
stock wave
***********
04/12/52
ศูนย์ข้อมูลจีนคาดเศรษฐกิจจีนปี 2553 ขยายตัว 8.5%

ศูนย์ข้อมูลแห่งชาติของจีน (SIC) คาดการณ์ว่า ตัวเลขจีดีพีของจีนจะขยายตัวได้ประมาณ 8.5% ในปี 2553 โดยศูนย์ข้อมูลแห่งชาติคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะยังคงฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง แม้กำลังการผลิตภายในประเทศจะยังมีมากเกินความต้องการ แต่จะช่วยให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนไม่ต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ที่คาดว่าในปีหน้าจะขยายตัวขึ้นราว 2.5%

รายงานคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจยังบ่งชี้ว่า หากเศรษฐกิจโลกยังคงเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่องในปีหน้า นโยบายด้านเศรษฐกิจมหภาคของจีนก็คงไม่เปลี่ยนแปลง
สำหรับตัวเลขขาดดุลงบประมาณน่าจะยังอยู่ที่ประมาณ 3% ของจีดีพี ขณะที่ยอดปล่อยเงินกู้จะขยายตัวไม่เกิน 8 ล้านล้านหยวน
รายงานดังกล่าวยังระบุด้วยว่า กลุ่มผู้ประกอบการจะสามารถระดมทุนจากตลาดทุนได้มากขึ้น และตลาดจีนจะมีสภาพคล่องหมุนเวียนอยู่มากพอในปีหน้า
นายเจีย กัง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การเงินของกระทรวงคลังจีนคาดว่า เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะขยายตัวค่อนข้างสูงในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 และมีเสถียรภาพในช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมแนะให้จีนจับตาการปรับโครงสร้างและคุณภาพของโครงการต่างๆ ตลอดจนการปฏิรูปเรื่องการจัดเก็บภาษี ภาษีทรัพยากร และเริ่มต้นจัดเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้า
ผู้อำนวยการสถาบันฯยังคาดการณ์ด้วยว่า เศรษฐกิจจีนจะสามารถขยายตัวได้ 8% อย่างแน่นอนในปีนี้ และการขยายตัวของจีดีพีในไตรมาส 4/52 จะสูงขึ้น ขณะที่ดัชนีเศรษฐกิจจะค่อนข้างดีในไตรมาส 1-2/53 และเศรษฐกิจจะเริ่มมีเถียรภาพในไตรมาส 3-4-52
ผู้อำนวยการฯกล่าวว่า ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการปฏิรูปภาษีทรัพยากร และแนะนำให้เตรียมพร้อมสำหรับการจัดเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์

************
03/12/52
โกลด์แมนแซคส์ระบุ จีนยังดึงดูดเงินลงทุนโลกได้อีก 20 ปี

Posted on Thursday, December 03, 2009
นายโธมัส เติ้ง หัวหน้านักกลยุทธ์โกลด์แมนแซคส์ ระบุว่า ตลาดหุ้นจีนในปีหน้าจะยังคงเป็นขาขึ้น เนื่องจากคาดว่า กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในจีนจะขยายตัวในอัตรา 20%-30% โดยแนะนำให้ซื้อหุ้นกลุ่มยานยนต์และกลุ่มโรงพยาบาลของจีน ไปจนถึงหุ้นของบริษัทที่มีที่ดินในเซี่ยงไฮ้ก่อนที่จะมีงานเวิลด์เอ็กซ์โปในปีหน้า

นายเติ้งบอกว่า เม็ดเงินลงทุนในโลกตะวันตกขณะนี้ได้ย้ายมายังตะวันออก นั่นหมายความว่า เม็ดเงินไหลออกจากตลาดที่พัฒนาแล้วมาสู่ตลาดเกิดใหม่ และแนวโน้มเช่นนี้จะเกิดขึ้นต่อไปอีก 10-20 ปีข้างหน้า

ขณะที่ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า ในปี 2553 เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาจะขยายตัว 5.1% ขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วจะขยายตัว 1.3%

ทั้งนี้ โกลด์แมนแซคส์ คาดว่า ใดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงนปี 2553 จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 17,000 จุด ส่วนดัชนี CSI 300 ตลาดหุ้นจีนจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 4,300 จุด
money news update
**********
03/12/52
ตลาดรถยนต์หรูของจีนส่งสัญญาณกลับสู่ขาขึ้น

บริษัทผลิตรถหรูทั่วโลกประกาศความพร้อมรุกตลาดจีนอีกครั้ง หลังจากที่หลายรายต้องประสบปัญหายอดขายซบเซาตามแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ขณะนักวิเคราะห์ลงความเห็นว่า ธุรกิจรถราคาแพงของที่นี่มีโอกาสโตอย่างมากตั้งแต่ปีหน้า

ในงานมหกรรมรถยนต์ครั้งล่าสุดที่เมืองกวางโจวของจีน ผู้ที่ไปร่วมงานหลายคนก็เห็นพ้องต้องกันว่า ผู้ผลิตรถหรูชั้นนำของโลกพร้อมหวนคืนสู่ตลาดจีนและเติบโตกันอีกครั้ง และสัญญาณทางด้านบวกที่ตอกย้ำความน่าจะเป็นนี้ก็คือ การเปิดตัวรถหรูรุ่นล่าสุดของสองค่ายใหญ่แห่งวงการ อย่าง General Motors และ Toyota Motors นั่นเอง

นับตั้งแต่ต้นปี ตลาดรถของจีนยังแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอย่างที่ไม่มีใครเทียบ แม้ว่าจะเป็นในช่วงที่วิกฤติเศรษฐกิจยังคงกดดันธุรกิจทุกประเภท แต่จีนก็สามารถรายงานการเติบโตของตลาดรถยนต์ได้ที่ 38% จากงบประมาณกระตุ้นอุตสาหกรรมและยอดขายรถขนาดเล็กจากภาครัฐ

อย่างไรก็ดี ความต้องการในส่วนของตลาดรถยนต์ราคาแพง ยังเป็นจุดที่มีปัญหามาโดยตลอด ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะอัตราการเติบโตที่ลดลงของพื้นที่เศรษฐกิจในแถบริมฝั่งมหาสมุทร ซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก และต้องซวนเซไปกับแรงกระทบของเศรษฐกิจ แต่การเปิดตัวเป็นครั้งแรกของรถ Cadillac จากค่าย GM และ Lexus ของค่าย Toyota นั้น ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี ที่บอกให้โลกรู้ว่า ตลาดนี้กำลังจะกลับคืนสู่ช่วงขาขึ้นอีกครั้งแล้ว

