วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

dubai monitor

05/01/53
ดูไบเปิดตัวตึกสูงที่สุดในโลก เบอร์จ คาลิฟาร์
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ดูไบเปิดตัวอาคารสูงที่สุดในโลกที่ความสูง 828 เมตร ท่ามกลางวิกฤติการเงิน ได้ชื่อใหม่ "เบอร์จ คาลิฟาร์"
ชี้คโมฮัมเหม็ด บิน ราชิด ผู้ครองรัฐดูไบ 1 ใน 7 รัฐของสหรัฐฯอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ทรงทำพิธีเปิดอาคารสูงที่สุดแห่งใหม่ของโลกเมื่อคืนที่ผ่านมา ท่ามกลางดอกไม้ไฟตระการตา และอาคารซึ่งเดิมมีชื่อเรียกว่า "เบอร์จ ดูไบ"หรือ"ดูไบ ทาวเวอร์" ได้ชื่อใหม่ว่า "เบอร์จ คาลิฟาร์" หลังเปิดแพรคลุมป้ายเผยชื่อเต็มของอาคารว่า "ชี้ค คาลิฟาร์ บิน ซาย์เอ็ด อัล-นาห์ยัน ทาวเวอร์" ซึ่งตั้งชื่อตามประธานาธิบดีของ UAE

ทั้งนี้ ชี้คคาลิฟาร์ ทรงเป็นผู้ครองรัฐอาบูดาบี รัฐที่ร่ำรวยสุดใน 7 รัฐของ UAE ประทับอยู่ข้างพระญาติคือ

ชี้คโมฮัมเหม็ด ผู้ทรงควบตำแหน่งรองประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีของ UAE ตลอดงาน ซึ่งข่าวระบุว่าในช่วงหนึ่งดูเหมือนว่าชี้คโมฮัมเหม็ดจะมีพระอัสสุชลคลอ เมื่อทอดพระเนตรอาคารที่น่าจะเป็นสัญญลักษณ์ความรุ่งเรืองของประเทศ และเป็นสัญลักษณ์ที่รัฐดูไบจะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลก แต่กลับต้องเปิดตัวในช่วงที่ดูไบกำลังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนักและมีหนี้สินท่วมตัว

ชี้คคาลิฟาร์ผู้ซึ่งนิตยสาร "ฟอร์บส์" ประเมินว่ามีสินทรัพย์ส่วนพระองค์ 19,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 620,000ล้านบาท ) ทรงตัดสินพระทัยเข้าช่วยไม่ให้ดูไบต้องล้มละลาย โดยอัดฉีดเงินทั้งทางตรงและทางอ้อมรวม 25,000 ล้านดอลลาร์ ( ราว 820,000 ล้านบาท ) ท่ามกลางความวิตกของบรรดาเจ้าหนี้ หลังบริษัทยักษ์ใหญ่ของรัฐบาลดูไบ คือ ดูไบ เวิร์ลด์ ประกาศเมื่อพฤศจิกายน ขอชะลอการชำระหนี้มูลค่า 59,000 ล้านดอลลาร์ ( ราวเกือบ 2 ล้านล้านบาท ) ออกไป 6 เดือน

ขณะที่วงออร์เคสตร้าบรรเลง ได้มีการฉายวิดีโอเผยความลับว่าความสูงของอาคารแห่งนี้คือ 828 เมตร หรือ 2,717 ฟุต สูงกว่า "ไทเป 101" ของไต้หวัน มากถึง 319 เมตร มีชั้นมากกว่า 200 ชั้น แต่มีชั้นที่จะมีคนอาศัยอยู่ 160 ชั้น ส่วนที่เหลือใช้สำหรับการให้บริการต่างๆ บริษัทเจ้าของคือ อีมาร์ พรอพเพอร์ตี้ บอกว่าใช้เงิน 1,500 ล้านดอลลาร์ ในการก่อสร้างอาคารคอนกรีต โลหะ และกระจกแห่งนี้ ที่ได้รับการขนานนามว่า "เมืองในแนวตั้ง" (vertical city) ประกอบด้วยอพาร์ตเมนต์หรูกับสำนักงาน กับโรงแรมหรูขนาด 160 ห้องนอนที่ออกแบบโดยจิออร์จิโอ อาร์มานี่

อีมาร์ พรอพเพอร์ตี้ ยืนยันว่าความปลอดภัยของอาคาร ซึ่งมีชั้นที่เรียกว่าชั้นหลบภัยระหว่างชั้นที่ 25-30 ซึ่งทนไฟมากกว่า และมีระบบอากาศแยกจากส่วนอื่นในกรณีฉุกเฉิน โครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก แข็งแรงกว่าตึกระฟ้าทั่วไปที่เป็นโครงเหล็ก และอาคารแข็งแรงมาก เครื่องบินไม่อาจพุ่งทะลุอาคารได้แบบอาคารเวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ของสหรัฐฯ ในเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน
krungthepturakij
********
24/12/52
Dubai Financial Market เดินหน้าซื้อกิจการ Nasdaq Dubai

ขณะที่ข่าวความวุ่นวายเรื่องวิกฤติหนี้สินของ Dubai World ยังไม่ทันจางหาย บริษัท Dubai Financial Market ก็ออกมาประกาศยืนยันแผนการเข้าซื้อ Nasdaq Dubai ด้วยข้อเสนอมูลค่ากว่าร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐเรียบร้อยแล้ว

บริษัท Dubai Financial Market เปิดเผยว่า ทางบริษัทได้ยื่นข้อเสนอมูลค่า 121 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซื้อกิจการ Nasdaq Dubai เรียบร้อยแล้ว โดยมีจุดประสงค์ที่จะขยายประเภทของสินทรัพย์ที่ซื้อขายในตลาดหุ้นของภูมิภาคอ่าวอาหรับแห่งนี้ และเพื่อกระตุ้นรายได้ของบริษัทด้วย

อย่างไรก็ดี ข้อเสนอควบรวมกิจการดังกล่าว ที่ตกเป็นข่าวกันมานานนับเดือน ได้รับการยืนยันไม่นาน หลังดูไบต้องประสบปัญหาวิกฤติหนี้สิ้น จนต้องรีบปรับโครงสร้างองค์กรณ์ที่รัฐควบคุมอยู่เป็นการด่วน

ทั้งนี้ Dubai Financial Market มี Borse Dubai ควบคุมกิจการอยู่ถึง 80% โดยตัว Borse Dubai เองก็มีรัฐบาลดูไบเป็นเจ้าข้อง และถือหุ้น 2 ใน 3 ของ Nasdaq Dubai อยู่แล้ว

ผู้บริหารของ Borse Dubai บอกว่า การควบรวมกิจการนี้ เป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจล้วน ๆ และจะช่วยเปิดทางให้มีการทำ dual listing และชั่วโมงการซื้อขายหุ้นที่นานกว่าในปัจจุบัน ซึ่งก็หมายถึงรายได้ที่สูงขึ้นของบริษัท
global money
*********
21/12/52
‘ดูไบ’คุยเจ้าหนี้อังกฤษ ส่อแววชำระเงินกู้เต็มที่
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สื่อเผยดูไบเวิลด์ อาจชำระหนี้เงินกู้เต็มจำนวน หลังร่วมหารือเจ้าหนี้ในลอนดอน

หนังสือพิมพ์เดอะ เนชันแนล ในดูไบ เปิดเผยวานนี้ว่า การเดินทางเข้าร่วมการประชุมกับเจ้าหนี้รายใหญ่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ดูไบเวิลด์ที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด อาจมีความเป็นไปได้ว่าดูไบจะยอมชำระหนี้เงินกู้ธนาคารแบบเต็มจำนวนคืนให้กับเจ้าหนี้
“ความเป็นไปได้ที่ดูไบจะชำระหนี้เงินกู้ธนาคารคืนเต็มจำนวน ได้ถูกนำมาหารือร่วมกันแล้ว” หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นรายงาน

จากรายงานของสื่อในดูไบ ระบุด้วยว่า ในการเจรจาระหว่างตัวแทนระดับสูงทางด้านการเงินในกรุงลอนดอนครั้งนี้ ดูไบได้ส่ง ชีค อาเหม็ด บิน ซาอีด อัล มักทูม ซึ่งเป็นลุงของผู้ปกครองรัฐดูไบ เป็นผู้แทนการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ของดูไบเวิลด์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้บริษัทเพื่อการลงทุนขนาดใหญ่ได้ประกาศเลื่อนกำหนดการชำระหนี้สินจำนวนมหาศาลออกไปอีก 6 เดือน

ปัจจุบันจำนวนหนี้สินของดูไบเวิลด์ ยังคงอยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 7.48 แสนล้านบาท) แม้ก่อนหน้านี้ นัคฮีล บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ในเครือของดูไบเวิลด์ได้ประกาศเตรียมชำระหนี้พันธบัตรอิสลามไปแล้ว 4,100 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.39 แสนล้านบาท) เมื่อสัปดาห์ ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ เอมิราติ ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กล่าวด้วยว่า ในวันนี้บรรดาตัวแทน เจ้าหนี้และเจ้าหน้าที่ของดูไบเวิลด์ จะเข้าร่วมประชุมกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกในดูไบด้วยเช่นกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อแก้ไขสภาพหนี้ของบริษัท
posttoday
***********
18/12/52
ดูไบเดินสายฟื้นความเชื่อมั่น หลังเผชิญมรสุมหนี้

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของดูไบ เดินทางเยือนอังกฤษ และสหรัฐ เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยมีแผนที่จะพบปะกับผู้นำทางการเงิน และการเมือง

การ Roadshow ครั้งนี้ นำโดยชีค อาเหม็ด บิน ซาอีด อัล-มัคทูม ประธานคณะกรรมการการคลังของดูไบ ซึ่งมีฐานะเป็นลุงของผู้ปกครองรัฐดูไบ และ CEO ของบรรษัทการลงทุนดูไบ ซึ่งดูแล port ลงทุนของรัฐบาล

และในสัปดาห์นี้ ดูไบประกาศว่าจะนำเอากฎหมายล้มละลายที่อิงตามหลักปฏิบัติของสหรัฐ และอังกฤษมาประกาศใช้อย่างรวดเร็ว โดยเผื่อไว้ใช้ในกรณีที่ Dubai world อาจจำเป็นต้องขอรับความคุ้มครองจากเจ้าหนี้

ขณะนี้ Dubai world จำเป็นต้องทำข้อตกลงพักการชำระหนี้กับเจ้าหนี้ เพื่อให้ Dubai world มีเวลาปรับโครงสร้างหนี้ครั้งใหญ่ โดยทาง Dubai world มีกำหนดประชุมกับผู้แทนของธนาคาร ราว 90 แห่ง ในดูไบ ในวันจันทร์ หน้านี้

ในช่วงต้นสัปดาห์ รัฐอาบูดาบีได้ประกาศให้ความช่วยเหลือทางการเงิน 1 หมื่นล้านดอลลาร์แก่ดูไบ เพื่อให้ทาง Dubai world จ่ายหนี้ได้จนถึงสิ้นเดือน เมษายน ปี หน้า และเพื่อยับยั้ยการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ ของ บริษัทนาคีล
money nwake up********
17/12/52
วิกฤตดูไบไม่สะเด็ดน้ำฉุดเศรษฐกิจโลกลงเหว
นักเศรษฐศาสตร์จุฬาฯ มองวิกฤตดูไบยังลากยาว หวั่นดึงเศรษฐกิจโลกเซ

นายสมภพ มานะรังสรรค์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยในงานสัมมนา “วิกฤตดูไบเวิลด์ เวียดนามลดค่าเงินด่อง ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย” ว่า แม้ว่ารัฐบาลอาบูดาบี เมืองหลวงของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประกาศที่จะอัดฉีดเงิน 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ชำระหนี้แทนดูไบเวิลด์ เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น และคาดว่าวิกฤตดูไบเวิลด์ ยังไม่สิ้นสุด และน่าจะบานปลายสร้างความเสียหายอีกจำนวนมาก
ทั้งนี้ เนื่องจากยังไม่นับรวมเงินที่ดูไบ เวิลด์ เข้าไปลงทุนในประเทศต่างๆ และยังไม่นับรวมปัญหาของนักลงทุนเอกชนต่างชาติอื่นๆ ที่เข้าไปลงทุนในดูไบต่างก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน รวมทั้งความเป็นห่วงโครงการก่อสร้างกว่า 400 โครงการในนครดูไบ ซึ่งยังสร้างไม่เสร็จกว่า 60% จะหาเงินที่ไหนมาสร้างต่อ และที่สร้างเสร็จแล้วก็เป็นตึกว่างเปล่าไม่ได้ใช้ประโยชน์

นายสมภพกล่าวถึงการลดค่าเงินเวียดนามไม่ใช่ปัจจัยหลักเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของเวียดนามและไม่กระทบกับการส่งออกไทย ทั้งนี้สิ่งที่เวียดนามได้เปรียบไทยคือ ค่าจ้างต่ำ มีคนวัยแรงงานจำนวนมาก มีแหล่งน้ำมัน และมีศักยภาพด้านโลจิสติกส์ทางทะเล

นายปรีดา เตียสุวรรณ์ ประธานบริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ กล่าวว่า ดูไบดึงเงิน ของคนอื่นมาลงทุนและลงทุนเกินความสามารถ ทั้งที่ดูไบไม่มีคนและไม่มีทรัพยากร อย่างไรก็ตามในเร็วๆ นี้บริษัทจะไปปิดสาขาในดูไบ 3 แห่งและลดขนาดการลงทุนลง

สำหรับการลดค่าเงินของเวียดนามเชื่อว่าไม่น่ากระทบกับการส่งออกของไทย แต่น่าจะกระทบกับการส่งออกของจีนมากกว่า เพราะสินค้าส่งออกของจีนส่วนใหญ่ใช้ความได้เปรียบค่าแรงงานที่ต่ำเหมือนกัน

นายแล ดิลกวิทยรัตน์ อาจารย์เศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การลดค่าเงินของเวียดนามไม่กระทบกับไทย ซึ่งการลดค่าเงินของเวียดนามนั้นรัฐบาลต้องการแก้ไขปัญหาช่องว่างระหว่างการซื้อขายเงินในตลาดมืด และการเก็งกำไรค่าเงิน
posttoday
**********
15/12/52
อาบูดาบีอัดฉีดเงินแก่ดูไบ 1 หมื่นล้านดอลลาร์

รัฐบาลดูไบออกแถลงการณ์วานนี้ว่ารัฐอาบูดาบีจะทำการอัดฉีดเงินให้แก่ดูไบ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือดูไบในการชำระหนี้หุ้นกู้อิสลาม 4,100 ล้านดอลลาร์ที่ครบกำหนดไปในวันเดียวกัน

รัฐบาลดูไบเปิดเผยว่า ดูไบจะใช้เงินที่เหลือเพื่อมาชำระหนี้ให้กับเจ้าหน้าที่และคู่สัญญา เพื่อให้ตอบสนองเรื่องเงินทุนที่ใช้ในการดำเนินการไปจนถึงวันที่ 30 เม.ย. 2553

ทั้งนี้ รัฐบาลดูไบยังจะประกาศกฎหมายในการปรับโครงสร้าง ซึ่งเป็นกรอบที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ได้รับการยอมรับในเรื่องมาตรฐานของความโปร่งใสและการคุ้มครองผู้ปล่อยกู้

ส่วนอาบูดาบี นับเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดในสหพันธรัฐ UAE และเป็นรัฐที่ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของประเทศ

ขณะที่ นาคีล ซึ่งเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเครือของดูไบ เวิลด์ เตรียมเจรจากับกลุ่มผู้ถือพันธบัตรอิสลามที่ออกโดยนาคีลอีกรอบ ซึ่งหุ้นกู้ดังกล่าวมีมูลค่า 52,500 ล้านดอลลาร์และจะครบกำหนดไถ่ถอนในอีก 2 ปีข้างหน้า ด้านนักวิเคราะห์มองว่าปัญหาหนี้สินคงค้างของนาคีลอาจทำให้ทางบริษัทผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ดังกล่าวด้วย

ปัญหาหนี้สินของดูไบ เวิลด์ และบริษัทในเครือได้สร้างความวิตกกังวลให้กับนักลงทุนทั่วโลก แม้ดูไบ เวิลด์ เข้าเจรจากับธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้มูลค่า 26,000 ล้านดอลลาร์ รวมถึงหนี้สินของบริษัท นาคีล เวิลด์ และลิมิทเลส เวิลด์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือดูไบ เวิลด์

แผนการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทครอบคลุมถึงตราสารหนี้อิสลามมูลค่าราว 3,600 ล้านดอลลาร์ที่ออกโดยนาคีล เวิลด์ บริษัทในเครือซึ่งเป็นผู้พัฒนาคฤหาสถ์หรูหราบนหมู่เกาะเป็นรูปต้นปาล์มที่มีชื่อเสียงของดูไบ เวิลด์ โดยตราสารหนี้อิสลาม หรือที่เรียกว่า "ซูคุค" เป็นตราสารหนี้ที่ออกตามกฎหมายชาเรียของศาสนาอิสลาม

นักวิเคราะห์จากหลายสถาบัน รวมถึงมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส กังวลว่าดูไบอาจสูญเสียสถานะการเป็นศูนย์กลางการเงินในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย และอาจสูญเสียสถานะของศูนย์กลางการค้าและการบริการ อีกทั้งยังดับฝันของดูไบที่ต้องการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านการธนาคารในภูมิภาค
money wake up
**********
14/12/52
อาบูดาบีทุ่มหมื่นล.ดอลล์อุดรูรั่วดูไบ หนุนSETบ่ายไปยาว
Monday, 14 December 2009 13:36
หุ้นไทยบ่ายนี้ได้แรงหนุนข่าวดีอาบูดาบี อัดเม็ดเงิน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ให้ดูไบ ชำระหนี้ที่ถึงกำหนด แถมไร้ปัจจัยลบภายในกดดัน กูรูแนะนำระวังแรงขายทำกำไรหากดัชนีฯ ทะลุชนแนวต้าน 710 จุด แต่เชื่อโดยแรงซื้อ RMF-LTFปลายปีหนุนดัชนีฯ บวกสวย แนะหาจังหวะเข้าซื้อหุ้นเมื่อราคาอ่อนตัวลง ให้แนวรับ 690 จุด แนวต้าน 715-716 จุด

นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยวันนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะในวันนี้เป็นวันครบกำหนดหนี้ก้อนแรกของนัคฮีล ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ ดูไบ เวิลด์ โดยในช่วงเช้าที่ผ่านมานักลงทุนต่างรอติดตามว่าเจ้าหนี้จะยอมปรับโครงสร้างหนี้หรือไม่ แต่ในช่วงก่อนปิดตลาดภาคบ่ายตลาดฯ ตลาดฟื้นบวกมากขึ้น ตอบรับกระแสข่าวรัฐบาลดูไบออกแถลงการณ์ในวันนี้ เผยว่า ดูไบได้รับเงินอัดฉีด 1 หมื่นล้านดอลลาร์จากรัฐอาบูดาบี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เพื่อช่วยเหลือดูไบในการชำระหนี้หุ้นกู้อิสลาม 4.1 พันล้านดอลลาร์ที่จะครบกำหนดชำระในวันนี้

อนึ่ง แถลงการณ์ระบุว่า เงินช่วยเหลือจำนวนดังกล่าว ดูไบจะนำไปชำระหนี้การค้า และหนี้ตามสัญญา รวมถึงจ่ายดอกเบี้ย และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2554

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทย ยังเคลื่อนไหว เป็นไปตามทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ประกอบกับ ปัจจัยภายในประะเทศไม่มีประเด็นอะไรที่น่าเป็นวิตก แม้ว่าจะมีกรณีปัญหามาบตาพุด ที่ก๊าซรั่วในเขตนิคมมาบตาพุดครั้งล่าสุด เพราะเป็นปัจจัยที่กดดันเพียงวงจำกัด และไม่ได้กระทบต่อการลงทุนในหุ้นตัวอื่น ทั้งนี้ ตลาดหุ้นในต่างประเทศส่วนใหญ่เคลื่อนไหวทั้งแดนบวกและลบ อาทิ ดัชนี ฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดเช้าที่ระดับ 21,921.85 จุด เพิ่มขึ้น 19.74 จุด หรือ 0.09% ส่วนดัชนี PHCOMP ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ปิดตลาดที่ระดับ 3,042.10 จุด เพิ่มขึ้น 10.97 จุด หรือ 0.36% ขณะที่ ดัชนี นิกเกอิ: ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดที่ระดับ 10,105.68 จุด ลดลง 2.19 จุด หรือ -0.02 %

สำหรับแนวโน้มของดัชนีฯ ในช่วงบ่ายนี้ มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ เพราะได้รับปัจจัยหนุนจากกรณีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าช่วยเหลือหนี้ที่ถึงกำหนดอายุรอบแรก แต่อย่างไรก็ตาม หากดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นชนแนวต้านที่ 710 จุด มีโอกาสที่จะเผชิญกับแรงขายทำกำไร แต่ก็เชื่อว่าจะมีแรงช้อนซื้อกลับเข้ามา โดยเฉพาะเม็ดเงินจาก LTF และ RMF ที่จะเข้ามาซื้อในช่วงปลายปี

ขณะที่คาดการณ์การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่จะประกาศสัปดาห์นี้ น่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น รวมทั้งการประชุมของ Fed (วันพุธ 16 ธ.ค.) และการประชุมของ BOJ (18 ธ.ค.) ซึ่งตลาดจะให้ความสนใจกับการพูดถึง Exit strategy หรือการถอนมาตรการช่วยเหลือออก มากกว่าเรื่องดอกเบี้ย เพราะตลาดคาดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม

กลยุทธ์การลงทุน แนะหาจังหวะเข้าซื้อหุ้นเมื่อราคาอ่อนตัวลง อาทิ หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นภาษีของรัฐบาล อาทิ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มบันเทิง ที่จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ให้แนวรับดัชนีฯ ไว้ที่ 690 จุด แนวต้าน 715-716 จุด
stock wave
********
09/12/52
ต่างชาติ หวั่น"ดูไบ โฮลดิ้ง" ตามรอย "ดูไบเวิลด์"

ไทม์สออนไลน์ เปิดเผยว่า ธนาคารตะวันตกกำลังหวาดกลัวมากขึ้นว่าบริษัทดูไบ โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการลงทุนส่วนตัวของชีค โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล-มักทูม เจ้าผู้ครองนครดูไบ อาจเป็นบริษัทของรัฐบาลดูไบรายต่อไป ที่ผิดนัดชำระหนี้

หลังจากบริษัทดังกล่าวใช้จ่ายอย่างฟู่ฟ่าช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยกู้เงิน 12,000 ล้านดอลลาร์ไปใช้ในโครงการต่างๆ ของดูไบ ทั้งยังตั้งหน่วยงานลงทุนที่เข้าไปซื้อหุ้นในเครือโรงแรมราคาถูก อย่างแทรเวลลอดจ์

แม้ทางโมฮัมเหม็ด เจอราวี ผู้บริหารดูไบ โฮลดิ้ง ปฏิเสธว่าบริษัทไม่มีปัญหา แต่เจ้าหน้าที่รายนี้เผยว่าบริษัทเพิ่งเริ่มปรับโครงสร้าง โดยแยกเป็น 4 แผนก ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ ท่องเที่ยวและโรงแรม การลงทุน การเขตเสรีการลงทุน ทั้งยังมีการปลดพนักงานไปหลายพันคน โดยเฉพาะที่บริษัทดูไบ พรอพเพอร์ตีส์ ซึ่งเป็นหน่วยงานอสังหาริมทรัพย์ที่มีหนี้