นอกจากสองค่ายยักษ์ใหญ่นี้แล้ว ค่ายอื่นๆ อย่างเช่น Nissan ก็ได้ส่งรถรุ่นใหม่ ๆ ภายใต้แบรนด์ Infiniti ออกสู่ตลาด เช่นเดียวกับค่าย Mercedez-Benz ของ Daimler ที่ยกขบวนนำเสนอยนตกรรมของตนอย่างเต็มรูปแบบ

Kevin Wale ประธาน GM China มั่นใจว่า ความต้องการรถหรูราคาแพงในจีนจะทยอยปรับตัวดีขึ้น และกลับมาสู่สภาวะปกติในไม่ช้านี้ ซึ่งเป็นไปได้ที่ยอดขายรถประเภทนี้จะเติบโตอยู่ในระดับตัวเลขสองหลัก แซงหน้ารถแบบอื่น ๆ ในอนาคตอันใกล้ด้วย ซึ่งมุมมองแบบนี้ ถ้าหากเกิดขึ้นจริง ก็จะเป็นการพลิกกลับครั้งใหญ่ หลังยอดขายของรถหรู อย่างเช่น Cadillac หดตัวลงถึง 7% ระหว่างเดือนมกราคม - ตุลาคมของปีนี้

Wale บอกว่า การลดลงของยอดขายในปีนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ GM ไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับนโยบายของรัฐบาลจีนที่ส่งเสริมให้ผู้บริโภคหันมาใช้รถขนาดเล็กตั้งแต่ปีที่แล้ว และมีการปรับเพิ่มภาษีรถที่มีขนาดเครื่องยนต์ใหญ่กว่า 3 ลิตรด้วย

ส่วน รถรุ่น Lexus ของ Toyota ก็มีปัญหากับนโยบายข้างต้นของรัฐบาลปักกิ่งเช่นกัน จนกระทั่งเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวรถรุ่นพิเศษเฉพาะสำหรับตลาดจีน ที่มีขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 3 ลิตร เพื่อให้มีสิทธิเข้าโครงการดังกล่าว

สำหรับ Mercedez-Benz ของค่าย Daimler ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทรถหรูที่ผ่านด่านสภาวะเศรษฐกิจมาได้ด้วยดี แม้การซื้อขายรถประเภทนี้จะชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมา แต่พอมาในเวลานี้ บริษัทก็เกาะกระแสด้วยการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ๆ หลายรุ่น เพื่อหวังทวงคืนยอดขายในตลาดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของบริษัทแห่งนี้

เมื่อมองข้ามไปดูอนาคต นักวิเคราะห์หลายคนก็เห็นด้วยกับ General Motors ว่า ตลาดรถหรูในจีนน่าจะขยายตัวได้กว่า 20% จนทำให้ยอดขายพุ่งไปอยู่ที่ 315,000 คันในปีหน้า เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโต 6% หรือ 250,000 คันในปีนี้
global money
*************
02/12/52
แนะรัฐบาลจีนเพิ่มปริมาณสำรองทองคำ

นสพ.ไชน่า ยูท เดลี่ รายงานว่า จี เสี่ยวหนาน เจ้าหน้าที่อาวุโสของคณะกรรมการบริหารและกำกับดูแลสินทรัพย์ แนะให้จีนเพิ่มปริมาณสำรองทองคำของประเทศเป็น 6,000 เมตริคตันภายใน 3-5 ปีข้างหน้า หรืออาจจะเพิ่มเป็น 10,000 เมตริคตันในช่วง 8-10 ปี เพื่อลดโอกาสที่จะขาดทุนอันเนื่องมาจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า

ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงมาแล้วประมาณ 20% เมื่อเทียบกับเงินยูโร และนับตั้งแต่ปี 2546 จีนได้เพิ่มสำรองทองคำมาแล้ว 76% แตะ 1,054 ตัน

นายจีกล่าวว่า การเลื่อนชำระหนี้ของบริษัท ดูไบ เวิลด์ อาจเป็นการเปิดโอกาสให้จีนได้นำสำรองเงินตราต่างประเทศไปลงทุนในตลาดโลหะและน้ำมัน

สมาคมทองคำของจีนคาดการณ์ว่า ความต้องการและผลผลิตทองคำในประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตทองรายใหญ่สุดของโลก อาจพุ่งทำสถิติสูงสุดในปีนี้ เนื่องจากการใช้ทองเพื่อทำเครื่องประดับเพิ่มสูงขึ้นมาก และผู้ประกอบการเหมืองขยายกำลังการผลิตหลังจากที่ราคาทองคำพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

จาง หยางเถา รองเลขาธิการของสมาคม กล่าวในที่ประชุมสมาคมในเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนานว่า จีนอาจต้องการทองคำมากกว่า 450 เมตริกตันในปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 395.6 ตันในปี 2551 และผลผลิตอาจเพิ่มขึ้นแตะ 310 ตัน จากระดับ 282 ตันในปีก่อน พร้อมเผยว่า การผลิตทองของจีนขยายตัว 9.5% ต่อปีในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา

ทางด้านผู้จัดการฝ่ายวิจัยการลงทุนของสมาคมทองคำโลกมองว่า จีนมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นผู้ผลิตและผู้บริโภคทองคำรายใหญ่สุดของโลกในปีนี้


จีนเมินแรงกดดันประเด็นเงินหยวน

นายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า ของจีน กล่าวในการหารือกับผู้นำประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ที่นครหนานจิง เมืองเอกมณฑลเจียงซู ว่า การตรึงอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนของจีนให้มีเสถียรภาพ คือ สิ่งจำเป็นที่จะทำให้เศรษฐกิจของจีนมีเสถียรภาพไปด้วย

การออกมาเน้นย้ำดังกล่าวของนายกรัฐมนตรีจีน มีขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากคณะผู้นำจากสหภาพยุโรป หรืออียู เรียกร้องให้จีนยกเลิกการตรึงค่าเงินหยวน เนื่องจากกังวลว่า จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของอียู และจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า

ภายหลังการประชุม นายกฯ จีนได้แสดงความเห็นว่า การกดดันให้จีนเปลี่ยนแปลงนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนถือเป็นข้อเรียกร้องที่ไม่ยุติธรรม และประณามผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายของจีนว่า พยายามกีดกันการค้าของกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา

ธนาคารกลางจีนได้ตรึงค่าเงินหยวนไว้ที่ระดับเดิมนับตั้งแต่เดือนก.ค.ปี 2551 หลังจากปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้น 21% เมื่อ 3 ปีก่อนหน้านั้น เพื่อช่วยบริษัทส่งออกของจีนให้อยู่รอดได้ในยามที่เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย

สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐเรียกร้องให้ประธานาธิบดีหู จิ่นเทาของจีน ปรับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่ามากขึ้น ซึ่งผลจากประเด็นค่าเงินในปัจจุบัน ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง จึงทำให้ทางผู้เชี่ยวชาญ ได้ออกมาแนะให้เพิ่มปริมาณสำรองทองคำของประเทศเป็น 6,000 เมตริคตันภายใน 3-5 ปีข้างหน้า หรืออาจจะเพิ่มเป็น 10,000 เมตริคตันในช่วง 8-10 ปี เพื่อลดโอกาสที่จะขาดทุนอันเกิดมาจากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง

นับตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงมาแล้วประมาณ 20% เมื่อเทียกับเงินยูโร และนับตั้งแต่ปี 2546 จีนได้เพิ่มสำรองทองคำมาแล้ว 76% แตะ 1,054 ตัน

ทางด้านผู้จัดการฝ่ายวิจัยการลงทุนของสมาคมทองคำโลกมองว่า จีนมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นผู้ผลิตและผู้บริโภคทองคำรายใหญ่สุดของโลกในปีนี้
money wake up
*************
30/11/52
จีนคาดดีมานด์-ผลผลิตทองในประเทศพุ่ง

สมาคมทองคำของจีนคาดการณ์ว่า ความต้องการและผลผลิตทองคำในประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตทองรายใหญ่สุดของโลก อาจพุ่งทำสถิติสูงสุดในปีนี้ เนื่องจากการใช้ทองเพื่อทำเครื่องประดับเพิ่มสูงขึ้นมาก และผู้ประกอบการเหมืองขยายกำลังการผลิตหลังจากที่ราคาทองคำพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

จาง หยางเถา รองเลขาธิการของสมาคม กล่าวในที่ประชุมสมาคมในเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนานว่า จีนอาจต้องการทองคำมากกว่า 450 เมตริกตันในปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 395.6 ตันในปี 2551 และผลผลิตอาจเพิ่มขึ้นแตะ 310 ตัน จากระดับ 282 ตันในปีก่อน พร้อมเผยว่า การผลิตทองของจีนขยายตัว 9.5% ต่อปีในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ จีนแซงหน้าแอฟริกาใต้ขึ้นเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่สุดของโลกในปี 2550 และสภาทองคำโลกคาดการณ์เมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมาว่า จีนอาจแซงหน้าอินเดียขึ้นเป็นผู้บริโภคทองคำรายใหญ่สุดของโลกด้วย

บลูมเบิร์กรายงานว่า ราคาทองแท่งปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,195.13 ดอลลาร์ต่ออนซ์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ได้หนุนให้ดีมานด์โลหะมีค่าเพิ่มสูงขึ้นในฐานะแหล่งลงทุนทางเลือก
***********
27/11/52
จีนไม่หวั่นฟองสบู่เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ

Posted on Friday, November 27, 2009
คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ระบุว่า คณะกรรมการฯเห็นชอบที่จะคงนโยบายเศรษฐกิจมหภาคเพื่อความมีเสถียรภาพและความต่อเนื่องของการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยการประกาศคงนโยบายแสดงให้ เห็นว่า รัฐบาลจีนยังคงให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภายใต้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 586,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจีนมีสัญญาณความร้อนแรงอย่างต่อเนื่องก็ตาม

ทั้งนี้ คณะกรรมการฯระบุว่า ความเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายเศรษฐกิจในปีหน้านั้นอยู่ที่การหันมาให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือภาคเอกชน หลังจากการได้ใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านรัฐวิสาหกิจมาแล้วในช่วง 1 ปีแรกของการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
money news update***********
27/11/52
จีนเผยฐานผู้ใช้บริการมือถือ 3G แตะ 7 ล้านราย

กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน เปิดเผยว่า ฐานผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือ 3G ช่วงสิ้นเดือนก.ย.ที่ผ่านมา มีอยู่ 7 ล้านราย ส่วนอุปกรณ์ 3G ที่ผลิตในจีนก็สูงกว่า 75% ของตลาด 3G ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้

หลี่ หลี่ รองผู้อำนวยการแผนกวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของกระทรวงฯ กล่าวในการประชุม Next Generation Broadband Wireless Mobile Communications Development Forum ว่า จำนวนผู้ใช้บริการมือถือสูงกว่า 700 ล้านราย ขณะที่ระบบการสื่อสารไร้สาย 3G นั้นเป็นเป้าหมายระยะยาวที่สำคัญในอุตสาหกรรม

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ไชน่า โมบายล์ ได้รายงานตัวเลขผู้ให้บริการ TD-SCDMA อยู่ที่ 2.31 ล้านราย ส่วนผู้ใช้บริการ WCDMA ของไชน่า ยูนิคอม อยู่ที่ 1.02 ล้านราย ซึ่งนับรวมถึงผู้ใช้บริการการ์ดอินเตอร์เฟสเครือข่ายไร้สาย 215,000 ราย ส่วนฐานผู้ใช้บริการไวร์เลสของไชน่า เทเลคอม อยู่ที่ 49.92 ล้านราย

จาง ซินเจียง ผู้ตรวจการของสำนักงานบริหารโทรคมนาคม กล่าวว่า เครือข่าย 3G ของไชน่า เทเลคอม ครอบคลุมเมืองต่างๆ 324 เมือง ส่วนของไชน่า ยูนิคอม ครอบคลุม 285 เมือง และไชน่า โมบายล์ จะครอบคลุม 238 เมืองในการก่อสร้างเครือข่ายขั้นที่ 3
money news update
*********
26/11/52
‘เฟด’ผวาฟองสบู่-แบงก์จีนต้องระดมทุน
ธนาคารกลางสหรัฐรู้ตัว ใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำเสี่ยงเกิดภาวะฟองสบู่-นักลงทุนแห่ลงทุนบนความเสี่ยงครั้งใหม่ ด้านธนาคารจีนหลายแห่งต้องเร่งระดมทุนเพิ่มหลังปล่อยกู้ร้อนแรงเกินไป

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมของเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายครั้งล่าสุดระหว่างวันที่ 3-4 พ.ย.ที่ผ่านมา ปรากฏว่าเฟดเห็นว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศจะไม่แข็งแกร่งพอที่จะช่วยให้ปัญหาการว่างงานทุเลาลงได้ อีกทั้งนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้มาตรการดอกเบี้ยต่ำนั้นยังทำให้เกิดการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่อภาวะฟองสบู่ในตลาดครั้งใหม่ขึ้น
เฟด ระบุว่า อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์นั้นได้นำไปสู่การลงทุนที่เสี่ยงในตลาดทุน และยังทำให้ทั้งผู้บริโภค นักลงทุน และนักธุรกิจวิตกกังวลต่อปัญหาเงินเฟ้อที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตาม เฟดก็ยังคงยืนยันที่จะคงอัตราดอกเบี้ยธนาคารไว้ที่ระดับต่ำที่ 0-02.5% ต่อไป เพื่อสร้างความมั่นใจให้ได้ว่าการฟื้นตัวจะเกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งนักวิเคราะห์หลายสำนักต่างคาดการณ์ว่าเฟดจะใช้มาตรการดอกเบี้ยนี้ต่อเนื่องไปถึงปีหน้าทีเดียว

นอกจากนั้น ที่ประชุมของเฟดยังมีความเห็นด้วยว่า กว่าที่เศรษฐกิจของประเทศและตลาดแรงงานจะกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้งนั้นอาจจะใช้เวลานานถึง 5-6 ปีทีเดียว อีกทั้งเนื่องจากปัญหาการว่างงานที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ประกอบกับรายได้ที่เติบโตช้าลง และการปล่อยเครดิตยังคงเป็นไปอย่างฝืดเคืองต่อไปอีกระยะหนึ่งนั้น จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคยังไม่กระเตื้อง

สำหรับการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจนั้น เฟดได้ปรับการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ว่า ในปีนี้ทั้งปีจะอยู่ที่ลบ 0.5% หรือไม่ก็อยู่ที่ 0% ดีขึ้นกว่าที่คาดเอาไว้ที่ติดลบ 0.6-1.6% ส่วนในปีหน้าคาดว่าการเติบโตจะอยู่ที่ 2-4% ดีขึ้นกว่าเดิมที่ 0.8-4%

วันเดียวกัน ธนาคารบีเอ็นพี ปาริบาส์ ของฝรั่งเศส และธนาคารซิตี้กรุ๊ป ของสหรัฐ ต่างออกรายงานสอดคล้องกัน ระบุว่า ธนาคารพาณิชย์ของจีนมีความจำเป็นต้องระดมทุนเพิ่มขึ้นหลายพันล้านเหรียญสหรัฐในช่วง 2-3 ปีข้างหน้านี้ เนื่องจากธนาคารเหล่านี้ได้ปล่อยกู้ออกไปมากเกินไปทำให้ทุนร่อยหรอลง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงต่อหนี้เสียสูงอีกด้วย

รายงานทั้งสองฉบับ ระบุว่า ธนาคารต่างๆ ของจีนอาจจะต้องระดมทุนเพิ่มขึ้นถึง 4.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อคงสภาพคล่องของธนาคารเอาไว้

รายงานดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่คณะกรรมาธิการกำกับดูแลภาคธนาคารของจีน (ซีบีอาร์ซี) ได้ออกโรงเตือนเมื่อ 2 วันก่อนว่า อาจจะใช้มาตรการลงโทษกับธนาคารพาณิชย์แห่งใดก็ตามที่ล้มเหลว ไม่สามารถป้องกันปัญหาหนี้เสียได้ ซึ่งในขณะนี้รัฐบาลจีนเริ่มเล็งเห็นความเสี่ยงจากการที่ธนาคารปล่อยกู้มากเกินไปแล้ว

“จากการคาดการณ์ที่ว่า การเติบโตของการปล่อยกู้ และการขยายตัวของบัญชีงบดุลของธนาคารต่างๆ จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 2009 และในปี 2010 นั้น ธนาคารจีนจำเป็นต้องระดมทุนเพิ่มเติมเพื่อให้มีทุนเพียงพอตามที่รัฐได้กำหนดสัดส่วนสำรองทุนเอาไว้” ดอร์ริส เฉิน นักวิเคราะห์ของ บีเอ็นพี ปาริบาส์ สำนักงานเซี่ยงไฮ้ ระบุในรายงาน
posttoday***********
25/11/52
อุตสาหกรรมจีนหวั่นวิกฤติก๊าซรุนแรงในฤดูหนาว

บริษัทพลังงานของจีน จะลดการจ่ายก๊าซในแก่ภาคอุตสาหกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงต่อการที่ต้องลงการจ่ายก๊าซให้แก่ภาคครัวเรือนในฤดูหนาว

การขาดแคลนอาจเริ่มขึ้นในเดือนนี้ ซึ่งมีหิมะตกหนักและเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติในภาคเหนือของจีน ทำให้ Demand เพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลให้ ปิโตรไชน่า ผู้จำหน่ายก๊าซชั้นนำของจีน ต้องเปลี่ยนเส้นทางการจ่ายก๊าซ โดยบริษัทมีแผนว่าจะลดปริมาณการจ่ายก๊าซให้แก่ผู้ใช้ภาคอุตสาหกรรมในภาคเหนือของจีนเป็นครั้งที่ 2 จำนวน 3 ล้านลูกบาศก์เมตร ต่อวัน ซึ่งจะทำให้ปริมาณก๊าซลดลงอีก 10%

ผลจากการขาดแคลนก๊าซต่างๆ ทำให้บริษัทลดการจ่ายก๊าซให้แก่อุตสาหกรรมต่างๆในตะวันตกเฉียงใต้ และแถบตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อการที่โรงงานอุตสาหกรรมจะต้องปิดตัวลงมากขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อการผลิต และทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น

ความต้องการก๊าซจะแตะระดับสูงสุดในเดือน ธ.ค. และ ม.ค. นั้น ทำให้มีการคาดว่าการขาดแคลนก๊าซจะมีปริมาณ 8 ล้านลูกบาศก์เมตร ต่อวัน ในภาคเหนือของจีน และ 5-6 ล้านลูกบาศก์เมตร ต่อวัน ในภาคใต้
money wake up
************
25/11/52
กองทุนจีนเดินหน้าลงทุนธุรกิจพลังงาน

Posted on Tuesday, November 24, 2009
บริษัท ไชน่า อินเวสท์เมนท์ คอร์ป (CIC) ซึ่งเป็นกองทุนความมั่งคั่งของจีนเตรียมซื้อหุ้นไอพีโอของบริษัท ไชน่า หลงหยวน พาวเวอร์ กรุ๊ป พร้อมกับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในบริษัทที่ทำธุรกิจด้านพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งการซื้อหุ้นครั้งนี้ถือเป็นการลงทุนครั้งล่าสุดจากวงเงินกว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐที่ CIC ได้ใช้จ่ายไปตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา กับธุรกิจพลังงานและทรัพยากร เพื่อรับมือกับภาวะเงินเฟ้อ ตลอดจนการรับมือกับเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวรวดเร็วที่สุดในโลก ทั้งนี้CIC มีสินทรัพย์มูลค่าเกือบ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ช่วงสิ้นปีที่แล้ว และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว CIC ก็ได้ซื้อหุ้นในบริษัทผู้ผลิตโพลีซิลิคอนรายใหญ่สุดของจีนมูลค่า 710 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ด้านนายหวาง เล่ย ผู้จัดการร่วมของทอร์นเบิร์ก อินเตอร์เนชั่นแนล แวลู ฟันด์ บอกว่า การเข้ามามีส่วนร่วมในหุ้นไอพีโอของ CIC นั้นสามารถมองได้ว่าเป็นทั้งการลงทุนที่น่าดึงดูดใจ สำหรับกองทุนเพื่อความมั่งคั่ง และยังเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงการขยายตัวที่สูงที่สุดธุรกิจหนึ่งของจีน