นักวิเคราะห์ของบริษัทบาร์เคลย์ส แคปิตอล ระบุเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าบริษัทดูไบ โฮลดิ้ง เสี่ยงมากที่สุดที่จะผิดนัดชำระหนี้ ตามหลังดูไบ เวิลด์ เพราะมีสินทรัพย์ด้านอสังหาริมทรัพย์มากมาย ทั้งยังเคยเจอปัญหาหลากหลายช่วงปีที่ผ่านมา

ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นส่งผลให้ ตลาดหุ้นดูไบร่วงหนักสุดในโลก เนื่องจากนักลงทุนวิตกข่าวปรับโครงสร้างดูไบ เวิลด์ โดยดัชนี DFM General Index ตลาดหุ้นดูไบดิ่งลงหนักสุดในรอบ 5 เดือน และทำสถิติร่วงลงหนักสุดเมื่อเทียบกับบรรดาตลาดหุ้นแห่งอื่นๆของโลก เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวการปรับโครงสร้างของบริษัท ดูไบ เวิล์ด โดยหุ้นเอมาร์ พร็อพเพอร์ตีส์ ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่สุดของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ดิ่งลงหนักสุด

บริษัท ดูไบ เวิลด์ ของรัฐบาลดูไบ ซึ่งมีหนี้สินรวม 59,000 ล้านดอลลาร์ วางแผนเลื่อนการชำระหนี้จำนวน 3.5 พันล้านดอลลาร์ซึ่งครบกำหนดในเดือนธ.ค.ที่จะถึงนี้ ออกไปเป็นเดือนพ.ค.ปีหน้า ซึ่งนับเป็นการผิดนัดชำระหนี้ครั้งใหญ่สุดในรอบ 8 ปี

ข่าวดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลงอย่างหนัก เนื่องจากทรัพย์สินของดูไบ เวิลด์ ครอบคลุมถึงหุ้นในบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ตั้งแต่บริษัท เอ็มจีเอ็ม มิราจ ซึ่งเป็นบริษัทคาสิโนในลาสเวกัส ไปจนถึงธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด, บริษัทค้าปลีกระดับหรูอย่าง บาร์นียส์ นิวยอร์ก และบริษัท อิสทิธมาร์ พีเจเอสซี ซึ่งเป็นบริษัทจัดการสินทรัพย์ชื่อดังระดับโลก


ตัวเลขขาดทุนบริษัทลูก Dubai World และอันดับเครดิตกรีซ ทำหุ้นป่วน

ตลาดหุ้น ราคาทองคำและน้ำมัน ปรับตัวลง ขณะเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น รับข่าวบริษัทลูกของ Dubai World คือ Nakheel PJSC รายงานการขาดทุน 3,650 ล้านเหรียญ และข่าว Fitch Rating ปรับลดอันดับเครคิตของประเทศกรีซ นอกจากนี้ ปัจจัยกดดันยังมาจากตัวเลขผลผลิตอุตสาหกรรมของเยอรมันที่ลดลงผิดไปจากที่ตลาดคาด

บริษัท Nakheel ที่เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือของ Dubai World และกำลังหาทางเข้าเจรจาต่อรองเรื่องหนี้ครั้งใหม่ ประกาศผลการขาดทุนงวดครึ่งปีแรกที่ 3,650 ล้านเหรียญ หลังจากรายได้ลดลงและยอดการล้างหนี้เสียที่เกิดจากการลดลงของมูลค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง ซึ่งจากข่าวนี้ก็ทำให้นักลงทุนส่งออเดอร์ขายหุ้นกลุ่มแบงก์เข้ามาทันที โดยเฉพาะหุ้นธนาคาร RBS หรือ Royal Bank of Scotland Group ที่ซื้อขายอยู่บนกระดานตลาดหุ้นลอนดอน และเป็นผู้จัดการและรับประกันเงินกู้รายใหญ่ที่สุดของ Dubai World ราคาหุ้นก็ร่วงลงกว่า 7%
ถัดจากข่าวความกังวล Dubai World มาดูที่สถานการณ์หนี้ของประเทศกรีซกันบ้าง ล่าสุด Fitch Ratings ก็ออกมาปรับลดอันดับเครดิตของประเทศลงมาอยู่ที่ระดับ “BBB+” (ทริปเปิ้ลบี พลัส) ซึ่งจัดอยู่ในชั้น Investment grade ก่อนระดับต่ำสุด 3 ขั้น หลังจากที่ทาง S&P ออกมาเตือนว่าอาจจะมีการปรับลด credit rating ของประเทศลงจากระดับ “A-” เมื่อวันก่อน ซึ่งแสดงถึงความเป็นไปได้ว่าจะมีการ downgrade ในช่วงสองเดือนนับจากนี้

การปรับลดอันดับเครดิตของกรีซได้สะท้อนถึงปัญหาการขาดดุลงบประมาณภาครัฐที่สูงขึ้น จนกระทบต่อแนวโน้มความสามารถในการชำระหนี้

ในส่วนความเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เริ่มที่ทองคำ ที่ราคา Gold Futures ส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ปรับตัวลง 2% มาอยู่ที่ 1,134 เหรียญต่อออนซ์ ซึ่งเป็นผลจากเงินดอลลาร์แข็งค่า ขณะเดียวกัน ทางธนาคารกลางเกาหลีใต้ที่กำลังดำเนินการกระจายความเสี่ยงสำหรับเงินทุนสำรองของประเทศ ก็ออกมาบอกว่า การเข้าถือทองคำเพิ่มขึ้นไม่ใช่วิธีที่น่าสนใจ เมื่อดูจากธนาคารกลางอื่นๆ ที่ไม่ได้แสดงความสนใจเข้าซื้อ ขณะเดียวกัน ทองคำเองก็ไม่ได้ให้ผลตอบแทนออกมาในรูปเงินสดด้วย

ปิดท้ายที่น้ำมัน ราคาก็ขยับลงมุ่งหน้า 70 เหรียญเข้าไปทุกขณะ โดยราคาตลาดนิวยอร์กปิดลดลง 1.8% มาที่ 72.6 เหรียญต่อบาร์เรลแล้ว หลายคนกำลังรอดูรายงานตัวเลขสต็อกที่กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ จะประกาศออกมาในวันนี้ และนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้นอีก 500,000 บาร์เรลในสัปดาห์ล่าสุด
money wake up*********
08/12/52
ผู้แทนการค้า “วัชระ พรรณเชษฐ์” มองผ่านวิกฤติดูไบสู่ศก.ไทยปี 53
ท่ามกลางข่าวดีที่รัฐบาลต้องเร่ง “ตีปี๊บ” ว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นแล้ว...ดันปรากฏข่าวร้ายขึ้นมาแทรก ทำเอาเสียอารมณ์กันไปพอสมควร
ข่าวร้ายที่ว่าก็คือวิกฤติที่เกิดขึ้นกับกลุ่มธุรกิจ “ดูไบ เวิลด์” บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลแห่งรัฐดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถึงขั้นประกาศขอเลื่อนการชำระหนี้ ขณะที่เวียดนาม เพื่อนของเราใน “อาเซียน” ก็กำลังเผชิญกับวิกฤติค่าเงิน

คำถามก็คือ วิกฤติดูไบกับเวียดนามจะส่งผลกระทบกับไทยแค่ไหนและอย่างไร? โดยเฉพาะในยามที่เศรษฐกิจไทยเหมือนเพิ่งเดินออกจากห้องไอซียู!

ดร.วัชระ พรรณเชษฐ์ ผู้แทนการค้าไทย ให้คำตอบเรื่องนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจทีเดียว

“วิกฤติที่ดูไบกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และผลจากเศรษฐกิจโลกจึงกระทบถึงเราอีกที ไม่ใช่การกระทบโดยตรง เพราะไทยกับดูไบค้าขายกันเองไม่มากนัก”

“สิ่งที่เกิดขึ้นคือความเชื่อมั่น เพราะรัฐบาลของรัฐดูไบประกาศไม่เข้าไปรับภาระหนี้ของดูไบเวิลด์ ซึ่งก็จะทำให้มีปัญหาเรื่องเครดิต เรทติ้ง ตามมา แต่ข้อเท็จจริงก็คือมีประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติดูไบมากกว่าไทยเยอะ ส่วนไทยต้องถือว่าไม่เสียหายอะไรเท่าไหร่”

ดร.วัชระ อธิบายว่า ประเทศที่ได้รับผลกระทบเยอะจากวิกฤติดูไบ มักจะเป็นประเทศที่ระบบเศรษฐกิจไม่ได้อิงกับภาคการผลิตที่แท้จริง เช่น ประเทศที่ค้าเงินมากๆ อย่างฮ่องกง

ส่วนวิกฤติค่าเงินของเวียดนาม แม้หลายคนจะมองอย่างหวั่นเกรงว่าจะกระทบกับไทย เพราะเมื่อค่าเงินด่องดิ่งลง จะทำให้ราคาสินค้าของเวียดนามในตลาดโลกถูกตามไปด้วย ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อคู่แข่งอย่างไทย แต่กรณีนี้ ดร.วัชระ มองในมิติที่ต่างออกไป

“ผมคิดว่าวิกฤติค่าเงินของเวียดนามจะกระทบต่อตัวเขาเองมากกว่า เพราะความเชื่อมั่นจะลด เมื่อเสถียรภาพในการนำเข้าสินค้าทำได้น้อยลง การผลิตจะทำยากขึ้น เมื่อนำเข้าได้น้อย การค้าต่างประเทศย่อมกระทบ ที่สำคัญคือสินค้าของไทยกับเวียดนามไม่เหมือนกัน ไทยจึงไม่ได้รับผลกระทบ จึงไม่ต้องกังวลใจมากนัก”

“มุมเดียวที่ยังน่ากังวลก็คือผลกระทบในลักษณะที่นักลงทุนมองว่าเวียดนามคือส่วนหนึ่งของอาเซียน และกำลังจะรับหน้าที่ประธานอาเซียนต่อจากไทย แบบนี้นักลงทุนอาจมองได้ว่ากระทบกับภาพรวมของอาเซียนไปด้วย ทั้งๆ ที่ความจริงไม่ได้กระทบ แต่อย่าลืมว่าภาวะเศรษฐกิจเป็นเรื่องของความเชื่อมั่น บางเรื่องแม้ไม่จริง แต่ถ้าเขากังวล มันก็กระทบเหมือนกัน”

แนวทางการประเมินทั้งหมดนี้ เป็นหนึ่งในหน้างานของ ดร.วัชระ ในฐานะผู้แทนการค้าไทย (ทีทีอาร์ : Thailand Trade Representative) ที่มี นายเกียรติ สิทธีอมร เป็นประธาน และทำงานอย่างต่อเนื่องมาได้ 6 เดือนเต็มแล้ว

ยุทธศาสตร์ของผู้แทนการค้าไทยใน พ.ศ.นี้ เน้นการค้าแบบ Two Ways Trade คือการค้าสองทาง ไม่ได้มุ่งดึงต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียวแบบสมัยก่อน โดยเฉพาะในยามที่ทั้งเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกเพิ่งผงกหัวขึ้นอย่างช้าๆ อยู่ในขณะนี้

ที่สำคัญแม้เศรษฐกิจจะฟื้นแล้ว แต่ก็อย่าเพิ่งชะล่าใจ

“เปรียบเหมือนเราเพิ่งออกจากห้องไอซียู ก็ไม่ควรไปวิ่งหรือกระโดดโลดเต้น ฉะนั้นต้องมีวินัย ขณะเดียวกันก็ต้องมองไปข้างหน้า ปรับทิศทางให้เข้ากับกระแสโลก ต้องเลิกทำธุรกิจเฉพาะในบ้านของเราเอง แต่ต้องกล้าไปลงทุนในประเทศอื่นๆ เตะฟุตบอลยังมีเหย้ากับเยือน ทำการค้าก็เหมือนกัน อย่าเก่งเฉพาะในบ้าน หรือหวังแค่ให้ประเทศอื่นมาลงทุนในประเทศเราเท่านั้น”

“เราต้องเอาคนไทยออกไปข้างนอก ไปลงทุนในประเทศต่างๆ โดยใช้คนไทยในประเทศนั้นๆ เป็นตัวเชื่อม เพราะไม่มีใครรู้จักประเทศเหล่านั้นดีเท่าคนที่อยู่ที่นั่นอยู่แล้ว คนไทยเรากระจายอยู่ทั่วโลก หลายคนเป็นนักธุรกิจมีชื่อเสียง มีฐานะมั่นคง ตรงนี้จะเป็นช่องทางที่เราไปเจาะทำการค้าการลงทุนกับประเทศต่างๆ ได้”

ตัวอย่างของการเจาะโอกาสทางธุรกิจในห้วงที่ภาวะเศรษฐกิจโลกยังไม่ดี โดยใช้คนไทยในประเทศนั้นๆ เป็นตัวเชื่อม ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานของผู้แทนการค้าไทยก็คือ การขยายตลาดอะไหล่รถยนต์ในสหรัฐอเมริกา

“จริงๆ เราก็ป้อนชิ้นส่วนรถยนต์ไปสหรัฐอยู่แล้ว แต่ถ้าเราขายเฉพาะชิ้นส่วนหรือส่งออกรถยนต์ไปขายเรื่อยๆ ในช่วงที่เศรษฐกิจขาลง เราก็จะแย่ไปด้วย เพราะจากการสำรวจพบว่าหลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ คนอเมริกันใช้รถเฉลี่ยถึง 9.4 ปีโดยไม่ยอมเปลี่ยน ฉะนั้นช่องทางการค้าการลงทุนจึงหมุนไปที่อะไหล่กับศูนย์ซ่อมและบริการมากกว่า”

“เหตุนี้แม้ยอดขายรถใหม่จะลดลง แต่เราสามารถพลิกไปทำศูนย์กระจายอะไหล่ได้ ที่ผ่านมาเราเซ็นสัญญาสร้างศูนย์กระจายอะไหล่ หรือ Warehouse Parts Distribution Center ไปแล้ว และลงทุนศูนย์ซ่อมอีก 30 ศูนย์ ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี คนอเมริกันจำนวนหนึ่งก็ไม่ค่อยอยากทำธุรกิจศูนย์ซ่อมต่อไป เราก็ไปซื้อศูนย์ซ่อมเหล่านี้ในราคาที่ไม่แพงนัก แล้วก็ทำธุรกิจเชื่อมโยงกับศูนย์กระจายอะไหล่ นี่คือหน้าที่ของผู้แทนการค้า คือไปหาช่องทางและพานักธุรกิจของเราไปลงทุน”

นอกจากอเมริกาซึ่งเป็นตลาดดั้งเดิมของไทยแล้ว และปัจจุบันกำลังกระอักกับภาวะเศรษฐกิจ ไทยจึงต้องแสวงหาตลาดใหม่ๆ โดยปลายทางที่น่าสนใจคือละตินอเมริกา ซึ่งมีประชากรรวมกันถึง 660 ล้านคน ทั้งยังตรงกับแนวทางที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายเอาไว้ โดยเฉพาะ 3 ประเทศยักษ์ใหญ่ คือ บราซิล อาร์เจนตินา และชิลี ซึ่งแน่นอนว่าคณะผู้แทนการค้าได้พานักธุรกิจไทยไปบุกเบิกมาเรียบร้อยแล้ว

“สินค้าที่เรามุ่งเน้นคืออัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องปรับอากาศ อะไหล่ และชิ้นส่วนยานยนต์ เวลาทำงานผมจะไม่ไปโรดโชว์อย่างเดียว แต่ไปแล้วต้องได้เซ็นสัญญาด้วย คาดว่า 3 ประเทศนี้ในอีก 3 ปีเราจะมีมูลค่าการค้าระหว่างกันถึง 3 แสนล้านบาท”

“วิธีการทำงานของผม เรียกกันสนุกๆ ว่า ลุงหนวด คือการจับคู่ธุรกิจ เอานักธุรกิจ 2 กลุ่มที่คาดว่าจะทำการค้าระหว่างกันได้มาเจอกัน โดยใช้ Thai Connection อย่างที่ยกตัวอย่างให้ฟังที่อเมริกา ผมปลื้มมากเลยที่ได้เห็นความสำเร็จ เห็นการลงนามในสัญญา โดยที่สัญญานั้นใช้ภาษาไทย เพราะเป็นการลงทุนระหว่างไทยกับไทย เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน”

ดร.วัชระ บอกว่า การเมืองที่ค่อนข้างนิ่งในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้ต่างประเทศเริ่มเชื่อมั่นประเทศไทยมากขึ้น และผู้แทนการค้าก็ทำงานง่ายขึ้นมาก

“เราสตาร์ทจากจุดที่ค่อนข้างบอบช้ำมากทั้งเศรษฐกิจและการเมือง แต่วันนี้ดีขึ้น ต่างประเทศเชื่อมั่น รับตำแหน่งวันแรกปวดหัว เพราะเมื่อก่อนทำงานง่าย ใครๆ ก็วิ่งเข้าหา แต่วันแรกของผู้แทนการค้าชุดนี้ เศรษฐกิจเราไม่ดี การเมืองก็มีปัญหา ก็ต้องใช้ทุกวิถีทางที่จะดึงกลับมา”

“จุดที่เราเน้นคือทำงานเป็นทีม เราทำงานคู่กับบีโอไอ (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) และดีอีพี (กรมส่งเสริมการส่งออก) ไปไหนไปด้วยกัน หลังๆ ดึงเอสเอ็มอีแบงก์ไปด้วย สิ่งสำคัญคือเราดูธุรกิจขนาดใหญ่ สร้างงานต่อเนื่องในเมืองไทยได้ ยิ่งภาคเกษตรได้รับประโยชน์ด้วยยิ่งดี เช่น ผ้ายางรถยนต์ สร้างงานได้ และยังส่งผลถึงราคายางพาราในประเทศ แบบนี้ผู้แทนการค้าสนับสนุนเต็มที่”

อีกโครงการหนึ่งที่ ดร.วัชระ กำลังคิด “บูม” ให้เป็นอีกหนึ่งช่องทางของการขายสินค้าไทยควบคู่ไปกับจุดเด่นเรื่องความเป็นไทย คือการพัฒนา “ตำหรับยาไทย” ให้เป็น Alternative Medicine เพราะคนปัจจุบันไม่อยากรับสารเคมีเข้าไปในร่างกายอีกแล้ว

ทั้งหมดคือความหวังเล็กๆ ของเศรษฐกิจไทยก่อนเปิดศักราชใหม่ปี 2553 ท่ามกลางข่าวร้ายๆ ว่าด้วยวิกฤติดูไบและเวียดนาม
krungthepturakij************
08/12/52
รมว.คลังยันไม่อุ้มดูไบเวิลด์ฉุดตลาดหุ้นดูไบดิ่งหนัก
Tuesday, 08 December 2009 07:48
ผู้สื่อข่าบรายงานว่าการปิดการซื้อขายเมื่อวันอาทิตย์(6ธ.ค.) ตลาดหุ้นดูไบจะกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง แต่วานนี้(7ธ.ค.)นักลงทุนกลับมาเทขายหุ้นอย่างหนัก จากความวิตกกังวลที่มีต่อปัญหาหนี้สินของดูไบ เวิลด์ ภายหลังจากที่นายอับดุลเราะห์มาน อัล ซาเลห์ รัฐมนตรีคลังของรัฐดูไบ ยืนยันว่าจะไม่มีการขายทรัพย์สินของรัฐเพื่อนำไปช่วยเหลือดูไบ เวิลด์ ปลดหนี้สิน ส่งผลให้หลังปิดตลาด ดัชนีดีเอฟเอ็มของตลาดดูไบดิ่งลง 5.9% ไปปิดที่ระดับ 1,745 จุด ต่ำที่สุดในรอบ 20 สัปดาห์ โดยหุ้นอสังหาริมทรัพย์และสถาบันการเงินมีแรงเทขายออกมามากที่สุด
stock wave
***********
07/12/52
ดูไบเวิลด์อาจขายสินทรัพย์จ่ายหนี้
รมว.คลังเผย ดูไบเวิลด์ อาจขายสินทรัพย์เพื่อหาเงิดสดมาจ่ายหนี้

นายอับดุลเราะห์มาน อัล-ซาเลห์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของดูไบเปิดเผยว่า ดูไบ เวิลด์ ซึ่งเป็นบริษัทด้านการลงทุนของรัฐบาลดูไบ อาจตัดสินใจขายสินทรัพย์ของกลุ่มบริษัท เพื่อนำเงินสดมาชำระเงินกู้คืนให้แก่เจ้าหนี้

ทั้งนี้ ดูไบ เวิลด์ มีธุรกิจกระจายอยู่ทั่วโลก ทั้งในดูไบและในต่างประเทศ ซึ่งนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า บริษัทอาจขายสินทรัพย์ในต่างประเทศซึ่งมีมูลค่ามหาศาล อาทิ ธุรกิจท่าเรือ

อย่างไรก็ตาม ในบทสัมภาษณ์ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์อัล-จาซีราวันนี้ รัฐมนตรีกล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่รัฐบาลจะประกาศแผนการที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างบริษัทดูไบ เวิลด์ พร้อมระบุว่า เป้าหมายหลักของรัฐบาลในตอนนี้ก็คือ การช่วยให้ดูไบ เวิลด์ สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ในอนาคต ในฐานะบริษัทที่มีกรอบการทำงานใหม่เพื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายต่างๆ

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นดูไบร่วงลง 6% ในวันนี้ จากความกังวลเกี่ยวกับขนาดของหนี้ที่ดูไบแบกรับอยู่ในขณะนี้
posttoday
************
07/12/52
พิษดูไบเวิลด์ถล่มหุ้นโอมานร่วงเกือบ80จุด
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ตลาดหุ้นโอมานร่วงเกือบ 80 จุด ในวันแรกของการเปิดตลาด หลังวันหยุดยาว ผลพวงวิกฤติดูไบ เวิลด์ เลื่อนคืนหนี้
รายงานข่าวเปิดเผยว่า ดัชนี MSM ของตลาดหุ้นโอมาน เปิดวันแรกหลังหยุดยาวเพื่อเฉลิมฉลองหลังสิ้นสุดการประกอบพิธีฮัจญ์ร่วงไปถึง 75 จุด ปัจจัยหลักมาจากธนาคารรายใหญ่บางแห่งในโอมานมีการเปิดเผยว่า มีส่วนเกี่ยวโยงกับวิกฤตหนี้ของดูไบ เวิลด์ กลุ่มธุรกิจด้านการลงทุนของรัฐบาลดูไบ ที่กำลังประสบปัญหาด้านการเงินจนต้องพักการชำระหนี้หลายพันล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ เชื่อว่า ตลาดหุ้นโอมานจะดีดกลับขึ้นมา หลังคณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มีคำสั่งให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เปิดเผยข้อมูลว่า มีบริษัทใดบ้างที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิกฤตหนี้สินดูไบ ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะทำให้นักลงทุนได้คลายความกังวล
krungthepturakij
********
07/12/52
ตลาดหุ้นดูไบ-อาบูดาบีดีดตัวดีขึ้น นักลงทุนมั่นใจวิกฤตหนี้ไม่เลวร้าย
ตลาดหลักทรัพย์ในอาบูดาบี-ดูไบเปิดดีดตัวดีขึ้นหลังจากการร่วงระนาวเมื่อสัปดาห์ก่อน ท่ามกลางความมั่นใจของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น

วานนี้ ตลาดหลักทรัพย์อาบูดาบีและดูไบเปิดทำการเป็นวันแรก หลังจากที่ได้ปิดทำการลงเป็นเวลา 4 วัน
ทั้งนี้ อาบูดาบี ซิเคียวริตี ซึ่งตกร่วงลงไปราว 11.6% เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เปิดตลาดดีดตัวดีขึ้นถึง 4.4% เคลื่อนไปอยู่ที่ 2,686.47 จุด ก่อนที่จะตกลงมาเล็กน้อยในช่วงก่อนปิดตลาดที่ 2,673.12 จุด

ด้านดัชนีดีเอฟเอ็มของตลาดดูไบ ซึ่งดิ่งลงไปราว 12.5% ในช่วงเวลา 2 วันสุดท้ายของสัปดาห์ก่อนหน้านี้ วานนี้ปรับตัวดีขึ้น 1.18% และขึ้นไปอยู่ระดับสูงสุดที่ 1,873.36 จุด หลังจากเปิดตลาดได้เพียงครึ่งชั่วโมง และปิดตลาดอยู่ที่ 1,853.13 จุด

แต่ทว่า ในขณะที่หุ้นอาบูดาบีแข็งแรงขึ้นมาก หุ้นดูไบกลับปรับขึ้นลงๆ ตลอดทั้งวัน โดยดีดตัวดีขึ้น 2.4% ในช่วงเช้าของการเปิดตลาด แต่ก็ตกลงมาราว 2% ในระหว่างทำการก่อนที่จะปรับตัวดีขึ้นอีกครั้งในช่วงก่อนปิดตลาด

“ไม่มีการคาดการณ์ว่าจะมีการฟื้นตัวดีขึ้นรวดเร็วขนาดนี้ในตลาดดูไบ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่านักลงทุนจำนวนไม่น้อยเชื่อมั่นว่าข้อมูลของสื่อที่ประโคมข่าวเกี่ยวกับหนี้สินของดูไบเป็นเรื่องเกินจริง” ฮูมาม อัล-ซามา นักวิเคราะห์ด้านการเงินจากอัล- ฟาจร์ ซิเคียวริตี กล่าว

มูลค่ารวมของดีเอฟเอ็มวานนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 836 ล้านดีแรห์ม (ราว 228 ล้านเหรียญสหรัฐ) เทียบกับเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาอยู่ที่เพียง 37.5 ล้านดีแรห์ม (ราว 10.2 ล้านเหรียญสหรัฐ) เท่านั้น

ด้านหุ้นของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อย่าง เอมาร์ พร็อพเพอร์ตีส์ ซึ่งตกลงมากที่สุดถึงเกือบ 10% ได้ปรับตัวดีขึ้น 3.55%

อัล-ซามา ยังระบุด้วยว่าสถานการณ์ดังกล่าวยังเป็นสัญญาณที่ดีที่ระบุว่าตลาดมีความแข็งแรงเพิ่มมากขึ้น และความมั่นใจกำลังจะกลับคืนมา อีกทั้งยังกล่าวอย่างมั่นใจว่าตลาดหุ้นอาบูดาบีได้ผ่านช่วงที่ลำบากที่สุดมาแล้ว ในขณะที่ตลาดดูไบยังคงต้องเผชิญกับสภาวะความไม่แน่นอนอยู่

นอกจากนี้ ในวันเดียวกันสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า แรงงานต่างชาติเริ่มทยอยออกจาก ดูไบ เนื่องจากวิกฤตภาวะหนี้สินมีผลกระทบต่อการจ้างงาน อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอนในเรื่องของการจ้างงานภายในปีหน้านี้

ทั้งนี้ แรงงานบางส่วนไม่ได้รับการต่อสัญญาจ้างงาน หลังจากที่การก่อสร้างภาคอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากประสบกับภาวะหนี้สิ้น ซึ่งในรายงานดังกล่าวระบุว่า มีชาวต่างชาติที่ทำงานอยู่ในดูไบมากกว่า 3 ล้านคน โดยส่วนมากเป็นแรงงานต่างชาติจากเอเชีย ซึ่งทำงานในภาคการก่อสร้าง
posttoday**********
04/12/52
ดูไบกู่ไม่กลับเครดิตดิ่งวูบ
โพสต์ทูเดย์
— บริษัทจัดอันดับน่าเชื่อถือระดับโลก ดาหน้าลดเครดิต ดูไบ ขณะที่จีนยังมีแรงดูดเม็ดเงินตะวันตกได้อีก 20 ปี

วิกฤตหนี้ดูไบยังไร้ทางสว่าง ล่าสุดบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือพร้อมใจกันลดระดับเครดิตลง โดยบริษัท เอส แอนด์ พี ปรับระดับความน่าเชื่อถือของ 6 บริษัทจาก ดูไบลงเหลือระดับจังก์ โดยทั้ง 6 บริษัท ได้แก่ ดีพี เวิลด์, ดีไอเอฟซี อินเวสต์เมนต์, เจเบล อาลี ฟรีโซน, ดูไบ มัลติ คอมโมดิตี เซ็นเตอร์ ออทอริตี, ดูไบ โฮลดิง คอมเมอร์เชียล โอเปอเนชัน กรุ๊ป และเอมาร์ พร็อพเพอร์ตี พีเจเอสซี
ขณะที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ ปรับระดับความน่าเชื่อถือด้านเครดิตของบริษัท ดูไบ โฮลดิง คอมเมอร์เชียล โอเปอเรชัน กรุ๊ป มาอยู่ที่ระดับ BB จากระดับ BBB เนื่องจากยังไม่มีความแน่นอนว่า รัฐบาลดูไบจะให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่บริษัทดังกล่าวในกรณีที่เกิดความจำเป็นหรือไม่

อย่างไรก็ตาม บริษัท มูดี้ส์ ระบุว่า ธนาคารในเอเชียได้รับผลกระทบเพียงน้อยนิดจากวิกฤตหนี้สินของดูไบ เนื่องจากปล่อยกู้ ให้ดูไบในระดับต่ำ และแม้ว่าจะมีธนาคารจากเอเชียให้เงินกู้กับดูไบในระดับที่สูงมาก ก็จะยังไม่เผชิญกับความเสี่ยงจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้

ขณะที่โกลด์แมน แซคส์ อิงค์ เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า จีน และประเทศกำลังพัฒนาหลายชาติ ยังเป็นแม่เหล็กในการดึงดูดเม็ดเงินกองทุนจำนวนมาก จากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมายังภูมิภาคได้ต่อไปอีก 20 ปี

ขณะเดียวกันแม้รัฐบาลจีนจะพยายามใช้นโยบายต่างๆ ควบคุมการไหลทะลักของกองทุนดังกล่าวเข้ามายังตลาดทุนในประเทศ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะฟองสบู่ แต่ทว่าเงินทุนเหล่านั้นก็ยังคงหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย เนื่องจากมีการประเมินกันว่า ผลกำไรบริษัทในจีนอาจจะขยายตัวเพิ่มขึ้นระหว่าง 20-30% ในปีหน้านี้

นอกจากนี้ เติ้ง ยังชี้แนะด้วยว่า หุ้นที่น่าลงทุนที่สุดในจีนเวลานี้ อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ และสาธารณสุข รวมไปถึงหุ้นของบรรดาบริษัทที่มีอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่ดินขนาดใหญ่ในนครเซี่ยงไฮ้ ที่มีการกว้านซื้อไว้ก่อนการจัดงานเวิลด์ เอ็กซ์โปในปีหน้า

“เม็ดเงินลงทุนของประเทศในฝั่งตะวันตกกำลังไหลเข้ามาสู่ประเทศฝั่งตะวันออกมากขึ้น ซึ่ง นั้นก็หมายความได้ว่า เงินของประเทศพัฒนาแล้วกำลังไหลทะลักเข้ามายังประเทศกำลังพัฒนา นั่นเอง” เติ้ง แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในฮ่องกง

ผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์จีน ของโกลด์แมน แซคส์ ยังระบุเพิ่มเติมด้วยว่า แนวโน้มการไหลทะลักเข้ามาของเงินทุนดังกล่าว จะยัง คงเกิดขึ้นต่อไปในอีก 10-20 ปี ข้างหน้านี้
posttoday**********
04/12/52
IMF เตรียมลดเป้า GDP ปีหน้าของ UAE หลังเกิดวิกฤติ Dubai World

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เล็งลดคาดการณ์จีดีพีของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์สำหรับปีหน้าลง เนื่องจากผลกระทบของวิกฤติ Dubai World

Masood Ahmed ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประจำภาคพื้นตะวันออกกลางและเอเชียกลางเปิดเผยว่า ทาง IMF จะปรับลดคาดการณ์จีดีพีของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์สำหรับปี 2553 เร็วๆ นี้ เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเริ่มส่อแววชะลอตัวจากเหตุวิกฤติการเงิน Dubai World

Ahmed บอกว่า IMF เล็งปรับคาดการณ์จีดีพีในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน ให้ลงมาต่ำกว่า 3% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ประเมินไว้ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา แต่ก็บอกว่าตัวเลขใหม่นี้จะยังสูงกว่าระดับ 0% ที่เคยประมาณการไว้สำหรับปีนี้

อย่างไรก็ตาม ทาง IMF เชื่อว่า ประเทศตะวันออกกลางแห่งนี้ จะไม่ต้องการความช่วยเหลือด้านการเงินจากตน และน่าจะไม่มีปัญหาในการรับมือและแก้ไขวิกฤติจากผลกระทบของ Dubai World ที่ประกาศเมื่อต้นสัปดาห์ว่าจะต้องร้องขอเจ้าหนี้ให้เลื่อนการจ่ายเงินกู้ 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
**********
03/12/52
มูดี้ส์ประเมินปัญหาดูไบไม่กระทบเครดิต UAE และอาบูดาบี หลังรัฐบาลประกาศไม่เกี่ยวข้องกับหนี้สินดูไบเวิลด์

Posted on Thursday, December 03, 2009
มูดี้ส์ประเมินปัญหาดูไบไม่กระทบเครดิตประเทศ

มูดี้ส์ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือให้ความเห็นว่า การปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทดูไบ เวิลด์ ไม่มีแนวโน้มที่จะเป็นภัยคุกคามต่อคุณภาพหนี้ของรัฐบาลกลางของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และของนครรัฐอาบูดาบี ซึ่งเป็นผู้ถือครองรายได้ส่วนใหญ่จากน้ำมันของ UAE

Moody จัดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลกลาง UAE และรัฐบาลอาบูดาบีไว้ที่ Aa2 โดยมีแนวโน้มที่มีเสถียรภาพ ส่วนเหตุผลที่ยังคงให้อันดับความน่าเชื่อถือของ UAE อยู่ในขั้นน่าลงทุนสูง เพราะ UAE มีสถานะดุลบัญชีต่างประเทศที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ ยังได้แรงสันบสนุนมาจากความมั่งคั่งด้านน้ำมันที่อาบูดาบีสะสมไว้

ผู้ว่าธนาคารกลาง UAE ออกมาแสดงความเห็นว่า ไม่มีสิ่งที่น่าเป็นห่วงเกี่ยวกับธนาคารของ UAE และธนาคารของ UAE ซึ่งได้พิสูจน์ให้เห็นว่าทางธนาคารมีความสามารถในการรับมมือวิกฤติการเงินโลก

แต่สิ่งที่สร้างความวิตกให้กับบรรดาเจ้าหนี้ เกิดขึ้น หลังจาก รัฐบาลดูไบแถลงว่า “หนี้สินของ ดูไบ เวิลด์ ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของทางรัฐบาล” ซึ่งคำกล่าวนี้สวนทางกับการคาดการณ์ของเจ้าหนี้ที่ว่ารัฐบาลดูไบจะค้ำประกันหนี้สินของ ดูไบ เวิลด์

ล่าสุด ดูไบ เวิลด์ ได้เริ่มเปิดเจรจากับธนาคารเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ในมูลค่า 26,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเม็ดเงินดังกล่าวรวมถึง ภาระหนี้ 3,500 ล้านดอลลาร์ จาก บ. นาคีล (Nakheel) ซึ่งนั้นเป็นสัญญาณบวกต่อกรณีดังกล่าว

*************
02/12/52
Emirates Airlines ไม่สนวิกฤติหนี้ดูไบ มั่นใจกำไรพุ่งต่อ

ขณะที่นักลงทุนยังวุ่นวายอยู่กับปัจจัยสถานะการเงินของดูไบจะกระทบหรือไม่กระทบต่อพอร์ทการลงทุนของตัวเองนั้น ก็มีหนึ่งธุรกิจชั้นนำของดูไบ อย่าง Emirates Airlines ออกมาบอกว่าวิกฤติหนี้โดยรวมจะไม่สามารถหยุดยั้งการเติบโตของกำไรของบริษัทได้ หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงความเป็นอิสระของธุรกิจ รวมถึงยอดคำสั่งซื้อเครื่องบินเจ็ทที่บริษัทมีไว้กับ Boeing และ Airbus

ผู้บริหารสายการบินที่มีรัฐบาลดูไบเป็นเจ้าของรายนี้ ได้เรียกผู้สื่อข่าวมาร่วมฟังการแถลงผลกระทบจากวิกฤติการเงินของประเทศ โดยบอกว่า กำไรสุทธิในครึ่งปีหลัง ที่จะสิ้นสุดเดือนมีนาคมปีหน้า มีความเป็นไปได้ว่าจะพุ่งเกิน 205 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นตัวเลขที่เคยทำไว้ในครึ่งปีแรก และแม้แต่อาจจะแตะระดับ 1,000 พันล้านได้ในปีงบประมาณถัดไป

สายการบิน Emirates ที่มีประมุข คือ ชีค มูฮัมหมัด บิน ราชิด อัล มาคทูม (Sheikh Mohammed Bin Rashid Al Maktoum) ถือหุ้นอยู่ด้วยนี้ ได้มีการปรับเพิ่มจำนวนที่นั่งกว่า 20% ในช่วงครึ่งปีแรก สวนกระแสจากสายการบินคู่แข่งรายอื่นๆ ที่ถูกบีบให้ลดขนาดการให้บริการลง เพื่อรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอย

นาย Maurice Flanagan รองประธานของสายการบินนี้ ที่ได้ต่อสายพูดคุยกับผู้สื่อข่าว ยังแสดงความมั่นใจว่า คณะผู้ปกครองดูไบจะไม่ยกเลิกสัญญาเที่ยวบินที่มีไว้กับบริษัท ขณะที่ธุรกิจยังสามารถทำเงิน รวมถึงมีแผนการขยายจำนวนเที่ยวบินด้วย

อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าต้องมีคนไม่เชื่อคำกล่าวของผู้บริหาร ซึ่งรวมถึงนักวิเคราะห์ของ Evolution Securities ในลอนดอน ที่มองว่า วิกฤติหนี้ดูไบได้ทำให้เกิดคำถามตามมาถึงความสามารถในการหาเงินเพื่อซื้อเครื่องบิน อย่างเช่น Airbus A380 superjumbos จำนวน 58 ลำ และ A350 อีก 50 ลำ รวมถึงเครื่อง Boeing 777 อีกจำนวนหนึ่ง

ขณะที่รองประธาน Emirates Airlines ก็บอกว่า เป็นไปไม่ได้ที่ทางดูไบจะขายสายการบินแห่งนี้ออกไปหรือแม้แต่ประกาศแผนควบรวมกิจการเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ ซึ่งทั้งหมดก็รวมถึงการที่บริษัทไม่เคยมีแผนที่จะร่วมเป็นพันธมิตรกับสายการบินอื่นๆ ในโลกอีกด้วย

ก่อนหน้านี้ นักเศรษฐศาสตร์ของ SocGen หรือ Societe Generale บอกว่า ดูไบมีทางเลือกที่จะนำสายการบิน Emirates ขึ้นมาในฐานะหลักประกัน เพื่อแลกกับความช่วยเหลือจากรัฐผู้ร่ำรวยน้ำมัน อย่าง Abu Dhabi ซึ่งก็เป็นไปได้ในเรื่องการควบรวมกับสายการบินของเพื่อนบ้าน ก็คือ Etihad Airways (เอทิฮัด แอร์เวย์ส)


นักวิเคราะห์เตือนดูไบอาจเสียสถานะศูนย์กลางการเงิน

นักวิเคราะห์จากบริษัทหลายแห่ง รวมถึงมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส เชื่อว่า ดูไบอาจสูญเสียสถานะการเป็นศูนย์กลางการเงินในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย และอาจสูญเสียสถานะของศูนย์กลางการค้าและการบริการ

การรับความช่วยเหลือจากอาบูดาบีมีขึ้นหลังจากบริษัท ดูไบ เวิลด์ ของรัฐบาลดูไบ ซึ่งมีหนี้สินรวม 59,000 ล้านดอลลาร์ วางแผนเลื่อนการชำระหนี้เบื้องต้นจำนวน 3,500 ล้านดอลลาร์ซึ่งครบกำหนดในเดือนธ.ค.ที่จะถึงนี้ ออกไปเป็นเดือนพ.ค.ปีหน้า ซึ่งเป็นการผิดนัดชำระหนี้ครั้งใหญ่สุดในรอบ 8 ปี โดยข่าวหนี้สินของดูไบส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกตื่นตระหนกและฉุดตลาดหุ้นดิ่งลงถ้วนหน้า

มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส คาดว่า หนี้สินของดูไบอาจเพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งในจำนวนนี้จะเป็นหนี้เสียราว 25,000 ล้านดอลลาร์

ดูไบเปิดตลาดหุ้นในปี 2543 และเปิดศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศดูไบ (Dubai International Financial Centre) ในปี 2547 ซึ่งดึงดูดสถาบันการเงินระดับโลก รวมถึงโกลด์แมน แซค์ และเอชเอสบีซี โฮลดิ้ง ให้เข้ามาตั้งฐานธุรกิจ ส่งผลให้ศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศดูไบมีมูลค่า 8.3 % ของระบบเศรษฐกิจดูไบในปี 2551

ดูไบเผชิญกับภาวะตกต่ำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตการณ์การเงินโลกในปีที่แล้ว ทำให้ราคาบ้านในดูไบดิ่งลง 50% หลังจากทำสถิติพุ่งขึ้นสูงสุดในไตรมาส 3 ปี 2541 ขณะที่นักวิเคราะห์ของดอยช์ แบงค์ คาดว่าราคาบ้านในดูไบจะร่วงลงอีก 30%

อย่างไรก็ตามทาง ธนาคารกลางของรัฐบาลกลางสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ออกมายืนยันว่า จะให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ธนาคารภายในประเทศและธนาคารต่างชาติ ด้วยการประกาศจัดกองทุนกู้ยืมพิเศษเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธนาคารพาณิชย์และเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเลื่อนชำระหนี้ของบริษัท ดูไบ เวิลด์

พร้อมเตรียมรับมือกับความแตกตื่นของผู้ฝากที่อาจจะแห่มาถอนเงิน และเพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนทั่วโลกว่ารัฐบาลจะทำทุกวิถีทางเพื่อจำกัดผลกระทบจากปัญหาวิกฤติหนี้สิน ด้วยการจัดสรรเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่ออัดฉีดสภาพคล่องให้กับธนาคารทั้งในประเทศและธนาคารต่างประเทศที่มีสาขาอยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์
money wake up
*************
02/12/52
ดูไบเวิลด์ปรับโครงสร้างหนี้
นักวิเคราะห์ชี้ความเสี่ยงสินเชื่อของดูไบหล่วนฮวบหนักสุดในรอบ9เดือน

ความเสี่ยงด้านสินเชื่อของดูไบร่วงลงมากที่สุดในรอบ 9 เดือนหลังจากที่บริษัท ดูไบ เวิลด์ ของรัฐบาลดูไบได้เริ่มเจรจาเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และชี้ว่า การเจรจาเกี่ยวกับเงื่อนไขต่างๆก็มีความราบรื่นดี

ต้นทุนในการป้องกันความเสี่ยงจากการผิดสัญญาของดูไบลดลงไป 1.13 จุด แตะ 457 เมื่อวานนี้ นับเป็นสถิติที่ลดลงมากที่สุดในรอบ 1 วัน นับตั้งแต่วันที่ 23 ก.พ.ที่ผ่านมา

บริษัท ดูไบ เวิล์ด ออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ว่า ทางบริษัทได้เริ่มเจรจาในทางที่สร้างสรรค์กับธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้มูลค่า 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์ รวมถึงหนี้สินของบริษัท นาคีล เวิลด์ และลิมิทเลส เวิล์ด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือดูไบ เวิลด์ อย่างไรก็ดี หนี้ของบริษัทในเครืออย่างอินฟินิตี้ เวิลด์ โฮลดิ้ง และอิสทิธมาร์ เวิลด์ และพอร์ทส แอนด์ ฟรีโซน เวิลด์ ไม่ได้รวมอยู่ในการเจรจาเรื่องการปรับโครงสร้าง

นักวิเคราะห์ระบุว่า การออกมาเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ทำให้นักลงทุนทั่วโลกคลายความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งนี้ มีรายงานว่า กลุ่มเจ้าหนี้อย่างเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด รอยัล แบงค์ ออฟ สก็อตแลนด์ กรุ๊ป และลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป ได้จัดตั้งคณะทำงานชุดพิเศษและจะประชุมร่วมกับผู้แทนของดูไบ เวิลด์ ในวันอาทิตย์หรือวันจันทร์ที่จะถึงนี้.
posttoday
***********
01/12/52
นักวิเคราะห์ฟันธง'ดูไบ'ยังไม่พ้นวิกฤติ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

รัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เสนอให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินแก่ภาคธนาคาร เป็นขั้นตอนแรกในการคลายความกังวลที่ว่าบริษัทสำคัญ 2 แห่ง ผิดชำระหนี้
รัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เสนอให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินแก่ภาคธนาคาร ซึ่งถือเป็นขั้นตอนแรกในการคลายความกังวลที่ว่าบริษัทสำคัญ 2 แห่ง ของนครรัฐดูไบผิดนัดชำระหนี้ และอาจกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่นักวิเคราะห์มองว่าการที่ธนาคารกลางยูเออี ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเป็นมาตรการที่ต้องทำ และเป็นแค่การดำเนินการในขั้นต้นเท่านั้น

นายราจ มัดฮา นักวิเคราะห์ภาคธนาคารของบริษัท อีเอฟจี เฮอร์มีส กล่าวว่า สิ่งที่ยูเออีทำ ไม่ได้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย และขณะนี้ คณะกรรมาธิการการคลังสูงสุดของดูไบ กำลังประชุมกัน เพื่อกำหนดนโยบายรับมือวิกฤตการณ์ แต่ตราบใดที่ยังไม่มีการประกาศนโยบายที่ชัดเจนออกมา

ตลาดก็มีแนวโน้มที่จะกังวลกับเรื่องนี้ต่อไป

วิกฤติหนี้ดูไบกลายเป็นข่าวที่สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก เมื่อรัฐบาลดูไบ ประกาศเมื่อวันพุธ (25 พ.ย.) เลื่อนกำหนดการชำระหนี้หลายพันล้านดอลลาร์ของบริษัทดูไบ เวิลด์ และบริษัทนัคฮีล ซึ่งเป็นกิจการอสังหาริมทรัพย์สำคัญในเครือ โดยนัคฮีลเป็นผู้พัฒนาเกาะรูปปาล์ม ที่ได้รับความสนใจจากคนดังและเศรษฐีทั่วโลก