********
25/11/52
แบงก์จีนเตรียมเพิ่มทุน หลังรัฐออกกฎเข้ม

ธนาคาพาณิชย์ 5 แห่งในจีน ประกอบด้วย 1.Industrial & Commercial Bank of China // 2.China Construction Bank // 3.Bank of China // 4.Agricultural Bank of China // 5. Bank of Communications ต่างวางแผนที่จะเพิ่มทุน หลังจากคณะกรรมการกำกับดูแลธนาคารจีนได้ปรับกฎเกณฑ์ใหม่ให้มีความเข้มงวดขึ้น เพื่อให้ธนาคารมีความสามารถในการรองรับด้านการเงิน

ธนาคารทั้ง 5 แห่ง ได้ปล่อยสินเชื่อในรอบ 9 เดือน ตั้งแต่ต้นปี คิดเป็นเงิน 4.7 ล้านล้านหยวน (688,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) แม้ว่าสถาบันปล่อยเงินกู้ทั่วโลกจะควบคุมการออกสินเชื่อเพื่อปรับตัวเลขดุลบัญชีธนาคารให้ดีขึ้น จากอัตราการขยายตัวด้านการปล่อยสินเชื่อของจีนทำให้เงินทุนของธนาคารหดหายไปอย่างรวดเร็ว และส่งผลให้ธนาคารมีหนทางจำกัดในการแก้ปัญหาในกรณีที่มูลค่าของสินทรัพย์ปรับตัวลดลง

ธนาคารเหล่านี้ได้คาดการณ์ตัวเลขขาดทุนในปี 2553 เมื่อพิจารณาจากตัวเลขคาดการณ์เงินกู้และเป้าหมายสัดส่วนเงินทุนต่อปี

แบงค์ ออฟ ไชน่า ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่อันดับ 3 ของจีนเผยอยู่ในระหว่างการศึกษาเรื่องแนวทางการเพิ่มเงินทุน เพื่อสร้างความมั่นใจว่า การขยายตัวจะเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ธนาคารอาจจำเป็นต้องระดมทุนประมาณ 1 แสนล้านหยวน หรือ 14,600 ล้านดอลลาร์ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ใหม่ของคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการธนาคารจีน

ขณะที่คณะกรรมการกำกับดูแลธนาคารจีนได้ออกมาปฏิเสธรายงานข่าวที่ว่า คณะกรรมการได้ผลักดันให้ธนาคารขนาดใหญ่เพิ่มอัตราความพอเพียงของเงินทุนเป็น 13% ในปีหน้า ขณะที่ธนาคารต่างๆจำเป็นต้องจัดทำแผนระยะยาวในเรื่องการเพิ่มเงินทุน ส่วนธนาคารที่มีอัตราเงินทุนต่ำจะต้องเผชิญกับกฎเข้มในด้านการดำเนินการ

อัตราความพอเพียงของเงินทุนของแบงค์ออฟไชน่าร่วงลงมาอยู่ที่ 11.63% เมื่อวันที่ 30 ก.ย.เป็นต้นมา จากระดับสิ้นปีที่แล้วที่ 13.43% หลังจากที่ยอดปล่อยกู้ล็อตใหม่เพิ่มขึ้นแตะ 1.4 ล้านล้านหยวนในช่วง 9 เดือนแรก ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในบรรดาธนาคารในประเทศด้วยกันเอง

องค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) คาดการณ์ว่า ทางการจีนอาจควบคุมการขยายตัวของสินเชื่อเพื่อบรรเทาแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและเพื่อป้องกันภาวะฟองสบู่ในสินทรัพย์ ขณะที่บีเอ็นพี พาริบาส์คาดว่า ธนาคารพาณิชย์ของจีนอาจมียอดการปล่อยสินเชื่อสูงถึง 7 ล้านล้านหยวนในปี 2553
money wake up
**********
24/11/52
จีนอนุมัติก่อสร้างสวนสนุกดิสนีย์ในเซี่ยงไฮ้
คณะกรรมาธิการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน เปิดเผยว่า ทางการจีนอนุมัติแผนก่อสร้างสวนสนุกดิสนีย์ในนครเซี่ยงไฮ้แล้ว
คณะกรรมาธิการพัฒนา และปฏิรูปแห่งชาติจีนเปิดเผยว่า โครงการก่อสร้างสวนสนุกดังกล่าว จะมีขึ้นในเขตผู่ตง ทางตะวันออกของนครเซี่ยงไฮ้ตามแผนการ แต่ยังไม่มีการให้รายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับโครงการดังกล่าว
ด้านบริษัทดิสนีย์ เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า โครงการในระยะแรก จะประกอบไปด้วย สวนสนุกแบบอาณาจักรแห่งเวทมนตร์ ซึ่งจะปรับให้เหมาะสมกับลักษณะท้องถิ่นของนครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้า และการเงินของจีน โดยสวนสนุกดังกล่าว จะถือเป็นจุดเด่นของนครเซี่ยงไฮ้
manager online***********
24/11/52
แบงก์ออฟไชน่า เตรียมเพิ่มทุน 14.4 พันล้านดอลล์
Tuesday, 24 November 2009 13:55
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวบลูมเบิร์กดอทคอมระบุว่า แบงก์ออฟไชน่า ธนาคารขนาดใหญ่อันดับ 3 ของจีน เตรียมศึกษาแนวทางการเพิ่มทุนราว 100 พันล้านหยวน (14.4 พันล้านดอลลาร์) หลังเร่งปล่อยสินเชื่อในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้

โดยแบงก์ออฟไชน่ายังไม่เปิดเผยถึงแผนการเพิ่มทุนในขณะนี้ ซึ่งภายหลังจากมีรายงานว่า ธนาคารจะเพิ่มทุนเพื่อให้อัตราส่วนทุนอยู่ในระดับที่ทางการจีนกำหนดใหม่ ราคาหุ้นแบงก์ออฟไชน่าที่ซื้อขายที่ตลาดฮ่องกงลดลง 3.5%

ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ แบงก์ออฟไชน่าได้ปล่อยสินเชื่อไป 8.67 ล้านล้านหยวน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อสนองนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
stock wave
***********
24/11/52
china growth10%
ขณะเดียวกันทางด้านสำนักข่าวไชนา นิวส์ เซอร์วิส ของจีน รายงานอ้าง ยู่ปิน นักเศรษฐศาสตร์ประจำศูนย์วิจัยและพัฒนาประจำรัฐสภาจีน เปิดเผยการคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนในไตรมาส 4 อาจจะเติบโตมากถึง 10% ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจจีนในภาพรวมของปีนี้เติบโตอยู่ในระดับที่ 8.5% มากกว่าที่รัฐบาลจีนวางเป้าเอาไว้ที่ 8%

นอกจากนั้น ยังคาดการณ์ด้วยว่าในปีหน้าเศรษฐกิจจีนจะมีอัตราการเติบโตทั้งปีเป็นตัวเลข 2 หลักด้วย กระนั้นก็ตาม จีนอาจจะต้องเจอกับความเสี่ยงกับปัญหาเงินเฟ้อ อันเป็นผลกระทบจากการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมหาศาลจากภาครัฐ และจากการกดค่าเงินหยวนให้อ่อนค่ากว่าความเป็นจริงด้วย
***********
23/11/52
จีนส่งออกทองแดงเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 73%

Posted on Monday, November 23, 2009
สำนักงานศุลกากรจีน บอกว่า ในเดือนตุลาคมจีนมียอดส่งออกทองแดงอยู่ที่ 18,508 ตัน เพิ่มขึ้น 73% เมื่อเทียบจากเดือนกันยายน และเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2551 ขณะที่ยอดนำเข้าทองแดงลดลง 40% มาอยู่ที่ระดับ 169,374 ตัน

ทั้งนี้ ราคาทองแดง ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ใช้ทำสายเคเบิลไฟฟ้าปรับตัวสูงขึ้นกว่า 2 เท่าในตลาดโลหะลอนดอนปีนี้ ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน หรือ 586,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับปริมาณทองแดงสำรองและวัตถุดิบที่มีอยู่ในระดับต่ำ ได้ช่วยกระตุ้นให้จีนมียอดนำเข้าทองแดงเพิ่มมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ จีนนำเข้าทองแดงเพิ่มขึ้น 149% มาอยู่ที่ 2.7 ล้านตัน

นายจ้าว ไก นักวิเคราะห์จากบริษัท Jinrui Futures Co บอกว่า ยอดส่งออกวัตถุดิบประเภทโลหะของจีน อาจช่วยผ่อนคลายแรงกดดันด้านราคาในประเทศได้มากกว่าที่จะทำให้ราคาทองแดงในตลาดลอนดอนปรับตัวลดลง ท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
money news update***********
23/11/52
หวั่นฟองสบู่อสังหาฯจีน หลากเสียงกระตุ้นรัฐแก้ปัญหาเงินทุนล้นตลาด
การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของจีนกลายเป็นที่จับตามองของบรรดานักเศรษฐศาสตร์ เพราะเกรงว่าจะเป็นการเติบโตที่พ่วงเอาความเสี่ยงที่อาจลากเศรษฐกิจโลกให้ทรุดลงอีก

ล่าสุด ฟาน กัง หัวหน้าสถาบันวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติจีนแสดงความกังวลเกี่ยวกับราคาอสังหาริมทรัพย์จีนที่พุ่งสูงขึ้น พร้อมชี้ว่าจีนอยู่ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่กำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะเกิดฟองสบู่ตลาดสินค้าคอมโมดิตี้ และอสังหาริมทรัพย์ โดยความเสี่ยงจริง ๆ คือฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ ที่จะเป็นสิ่งที่อันตรายมาก และอาจทำให้เกิดภาวะร้อนแรงเกินควร (overheating) ในที่อื่น ๆ ด้วย

บลูมเบิร์กได้อ้างความคิดเห็นของฟานว่า การคงอัตราดอกเบี้ยต่ำของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ และเงินทุนที่ไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่กำลังเพิ่มอันตรายให้แก่ภาวะดังกล่าว ทั้งนี้ฟานเป็นผู้เชี่ยวชาญรายล่าสุดที่ออกมาชี้ว่าต้นตอของวิกฤตการเงินครั้งต่อไป อาจอยู่ในเอเชียที่กำลังถูกอัดฉีดสภาพคล่องจากธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ

โดยฉายภาพว่าเมื่อเงินปริมาณมากเกินไปกำลังมองหาโอกาสดี ๆ และตลาดเกิดใหม่เป็นปลายทางเดียวที่มีการเติบโตอยู่ ทั้งนี้สภาพคล่องที่มากเกินไป จะนำไปสู่ภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ตลาดหุ้น และตลาดคอมโมดิตี้

ก่อนหน้านี้ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น มาซากิ ชิรากาวา เคยระบุว่า ตลาดเกิดใหม่อาจร้อนแรงเกินไป และจะมีปัญหาความยุ่งยากทางการเงิน

ฟานกล่าวกับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในการประชุมที่ฮ่องกงว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนมีการเก็งกำไรมากเกินไป โดยการมีเงินออมสูงเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีของการเก็งกำไร ดังนั้นจึงควรมีการพิจารณาเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์หรูหราเพื่อรับมือกับปัญหาเหล่านี้

ทั้งนี้ข้อมูลของทางการจีนระบุว่า ในเดือนตุลาคม ราคาบ้านในเมืองสำคัญ 70 แห่งของจีนปรับขึ้น 3.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีกลาย ซึ่งเป็นการปรับตัวสูงสุดในรอบ 14 เดือน

ขณะเดียวกัน ไชน่าเดลี ได้รายงานความคิดเห็นของ อู๋ จิงเหลียน ผู้เชี่ยวชาญของศูนย์วิจัยการพัฒนาของคณะรัฐมนตรี ว่า สภาพคล่องและการปล่อยกู้ที่มากเกินไปจะกลายเป็นปัญหาระยะยาวสำหรับเศรษฐกิจ เมื่อเทียบกับภาวะขาดสภาพคล่องและความต้องการน้อย โดยอธิบายว่า การบูมของสินเชื่อที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการผ่อนปรนนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังเชิงบวก อาจช่วยป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจล่มสลายในระยะสั้น แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ซ่อนอยู่ได้

ซึ่งรายงานของสำนักสังคมศาสตร์จีน ได้แสดงความกังวลแบบเดียวกัน พร้อมทำนายว่าราคาอสังหาริมทรัพย์จะเริ่มทรงตัวในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า ก่อนที่จะพุ่งขึ้นอีกในไตรมาส 2 เพราะ คาดว่าจะเกิดภาวะเงินเฟ้อ ขณะที่การเก็งกำไรเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันพุ่งขึ้น