ดูไบ เวิลด์ มีหนี้สิน 59,000 ล้านดอลลาร์ ในเดือนสิงหาคม ถือเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดในยอดหนี้สินทั้งหมดของรัฐบาลดูไบที่ระดับ 80,000 ล้านดอลลาร์ โดยนักลงทุนต้องการทราบว่าการพักชำระหนี้นาน 6 เดือนของดูไบ เวิลด์ และนัคฮีลครั้งนี้ จะเกิดจากความสมัครใจหรือไม่สมัครใจของเจ้าหนี้ ซึ่งถ้าหากเจ้าหนี้ไม่มีโอกาสเลือกในเรื่องนี้ ตลาดก็จะมองว่าการปรับโครงสร้างดังกล่าวถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้

อย่างไรก็ตาม การเลือกให้ความช่วยเหลือแก่บางบริษัทของดูไบ อิงค์ ซึ่งเป็นเครือข่ายอุตสาหกรรมที่มีรัฐบาลดูไบ ร่วมถือครองกรรมสิทธิ์อยู่ แทนที่จะให้ความช่วยเหลือแบบครอบคลุมในวงกว้าง อาจถือเป็นการเตือนให้นักลงทุนตระหนักถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นักลงทุนจำนวนมากมองว่าอาบูดาบี ซึ่งเป็นนครรัฐที่มีความอนุรักษนิยมสูงกว่าดูไบ มีสถานะเหมือนเป็นโครงข่ายความคุ้มครองสำหรับดูไบ

ในสายตาของสื่อมวลชนท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกิจการของรัฐบาล ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อวิกฤตการณ์นี้มากนักในช่วงแรก และหันมาวิพากษ์วิจารณ์สื่อต่างชาติ ว่า ทำให้เหตุการณ์นี้ดูร้ายแรงเกินความเป็นจริง อาทิเช่น หนังสือพิมพ์อัล บายาน ระบุว่า ดูไบเป็นตัวอย่างที่น่าชื่นชมสำหรับจุดหมายทางการลงทุน ส่วนหนังสือพิมพ์กัลฟ์ นิวส์ ระบุว่า กระแสความไม่พอใจจากทั่วโลก ที่มีต่อการปรับโครงสร้างของดูไบ เวิลด์ เป็นสิ่งที่รุนแรงเกินความเป็นจริง

ราคาอสังหาริมทรัพย์ในตลาดดูไบ อาจดิ่งลงอีก 20-30% และจะมีความกังวลมากยิ่งขึ้นในการหาช่องทางระดมทุน หลังจากดูไบเลื่อนเวลาชำระหนี้ของ 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ นอกจากนี้ การลดการจ้างงานอาจส่งผลกระทบต่ออุปสงค์สำหรับภาคที่อยู่อาศัยด้วย

วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในดูไบ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจ ของภูมิภาคตะวันออกกลาง ตอกย้ำให้เห็นถึงการขาดความโปร่งใสในเศรษฐกิจภูมิภาคนี้ และตอกย้ำความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งรวมถึงตลาดรัสเซีย กรีซ ไปจนถึงเม็กซิโก

นักวิเคราะห์ กล่าวว่า การที่ข่าวนี้ออกมาในช่วงก่อนวันหยุด เนื่องในเทศกาล Eid al-Adha ของชาวมุสลิม การขาดการสื่อสารกับนักลงทุนในช่วงก่อนหน้านี้ และการขาดแคลนรายละเอียดเกี่ยวกับแผนแก้ปัญหา ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลลบต่อความน่าเชื่อถือของดูไบ

ส่วนมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ให้ความเห็นว่า ดูไบอาจสูญเสียสถานะการเป็นศูนย์กลางการเงินในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย และอาจสูญเสียสถานะของศูนย์กลางการค้าและการบริการ อีกทั้ง ยังดับฝันของดูไบที่ต้องการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านการธนาคารในภูมิภาค หลังจากมีรายงานว่าดูไบอาจรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลอาบูดาบี ซึ่งเป็นเมืองที่มั่งคั่งร่ำรวยจากการขายน้ำมัน

มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส คาดว่าหนี้สินของดูไบอาจเพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งในจำนวนนี้จะเป็นหนี้เสียราว 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยบริษัทนัคฮีล ซึ่งเป็นผู้พัฒนาย่านคฤหาสน์หรูหราบนหมู่เกาะเป็นรูปต้นปาล์ม ที่มีชื่อเสียงของดูไบ เวิลด์ มีหุ้นกู้อิสลามในวงเงิน 3,500 ล้านดอลลาร์ ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 14 ธันวาคม และมีตราสารหนี้ในวงเงิน 3,600 ล้านเดอร์แฮม (980 ล้านดอลลาร์) ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 13 พฤษภาคม 2553

ด้านนางทิเซียนา โบนาพาเซ นักเศรษฐศาสตร์ของคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (เอสแคป) มองว่าวิกฤติหนี้ที่เกิดขึ้นกับดูไบ เวิลด์ และบริษัทในเครือที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือดูไบ ตอกย้ำถึงความเปราะบางในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย พร้อมทั้งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในเอเชียส่วนใหญ่จะฟื้นตัวแบบรูปตัววี

เอสแคป คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จะเติบโต 6.3% ในปีหน้า หลังจากตอบสนองต่อวิกฤติเศรษฐกิจโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการใช้นโยบายการคลังที่รัดกุม หรือการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรับมือกับผลพวงจากวิกฤติที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม รายงานของเอสแคปฉบับนี้ ระบุว่า การฟื้นตัวในระยะยาวของภูมิภาคยังคงขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐบาลประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย ที่จะถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในเวลาที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการเกิดภาวะฟองสบู่สินทรัพย์ และแสวงหากลไกใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจแทนที่ความต้องการจากกลุ่มเศรษฐกิจตะวันตก ที่นับวันจะอ่อนแรงลงเรื่อยๆ
krungthepturakij01/12/52
เปิดแถลงการณ์ "ดูไบ เวิลด์" แจงแผนฟื้นฟู-ปลดชนวน "นาคีล" เกาะต้นปาล์ม

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

"ดูไบ เวิลด์" เปิดแถลงการณ์ชี้แจงแนวทางแก้ปัญหาโครงสร้างทางการเงิน โดยเริ่มเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์ กับธนาคารหนี้ โดยเน้นไปที่ "นาคีล เวิลด์" บริษัทในเครือซึ่งเป็นผู้พัฒนาคฤหาสถ์หรูหรา บนหมู่เกาะเป็นรูปต้นปาล์ม ที่เป็นต้นตอวิกฤตในครั้งนี้ รวมถึงตราสารหนี้อิสลาม "ซูคุค" วงเงิน 3.6 พันล้านดอลลาร์ พร้อมยืนยัน บริษัทมุ่งพิทักษ์ผลประโยชน์ผู้ถือหุ้นทั่วโลก นักวิเคราะห์ห่วง ดูไบสูญเสียความเป็นศูนย์กลางอ่าวเปอร์เซีย

บริษัท ดูไบ เวิลด์ ของรัฐบาลดูไบ ออกแถลงการณ์ วันนี้ โดยชี้แจงความคืบหน้าในการแก้ปัญหาโครงสร้างทางการเงิน ซึ่งล่าสุด ดูไบ เวิล์ด ได้เริ่มเจรจาในทางที่สร้างสรรค์กับธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้มูลค่า 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์ รวมถึงหนี้สินของบริษัท นาคีล เวิลด์ และลิมิทเลส เวิล์ด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือดูไบ เวิลด์ แต่การเจรจาครั้งนี้จะไม่ครอบคลุมหนี้สินของบริษัทในเครือแห่งอื่นๆ เช่น อิฟินิตี้ เวิลด์ โฮลดิ้ง , อิสทิธมาร์ เวิลด์ และพอร์ท แอนด์ ฟรีโซน เวิลด เนื่องจากบริษัททั้งสามแห่งยังคงมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง

แถลงการณ์ของดูไบ เวิลด์ ยังระบุว่า แผนการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทครอบคลุมถึงตราสารหนี้อิสลามมูลค่าราว 3.6 พันล้านดอลลาร์ที่ออกโดยนาคีล เวิลด์ บริษัทในเครือซึ่งเป็นผู้พัฒนาคฤหาสถ์หรูหราบนหมู่เกาะเป็นรูปต้นปาล์มที่มีชื่อเสียงของดูไบ เวิลด์ โดยตราสารหนี้อิสลาม หรือที่เรียกว่า "ซูคุค" เป็นตราสารหนี้ที่ออกตามกฎหมายชาเรียของศาสนาอิสลาม

สำหรับการแก้ปัญหาในเบื้องต้นนั้น ยืนยันว่า การเจรจากับธนาคารเจ้าหนี้ของดูไบ เวิลด์ เป็นไปอย่างสร้างสรร โดยคาดว่าจะมีการปรับโครงสร้างนี้เพื่อคลี่คลายภาวะตึงตัว และเพื่อประโยชน์สูงสุดของกลุ่มผู้ถือหุ้นดูไบ เวิล์ดทุกราย ซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วโลก

บริษัท ดูไบ เวิลด์ ของรัฐบาลดูไบ ซึ่งมีหนี้สินรวม 5.9 หมื่นล้านดอลลาร์ วางแผนเลื่อนการชำระหนี้จำนวน 3.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งครบกำหนดในเดือนธันวาคม 2552 ที่กำลังจะถึงนี้ ออกไปเป็นเดือนพฤษภาคม 2553 ซึ่งถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้ครั้งใหญ่สุดในรอบ 8 ปี

ทั้งนี้ กระแสข่าวที่เกิดดังกล่าว ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลงอย่างหนัก เนื่องจากทรัพย์สินของดูไบ เวิลด์ ครอบคลุมถึงหุ้นในบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ตั้งแต่บริษัท เอ็มจีเอ็ม มิราจ ซึ่งเป็นบริษัทคาสิโนในลาสเวกัส ไปจนถึงธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด , บริษัทค้าปลีกระดับหรูอย่าง บาร์นียส์ นิวยอร์ก และบริษัท อิสทิธมาร์ พีเจเอสซี ซึ่งเป็นบริษัทจัดการสินทรัพย์ชื่อดังระดับโลก

นักวิเคราะห์การลงทุนจากหลายสถาบัน รวมถึงมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส แสดงความกังวลว่า ดูไบอาจสูญเสียสถานะการเป็นศูนย์กลางการเงินในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย และอาจสูญเสียสถานะของศูนย์กลางการค้าและการบริการ อีกทั้งยังดับฝันของดูไบที่ต้องการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านการธนาคารในภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ประกาศให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ธนาคารภายในประเทศและธนาคารต่างชาติ ด้วยการประกาศจัดกองทุนกู้ยืมพิเศษเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธนาคารพาณิชย์และเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเลื่อนชำระหนี้ของบริษัท ดูไบ เวิล์ด ของรัฐบาลดูไบ โดยธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ดูไบ เวิลด์ รวมถึงธนาคาร HSBC , ธนาคารลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป , ธนาคารรอยัล แบงค์ ออฟ สก็อตแลนด์ และธนาคารบาร์เคลย์ส
manager online*************
01/11/52
ผลกระทบจาก Dubai World กับไทยอยู่ในวงจำกัด
รายงานโดย :บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเชียไซรัส

เหตุการณ์ : เมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา รัฐบาลดูไบประกาศสองข่าวทั้งดีและร้าย ข่าวดีคือรัฐบาลดูไบประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ซึ่งผู้ซื้อก็คือ สองแบงก์ที่ถือหุ้นใหญ่โดยรัฐบาลอาบูดาบี หุ้นกู้ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการออกหุ้นกู้ทั้งหมด 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ของรัฐบาลดูไบ ตามมาด้วยข่าวร้ายที่คาดไม่ถึงคือการขอยืดการชำระหนี้ของ Dubai World (ถือหุ้นทั้งหมดโดยรัฐบาลดูไบ) และ Nakheel (บริษัทย่อยของ Dubai World) ไปเป็นสิ้นเดือนพ.ค. 2010 เป็นอย่างเร็ว โดย Nakheel มีหุ้นกู้ (Sukuk Bond) ที่จะครบกำหนดชำระในเดือนธ.ค.นี้ 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐ และที่จะครบกำหนดชำระใน 1Q10 อีก 4,900 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ Dubai World มีหนี้ทั้งหมด 5.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นประมาณ 74% ของหนี้ทั้งหมดของรัฐบาลดูไบที่มีอยู่ประมาณ 89 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

ปัญหาของดูไบเกิดจากการลงทุนที่เกินตัว รัฐบาลมีโครงการมากมาย เช่น The Palm (เกาะรูปต้นปาล์ม) The World (เอาทรายไปถมทะเลสร้างเป็น 300 เกาะรูปแผนที่โลก) Nakheel Tower (ตึกที่สูงที่สุดในโลก) ปัจจุบันรัฐบาลมีหนี้สินประมาณ 8–9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เท่ากับ GDP ของทั้งประเทศ ไม่มีเงินออม การลงทุนต่างๆ พึ่งพาเงินกู้จากต่างประเทศเป็นจำนวนมากเพราะทรัพยากรสำคัญของประเทศคือน้ำมันหมดไปหลายปีแล้ว รายได้หลักจึงมาจากการท่องเที่ยว ดูไบจึงเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลกในครั้งนี้อย่างรุนแรงตั้งแต่ 2Q08 หลังจากเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

ผลกระทบ : เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความเชื่อมั่นในการลงทุน จะเห็นว่าทันทีที่รัฐบาลดูไบประกาศยืดชำระหนี้ CDS Spread ของรัฐบาลดูไบปรับขึ้นทันที 123 bps เป็น 459 bps แม้แต่ CDS Rate ของรัฐอาบูดาบีซึ่งมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งมากก็ยังขยับขึ้นไปด้วยเล็กน้อย 10 bps ความกังวลในเรื่องปัญหา Credit Risk ที่บรรเทาลงไปมากหลังจากเกิดวิกฤต Lehman อาจกลับมาอีกรอบใหม่หากการปรับโครงสร้างหนี้ของดูไบไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมไม่ลำพังเฉพาะของ ดูไบ แต่อาจรวมถึงทั้งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) จะสูงขึ้น แบงก์ต่างๆ ที่ปล่อยกู้ให้ดูไบอาจต้องประสบปัญหาการตั้งสำรองเพิ่ม จากข้อมูลของ Emirates Banks Association พบว่าแบงก์ต่างชาติที่มีธุรกรรมกับ UAE มี Standard Charter, HSBC, Barclays, Citi, BNPP, RBS, Sumitomo Mitsui Banking Corp เป็นต้น

บริษัทจดทะเบียนในไทยได้รับผลกระทบน้อยมาก

กลุ่มรับเหมา : ITD กับ NWR ร่วมลงทุนในดูไบคือ ITD-Nawarat สัดส่วนถือหุ้น ITD : NWR = 60:40 และ QINA Contracting L.L.C ทุนจดทะเบียน AED 3 ล้านดีแรมห์ (29.5 ล้านบาท) โดย NWR ถือ 20% (5.9 ล้านบาท) และ ITD ถือ 24% ทั้งสองบริษัทมีเงินกู้ระยะในบริษัทร่วมทุนในดูไบ 157 ล้านบาท และลูกหนี้อีก 11 ล้านบาท ส่วนใหญ่ตั้งสำรองแล้ว NWR – มีเงินกู้และลูกหนี้ ~120 ล้านบาท

PLE ไม่กระทบเพราะขายหุ้นบริษัทร่วม Power Line Gulf Construction L.L.C (PLGC) Dubai, U.A. (ถือ 25%) ~3.2 ล้านบาท และตัดจ่ายหนี้ทั้งหมด 130 ล้านบาท ไปแล้วตั้งแต่ 1 ก.ย. 2552 ส่วน CK และ STEC ไม่มีงานในดูไบ

กลุ่มแบงก์ : KTB, TMB, KBANK ไม่มีเงินลงทุนและเงินให้สินเชื่อ SCB มีเงินให้สินเชื่อให้กับโครงการคอนโดนอร์ทเทิร์นสาทร ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่โดย Dubai World มีสินเชื่อที่คงค้างอยู่หลักร้อยล้านบาท (จากวงเงิน 3,000 ล้านบาท) ซึ่งหากเสียหายทั้งจำนวนจะมีผลต่อกำไรเพียง 2-3% (จากคาดการณ์กำไรทั้งปีราว 2.1 หมื่นล้านบาท) BAY มีประมาณ 500 ล้านบาท เป็น General Investment ในตราสารหนี้ซึ่งออกโดยภาคเอกชน และมีรัฐบาลดูไบค้ำประกันราว 500 ล้านบาท ขณะนี้ยังมีการจ่ายดอกเบี้ยตามปกติ ถ้าต้อง Write-Off จะกระทบกำไรปี 2552 ประมาณ 8% (คาดการณ์กำไรทั้งปีอยู่ที่ราว 6,500 ล้านบาท) BBL มีเงินให้สินเชื่อในดูไบเล็กน้อย (เราคาดว่าไม่น่าเกิน 1,000 ล้านบาท) และไม่มีพอร์ตเงินลงทุน

กลุ่มบริการ : BH ขายเงินลงทุนในดูไบไปแล้วเป็นเงินประมาณ 6 แสนเหรียญสหรัฐ มีการรับบริหารโรงพยาบาลในรัฐอาบูดาบี ส่วน MINT ไม่มีเงินลงทุนในดูไบ การรับจ้างบริหารโรงแรมในดูไบนั้น โรงแรมดังกล่าวจะสร้างเสร็จในปี 2555

หุ้น Domestic Plays ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าวยังน่าสนใจ : แบงก์ (โดยเฉพาะทีมีประเด็น M&A) เกษตรและอาหาร ค้าปลีก โรงไฟฟ้าและน้ำประปา บันเทิง โรงพยาบาล
posttoday
**********
01/12/52
หุ้นดูไบดิ่งนักค้าเมินแผนปั๊มเงิน
นักลงทุนเมินแผนเสริมสภาพคล่องธนาคารกลาง ผลักหุ้นยูเออีดิ่งกว่า 3.4 แสนล้านบาท

วานนี้ ดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ ดูไบและอาบูดาบี ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ได้ดิ่งลงอย่างหนัก หลังเปิดตลาดซื้อขายวันแรกของสัปดาห์ โดยดัชนีหลักทรัพย์ในตลาดดูไบ ที่นำโดยหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ ได้ดิ่งลงไปแล้ว 7.19% หรือราว 150.54 จุด มาอยู่ที่ 1,942.62 จุด
ขณะที่ดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ในอาบูดาบีที่ดิ่งลงไป 8.9% มายืนอยู่ที่ 2,674.79 จุด ส่งผลให้มูลค่าโดยรวมของทั้งสองตลาดหุ้นใน ยูเออีหายไปแล้วถึงกว่า 1 หมื่น ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.4 แสนล้านบาท)

สำหรับเหตุผลหลักที่ทำให้ตลาดหลักทรัพย์สำคัญทั้งสองแห่งดิ่งลงครั้งนี้ เป็นผลมาจากนักลงทุนยังไม่เชื่อมั่นต่อแผนเสริมสภาพคล่องทางการเงินของธนาคารกลางยูเออี

ทั้งนี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางยูเออีได้แถลงเตรียมให้เงินช่วยเหลือฉุกเฉินกับธนาคารในประเทศและธนาคารต่างประเทศที่มีสาขาอยู่ในยูเออีแล้ว เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธนาคารหลังจากเกิดวิกฤตหนี้ดูไบ โดยคิดอัตราดอกเบี้ยเงินช่วยเหลือฉุกเฉินเพียง 0.5% เป็นเวลา 3 เดือน

ด้านสถานการณ์ในตลาดหุ้นของยูเออีอาจยิ่งเลวร้ายลงอีก เมื่อล่าสุด อับดุลเราะห์มาน อัล-ซาเลห์ ผู้อำนวยการด้านการคลังของดูไบ ประกาศปัดความรับผิดชอบในการแบกรับภาระหนี้สินของบริษัทในกลุ่มดูไบเวิลด์แล้ว พร้อมโยนความรับผิดชอบทั้งหมดกลับไปให้เจ้าหนี้ที่ตัดสินใจปล่อยกู้ให้กับบริษัท เหล่านั้น

“เจ้าหนี้จำเป็นต้องเข้ามามีส่วนรับผิดชอบกับการปล่อยกู้ให้กับบริษัท ดูไบเวิลด์” อัล-ซาเลห์ กล่าว และเสริมด้วยว่า การที่เจ้าหนี้คิดว่าดูไบเวิลด์เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล ดูไบนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

ด้านเอียน เฮย์ เดวิสัน อดีตประธานคณะกรรมการกิจการการเงินของดูไบ ยอมรับว่า ดูไบอาจต้องยอมทิ้งความฝันที่จะเป็นศูนย์กลางทางการเงิน เพื่อให้ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐอาบูดาบี ซึ่งมีการแข่งขันดังกล่าวอยู่เช่นเดียวกัน

สำหรับหนังสือพิมพ์อีโคโนมิก อินฟอร์เมชัน เดลีย์ ของจีน รายงานอ้างคำกล่าวของ จีเสี่ยวหนาน ประธานคณะกรรมาธิการกำกับดูแลและบริหารสินทรัพย์ของรัฐบาลจีน ระบุว่า วิกฤตหนี้ดูไบจะช่วยสร้างโอกาสให้จีนเข้าไปซื้อสินทรัพย์ประเภทน้ำมันและทองคำ เพื่อเป็นการกระจายการลงทุนในอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น
posttoday************
01/12/52
ความชัดเจนประกาศในอาทิตย์นี้

- ในอาทิตย์นี้เราคงจะทราบรายละเอียดที่ทางรัฐบาลกลาง UAE จะประกาศว่าจะเอาอย่างไรกับหนี้ที่เลื่อนชำระ แต่ในขณะนี้ทางรัฐบาลกลาง UAE ได้อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบธนาคารท้องถิ่น และธนาคารต่างชาติที่ตั้งอยู่ใน UAE เพื่อบรรเทาปัญหาสภาพคล่องตึงตัว และช่วยให้ระบบธนาคารมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะรองรับธุรกรรมทางการเงิน ปัญหาที่เกิดขึ้นได้สร้างความเสียหาย และลดความเชื่อมั่นของนักลงทุนอีกรอบหลังจากวิกฤตของ Lehman Brother ในสหรัฐปัญหาในครั้งนี้ถือว่ามีความรุนแรงแต่คงน้อยกว่ากรณีของ Lehman เนื่องจากมูลค่าความเสียหายของ Lehman สูงถึง 3 แสนล้านแต่กรณีของ Dubai World มูลหนี้อยู่ที่ 6 หมื่นล้านดอลลาร์ นอกจากนั้นสินทรัพย์ของ Dubai World อยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านดอลลาร์ แม้ราคาสินทรัพย์จะลดลงไปบ้างในช่วงเกิดวิกฤติ แต่ถือว่าจับต้องได้มากกว่ากรณีของ Lehman Brother อย่างไรก็ตามผลต่อเนื่องที่จะเกิดในช่วงปีหน้าคือ ความกังวลของนักลงทุนต่อความเสี่ยงของภาคอสังหาริมทรัพย์ในเอเชีย อย่างจีน จะเพิ่มขึ้นรวมทั้งปัญหาหนี้ของประเทศในตลาดเกิดใหม่ และการฟื้นตัวของประเทศในยุโรปที่หลายประเทศเป็นผู้ปล่อยกู้ในโครงการนี้สูงมาก
- สถานการณ์จะเป็นอย่างไรจะดีขึ้น หรือเลวร้ายลงไปอีกขึ้นอยู่กับการออกมาแถลงของธนคารกลาง UAE ในอาทิตย์นี้ อย่างไรก็ตามหากเรามาดูผลกระทบต่อกรณีดังกล่าว จะพบว่าดัชนีหุ้นทั่วโลกอย่าง MSCI World ปรับตัวลงประมาณ 2.4% (ดูจากรูปบนสุดซ้าย) ส่วนดัชนีหุ้นในยุโรปแม้จะปรับตัวลงในวันพฤหัสบดีแต่ในวันศุกร์กลับดีดตัวกลับได้ ส่วนดัชนี MSCI Asia Ex Japan ปรับตัวลงประมาณ 4.9% (ดูจากรูปบนสุดขวา) หากมาแยกแยะตลาดหุ้นเอเชียในแต่ละประเทศว่าตอบสนองในเชิงลบอย่างไร ก็ดูได้จากรูปกลางซ้ายจะพบว่าตลาดหุ้นไทยลงน้อยมากเหตุน่าจะมาจากความเกี่ยวโยงระหว่าง Dubai World กับเศรษฐกิจไทยมีต่ำมาก ๆ
- สำหรับบริษัทในเอเชียที่ถือว่าได้รับผลกระทบโดยตรงกับ Dubai World ส่วนใหญ่จะอยู่ในญี่ปุ่น เกาหลี และฮ่องกง เช่นธนาคาร HSBC/Standard Charter/KB Financial/Woori Finance ในฮ่องกง และเกาหลี บริษัทรับเหมาก่อสร้างในเกาหลี และญี่ปุ่นอย่าง Hyundai/Daewoo /Obayashi/ Kajima ดูได้จากรูปกลางขวา ส่วนในฝากยุโรป และสหรัฐที่หลายฝ่ายมีความกังวล คือผู้เสียหายที่แท้จริงเพราะว่าเป็นผู้ปล่อยกู้รวมทั้งซื้อพันธบัตรของรัฐบาลดูไบเราก็จะเห็นภาพได้ชัดว่า ธนาคารในอังกฤษน่าจะมีความเสี่ยงในโครงการ Dubai World มากที่สุดเพราะราคาหุ้นปรับตัวลงไปลึกอย่าง Lloyds Bank/Barclays/Standard Charter และ HSBC ส่วนธนาคารในฝั่งสหรัฐ ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาเท่าไร เนื่องจากระดับราคาหุ้นธนาคารใหญ่ ๆ ปรับตัวลงน้อยมากดูจากรูปล่างซ้าย และขวา
- โดยสรุปจากข้อมูลที่เป็นอยู่เรามองว่าปฎิกิริยาการตอบสนองของตลาดหุ้นต่อกรณีของ Dubai World เมื่อเทียบกับหลาย ๆ วิกฤติที่เกิดขึ้น ถือว่ายังน้อย และยังเป็นผลกระทบในช่วงสั้น ๆ ต่อตลาดหุ้น แต่ในระยะกลางถึงยาวแล้วปัญหาที่เกิดขึ้นได้สร้างความสังสัยให้กับนักลงทุนว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะคงยังมีความเสี่ยงในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะความเสี่ยงของภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีน ฮ่องกง และอินเดียหรือแม้แต่ในสหรัฐเอง นอกจากนั้นผลกระทบที่จะมีต่อตลาดหุ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้าคือ มีแนวโน้มที่เป็นไปได้สูงที่รัฐบาลในเอเชีย โดยเฉพาะจีน และฮ่องกงจะออกกฎคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อไปสูภาคอสังหาริมทรัพย์ หรือที่รุนแรงสุดคือ การปรับขึ้นดอกเบี้ยที่เร็วกว่าที่คาดไว้
- สำหรับในตลาดหุ้นไทยเรายังมองว่ากรณีของ Dubai World จะส่งผลต่อบริษัทจดทะเบียนน้อยมากการปรับตัวลงในวันศุกร์ เป็นเพียงผลทางจิตวิทยาการลงทุนในระยะสั้นเท่านั้น นอกจากนั้นดูเหมือนว่าตลาดหุ้นในเอเชียจะเริ่มดีดตัวกลับได้ในวันจันทร์ หลังจากพินิจวิเคราะห์แล้วว่าผลกระทบที่กำลังจะเกิดขึ้นยังอยู่ในการควบคุม และช่วยเหลือของ ธนาคารกลาง UAE และผลกระทบคงยังไม่ขยายวงออกไป ดังนั้นในอาทิตย์นี้ ดัชนี SET จะยังดีดตัวกลับได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเราคงจะรู้ความชัดเจนว่ารัฐบาลกลาง UAE จะเอาอย่างไร ? หากผลออกมาตลาดไม่ตอบสนอง การปรับตัวของดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกก็ไม่น่าจะรุนแรงแล้ว เนื่องจากก่อนหน้านี้ลงไปมากพอแล้ว แต่ภาพการลงทุนในระยะกลางจะไม่ค่อยดี แต่หากผลที่ออกมาตลาดตอบสนองในเชิงบวกดัชนีตลาดหุ้นก็จะวิ่งได้แรงพอ ๆ กับที่ลงไปก่อนหน้านี้

โดย บริษัทหลักทรัพย์ ซิกโก้ จำกัด (มหาชน) ประจำวันที่ 1 ธันวาคม 2552


***********
30/11/52
"นาคีล" บริษัทในเครือดูไบเวิลด์ ขอระงับการซื้อ-ขายพันธบัตรอิสลาม

Posted on Monday, November 30, 2009
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) แถลงว่า จะเฝ้าติดตามสถานการณ์การประกาศขอพักชำระหนี้ของดูไบเวิลด์ และนาคีล บริษัทในเครือดูไบเวิลด์ ซึ่งมีรัฐบาลดูไบ หนึ่งใน 7 รัฐของ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมมิเรตส์ (UAE) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยยอมรับว่าการขอพักชำระหนี้ของดูไบ ได้ส่งผลทางลบต่อตลาดเงิน และจะรอฟังการชี้แจงเพิ่มเติมจากทางการในดูไบเกี่ยว กับกลไกความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้

ความเห็นของ IMF มีขึ้นหลังจากธนาคารกลาง UAE ได้ประกาศตั้งกองทุนสนับสนุนเงินกู้ระยะสั้นเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธนาคารของ UAE และธนาคารต่างชาติที่เข้าไปดำเนินธุรกิจในประเทศ เพื่อบรรเทาปัญหาการเงิน

ล่าสุด บริษัท นาคีล ได้ขอให้ตลาด Nasdaq Dubai ระงับการซื้อขายพันธบัตรอิสลาม ทั้ง 3 ชุดที่จดทะเบียนอยู่ในตลาด จนกว่าบริษัทจะอยู่ในสถานะที่สามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนการปรับโครงสร้างแก่ตลาดได้ ทั้งนี้ นาคีล นับเป็นเจ้าของโครงการอสังหายักษ์ใหญ่หลายแห่ง รวมถึงเกาะรูปต้นปาล์มนอกชายฝั่งดูไบ และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจดูไบ ก่อนเกิดวิกฤตจนต้องขอเลื่อนชำระหนี้
money news update
*************
30/11/52
นายกฯ ห่วงปัญหาลดค่าเงินดองมากกว่าดูไบเลื่อนชำระหนี้

Posted on Monday, November 30, 2009
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มั่นใจ กรณีดูไบเวิลด์ขอหยุดพักชำระหนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยมากนัก หลังประเมินจากภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยรัฐมนตรีคลัง จะรวบรวมผลการประเมินและส่งรายงานให้ทราบ

แต่ยอมรับว่าเป็นห่วงปัญหาการลดค่าเงินดองของเวียดนามที่อาจส่งผลกระทบด้านการแข่งขันของสินค้าไทยในต่างประเทศ และผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรมากกว่า

ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง บอกว่า การที่รัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ ยูเออี จะยื่นมือเข้าไปร่วมแก้ไขปัญหากลุ่มดูไบเวิล์ดนั้น เป็นไปตามที่ได้คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะทำให้ปัญหาคลี่คลายลง เห็นได้จากตลาดหุ้นในเอเชียขานรับและปรับสูงขึ้นในวันนี้

สำหรับการลงทุนของไทยในดูไบ กระทรวงการคลังเข้าไปตรวจสอบ พบว่า ไม่มีธนาคารของไทยเข้าไปปล่อยกู้และการลงทุนระหว่างกัน ยังมีสัดส่วนน้อยมาก แต่เป็นอัตราส่วนที่ต่ำจนไม่กระทบภาพรวมเศรษฐกิจไทย เช่นเดียวกับการลดค่าเงินดองประเทศเวียดนาม ซึ่งรัฐบาลเวียดนามต้องการแก้ไขปัญหาภายในประเทศ แม้จะกระทบต่อการส่งออกบางกลุ่มบ้างแต่ถือว่าไม่มากนัก

นายกรณ์ บอกด้วยว่า กระทรวงการคลังจะรายงานในที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจวันที่ 2 ธันวาคมนี้ และยืนยันว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในภาวะที่ดีขึ้น โดยไตรมาส 4 จะพลิกกลับมาเป็นบวก และยังคงขยายตัวต่อเนื่องในปีหน้า
money news update***********
30/11/52
แบงก์ชาติประเมินดูไบทำไทยเสียหายแค่ 6 ล้านดอลลาร์

Posted on Monday, November 30, 2009
นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการด้านบริหาร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บอกว่า จากการประเมินเบื้องต้นกรณีดูไบเวิล์ด จะไม่ส่งผลกระทบถึงเศรษฐกิจไทย เนื่องจากเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศยังไหลเข้าไทยมากกว่าไหลออก ขณะที่มีธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนในดูไบบ้างเพียงเล็กน้อย เช่น ธุรกิจธนาคารและประกัน ซึ่งแบงก์ชาติ คาดว่าหากมีความเสียหายเกิดขึ้นก็ไม่น่าจะเกิน 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ส่วนผลกระทบทางอ้อมอาจจะมีบ้างในแง่ของค่า risk premium อาจจะสูงขึ้น ซึ่งเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของภาคธุรกิจไทย และอาจจะกระทบความเชื่อมั่นของตลาดโลก

นางอัจนา บอกด้วยว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับรัฐดูไบเป็นเรื่องที่ตลาดน่าจะแยกแยะได้ เพราะที่ผ่านมาได้มีคาดการณ์ถึงวิกฤติในดูไบอยู่แล้ว เพราะตลาดมองว่าเศรษฐกิจดูไบอาศัยการเติบโตจากแหล่งเงินกู้จากนอกประเทศเป็นหลัก แต่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกคงมีไม่มาก

ส่วนการลดค่าเงินดองของเวียดนาม มองว่า ไม่น่าจะมีผลกระทบกับไทยมากนัก เพราะสินค้าเกษตรส่วนใหญ่ทั่วโลกถูกกำหนดโดยราคาตลาดโลกที่อ้างอิงกับค่าเงินดอลลาร์ ส่วนภาคอุตสาหกรรมนั้น เวียดนามไม่ใช่ตลาดใหญ่ของไทย เพราะไทยส่งสินค้าไปขายน้อยมาก ขณะที่อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูงนั้น ไทยสู้ไม่ได้อยู่แล้วเพราะค่าแรงของเวียดนามต่ำมาก

นายสุชาติ สักการโกศล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย บอกเช่นเดียวกันว่า กรณีดูไบเวิล์ดขอพักการชำระหนี้จะไม่กระทบต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากไทยมีการลงทุนในตราสารทางการเงินในดูไบน้อยมาก ประมาณ 140 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่น่าห่วง และคนไทยที่ไปลงทุนในดูไบก็น้อยมาก นักลงทุนจึงสามารถแก้ไขปัญหาเองได้

ส่วนการลดค่าเงินดองของเวียดนาม ในระยะสั้นไม่มีผลกระทบต่อการส่งออกของไทย เนื่องจากไทยและเวียดนามมีการส่งออกสินค้าแข่งขันกันเฉพาะกลุ่มและมีคุณภาพที่แตกต่างกัน แต่ผลกระทบระยะยาวเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการไทยต้องระมัดระวัง

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีสถาบันการเงินใด รวมทั้งธนาคารกสิกรไทย ได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤตการเงินของดูไบ เนื่องจากสถาบันการเงินของไทยไม่มีการปล่อยกู้โดยตรงกับบริษัทดูไบ เวิลด์ และเชื่อมั่นว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก แต่ก็ต้องจับตาดูสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดว่า จะมีใครเกี่ยวข้องในลำดับต่อไป และต้องขึ้นอยู่กับการจัดการกับปัญหาหนี้ดังกล่าวด้วย แต่เชื่อว่าประเทศในสหรัฐอาหรับอามิเรต์ คงช่วยเหลือกันได้เพราะมีสินทรัพย์รวมสูงถึง 2.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่หนี้ของดูไบมีเพียง 60,000 ล้านดอลลาร์เท่านั้น

นายประสาร ยืนยันด้วยว่า จะไม่กระทบต่อภาคการส่งออกของไทย เพราะปัจจุบันมูลค่าการส่งออกสินค้าไปดูไบมีเพียง ไม่ถึง 2 %จากการส่งออกทั้งหมด

นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารทหารไทย ก็เชื่อว่า กรณีดูไบเวิลด์ ขอพักการชำระหนี้ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากนัก เนื่องจากมีผลกระทบอยู่ในวงจำกัด ซึ่งธนาคารเองไม่ได้มีความเสี่ยงในเรื่องนี้เพราะไม่มีการทำธุรกรรมใดๆ เลย แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าในส่วนของไอเอ็นจีกรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคาร ได้เข้าไปปล่อยสินเชื่อหรือลงทุนในดูไบเวิลด์หรือไม่ ส่วนลูกค้าของธนาคารที่เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างที่ดูไบก็ดำเนินธุรกิจในวงจำกัด
money news update************
30/11/52
ธปท.ชี้เหตุดูไบฯมีผลแค่ความเชื่อมั่น-ตลาดหุ้นหด
Monday, 30 November 2009 13:59

นางอัจนา ไวความดี หนึ่งในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่ดูไบ เวิลด์ฯ เลื่อนการชำระหนี้ว่า ขณะนี้ยังไม่มีใครทราบความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แต่เชื่อว่าประเทศไทยได้รับความเสียหายจากกรณีดังกล่าวไม่มาก เนื่องจากนักลงทุนไทยไม่ได้ไปลงทุนในส่วนนั้นมากนัก ซึ่งอาจมีเพียงบริษัทประกันหรือสถาบันการเงินบางแห่งที่ไปลงทุน แต่ถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก ประมาณ 6 -10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับปริมาณเงินมหาศาลที่ลงในดูไบ เวิลด์ฯ จึงถือว่าน้อยมาก ดังนั้นจึงไม่ส่งผลกระทบโดยตรง แต่ตรงกันข้ามพบว่ามีเม็ดเงินสุทธิไหลเข้ามามากกว่าที่ออกไปลงทุน

นางอัจนา กล่าวอีกว่า ความเสียหายที่ได้รับอาจเป็นเพียงผลกระทบทางอ้อมในเรื่องของตลาดหุ้น ตลาดเงินทั่วโลกที่อาจเกิดวิกฤตได้ พร้อมทั้งอาจสร้างความกังวลในเรื่องความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น แต่ปัจจุบันนี้ยังไม่พบปัญหาดังกล่าว

'ดูไบโตได้ด้วยเม็ดเงินคนอื่น จึงเป็นจุดเปราะบาง ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีถึงการเติบโตโดยวิธีการใช้เงินคนอื่น เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามคาดทำให้มีปัญหาในการคืนหนี้ แต่คงไม่มีผลต่อเศรษฐกิจโลก แต่หากเป็นประเทศที่มีหน้าตา รูปแบบเศรษฐกิจคล้ายดูไบก็เป็นไปได้ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น แต่คงไม่มีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกภาพใหญ่ ดูไบพยายามทำให้ตัวเองโดดเด่นในโลก แต่จะเห็นว่าปีที่
แล้วมีนักลงทุนหลายแห่งที่เลิกออกมา ดูไบเป็นผู้กู้มากกว่าและไม่ได้เป็นผู้ผลิตน้ำมันสำคัญ ไม่มีถึง 10% ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ด้วย' นางอัจนา กล่าว
stock wave
*************
30/11/52
รัฐอาบูดาบีตัดสินใจช่วยดูไบชำระหนี้ แต่จะเลือกเป็นรายกรณี ไม่รับทั้งหมด

Posted on Monday, November 30, 2009
อาบูดาบียื่นมือช่วยการชำระหนี้ของดูไบ

เจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐอาบูดาบี 1 ในรัฐของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เปิดเผยว่า จะให้ความช่วยเหลือรัฐดูไบซึ่งกำลังมีปัญหาหนี้สิน โดยจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือเป็นรายกรณี และจะไม่เข้าไปค้ำประกันหนี้สินทั้งหมด

ทรัพย์สินบางอย่างของรัฐดูไบมีทั้งเป็นของเอกชนและกึ่งทางการ รัฐอาบูดาบีจะเป็นผู้เลือกว่าจะให้ความช่วยเหลือเมื่อไรและแห่งใดบ้าง

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลดูไบ ออกแถลงการณ์ชี้แจงถึงการขอเลื่อนนัดชำระหนี้ของบริษัทดูไบ เวิลด์ จากกำหนดการเดิมถึง 6 เดือนว่า บริษัทได้ตัดสินใจอย่างรอบคอบและคำนึงถึงปฏิกิริยาตอบสนองจากตลาดเงินไว้แล้ว

ชีค อาหมัด บิน ซาเอ็ด อัล-มัคทูม ประธานคณะกรรมาธิการการคลังแห่งดูไบกล่าวว่า ตนทราบดีว่าการขอผ่อนผันชำระหนี้มูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์นั้นจะส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างไรบ้าง ยอมรับว่า การตัดสินใจครั้งนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่รัฐบาลคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ดูไบ เวิลด์จะได้รับในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจของดูไบและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในอนาคต

สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งประโคมข่าวว่า บริษัทดูไบ เวิลด์ ของรัฐบาลดูไบได้ขอเลื่อนกำหนดชำระหนี้สินราว 6 หมื่นล้านดอลลาร์ออกไปอีก 6 เดือน ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้สร้างความตื่นตระหนกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก และส่งผลต่อชื่อเสียงของดูไบในฐานะที่เป็นแหล่งดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลดูไบเชื่อว่า ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจต่างๆ จะยังทำให้ดูไบเป็นตลาดที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนในภูมิภาคนี้ต่อไป


นักลงทุนขายหุ้นแบงก์-โภคภัณฑ์ กังวลดูไบเลื่อนจ่ายหนี้

ผลกระทบจากปัญหาการเงินของดูไบก็ฉุดหุ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ จากการเก็งกันว่ามหาเศรษฐีของตะวันออกกลางรายนี้ อาจผิดนัดและไม่จ่ายหนี้ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าการฟื้นตัวของระบบการเงินโลกจะหยุดนิ่งในที่สุด

ขณะที่ฝุ่นยังตลบจากการที่นักลงทุนเทขายหุ้นท่ามกลางสภาวะสุญญากาศ ก็ไม่ได้มีการเปิดเผยตัวเลขความเสียหายที่เกิดขึ้นจากในกรณีนี้ออกมาให้เห็น แม้ธนาคารกลางของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะประกาศช่วยสนับสนุนทางด้านสภาพคล่องแล้ว และอีกส่วนหนึ่งก็รอคอยว่า จะมีความคืบหน้าอะไรอีกบ้างในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ดี อย่างน้อยก็มีทางด้านนักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ อย่าง UBS ที่ออกมาประเมินว่า ดูไบอาจจะมีหนี้อยู่อย่างน้อยๆ 80,000 – 90,000 ล้านเหรียญ เมื่อดูจากการที่ประเทศ emirate นี้ ได้กู้เงินจำนวน 80,000 ล้านเหรียญไปใช้ในแผนก่อสร้างเพื่อหวังพลิกโฉมให้ประเทศกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในภูมิภาค รวมถึงการเป็นศูนย์กลางทางการเงิน จนเศรษฐกิจบูมสุดๆ ตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ก่อนที่จะมาถูกวิกฤติการเงินโลกเล่นงานและทำให้สถานการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์กลับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ

ผลจากข่าวดูไบก็ทำให้นักลงทุนต่างเทขายหุ้นกันออกมา โดยเฉพาะในกลุ่มธนาคาร ที่หุ้นใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ ปรับตัวลงกันถ้วนหน้า นำโดย Morgan Stanley ที่หุ้นร่วงลง 5% ขณะ Bank of America ปรับตัวลงไปเกือบ 4% ส่วน Goldman Sachs ลดลงไป 3.4%

และนอกจากตลาดหุ้นแล้ว แรงขายยังมีเข้ามาที่สินค้าโภคภัณฑ์ด้วย เริ่มจาก น้ำมันที่ราคาลดลงไปเคลื่อนไหวอยู่แถว 76 เหรียญที่ตลาดนิวยอร์ก ขณะราคาโลหะอื่น อย่างเช่น ทองแดง ราคาปรับลดลงเช่นกัน รวมถึง ผู้ผลิตอลูมินั่มรายใหญ่สุดของสหรัฐฯ บริษัท Alcoa ที่ราคาหุ้นร่วงลงมากกว่า 3%

อย่างไรก็ดี ถ้าไปดูที่ตลาดเงิน แม้นักลงทุนบางส่วนจะขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและหันกลับมาเข้าสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยดีกว่า แต่เงินดอลลาร์กลับยังเคลื่อนไหวอยู่ที่แถวระดับต่ำสุดในรอบ 14 ปี ซึ่งเหตุผลหลักๆ ก็เป็นเพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ แสดงท่าทีว่า ยังรับได้กับการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ทำให้มีเม็ดเงินส่วนหนึ่งออกไปแสวงหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า
money wake up
**********
30/11/52
กูรูชี้ดูไบเวิล์ดฯพักชำระหนี้ทำดัชนีฯร่วงส่งท้ายปี 5%
Friday, 27 November 2009 16:27
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.บัวหลวง กล่าวว่า จากกรณีที่ Dubai World อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ และขอเลื่อนชำระหนี้ ไปเดือนพ.ค.ปีหน้า จากเดิมจะครบดีลในช่วงปลายปีจำนวน 8 หมื่นล้านเหรียญฯ ประเมินว่าในช่วง 1-2 เดือนมีโอกาสที่จะกระทบดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯให้มีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลงประมาณ 5% ซึ่งมาจากนักลงทุนมีความกังวลในเรื่องดังกล่าว

ทั้งนี้หากพิจารณาจากบริษัทจดทะเบียนของไทยที่มีความเกี่ยวข้องกับการลงทุนในดูไบ คือ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) ที่ได้ไปร่วมลงทุนก่อนหน้านี้แต่ปัจจุบันได้มีการถอนการลงทุนและถอนหุ้นจากการร่วมทุนก่อนที่จะเกิดปัญหาดังกล่าวจึงไม่น่าส่งผลต่อ BH นอกจากนี้ยังมีบมจ.อิตาเลี่ยนไทย ดีเวล๊อปเมนท์ (ITD) ที่มีการรับงานในประเทศดูไบ แต่บริษัทไม่มีการเปิดเผยตัวเลขงานที่ชัดเจน แต่ปัจจุบันงานที่ทำอยู่ประเทศดูไบไม่ได้มีการรับงานแล้ว แต่หากพิจารณาถึงผลเสีย โดยปกติบริษัทฯจะมียอดหนี้ที่ค้างชำระระยะเวลาประมาณ 1 เดือน จึงประเมินว่าจากผลกระทบดังกล่าวจะไม่มีผลต่อบริษัทฯมากนัก ขณะที่จากการตรวจสอบธนาคารพาณิชย์ของไทยไม่ได้มีการถือหุ้นกู้ดังกล่าว