นอกจากนี้ อู๋มองว่า การลงทุนมากเกินไปในสินทรัพย์คงทนไม่ใช่ความคิดที่ดี แม้ในความเป็นจริง ตัวขับเคลื่อนที่แท้จริงของเศรษฐกิจขณะนี้คือการเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์คงทน และการปล่อยกู้สูงเป็นประวัติการณ์ มากกว่าที่จะเกิดจากการเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ของการบริโภคภายในประเทศ และการขาดสมดุลนี้จะเป็นอุปสรรคต่อการปรับโครงสร้างของเศรษฐกิจ

ทั้งนี้การลงทุนในสินทรัพย์คงทนใน รอบ 10 เดือนแรกปีนี้พุ่งถึง 33.1% เป็น 15.07 ล้านล้านหยวน และข้อมูล ของทางการแสดงให้เห็นว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์คิดเป็นกว่า 20% ของการลงทุนในสินทรัพย์คงทนในเมือง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน

ด้วยเหตุนี้ อู๋จึงเรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มความพยายามจัดการกับปัญหาสภาพคล่องล้น พร้อมกับกระตุ้นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อทำให้เกิดการพัฒนาใน ระยะยาว
prachachart
***********
23/11/52
จีนคงระดับสินเชื่อปีหน้า หวั่นเศรษฐกิจทรุด

ธนาคารกลางยุโรปส่งสัญญาณถอนมาตรการอัดฉีดเงินออกจากระบบ แต่ประเทศมหาอำนาจแดนมังกร กลับมีผู้แนะนำให้คงระดับการปล่อยสินเชื่อในประเทศต่อไป เพื่อป้องกันเศรษฐกิจทรุด

อดีตรองประธานคณะกรรมการกำกับภาคธนาคารของจีน นาย ตั้ง ซวงหนิง กล่าวว่า จีนควรต้องดูแลให้ยอดการปล่อยกู้ใหม่ในประเทศอยู่แถวๆ 7-8 ล้านล้านหยวน หรือราว 1 ล้านล้านเหรียญ ในปีหน้า เพื่อทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งขึ้น โดยตัวเลขนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวในอัตรา 8-9% และเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3%

ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนสนับสนุนการโหมปล่อยสินเชื่ออย่างหนัก ด้วยวงเงิน 1.3 ล้านล้านเหรียญ ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการเงินและการคลังของประเทศ จนทำให้เศรษฐกิจในไตรมาสที่แล้วขยายตัวได้เร็วที่สุดในรอบปี

ความเห็นดังกล่าวก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับผู้บริหารของธนาคารรายใหญ่ในประเทศ รวมถึงประธานของ Bank of China ที่มองว่า ระบบธนาคารพาณิชย์ควรต้องยืนระดับการเติบโตของสินเชื่อที่เหมาะสมต่อไปในปีหน้าเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ และหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้ยอดเงินปล่อยกู้ใหม่กลับทิศทางหันหัวลง

ตัวเลขสินเชื่อล่าสุดออกมาชะลอลงในเดือนตุลาคม ขณะทางการจีนเองก็กำลังพิจารณานโยบายคุมเข้มมาตรฐานสินเชื่อและหามาตรการเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะฟองสบู่ของราคาสินทรัพย์ โดยหากเทียบกับการปล่อยกู้ของภาคธนาคารมูลค่า 516,700 ล้านหยวนสำหรับสินเชื่อใหม่ในเดือนกันยายนแล้ว ตัวเลขของเดือนตุลาคมก็ลดลงมาอยู่ที่ 253,000 ล้านหยวน

มีคำเตือนมาจากนักเศรษฐศาสตร์ว่า จีนควรต้องเตรียมพร้อมรับมือกับภาวะฟองสบู่ในตลาดสินทรัพย์ เนื่องจากสภาพคล่องส่วนเกินที่มีอยู่สูง และเงินทุนไหลเข้าในจำนวนมหาศาล แม้อาจยังไม่ทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับขึ้นมาอยู่ในช่วง 2-3% ได้ง่ายๆ ในเวลาอันใกล้นี้ ดูจากดัชนีราคาผู้บริโภคที่เพิ่งจะปรับตัวลง 0.5% ในเดือนตุลาคมเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
money wake up************
19/11/52
แบงก์ชาติเตือนจีนเสี่ยงพิษฟองสบู่
จีนออกโรงเตือนเองพิษฟองสบู่เริ่มก่อตัวในตลาดหุ้น ขณะที่เหรียญสหรัฐอ่อนค่าดันราคาทองคำพุ่งพรวดทำสถิติใหม่เฉียด 1,150 เหรียญสหรัฐ

วานนี้ ฟานกัง ที่ปรึกษาของธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) ได้ออกโรงเตือนครั้งล่าสุดว่า จีนซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชีย อาจจะต้องเผชิญกับอันตรายและความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ หลังจากราคาสินทรัพย์ในตลาดทั้งสองแห่งกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วเกินไป จนสร้างความวิตกกังวลให้กับเจ้าหน้าที่ในธนาคารกลางของหลายประเทศทั่วภูมิภาค
“อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นเป็นตัวเลข 2 หลัก อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับจีนอีกต่อไปแล้ว” ฟาน ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติ กล่าวในระหว่างการประชุมธุรกิจในฮ่องกง

ทั้งนี้ ที่ปรึกษาธนาคารกลางจีนยังคาดการณ์ด้วยว่า ตัวเลขผลผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของจีนอาจจะขยายตัวขึ้นไปอยู่ที่ 8% ถึง 9% ภายในปีหน้านี้ด้วย

ฟาน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของคณะกรรมาธิการนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีน กล่าวอีกว่า เวลานี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังไม่ได้อยู่ในขั้นที่ถือได้ว่า “บ้าคลั่ง” เพียงแต่อยู่ในขั้นที่มีการเก็งกำไรกันมากเกินไปเท่านั้น

นอกจากนี้ ที่ปรึกษาของธนาคารกลางจีนยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลกรุงปักกิ่ง เร่งพิจารณาการจัดเก็บภาษีในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีความฟุ่มเฟือยต่างๆ เพิ่มขึ้น เนื่องจากเห็นว่าการจัดเก็บภาษีดังกล่าวเพิ่มขึ้นเพื่อลดความร้อนแรงของตลาด