อย่างไรก็ดีหากพิจารณาถึงสถาบันการเงินต่างประเทศที่ได้เข้าไปลงทุนใน Dubai World พบว่า ประกอบไปด้วย Royal Bank of Scotch (RBS) ซึ่งมีจำนวนไม่มากหรือประมาณ 1% ของสินเชื่อ, Barkay, Credit Switch Boston, ธนาคาร HSBC แต่ยังมีความกังวลว่าธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดที่ปฏิเสธที่จะเปิดเผยตัวเลขการลงทุนอาจมีการลงทุนในสัดส่วนสูง

ทั้งนี้หากพิจารณาถึงปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น หากไม่มีเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นเกิดสงครามระหว่างประเทศประเมินว่าจะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจ ขณะที่บริษัทที่ประกอบธุรกิจในกัมพูชา คือ SAMART ที่มีรายได้จากประเทศกัมพูชาอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท และ SCC ที่ดำเนินธุรกิจผลิตปูนซิเมนต์อยู่ที่ 1,000,000 ตัน หรือคิดเป็น 5% ของกำลังการผลิตรวม จึงเชื่อว่าจะกระทบต่อภาคธุรกิจไม่มากนัก

ทั้งนี้หากพิจารณาจาก 2 ปัญหาดังกล่าว ฝ่ายวิเคราะห์ยังไม่ได้มีการปรับดัชนีฯในปี 2553 ที่ประเมินว่าจะอยู่ที่ 870 จุด ทั้งนี้หากจะมีการปรับเป้าดัชนีฯที่ระดับดังกล่าวจะมีการพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันรวมทั้งสถานการณ์ของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีสัดส่วนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ 40%

ขณะที่อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำเพื่อต้องการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ โดยประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยของประเทศไทยมีโอกาสที่จะปรับขึ้นจากระดับปัจจุบันอีก 0.5% เนื่องจากยังมีความกังวลจากความเสี่ยงด้านการเมือง อีกทั้งยังพิจารณาจากแนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อที่มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางเดียวกับราคาน้ำมัน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยของเฟดมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 0.25-0.50%
stock wave***********
28/11/52
"ดูไบ"วิกฤต "ฮานอย"สาหัส สะท้อนภาพ "ศก.โลก"ยังง่อนแง่น
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเกิดภาวการณ์แตกตื่นขึ้นในแวดวงเศรษฐกิจทั่วโลก ถล่มตลาดหุ้นระนาวตั้งแต่ยุโรปเรื่อยมาจนถึงเอเชีย สาหัสขนาดดัชนีของแต่ละประเทศดำดิ่งลงถึงระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือนก็มี เหตุการณ์เขย่าขวัญที่ว่านั้นมีตั้งแต่เรื่องใหญ่คับโลกอย่างการประกาศขอเจรจาพักชำระหนี้ของดูไบ หนึ่งใน 7 รัฐอิสระ หรือเอมิเรตส์ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ส่วนอีกหนึ่งนั้นเป็นภาวะเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอุษาคเนย์อย่างเวียดนาม ที่กำลังดิ้นรนอย่างหนักเพื่อเอาชนะภัยคุกคามที่กำลังกดดันเศรษฐกิจของทั้งประเทศอยู่ในเวลานี้

ทั้ง 2 กรณีน่าสนใจไม่น้อย ไม่เพียงเพราะลักษณะของการเกิดวิกฤตคล้ายคลึงอย่างยิ่งกับวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อกว่า 10 ปีที่ผ่านมา แต่ยังเป็นเพราะทั้งสองกรณีอาจมีผลผูกพันอย่างยิ่งต่ออนาคตของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในเมืองไทย ต่อไปนี้คือความพยายามทำความเข้าใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและการประเมินผลสะเทือนที่จะเกิดติดตามมา

ทำความรู้จักดูไบ

ดูไบ เป็นหนึ่งใน 7 รัฐที่ประกอบกันขึ้นเป็นยูเออี ประเทศที่มีน้ำมันดิบสำรองอยู่มากเป็นอันดับ 8 ของโลก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ทุกรัฐในยูเออีจะมีทรัพยากรธรรมชาติที่ทรงคุณค่าอย่างน้ำมันอยู่ ดูไบ เป็นหนึ่งในรัฐที่ไม่มีน้ำมันอยู่ นั่นทำให้ ชีค โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล-มัคทูม ผู้ปกครองแห่งดูไบ จำเป็นต้องคิดอะไรที่แตกต่างออกไปเพื่อพัฒนาและยกระดับประเทศตน

เป้าหมายของดูไบก็คือ การกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการเงินแห่งตะวันออกกลาง หรืออย่างน้อยที่สุดในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซียในระนาบเดียวกันกับ สิงคโปร์และฮ่องกง

ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือกันว่า ดูไบ "บูม" ถึงขีดสุด ชนิดเกินหน้าเกินตา เอมิเรตส์อื่นๆ แม้กระทั่ง อาบู ดาบี เอมิเรตส์ที่ถือกันว่าเป็น "รัฐบาลกลาง" ของยูเออี การท่องเที่ยวคึกคัก การบริโภคครึกครื้น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ การลงทุนหลั่งไหลเข้ามาจากต่างประเทศ ด้วยหวังว่าจะได้เป็นส่วนหนึ่งใน "ความมั่งคั่งใหม่" ที่ผุดพรายขึ้นในตะวันออกกลาง ผลลัพธ์ประการหนึ่งของการที่เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเบ่งบานในดูไบ ก็คือการแย่งกันเกิดของโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ อะไรที่พิเศษพิสดารสามารถเกิดขึ้นได้ในนครรัฐมหัศจรรย์แห่งนี้ ตั้งแต่ตึกสูง 800 เมตร จำนวน 160 ชั้น เรื่อยไปจนถึง การจัดสรรที่ดินในรูป "เกาะ" ที่ถมและสร้างขึ้นเป็นรูปแผนที่โลกและรูปต้นปาล์ม ดึงดูดทั้งลูกค้าระดับอภิมหาเศรษฐีและเซเลบริตี้จากทั่วโลก รวมทั้งดาราดังอย่าง แบรด พิตต์ หรือเอกบุรุษในแวดวงกีฬาฟุตบอลอย่าง เดวิด แบ๊คแฮม

การลงทุนส่วนใหญ่ในดูไบ เป็นการลงทุนจากกองทุนของรัฐบาลที่เรียกกันว่า กองทุนเพื่อความมั่งคั่งแห่งรัฐ (ในทำนองเดียวกับเทมาเสก ของสิงคโปร์) ซึ่งจัดตั้งในชื่อ "ดูไบเวิลด์" ดูไบเวิลด์ เป็นผู้บริหารกิจการหลายอย่าง อาทิ ดูไบ พอร์ต เวิลด์ ผู้บริหารท่าเรือน้ำลึกที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ นาคีล ดีเวลลอปเมนต์ บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของกิจการ ปาล์ม ไอส์แลนด์ และอื่นๆ ที่ส่วนหนึ่งยังคาราคาซัง ครึ่งๆ กลางๆ อยู่ในเวลานี้
โครงการยักษ์ "ปาล์ม ไอส์แสนด์" หนึ่งในโครงการที่ยังคาราคาซังของ นาคีล ดีเวลล็อปเมนต์ ที่เป็นที่มาของหนี้ก้อนมหึมาของดูไบ จนต้องประกาศพักหนี้อยู่ในเวลานี้

เงินลงทุนทั้งหมดไม่ใช่การใช้เงินสดจากกองทุนเข้ามาทำลงทุน หากแต่เป็นการอาศัยศักยภาพของกองทุนมากู้เงิน ทั้งในรูปของการกู้จริงๆ และในรูปของการกู้โดยการออกพันธบัตร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การกู้ทั้งสองรูปแบบค้ำประกันโดยรัฐบาลดูไบทั้งสิ้น

เกิดอะไรขึ้นที่ดูไบ

เบ็ดเสร็จแล้ว ผู้ปกครองแห่งดูไบ กู้เงินจากแหล่งเงินหลากหลายมากกว่า 70 แหล่ง มาเพื่อใช้ในการดำเนินการและพัฒนาโครงการต่างๆ ของประเทศ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา นาคีล ดีเวลลอปเมนต์ ระบุเอาไว้ว่า ดูไบ เวิลด์ มีหนี้สินทั้งสิ้น 59,300 ล้านดอลลาร์ ณ สิ้นปี 2008 และมีทรัพย์สินคิดเป็นมูลค่า 99,600 ล้านดอลลาร์ ณ เวลาเดียวกัน

มีผู้ประเมินหยาบๆ เอาไว้ว่า โดยรวมแล้ว หนี้สินทั้งที่เป็นของภาครัฐและเอกชนในดูไบทั้งหมดรวมแล้วมีประมาณ 80,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งไม่ยากที่จะทำให้นครรัฐดูไบ กลายเป็นประเทศที่ประชากรมีหนี้สินต่อหัวสูงที่สุดในโลก

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อาจไม่เกิดอะไรขึ้นกับพัฒนาการของดูไบ หากไม่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินที่เรียกกันในเวลานี้ว่า แฮมเบอร์เกอร์ ไครซิส ขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ลักษณะพิเศษที่เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของวิกฤตหนนี้ก็คือ ภาวะตกต่ำของราคาอสังหาริมทรัพย์ และผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นตามมาจนลุกลามกลายเป็นวิกฤตไปทั่วโลก คือ ภาวะวิกฤตสินเชื่อ ทั้งสองอย่างกระทบเข้าตรงใจกลางสิ่งที่ดูไบเป็นอยู่พอดิบพอดี แหล่งเงินกู้ของดูไบ หายากเย็นมากขึ้นในขณะที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ของตนลดลงมากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ แถมยังขายไม่ได้อีกต่างหาก

สิ่งที่ผู้ปกครองแห่งดูไบประกาศ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมานั้น อุปมาอุปไมยได้กับการที่ นาย ก. กู้เงินจากธนาคารมาสร้างบ้าน แล้วจู่ๆ ก็พบว่า เงินสดที่มาจากรายได้ของตนขาดมือไม่เพียงพอต่อการชำระค่างวดที่กำลังจะมาถึง จึงประกาศบอกกับธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ทั้งหลาย ขอให้เลิกเก็บค่างวดไปอีก 6 เดือน

ความแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวงก็คือ ดูไบ ไม่ใช่ นาย ก. แต่เป็นประเทศๆ หนึ่ง ซึ่งอย่างน้อยที่สุด หากเงินสดจะขาดมือจริงต้องมีเค้าลางบอกล่วงหน้า ที่จะทำให้เจ้าหนี้ทั้งหลายเลิกปล่อยกู้ นักลงทุนเลิกลงทุนซื้อพันธบัตร ข้อเท็จจริงก็คือ บรรดานักลงทุนจากต่างชาติประเมินดูไบผิดมาตลอดระยะเวลา 4 ปี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอกย้ำชัดเจนว่า สิ่งที่บรรดานักลงทุนทั้งหลายคิดว่าดูไบ เวิลด์ จะได้รับการหนุนหลังจากรัฐบาลดูไบ และรัฐบาลดูไบจะได้รับการหนุนหลังจากรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิง
ความน่าเชื่อถือและศักยภาพของโครงการต่างๆ ของดูไบ หายวับไปกับตาก็เพราะเหตุนี้

ผลสะเทือนจากวิกฤตดูไบ

จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีอะไรชัดเจนจากวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น นครรัฐดูไบ เพียงร้องขอให้เจ้าหนี้มาเจรจากับตนเพื่อยืดเวลาชำระหนี้ออกไปอีกอย่างน้อยจนถึงกลางเดือนพฤษภาคมปีหน้า แต่ข้อเท็จจริงที่ว่า รัฐบาลอาบูดาบี ไม่ได้หนุนหลังดูไบอย่างเต็มที่ ทำให้ทุกคนตื่นตระหนก ดูไบมีหนี้สินอยู่เท่าใดกันแน่? ต้องการยืดชำระหนี้ก้อนไหน เป็นจำนวนเท่าใด? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นตามมาอีก? เหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ และยิ่งก่อให้เกิดความตระหนกแผ่ไปทั่ว

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจอีกประการก็คือ ดูไบเวิลด์ เพิ่งออกพันธบัตรและธนาคารกลางอาบูดาบี เพิ่งกวาดซื้อไปทั้งหมด 10,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าที่จะมีการประกาศขอพักชำระหนี้ ดูไบเวิลด์ เพิ่งได้เงินกู้จากธนาคาร 2 แห่ง ในอาบูดาบีมา รวมเป็นเงิน 5,000 ล้านดอลลาร์ แต่ก็ยังจำเป็นต้องประกาศของพักหนี้ ทำให้นักลงทุนยิ่งขมวดคิ้วนิ่วหน้ามากขึ้นไปอีก

บุคคลทั่วไปไม่มีทางที่จะรู้ได้ว่า ดูไบเวิลด์ เป็นหนี้ใครอยู่เป็นจำนวนเท่าใดกันแน่ เว้นเสียแต่ว่า เจ้าหนี้หรือลูกหนี้จะประกาศข้อเท็จจริงออกมา จนกว่าจะถึงเวลานั้น วิกฤตดูไบอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องออกไปไม่หยุดยั้ง ยิ่งข่าวสะพัดออกไปว่าหนี้จำนวนหนึ่งถูกแปลงไปอยู่ในรูปของ เครดิต ดีฟอลท์ สว็อป หรือซีดีเอส ความแตกตื่นยิ่งลุกลามไปกันใหญ่

ข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่ทำให้กรณีนี้เป็นเรื่องใหญ่ระดับโลกก็คือ แม้ว่าในที่สุดแล้ว รัฐบาลกลางของยูเออีก็คงต้องเข้ามาอุ้มโครงการต่างๆ เอาไว้ แต่ก็ต้องเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่เป็นที่ยอมรับกันได้ ซึ่งหมายถึงความเจ็บปวดสำหรับเจ้าหนี้ของดูไบในเวลานี้ และจำนวนหนี้สินที่แท้จริงของดูไบนั้นจำเป็นต้องบวกเม็ดเงินที่ต้องทุ่มลงไปเพื่อให้โครงการต่างๆ ที่ยังคาราคาซังแล้วเสร็จ พร้อมออกจำหน่ายเข้าไปด้วยอีกส่วนหนึ่ง

ภายใต้ข้อสันนิษฐานดังกล่าว วิกฤตดูไบน่าจะส่งผลสะเทือนสูงเฉพาะในส่วนของผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง คือเจ้าหนี้และลูกหนี้ ซึ่งคาดกันว่าส่วนใหญ่จะเป็นในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซียเท่านั้น

เกิดอะไรขึ้นที่เวียดนาม

ความยุ่งยากของเวียดนาม แตกต่างกันออกไป แรงกดดันที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของเวียดนามเกิดขึ้นจากภายในเองส่วนหนึ่งและจากภายนอกประเทศอีกส่วนหนึ่ง กดดันจนทำให้ธนาคารกลางของเวียดนามประกาศลดค่าเงินด่องของตนเองลงเป็นครั้งแรกในรอบปี ในขณะเดียวกันก็ถือว่าเป็นประเทศแรกในอุษาคเนย์ที่ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย จนทำให้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงขึ้นไปอยู่ที่ 8 เปอร์เซ็นต์แล้ว

ธนาคารกลางของเวียดนามรู้ดีว่า การลดค่าเงินลง ราว 5 เปอร์เซ็นต์นั้น จะส่งผลให้เกิดการปรับค่าเงินด่องในตลาดจริงๆ ราว 10-12 เปอร์เซ็นต์ และจะก่อให้เกิดแรงกดดัน หรือไม่ก็เกิดการเก็งกำไรจากการเดิมพันว่า จะมีการลดค่าเงินลงไปอีกอย่างต่อเนื่อง แต่ก็จำเป็นต้องทำ

เหตุผลประการหนึ่งนั้น เป็นเพราะทางการเวียดนามต้องการแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นอย่างฮวบฮาบจนถึงระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน ที่ 4.35 เปอร์เซ็นต์ ในเดือนพฤศจิกายน ในขณะเดียวกันกับที่ระดับสินเชื่อก็ขยายตัวมากถึง 34.5 เปอร์เซ็นต์ ใน 10 เดือนแรกของปีนี้ เกินกว่าเป้าทั้งปีที่ทางการตั้งเอาไว้ที่ 30 เปอร์เซ็นต์แล้ว ในเวลาเดียวกันนั่นเอง ภาวะขาดดุลการค้าและขาดดุลบัญชีเดินสะพัดก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าวิตก

ดุลการค้าของเวียดนามขาดดุลเพิ่มขึ้นเป็น 1,750 ล้านดอลลาร์ ในเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้นจาก 1,600 ล้านดอลลาร์ เมื่อตุลาคมที่ผ่านมา การส่งออกนับตั้งแต่เดือนมกราคมเรื่อยมาจนถึงเดือนพฤศจิกายน ลดลง 11.4 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะเดียวกัน เงินทุนไหลออกก็มากกว่าเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้าประเทศ ทำให้เกิดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มมากขึ้นในครึ่งแรกของปีนี้เป็น 5,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ทั้งปีของปี 2008 ที่ผ่านมา ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลเพียง 1,600 ล้านดอลลาร์เท่านั้น

ประเด็นที่เป็นปัญหาก็คือ การดำเนินการของทางการเวียดนามในเวลานี้ ทำให้เกิดความสับสนและไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมาในอนาคตขึ้น เพราะการลดค่าเงินและการขึ้นดอกเบี้ยดูเหมือนจะขัดกันอยู่ในตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหลายคนปักใจเชื่อตั้งแต่ตอนนี้แล้วว่า การลดค่าด่องครั้งนี้ไม่น่าจะเป็นครั้งสุดท้าย

ข้อเท็จจริงของทั้ง 2 กรณี แสดงให้เห็นภาพที่ชัดเจนประการหนึ่งว่า ในขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว สร่างไข้อยู่ในเวลานี้นั้น ทุกอย่างยังเปราะบาง และอ่อนแออย่างยิ่ง ภาวะวิกฤตสินเชื่ออาจเล่นงานใครก็ได้ เมื่อใดก็ได้ทุกเมื่อ เช่นเดียวกันกับปัญหาเรื่องการส่งออกและการไหลเข้า-ออกของเงินทุนจากต่างประเทศ

และน่าจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกนานไม่น้อย จนกว่าเหตุปัจจัยพื้นฐานในระบบเศรษฐกิจโลกจะได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องอย่างจริงจัง
matichon**************
28/11/52
สั่งครม.ศก.ประเมินวิกฤติดูไบ-เวียดนาม
นายกรัฐมนตรี เตรียมให้ที่ประชุมครม. เศรษฐกิจ ประเมินวิกฤติดูไบ-เวียดนามลดค่าเงิน จับตาสินค้าแข่งขัน

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงปัญหาทางเศรษฐกิจของกลุ่มธุรกิจ ดูไบ เวิลด์และวิกฤติเศรษฐกิจในเวียดนามว่า เราประเมินในส่วนของดูไบ เวิลด์และการลดค่าเงินของเวียดนาม เพราะต้องจับตาใน 2 ประเด็นคือ 1.ปัญหาของดูไบว่า จะกระทบกับที่อื่นหรือไม่ เพราะมีผลกระทบกับตลาด จึงต้องประเมินว่าจะสามารถจำกัดวงความเสียหายมากแค่ไหน และ 2.กรณีเวียดนามจะส่งผลต่อการแข่งกันของสินค้าบางตัวของไทย แต่ถ้าไม่มีการขยายตัวออกไป ก็คงจะมีผลกระทบไม่มาก ตนได้สั่งการให้รายงานเรื่องนี้เข้าการประชุม ครม.เศรษฐกิจด้วย

ส่วนในดูไบมีคนไทยเข้าไปทำธุรกิจแล้วมีปัญหาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จะให้รายงานทั้งผลกระทบโดยตรงกับคนไทยและผลกระทบกับภาพรวมเศรษฐกิจเข้ามาในการประชุม ครม.เศรษฐกิจวันที่ 2 ธ.ค. ซึ่งยังไม่น่าจะช้าเกินไป

นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้การส่งออกเรายังจะไม่มีการปรับอะไรสำหรับวิกฤติที่เกิดขึ้น เพราะในช่วง 2-3 เดือนหลังการส่งออกของไทยยังปรับตัวไปในทิศทางที่ดี แต่ก็ต้องจับตาดูเป็นพิเศษในสินค้าที่เราแข่งขันกับเวียดนาม เพราะเวียดนามจะได้เปรียบเรื่องราคามากขึ้น
posttoday
**************
28/11/52
วิกฤติดูไบไม่กระทบศก.ระยะสั้น
ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ เชื่อดูไบพักชำระหนี้ไม่กระทบเศรษฐกิจระยะสั้น

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงกรณีที่รัฐบาลเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ ยูเออี ประกาศพักชำระหนี้ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ว่า เชื่อว่าภายในสัปดาห์หน้าจะมีความชัดเจนถึงสาเหตุการประกาศดังกล่าว และทั่วโลกจะต้องจับตามอง เพราะไม่ใช่เรื่องปกติที่รัฐบาลประเทศใดจะประกาศพักชำระหนี้อย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ตาม เห็นว่าการประกาศของรัฐบาลดูไบจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่หากมีการยืดเยื้อ มีการพักชำระหนี้ต่อไป อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะยาว เนื่องจากหลายประเทศจะต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน จึงทำให้การฟื้นตัวไม่ต่อเนื่องเท่าที่ควร โดยประเทศไทย จากโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งจะมีการอนุมัติงบประมาณลงสู่ระบบกว่า 300,000 ล้านบาท ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2553 จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยยังคงเดินหน้าต่อไปได้ และขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 2.5
posttoday**********
28/11/52
หวั่นพิษดูไบดับฝันศก.โลกฟื้น "กรุงศรีฯ-ใบโพธิ์-รับเหมาไทย"โดนหางเลข!