สำหรับภาวะเงินเฟ้อในกลุ่มดัชนีราคาผู้บริโภคนั้น ฟานกัง เชื่อมั่นว่า สิ่งเหล่านี้จะยังไม่มีทางเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้อย่างแน่นอน เนื่องจากในขณะนี้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศ ยังอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ และรัฐบาลจีนก็ยังคงเดินหน้าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศต่อไปจนถึงปีหน้า

ทั้งนี้ ฟานกังถือเป็นบุคคลล่าสุด ในฐานะเจ้าหน้าที่ระดับสูงในสถาบันการเงินอีกคนที่ได้ออกโรงเตือน และชี้ให้เห็นว่าวิกฤตการเงินครั้งต่อไปอาจจะเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียแห่งนี้ก็เป็นได้ หลังจากที่ธนาคารกลางแต่ละแห่งในภูมิภาคได้อัดฉีดเงินหลายล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสร้างสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจของตนเองให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ

ดังนั้น เฉพาะจีนเพียงแห่งเดียว รัฐบาลได้ใช้เงินมากกว่า 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 44.2 ล้านล้านบาท) ในปีนี้ เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวอย่างรวดเร็ว รวมถึงยังทำให้ดัชนีเซี่ยงไฮ้ คอมโปสิต ตลาดหลักทรัพย์ของจีนขยายตัวขึ้นไปถึง 81% เช่นกัน

ก่อนหน้านี้ มาซาอากิ ชิรากาวะ ผู้ว่าการธนาคารกลางของญี่ปุ่น (บีโอเจ) ก็เคยเตือนไปแล้วว่า บรรดาประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชีย กำลังเสี่ยงกับการเกิดภาวะฟองสบู่ รวมไปถึงอาจต้องประสบกับภาวะวิกฤตทางการเงินตามมาด้วย หลังจากที่ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศขยายเวลาการคงอัตราดอกเบี้ยธนาคารในระดับที่ต่ำมากต่อไป

ขณะที่การเสื่อมถอยในมูลค่าของเงินเหรียญสหรัฐ ก็ยังเป็นความเสี่ยงใหม่ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

อย่างไรก็ตาม การแสดงความคิดเห็นของผู้ว่าการบีโอเจดังกล่าว ยังสอดคล้องกับคำกล่าวของ โรเบิร์ต โซลิก ประธานธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ที่ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์ก ในสหรัฐว่า การเร่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินเพื่อฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกให้กลับมาสู่ภาวะปกตินั้น อาจจะทำให้ได้เห็นภาวะฟองสบู่เกิดขึ้น

ประธานเวิลด์แบงก์ กล่าวเสริมด้วยว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ธนาคารกลาง ในแต่ละประเทศในภูมิภาคจะต้องหัน มาพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยธนาคาร รวมทั้งยังต้องนำมาตรการต่างๆ มา ช่วยเสริม เพื่อสกัดกั้นวิกฤตสินเชื่อไปพร้อมกัน

ทั้งนี้ การอ่อนค่าลงมาอย่างต่อเนื่องของเงินเหรียญสหรัฐ ที่มีผลสืบเนื่องมาจากการประกาศขยายระยะเวลาคงอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดของธนาคารกลางสหรัฐ ล่าสุดได้กระตุ้นให้ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาดลอนดอนวานนี้ ขยับขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งที่ 1,148.03 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ในช่วงการซื้อขาย

เดวิด มอร์ริสสัน นักวิเคราะห์จากบริษัท จีเอฟที กล่าวว่า การอ่อนค่าของเงินเหรียญสหรัฐ ได้ทำให้ราคาสินทรัพย์ ที่ซื้อขายกันในรูปเงินเหรียญสหรัฐ อาทิ ทองคำ มีราคาถูกลงเมื่อนักลงทุนหันมาซื้อสินทรัพย์ดังกล่าว ด้วยการใช้เงินสกุลอื่นที่แข็งค่ามากกว่า
posttoday************
18/11/52
สินค้าโภคภัณฑ์และอสังหาฯจีนเสี่ยงเกิดภาวะฟองสบู่

Posted on Wednesday, November 18, 2009
นายฟาน กัง ที่ปรึกษาธนาคารกลางจีนได้ออกมาสดงความวิตกกังวลว่า จีนเป็นหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่กำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และตลาดอสังหาริมทรัพย์ หลังเศรษฐกิจยังคงขยายตัวในอัตราที่สูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนขณะนี้ ที่ตกอยู่ในภาวะการเก็งกำไรมากเกินไป แต่ยังไม่ถึงจุดที่ฟองสบู่จะแตก

นายฟานยังเป็นห่วงว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจในอัตราเลข 2 หลักอาจไม่เป็นผลดีสำหรับจีน และในปีหน้าคาดว่าจีดีพีจีนจะขยายตัวราว 8%-9%

นายฟานนับเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนคนล่าสุดที่ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่สินทรัพย์ หลังราคาหุ้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ขณะที่รัฐบาลจีนเองก็ได้เดินหน้าส่งเสริมการปล่อยสินเชื่อจนทำให้ตัวเลขปล่อยกู้ในจีนขยายตัวถึง 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมไปถึงทำให้ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนดีดตัวขึ้นมาแล้ว 81%
money news update
*********
18/11/52

แบงก์จีนเตือน! ภาวะฟองสบู่เริ่มก่อตัว

ที่ปรึกษาแบงก์ชาติจีนเตือนความเสี่ยงภาวะฟองสบู่สินทรัพย์กำลังก่อตัว หลังศก.ยังทะยานไม่หยุด

รายงานข่าวบนเว็บไซท์บลูมเบิร์กดอทคอมระบุว่า นายฟาน กังที่ปรึกษาธนาคารกลางจีนเตือนว่า จีนกำลังเผชิญความเสี่ยงภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์และสินค้าโภคภัณฑ์ หลังเศรษฐกิจยังคงขยายตัวในอัตราที่สูงต่อเนื่อง

'การขยายตัวของเศรษฐกิจในอัตราเลข 2 หลักอาจไม่เป็นผลดีสำหรับจีน ซึ่งในปีหน้าคาดว่าจีดีพีจีนจะขยายตัวราว 8%-9%' นายฟานกล่าวในการสัมนาภาคธุรกิจที่ฮ่องกงวันนี้

โดยนายฟานเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนคนล่าสุดที่ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่สินทรัพย์ หลังราคาหุ้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ นายฟานกล่าวว่า ขณะนี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนกำลังอยู่ในภาวะการเก็งกำไรมากเกินไป แต่ยังไม่ถึงจุดที่ฟองสบู่จะแตก

'ตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนไม่ได้อยู่ในขั้นบ้าคลั่ง แต่อยู่ในขั้นที่มีการเก็งกำไรมากเกินกว่าที่ควร' นายฟานกล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น