หวั่นพิษดูไบเวิลด์ฉุดเศรษฐกิจโลกระส่ำ ตลาดการเงิน-ตลาดหุ้นโดนก่อนเต็มๆ รมว.คลัง-นายแบงก์ชี้ผลกระทบอาจมาไม่ถึง เผยแบงก์-ธุรกิจไทยโดนหางเลขด้วย แบงก์กรุงศรีฯ ไทยพาณิชย์แจ็กพ็อต อิตาเลี่ยนไทย-เนาวรัตน์ฯเซ็งดูไบยังค้างจ่ายหนี้อีก800ล้าน กลุ่มธุรกิจผู้รับเหมาขยาดเบรกแผนลุยตะวันออกกลาง กรณ์มองแง่บวกยังไม่กระทบถึงเอเชียและไทยโดยตรง

ทันทีที่กลุ่มดูไบ เวิลด์ กลไกการลงทุนเสาหลักของรัฐดูไบ ประกาศขอเลื่อนการชำระหนี้ออกไปจนถึงเดือนพฤษภาคมปีหน้า ก่อผลกระทบตามมาระลอกใหญ่ ทั้งการประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินของกลุ่มทุนภาครัฐ และเอกชนในดูไบ แรงสั่นสะเทือนต่อตลาดการเงินโลกที่เกิดขึ้นทันที สะท้อนผ่านการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นในหลายๆ ประเทศ อันมีผลให้นักวิเคราะห์ทั่วโลกกำลังจับตาว่า จะส่งผลเชิงลบรุนแรงในลักษณะเดียวกับวกรณีวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐที่ฉุดเศรษฐกิจโลกทั้งระบบหรือไม่ ขณะเดียวกันผลกระทบที่เป็นรูปธรรมก็ปรากฎกับธุรกิจหลายๆ ประเภทในเมืองไทยด้วยเช่นเดียวกัน
การที่กลุ่มทุนดูไบ เวิลด์ ตัสดสินใจเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2552 ประกาศแผนจะเจรจาเพื่อขอให้เจ้าหนี้รายสำคัญๆ เลื่อนการชำระหนี้ในส่วนของบริษัทนาคีล ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเครือออกไป จากเดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 14 ธันวาคมนี้ ไปจนถึงเดือนพฤษภาคมปีหน้า ส่งผลให้ ตลาดหุ้นในยุโรป สหรัฐ ละตินอเมริกา จนถึงเอเชียต่างทรุดตัวลงอย่างถ้วนหน้า อันเป็นผลมาจากความวิตกกังวลต่อความเสี่ยงผูกพัน ที่สถาบันการเงิน และกลุ่มบริษัทก่อสร้างในยุโรป และเอเชีย มีต่อดูไบ เวิลด์
หุ้นธนาคารโรยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ เอสเอชบีซี โฮลดิงส์ ลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป และเครดิต สวิส กรุ๊ป ดิ่งลงมากกว่า 4.8% จากผลพวงของความกังวลที่ว่า ปัญหาในดูไบ อาจทำให้การฟื้นตัวของตลาดสินเชื่อทั่วโลก ต้องหยุดชะงักอีกครั้ง โดยรวมพบว่าปัจจัยความวิตกปัญหาหนี้ของดูไบ เวิลด์ ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารในตลาดหุ้นลอนดอน มีมูลค่าลดลงถึง 1.4 หมื่นล้านปอนด์
รายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ ดิ อินดีเพนเดนท์ ของอังกฤษ ที่ประเมินว่า สถาบันการเงินในยุโรปมีความเสี่ยงผูกพันกับดูไบประมาณ 1.3-4 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยที่ชาอิน วอลเล่ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนในตะวันออกกลาง ของบีเอ็นพี พาริบาส์ คาดการณ์ว่า ธนาคารอังกฤษจะมีความเสี่ยงผูกพันกับดูไบมากที่สุด
@ กลุ่มแบงก์-ก่อสร้างเอเชียโดนด้วย
จากการรวบรวมผลกระทบของปัจจัยดูไบ ต่อภาคธุรกิจเอเชีย พบว่า ความเสี่ยงผูกพันที่ภูมิภาคเอเชีย มีต่อรัฐดูไบ กระจายอย่างกว้างขวาง ในหลายประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย สิงคโปร์ จนถึงประเทศไทย
ในออสเตรเลีย ซึงได้รับผลกระทบแบบทันทีทันใด จากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และก่อสร้าง อาทิ ซันแลนด์ กรุ๊ป ดิ่งลงสูงสุด 8.1% โดยมีการลงทุนในดูไบ นับถึง 30 มิถุนายน 2.1 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย
ในญี่ปุ่น ผลกระทบสะท้อนให้เห็นจากการดิ่งลงของหุ้นโอบายาชิ และคาจิมะ 8.7% และ 14% ตามลำดับ
สำหรับเกาหลีใต้ ไทย และอินเดีย กลุ่มทุนที่เข้าไปลงทุนในสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ พลอยติดร่างแหไปกับปัจจัยความกลัว หลังนักวิเคราะห์บางรายตั้งข้อสังเกตว่า หลายบริษัท รวมถึงจีเอส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัทชั่น อิตาเลียน-ไทย ดิเวลอปเมนต์ และดีแอลเอฟ ของอินเดีย จะได้รับผลกระทบด้านลบจากโครงการของบริษัทในดูไบ

@หวั่นปมดูไบฉุดโลก "ถดถอยรอบสอง"
นอกเหนือจากความวิตกต่อความเสี่ยงผูกพันของกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ และสถาบันการเงินโลกแล้ว ยังพบว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อตลาดการเงินโลกเริ่มถดถอยลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้มาร์ค โมเบียส ผู้จัดการกองทุนชื่อดัง เทมเพิลตัน แอสเซ็ท แมเนจเมนต์ เตือนว่า วิกฤตดูไบบวกกับการลดค่าเงินด่องของเวียดนาม อาจเป็นตัวเร่งให้นักลงทุนถอยฉากเพื่อรอดูสถานการณ์ และถอนเงินลงทุนออกไปก่อน โดยคาดว่าจะเกิดการปรับฐานครั้งใหญ่ ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่ช่วงขาขึ้นอีกครั้ง
ขณะที่ชาฮิน วอลเล่ จากบีเอ็นพี พาริบาส์ ตั้งข้อสังเกตถึงสถานการณ์ในตลาดการเงินขณะนี้ว่า เต็มไปด้วยความอึมครึม และไม่แน่นอน เนื่องจากดูไบ เวิลด์ ไม่ใช่แค่บริษัทธรรมดารายหนึ่ง แต่เป็นเครือธุรกิจที่มีข้อจำกัดในเรื่องบรรษัทภิบาล และความโปร่งใส ทำให้ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า หนี้ หรือสินทรัพย์ที่แท้จริง ภายใต้การถือครองของดูไบเวิลด์ นั้นมีมากน้อยแค่ไหน ดังนั้น มีความเป็นไปได้ว่า ผลที่ตามมาอาจทำให้กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายทั่วโลกชะลอลงอีกครั้ง เนื่องจากธนาคารอาจลังเลใจที่จะขยายสินเชื่อในช่วงเวลานี้
สอดคล้องกับความเห็นของอาร์นาบ ดาส นักเศรษฐศาสตร์ จากสถาบันรูบินี โกลบอล อิโคโนมิกส์ บริษัทที่ปรึกษา ซึ่งก่อตั้งโดยศาสตราจารย์นูเรียล รูบินี ที่เตือนว่า ความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลกจะมีมากขึ้น หากมีประเทศ หรือบริษัทผิดนัดชำระหนี้ ซ้ำรอยดูไบ เวิลด์ เนื่องจากจะไปกระตุ้นให้นักลงทุนหนีความเสี่ยงกันมากยิ่งขึ้น

@"อิตาเลียน-เนาวรัตน์ฯ"โดนยื้อหนี้800ล้าน
สำหรับกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างไทยที่มีแนวโน้มว่าจะได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าวค่อนข้างชัดเจนนั้น "ประชาชาติธุรกิจ" ตรวจสอบไปยัง นายชาติชาย ชุติมา รองประธานบริหารฝ่ายการเงิน บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด(มหาชน)ได้รับคำชี้แจงว่าขณะนี้บริษัทไม่มีงานที่ดูไบแม้แต่งานเดียว เพราะถอยออกมาหลายปีแล้ว หลังจากเข้าไปรับงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ช่วงหนึ่ง โดยร่วมกับบริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการฯ ซึ่งงานก่อสร้างเสร็จไปหลายปีแล้ว แต่ยังมีค่าก่อสร้างที่เจ้าของงานจ่ายไม่ครบอยู่ส่วนหนึ่งประมาณ 800 ล้านบาท ขณะนี้กำลังเรียกร้องหนี้ส่วนนี้อยู่ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจดูไบช่วงหลังมีปัญหาตามภาวะเศรษฐกิจโลก และงานอินฟราสตรัคเจอร์ไม่มีด้วย ปัจจุบันตลาดต่างประเทศที่เป็นตลาดหลักของอิตาเลียนไทยอยู่ที่ประเทศอินเดีย
นายพลพัฒ กรรณสูต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยในทำนองเดียวกันว่าก่อนหน้านี้เคยไปรับงานที่ดูไบร่วมกับ บมจ.อิตาเลียนไทย แต่ยังมีค้างค่างวดงานงวดสุดท้ายอยู่ 800 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการทั้งหมด 1,500 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทไม่มีงานที่ดูไบแล้ว แม้จะยังมีงานในเฟสอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ก่อสร้างก็ตาม เนื่องจากตลาดไม่ค่อยดี และมีข้อจำกัดหลายอย่างในการรับงาน แต่กำลังจะเข้าไปรับงานที่อาบูดาบี้แทน ทั้งงานก่อสร้างอสังหาฯ และอินฟราสตรัคเจอร์

@@รับเหมาไทยถอย-รอจังหวะฟื้น
นายพัฒนพงษ์ ตนุมัธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัททราบปัญหาของดูไบมานานแล้ว จึงไม่ได้รับงานมาเป็นเวลาปีกว่าแล้ว โดยที่ผ่านมาเคยร่วมกับบริษัท เพาวเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด(มหาชน) เข้าไปประมูลงาน แต่ไม่ได้ไลเซ่นจึงยกเลิกไป ตอนนี้หันมารับงานในประเทศเป็นหลัก
แหล่งข่าวจาก บมจ.เพาเวอรไลน์ ซึ่งเป็นผู้รับเหมาไทยรายใหญ่ที่เข้าไปรับงานในดูไบกล่าวว่า เศรษฐกิจดูไบประสบปัญหามานานหลายปีแล้ว ในภาพรวมงานก่อสร้างมีการชะลอตัวหลายโปรเจ็กต์ ส่วนใหญ่เป็นโครงการอสังหาฯ แต่ยังมีตลาดอื่นในภาคตะวันออกกลางที่ยังพอไปได้ อาทิ ซาอุดิอารเบีย การ์ตาร์ บาร์เรนห์ อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจดูไบน่าจะชะลอแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ถ้าฟื้นตัวจะกลับเข้าไปรับงานอีก เพราะบริษัทมีฐานบริษัทลูกอยู่ในดูไบอยู่แล้ว
นายสมชาย ศิริเลิศพานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชินเทค คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า เนื่องจากเศรษฐกิจที่ดูไบไม่ดี และการก่อสร้างลดน้อยลง บริษัทได้ยกเลิกการร่วมทุนจัดตั้งบริษัท Syntec Construction PCL(L.L.C.) ที่จะใช้รับงานก่อสร้างในดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งใช้เงินลงทุนไป 43.83 ล้านบาท และที่ผ่านมาได้ลงทุนแล้ว 10-20 ล้านบาท เป็นค่าสต๊าฟและค่าคนงาน แต่เมื่อโครงการหยุดก่อสร้างบริษัทเลยหยุดำเนินการกิจการด้วย และเพื่อลดความเสี่ยงในอนาคตจึงได้ยกเลิกบริษัทดังกล่าวแล้ว

@@"อินเด็กซ์"ชี้ไม่กระทบ

ด้านนายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการบริหาร บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด ผู้บริหารธุรกิจแฟรนไชส์ศูนย์จำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และตกแต่งบ้าน "อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์" กล่าวว่ากรณีบริษัท ดูไบ เวิลด์ ของรัฐบาลดูไบได้ขอเลื่อนการชำระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในเดือนธันวาคมนี้ 3,500 ล้านดอลลาร์ ออกไปเป็นเดือนพฤษภาคม 2553 และถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นหรือแผนการลงทุนขยายสาขาของพาร์ตเนอร์ของบริษัทที่ซื้อแฟรนไชส์ไปลงทุนเปิดสาขาอินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์แห่งแรกในเมืองดูไบ เมื่อเดือนสิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา ที่สำคัญภายหลังเปิดตัวอินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์มาได้กว่า 3 เดือน สามารถทำยอดขายได้เป็นที่น่าพอใจ

@แบงก์กรุงศรี-ใบโพธิ์แจ็กพอต
นอกจากกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างแล้ว ธนาคารไทยอย่างน้อย 2 รายได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าวแล้ว โดย นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า ธนาคารอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าได้มีการลงทุนในตราสารหนี้ในดูไบว่ามีจำนวนอยู่เท่าใด แต่คาดว่าจะเป็นเม็ดเงินไม่สูงเนื่องจากธนาคารไม่ใช่ธนาคารขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่จะลงทุนในสัดส่วนที่ไม่มาก
นายวรวัฒน์ สายสุพัฒน์ผล ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยที่เกี่ยวข้องกับดูไบ จะมีธนาคารกรุงศรีอยุธยาที่ลงทุนอยู่ แต่ไม่กระทบมากเพราะเป็นการลงทุนทั่วไป(General Investment) น่าจะเป็นในลักษณะของตราสารมูลค่าประมาณ 500-600 ล้านบาท หรือประมาณ 0.1% ของ พอร์ตลงทุน (Outstanding) ผลกระทบไม่น่าจะเกิน 5% ของผลดำเนินงานปี 2553
ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ มีการลงทุนโดยตรงแต่ไม่ได้ตรงมาก ซึ่งมีปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทที่ไปทำ joint venture กับบริษัทในดูไบ ซึ่งมีเครดิตไลน์ ประมาณ 3,000 ล้านบาท แต่ปล่อยกู้จริงๆ เป็นหลัก 100 ล้านบาท ก็ถือว่าไม่ได้มาก
ด้านนายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย กล่าวว่า บริษัทมีกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ(FIF) ที่ไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอาบูดาบีและกาตาร์มูลค่ากองทุน 200 ล้านบาท อายุลงทุน 3 ปี ผลตอบแทนที่ 3% ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบมาก เพราะไม่ได้ลงทุนในรัฐดูไบโดยตรง และหากดูปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศจะอิงกับสินค้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งไม่ได้มีลักษณะเหมือนดูไบที่ไม่มีสินค้าน้ำมันในรัฐเลย ทำให้ต้องหันมาเน้นการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ เพื่อผลักดันให้เป็นแหล่งการเงินในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ติดตามสถานการณ์ล่าสุด มีความเป็นไปได้ที่รัฐอาบูดาบี ซึ่งเป็นประมุขของกลุ่มสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จะเข้าไปช่วยเหลือการเงินกับทางรัฐดูไบ ซึ่งเป็นรัฐที่ถูกปกครอง เนื่องจากรัฐอาบูดาบี ลงทุนในกองทุนของประเทศนี้สูงถึง 7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ จึงมีศักยภาพเพียงพอที่จะเข้าไปช่วยเหลือรัฐดูไบ ซึ่งคงต้องรอประเมินสถานการณ์ในสัปดาห์หน้า เนื่องจากติดวันหยุดเทศกาลของศาสนาอิสลาม

@คลังมองบวกไม่กระทบเอเซีย
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกไปดูไบมากน้อยเพียงใด แต่เชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคงไม่กระทบสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และตลาดในประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของประเทศไทยอีกแห่งหนึ่งทั้งหมด เช่นประเทศการ์ตา ที่นายกรัฐมนตรี เพิ่งไปเยือนกลับมาก็มีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และเชื่อว่าราคาน้ำมันที่ระดับ 80 ดอลลาร์/บาเรล จะทำให้ประเทศตะวันออกกลางซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ส่งออกน้ำมันจะยังมีกำลังซื้อ
นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวถึง กองทุนดูไบที่หยุดพักชำระหนี้ ว่า ผลที่เกิดขึ้นไม่น่ากระทบถึงเอเชีย เพราะอยู่ไกลกันมาก สำหรับ
ประเทศไทยที่ผ่านมา ไม่มีสภาพคล่องหลุดออกมาจากสถาบันการเงินแบบที่นำไปใช้ฟุ่มเฟือยในอสังหาริมทรัพย์หรือในหุ้น จึงไม่ถือว่าเป็นฟองสบู่
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการและประธานสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร กล่าวว่า ตอนนี้ความกังวลของนักลงทุนอยู่ที่ความชัดเจนของการแก้ปัญหาโครงสร้างชำระหนี้ของรัฐดูไบ ซึ่งยังไม่ได้ออกมากล่าวถึงประเด็นนี้ จึงทำให้นักลงทุนมีความกังวลและส่งผลต่อตลาดหุ้นปรับตัวลง ผลกระทบในครั้งนี้คงต้องใช้ระยะเวลาอีกระยะหนึ่งทั้งในตลาดหุ้นและการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก โดยเฉพาะการจับตาดูประเทศที่มีอัตราหนี้สูงๆ ซึ่งอาจจะเป็นประเทศที่นักลงทุนเริ่มประเมินความเสี่ยงอีกครั้งแล้ว
นายไพบูลย์ นรินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล) ทิสโก้ กล่าวว่า สถานการณ์ในดูไบยังไม่ถึงกับรุนแรงหรือน่าเป็นห่วงมาก เพียงแต่เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ชัดเจนว่า ภาวะเศรษฐกิจที่เชื่อว่ากำลังฟื้นตัวนั้น ยังมีความเสี่ยงของกลุ่มสถาบันการเงินอยู่ เพราะถ้าลูกหนี้ไม่มีศักยภาพจะชำระหนี้ได้ สถาบันการเงินก็จำเป็นต้องตั้งสำรองหนี้เพิ่มขึ้นไปอีก เพราะมีโอกาสที่จะไม่สามารถชำระหนี้ได้ แม้ว่ากรณีนี้จะเป็นการยืดหนี้ออกไปอีก 6 เดือนแต่ก็ใกล้เคียงกับการผิดนัดชำระหนี้ (Default)

"ดูไบ เวิลด์"

พลังขับเคลื่อนดูไบยุคใหม่


ภายใต้การบริหารของ "ชีคโมฮาเหม็ด" ดูไบถูกพลิกโฉมให้เป็นศูนย์กลางการเงินและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของโลก โดยอาศัยการอัดฉีดเงินมหาศาลเข้าสู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ สาธารณูปโภค พร้อมยกเว้นภาษี เพื่อทำให้ดูไบกลายเป็นที่พักผ่อนสำหรับคนดังและมหาเศรษฐี หัวใจของการเปลี่ยนแปลงคือ "ภาพลักษณ์" และการเติบโตทุกอย่างล้วนเกิดจาก "หนี้" ทั้งสิ้น

ดูไบประสบความสำเร็จในการดึงผู้ซื้อมาจากทั่วโลก ส่งให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในบางเขตในช่วงปี 2546-2550 พุ่งขึ้นถึงสี่เท่า แต่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ราคาอสังหาริมทรัพย์ในดูไบกลับดิ่งแรงถึง 70% ทำให้การก่อสร้างต้องหยุดชะงัก ต้องลดขนาดแผนสร้างปาล์มไอส์แลนด์ แห่งที่ 3 ขณะที่พักโครงการอีกกว่า 400 โครงการ ที่มีมูลค่ารวมกัน 300 พันล้านดอลลาร์เช่นกัน

ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าการเติบโตอย่างพรวดพราดของดูไบในช่วงที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เกิดจากพลังขับเคลื่อนสำคัญอย่าง "ดูไบ เวิลด์" บริษัทโฮลดิ้งของรัฐบาลดูไบ ที่มีสุลต่านอะห์เหม็ด บิน สุลาเย็ม เป็นประธานบริษัท มีการลงทุนหลากหลายทั้งในภาคอสังหาริมทรัพย์ การขนส่ง โลจิสติกส์ และทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ

ข้อมูลจากรอยเตอร์สระบุว่า ดูไบ เวิลด์ มีบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ เช่น นาคีล เจ้าของโครงการดังอย่าง "เดอะ เวิลด์" หรือหมู่เกาะ 300 เกาะที่เรียงรายเป็นทวีปต่าง ๆ ของโลก และเกาะรูปต้นปาล์ม ขณะที่ลิมิตเลส เป็นเจ้าของโครงการต่าง ๆ ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มาเลเซีย เวียดนาม ซาอุดีอาระเบีย จอร์แดน และรัสเซีย

ขณะที่อิสทิธมาร์ เป็นบริษัทลงทุนทางการเงิน ที่มีการลงทุนในบริษัทกว่า 50 แห่ง ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรม การเงิน และสินค้าอุปโภคบริโภค ทั้งนี้การลงทุนในหุ้นของบริษัทนี้มีมูลค่าเกิน 2.6 พันล้านดอลลาร์ ในตลาดหุ้นต่าง ๆ ตั้งแต่อเมริกาเหนือไปจนถึงตะวันออกไกล

ส่วนในธุรกิจท่าเรือและต่อเรือ บริษัทโฮลดิ้งยักษ์ใหญ่เป็นเจ้าของดีพี เวิลด์ หนึ่งในบริษัทบริหารท่าเรือรายใหญ่ที่สุดของโลก และดูไบ ดราย ด็อคส์ ที่ทำธุรกิจซ่อมเรือ ต่อเรือ และธุรกิจทางทะเลอื่น ๆ

นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของธุรกิจ "เตจารี" ตลาดออนไลน์แบบบีทูบี สำหรับธุรกิจในตะวันออกกลาง "อีโคโนมิค โซนส์ เวิลด์" ผู้จัดหาโซลูชั่นสาธารณูปโภคด้านโลจิสติกส์และอุตสาหกรรม "ดูไบ มัลติ คอโมดิตี้ส์ เซ็นเตอร์" ที่ตั้งขึ้นเพื่อปั้นดูไบเป็นฮับการซื้อขายสินค้าคอมโมดิตี้ด้วย
prachachart
************
28/11/52
ดูไบเวิลด์ทุบหุ้นโลกดิ่ง
โพสต์ทูเดย์
— หุ้นโลกดิ่งเป็นโดมิโนหลังฟองสบู่แตกที่ดูไบ หวั่นกลายเป็นสึนามิการเงินรอบใหม่ หุ้นไทยเก่งติดลบแค่ 5 จุด ผู้รับเหมาก่อสร้างไทยดาหน้ายันไม่กระทบ

นักลงทุนตื่นตระหนกฟองสบู่แตกที่ ดูไบเทกระจาดหุ้นไปทั่วโลก ส่งผลให้ตลาดหุ้นยุโรปดิ่งลงเหว ลามถึงตลาดเอเชีย โดยเฉพาะฮ่องกง รูดมหาราชกว่า 1,075 จุด หรือทรุดหนัก 4.84% ฉุดให้หุ้นไทยลงหลุมตามในช่วงบ่ายกดดัชนีลงไปต่ำสุดที่ 669.34 จุด ก่อนมีแรงซื้อหุ้นตัวใหญ่ ส่งผลให้ตาดฟื้นปิดที่ 680.37 จุด ลดลง 5.36 จุด หรือ0.79% นับว่าน้อยที่สุดในเอเชีย โดยต่างชาติขายเพียง 205 ล้านบาท
วรวรรณ

มาร์เก็ตติงกล่าวว่า ข่าวบริษัทดูไบเวิลด์ ประกาศยืดชำระหนี้ออกมาตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมาแล้ว แต่นักลงทุนเพิ่งมาตื่น ตระหนกมากวานนี้เพราะมีการวิเคราะห์ว่าธนาคารและสถาบันการเงินชั้นนำของโลกหลายแห่งได้รับผลกระทบ เพราะบางรายให้กู้ยืมและส่วนหนึ่งมีการลงทุนในตราสารการเงินในดูไบ เช่น ธนาคาร HSBC

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ตอนนี้นักลงทุนชิงขายหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ออกไปก่อน หันไปลงทุนพันธบัตรแทน เพราะเกรงว่าฟองสบู่แตกที่ดูไบอาจจะฉุดให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้าลง หรืออาจจะทำให้เกิดวิกฤตการเงินและสถาบันการเงินโลกอีกครั้ง

นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรจะต้องรอดูตลาดหุ้นสหรัฐคืนวันศุกร์ก่อนว่ามีนักลงทุนมาไถ่ถอนหน่วยลงทุนออกจากตลาดจนทำให้ดัชนีดาวโจนส์ลงแรงหรือไม่ หลังจากวันพฤหัสบดีตลาดปิดในวันขอบคุณพระเจ้า

สำหรับเหตุการณ์ที่ดูไบจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้าลงหรือไม่ นาง วรวรรณ กล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะสรุป เพราะไม่มีข้อมูล แต่เชื่อว่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยน้อยมาก

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.บัวหลวง ประเมินว่าในช่วง 1-2 เดือนนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลงได้ประมาณ 5% หรือลงไปอยู่ที่ระดับ 650-640 จุด จากระดับ 685 จุดในปัจจุบัน เพราะนักลงทุนกังวลปัญหาดูไบ ส่วนปี 2553 คาดว่าดัชนีอยู่ที่ 870 จุด

บล.บัวหลวงออกบทวิเคราะห์ว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยที่ปล่อยกู้ หรือลงทุนในพันธบัตรของดูไบ จะมีเพียงไทยพาณิชย์ (SCB) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) โดยไทยพาณิชย์เกี่ยวข้องน้อยมาก ส่วนธนาคารกรุงศรีอยุธยาหากกรณีเลวร้ายสุดต้องตัดเงินลงทุนทิ้งทั้งหมด ก็จะทำให้กำไรปีนี้จะถูกหักออกประมาณ 12%

สำหรับธุรกิจที่ออกไปลงทุนในดูไบ เช่น บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) บริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC) บริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง (PLE) บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ (NWR) บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) และกลุ่มปตท. (PTT) แต่จะได้รับผลกระทบไม่มาก

สำหรับการส่งออกไปประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ในช่วง 9เดือนแรกปีนี้คิดเป็นราว 1.6% ของมูลค่าส่งออก รวม และตลาดหลัก คือ ดูไบ โดยเป็นสินค้าประเภทยานยนต์ ชิ้นส่วน เหล็ก พลาสติก และปิโตรเคมี

นายวัชรพัธ วัชราภัย ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายวางแผน กลยุทธ์ NWR กล่าวว่า บริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัท ITD จัดตั้งบริษัทเข้าไปลงทุนในดูไบ ในสัดส่วน 40 ต่อ 60% แต่ไม่ได้รับผลกระทบจากดูไบ เพราะไม่มีงานรับเหมาที่ดูไบหลังจากสร้างงานที่เกี่ยวข้องกับดูไบเวิลด์เสร็จตั้งแต่ปี 2551แล้ว

“สิ่งที่เหลือในดูไบคือการตามหนี้มูลค่า 176 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าก่อสร้างแต่บริษัทได้ตั้งสำรอง 100% ไปแล้วตั้งแต่ปี 2551 ถ้าไม่ได้ก็จะหายไปทั้งหมด แต่บริษัทดำเนินการฟ้องตามหนี้ก้อนนี้อยู่”

ขณะที่บริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น (SYNTEC) ก็ได้ประกาศยกเลิกบริษัทที่ไปตั้งเพื่อรับงานที่ดูไบแล้วเช่นกัน

ด้านนายธาดา ชุมะศารทูล ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและเลขานุการ PLE กล่าวว่า บริษัทเคยเข้าไปรับงานก่อสร้างที่ดูไบและสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้หันไปรับงานในกาตาร์แทน หลังจากเริ่มมีสัญญาณไม่ดีเกี่ยวกับปัญหาหนี้ในดูไบ

นายวรพจน์ อุชุไพบูลย์วงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบัญชีและการเงินบริษัท ช.การช่าง (CK) กล่าวว่า บริษัทและบริษัทในเครือไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลยจากปัญหาดูไบ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยออกไปรับงานรับเหมาก่อสร้างที่ดูไบมาก่อนเลย

นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวซอรี่ กล่าวว่าบริษัท ไซเบอร์แพลนเน็ต อินเตอร์แอคทีฟ ได้เลื่อนการเสนอขายหุ้นให้ประชาชนครั้งแรก (ไอพีโอ) ออกไปเป็นเดือนม.ค. ปีหน้า จากกำหนดเดิมจะขายในเดือนธ.ค.ปีนี้ เพราะเกรงว่าหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ประมาณวันที่ 24-25 ธ.ค. เป็นจังหวะที่ไม่เหมาะ
posttoday************
28/11/52
วิกฤตดูไบถล่มตลาดทุนโลกยับ
โพสต์ทูเดย์
– ตลาดทุนโลกสะเทือนหนัก ทอง-น้ำมัน-หุ้น จูงมือดิ่งเหว หลังดูไบ เวิลด์ กองทุนมหาเศรษฐี ยูเออีผิดชำระหนี้ นักวิเคราะห์ชี้วิกฤตสินเชื่อยังไม่หนีไปไหน

ตลาดทองยันตลาดน้ำมันผวาหนักเมื่อวานนี้ จากข่าวร้ายการผิดชำระหนี้ของดูไบ เวิลด์ กองทุนมหาเศรษฐีของดูไบ หลังจากที่ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ดูไบแตกกระจุย อันเป็นผลจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ดิ่งเหวลงมากกว่า 50%
นอกจากนี้ นักลงทุนได้เทขายทิ้งทองคำอย่างรุนแรงวานนี้ โดยราคาดิ่งเหวไปกว่า 40 เหรียญสหรัฐ ในวันเดียว ปิดตลาดฮ่องกงที่ระดับ 1,145-1,146 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ จากราคาเปิดที่ 1,186-1,180 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ทั้งที่เพียงก่อนหน้านั้น 1 วัน ราคาทองเพิ่งจะพุ่งไปทำสถิติที่ 1,195.13 เหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ ในส่วนราคาน้ำมันโลกในการซื้อขายที่ตลาดเอเชียเมื่อวานนี้ ราคาก็ลดลงไปมากกว่า 3.77 เหรียญสหรัฐ ลงไปอยู่ที่ 74.18 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ด้านตลาดหลักทรัพย์ในเอเชีย ยังคงได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากความวิตกกังวลต่อวิกฤตสินเชื่อรอบใหม่ โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นดัชนี นิกเกอิหล่นลงไปถึง 3.22% ไปอยู่ที่ 9,081.52 จุด ส่วนดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกงหล่นลงไปถึง 4.84% ไปอยู่ที่ 21,134.50 จุดแล้ว

ชีค อาห์เหม็ด บิน ซาอีด อัล มัคทูม ประธานคณะกรรมการด้านนโยบายสูงสุดของรัฐดูไบ ได้ออกแถลงการณ์ให้ความเชื่อมั่นต่อบรรดาเจ้าหนี้ว่า การประกาศขอเลื่อนชำระหนี้บางส่วนจากทั้งหมด 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ของดูไบ เวิลด์ ออกไป 6 เดือนนั้น ได้ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว

ทางด้าน โรเบิร์ต เรนนี นักวางยุทธศาสตร์การลงทุน ให้ความเห็นว่า การประกาศเลื่อนชำระหนี้ของ ดูไบในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าวิกฤตการเงินนั้นยังไม่สิ้นสุด และเป็นสิ่งที่เตือนว่า วิกฤตสินเชื่อนั้นแค่ถูกทำให้ลืมไปเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วปัญหานี้ไม่ได้หายไปไหน

ทั้งนี้ เอพีรายงานว่า ดูไบ เวิลด์ ได้ขอให้เจ้าหนี้เลื่อนการชำระหนี้บางส่วนของหนี้ถึง 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ออกไปจนถึงเดือน พ.ค.ปีหน้า ซึ่งรวมถึงหนี้จากพันธบัตรอิสลามมูลค่า 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ของบริษัท นัคฮีล ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือของดูไบ เวิลด์ ที่จะต้องกำหนดชำระคืนในวันที่ 14 ธ.ค.นี้

ด้านบริษัทจัดอันดับเครดิตมูดี้ส์ และสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ ได้ตัดสินใจลดอันดับเครดิตบริษัทดูไบ เวิลด์ ลงมาที่่ระดับจังก์แล้ว

การประกาศเลื่อนดังกล่าวยังทำให้เกิดความวิตกว่า ภายใน 6 เดือนดังกล่าว ดูไบ เวิลด์จะมีความสามารถชำระหนี้ได้หรือไม่ และอาจจะมีธนาคารและสถาบันการเงินหลายแห่งทั่วโลกที่จะต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่อีกครั้ง

เอพีรายงานว่า เอชเอสบีซีและสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดในอังกฤษ อาจจะพบความสูญเสียมหาศาล นอกจากนั้นก็มีธนาคารซูมิโตโม เอ็มเอฟเจ ธนาคารรายใหญ่อันดับ 3 ของญี่ปุ่น รวมอยู่ในกลุ่มเจ้าหนี้ด้วย

ด้านรัฐบาลเกาหลีใต้ ยืนยันว่า สถาบันการเงินเลือดโสมที่เข้าไปมีธุรกรรมกับดูไบ เวิลด์นั้น มีมูลค่าอยู่ราว 88 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น

ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทก่อสร้างจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย ซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งในดูไบ ก็อาจอยู่ในกลุ่มที่เสียหายด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ดูไบ เวิลด์ ซึ่งเป็นกองทุนความมั่นคงแห่งชาติของรัฐดูไบ ได้เริ่มโครงการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์สะท้านโลกหลายโครงการ ทั้งโครงการก่อสร้างเกาะรูปปาล์มที่เนรมิตขึ้นใหม่ด้วยมือมนุษย์ ไปตลอดจนถึงอาคารบูร์จ อาจี ซึ่งเป็นอาคารสูงที่สุดในโลก ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง และต้องถูกพักการก่อสร้างไว้ในขณะนี้
posttoday***********
28/11/52
ผ่าขุมทรัพย์/เจ้าหนี้ ‘ดูไบ’
ดูไบ รัฐที่เคยได้ชื่อว่ามั่งคั่งที่สุดใน 7 รัฐของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) กำลังสั่นคลอนเศรษฐกิจโลกกับภาวะถังแตก และขอเลื่อนพักชำระหนี้ออกไป 6 เดือน

รายชื่อเหล่านี้คือบรรดาสินทรัพย์มหาศาลส่วนหนึ่งที่มาพร้อมกับภาระหนี้สินที่ต้องแบกรับ

ขุมทรัพย์

- โครงการอสังหาริมทรัพย์ “ปาล์ม จูไมราห์” บนเกาะที่เนรมิตเป็นรูปต้นปาล์ม โครงการที่สำเร็จไปแล้วขณะนี้มีมูลค่ารวม 1.23 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4.18 แสนล้านบาท)

- เมืองใหม่ “จูไมราห์ การ์ เดนส์” มูลค่า 9.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.23 ล้านล้านบาท)

- โรงแรม 7 ดาว “แอตแลนติส เดอะ ปาล์ม” มูลค่า 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 5.1 หมื่นล้านบาท)

- แหล่งช็อปปิ้ง “ดาวน์ทาวน์ บูร์จ ดูไบ” กับห้างสรรพสินค้า 1,200 แห่ง รวมมูลค่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6.8 แสนล้านบาท)

- ตึกสูงที่สุดในโลก 160 ชั้น “บูร์จ ดูไบ” มีกำหนดจะเปิดตัววันที่ 4 ม.ค. 2553 มูลค่าการก่อสร้าง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.4 หมื่นล้านบาท) โดยเป็นส่วนหนึ่งของดาวน์ทาวน์ บูร์จ ดูไบ

- สวนสนุกดูไบแลนด์ มูลค่า 6.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2.17 ล้านล้านบาท)

- ตึกระฟ้า นาคีล ทาวเวอร์ และท่าเรือนาคีล ฮาร์เบอร์ มูลค่า 2.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 9.52 แสนล้านบาท)

เจ้าหนี้ที่มีการเปิดเผย

- ธนาคารมิซูโฮ ในญี่ปุ่น 100 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3,400 ล้านบาท)

- ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย ในญี่ปุ่น 200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6,800 ล้านบาท)

- ธนาคารในอังกฤษหลายแห่งรวมกัน 4.95 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.68 ล้านล้าน บาท) เฉพาะธนาคารเอชเอสบีซี โฮลดิงส์ 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.87 แสนล้านบาท)

- ธนาคารในฝรั่งเศสหลายแห่งรวมกัน 1.13 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.84 แสนล้านบาท)

- ธนาคารในเยอรมนีหลายแห่งรวมกัน 1.02 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.46 แสนล้านบาท)

posttoday
************
27/11/52
เอกชนไม่ห่วงธุรกิจโดนหางเลขฟองสบู่ดูไบ

Posted on Friday, November 27, 2009
นายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทย บอกว่า จะยังต้องติดตามปัญหาการเลื่อนชำระหนี้ของ ดูไบเวิลด์ อย่างใกล้ชิด ส่วนการส่งออกของไทยจะมีผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากไทยส่งออกไปดูไบในสัดส่วนที่น้อย โดยมองว่า ตลาดอาเซียน คือตลาดหลักของไทยในอนาคต เพราะมีต้นทุนการขนส่งต่ำ ควรจะเน้นการเจาะตลาดในกลุ่มนี้ให้มากขึ้น

ด้านนายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) บอกว่า ปัญหาของดูไบไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยโดยตรง เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้มีการทำธุรกิจหรือลงทุนในดูไบมากนัก โดยการที่เวียดนามลดค่าเงินดองลงมา 5.2% จะส่งผลกระทบต่อนักธุรกิจไทย เนื่องจากที่ผ่านมา ราคาสินค้าของเวียดนามมีราคาถูกกว่าไทยอยู่แล้ว 3-4% และหากลดค่าเงินดองครั้งนี้อีก จะทำให้สินค้ามีมูลค่าถูกกว่าถึง 10%

ขณะที่นายบัณฑูร วงศ์สีลโชติ รองประธานคณะกรรมการกฎระเบียบและการค้าระหว่างประเทศ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เชื่อว่าปัญหาการเงินของดูไบจะไม่รุนแรงเท่าปัญหาสหรัฐ และอาจจะส่งผลกระทบบ้างเล็กน้อยต่อสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ ส่วนการส่งออกของไทยจะไม่กระทบมากนัก ทั้งนี้รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.ควรจะดูและค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าไปกว่าระดับปัจจุบัน เพราะอาจทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถแข่งขันได้

ขณะที่นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ บอกว่า ปัญหาของ ดูไบ เกิดจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการใช้จ่ายเงินมากเกินไป และทำให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด จนทำให้เกิดเป็นฟองสบู่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ น้ำมัน ราคาทอง อัตราแลกเปลี่ยน จากปัญหาที่เกิดขึ้นนี้น่าจะเป็นการส่งสัญญาณว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีเดิมคงทำไม่ได้อีกแล้ว

ส่วนการประกาศลดค่าเงินเวียดนาม ไม่น่าจะส่งผลกระทบในวงกว้างมากโดยจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในระยะสั้นเท่านั้น

ด้านนายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย บอกว่า ธนาคารกสิกรไทยเองก็ไม่ได้ปล่อยกู้ให้ดูไบแต่อย่างใด และยืนยันว่า ยังไม่เห็นสัญญาณการเกิดภาวะฟองสบู่ในไทย เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)เข้มงวดการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์อย่างมาก ขณะเดียวกันยังไม่เห็นสัญญาณของภาคอุตสาหกรรมใดๆ ที่จะเกิดภาวะฟองสบู่ เนื่องจากไทยมีประสบการณ์จากการเกิดภาวะฟองสบู่แตกมาแล้ว แต่ยอมรับมีความเป็นห่วงในตลาดทองคำเนื่องจากมีการเก็งกำไรมาก

ด้านนายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บอกว่า ขณะนี้ธนาคารอยู่ระหว่างการตรวจสอบการเข้าไปลงทุนในพันธบัตรรวมทั้งการลงทุนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับดูไบ หลังจากที่รัฐดูไบประสบปัญหาฟองสบู่จนต้องพักชำระหนี้ โดยเชื่อว่าการลงทุนของธนาคารในดูไบเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับเม็ดเงินจำนวนมากที่ทั่วโลกเข้าไปลงทุนในดูไบ

ขณะที่ นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ภัทร บอกว่า ปัญหาการเลื่อนชำระหนี้ของดูไบ เวิลด์ จะกระทบโดยตรงต่อธนาคารในแถบยุโรป ที่ปล่อยกู้ให้กับดูไบ เวิลด์ ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มแบงก์ในตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงแรง ขณะที่ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบทางอ้อม จากการลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่
money news update**************
27/11/52
มาร์ค โมเบียส เชื่อ ดูไบเวิลด์ผิดนัดชำระหนี้กดดันตลาดเกิดใหม่ปรับฐาน

Posted on Friday, November 27, 2009
นายมาร์ค โมเบียส ผู้บริหารกองทุนบริษัทเทมเพิลตัน แอสเซท แมเนจเมนท์ บอกว่า การที่ บริษัทดูไบเวิลด์ ประกาศเลื่อนการชำระหนี้ออกไป 6 เดือน จะก่อให้เกิดแรงขายในตลาดหุ้นเกิดใหม่ทั่วโลก ซึ่งจะเป็นการปรับฐานครั้งสำคัญของตลาดหุ้นที่เคยอยู่ภาวะกระทิงอย่างต่อเนื่อง

นายโมเบียส บอกว่า ค่อนข้างซีเรียสกับกรณีการผิดนัดชำระหนี้ของ ดูไบเวิล์ด เมื่อขนาดดูไบยังผิดนัดชำระหนี้ ย่อมหมายความว่าอาจมีการผิดนัดชำระหนี้ขยายวงออกไปยังที่อื่นๆ

ทั้งนี้ โลกการเงินต่างจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หลังจากบริษัทดูไบ เวิลด์ ซึ่งเป็นบริษัทเพื่อการลงทุนของทางการดูไบ นครแห่งความมั่งคั่งของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ประกาศขอเลื่อนการชำระหนี้ จำนวน 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.19 แสนล้านบาท ที่จะถึงกำหนดชำระในเดือน ธันวาคมนี้ ออกไปอีก 6 เดือน หรือจนกว่าจะถึงเดือน พฤษภาคม 2553 เนื่องจากยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤติสินเชื่อ และเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย และล่าสุดสถานะทางการเงินของดูไบ เวิลด์ อยู่ในขั้นย่ำแย่ โดยมีหนี้สินรวมกว่า 5.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท
money news update
************
27/11/52
วิกฤติดูไบ ฉุดราคาทองร่วงเกือบ 500 บาท

Posted on Friday, November 27, 2009
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส บอกว่า สมาคมค้าทองคำได้ปรับลดราคาขายทองคำในประเทศลดลงบาทละ 450 บาท ซึ่งมากที่สุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์ ส่งผลให้ราคาทองคำเป็นดังนี้

- ราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 18,150 บาท ขายออกบาทละ 18,250 บาท
- ราคาทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 17,888 บาท ขายออกบาทละ 18,650 บาท

ทั้งนี้ ราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จากระดับ 1,190 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ มาอยู่ที่ 1,150 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หลังมีแรงเทขายจากนักลงทุนที่กังวลเกี่ยวกับข่าว บริษัท ดูไบ เวิลด์ เลื่อนนัดชำระหนี้ในเดือนธันวาคม มูลค่ากว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐออกไป โดยราคาทองคำอาจจะปรับตัวลดลงถึงระดับแนวรับที่ 1,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ได้ในระยะสั้น

ด้านนายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน บอกว่า แนวโน้มราคาน้ำมันระยะสั้นอาจปรับตัวลดลงถึงระดับ 74 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 76 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนกังวลปัญหาของบริษัท ดูไบเวิลด์ แต่ปัญหาดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลกระทบเพียงในระยะสั้นเท่านั้น เพราะ บริษัทดังกล่าวเป็นของรัฐบาลดูไบ ซึ่งน่าจะยื่นมือเข้ามาแก้ไขปัญหาให้ยุติลงโดยเร็ว
money news update
***********
27/11/52
ข่าวดูไบเลื่อนชำระหนี้ ฉุด FTSE 100 ปิดร่วงหนักสุดในรอบ 8 เดือน

Posted on Friday, November 27, 2009
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงหนักสุดในรอบ 8 เดือน หลังจากมีรายงานว่าบริษัท ดูไบ เวิลด์ ของรัฐบาลดูไบ มีแผนเลื่อนการชำระหนี้จำนวนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้ครั้งใหญ่สุดในรอบ 8 ปี ขณะที่มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส และ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ได้ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของดูไบ เวิลด์

ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ดิ่งลง หลังจากรัฐบาลดูไบยอมรับว่าบริษัท ดูไบ เวิลด์ของรัฐบาลซึ่งมีหนี้สินรวม 5.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ กำลังขอเลื่อนการชำระหนี้จำนวน 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งครบกำหนดในเดือนธ.ค.ที่จะถึงนี้ ออกไปเป็นเดือนพ.ค.ปีหน้า อีกทั้งยังได้ว่าจ้างให้ ดีลอยท์ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการสอบบัญชีระดับโลก ให้เป็นที่ปรึกษาด้านการปรับโครงสร้างการเงินของบริษัท

ข่าวดังกล่าวส่งผลให้มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส และเอสแอนด์พีประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัท ดูไบ เวิลด์ ลงสู่สถานะ "junk" ซึ่งความเคลื่อนไหวของรัฐบาลดูไบในครั้งนี้ได้สร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนจำนวนมากเนื่องจาก เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเพิ่งมีข่าวให้นักลงทุนได้สบายใจว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่ดูไบจะสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด

หุ้นลอนดอน สต็อก เอ็กซ์เชนจ์ กรุ๊ป ซึ่งมีบริษัท บอร์ส ดูไบ ถือหุ้นอยู่ 21% ดิ่งลง 7.4% ทำสถิติร่วงลงหนักสุดในรอบ 7 เดือน ขณะที่หุ้นธนาคารที่เป็นผู้ปล่อยกู้ให้กับดูไบ เวิล์ด ดิ่งลงถ้วนหน้า รวมถึงธนาคาร HSBC ร่วงลง 4.8% ส่วนหุ้นลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป, หุ้นรอยัล แบงค์ ออฟ สก็อตแลนด์ และหุ้นธนาคารบาร์เคลย์ส ปิดร่วงลงกว่า 5%

หุ้นแองโกล อเมริกัน ปิดร่วง 4.7% หุ้นริโอทินโต ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองรายใหญ่ของโลก ดิ่งลง 4.8% หลังจากราคาโลหะทองแดงในตลาดลอนดอนร่วงลงเมือคืนนี้ เนื่องจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าสต็อกทองแดงจะปรับตัวสูงขึ้น

ส่วนหุ้นเลกัล แอนด์ เจนเนอรัล กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทประกันรายใหญ่อันดับ 2 ของอังกฤษ ปิดร่วง 7.4% หลังจากซิตี้กรุ๊ปปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นดังกล่าวลงสู่ระดับ “sell" จากเดิมที่ระดับ “hold"
money news update
***************
รอลุ้นผลกระทบดูไบกระเทือนธนาคารพาณิชย์ที่เป็นเจ้าหนี้หรือไม่

Posted on Friday, November 27, 2009
วราภรณ์ วิบูลคณารักษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เคที ซีมิโก้ กล่าวในรายการ Get SET ว่า เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะแกว่งตัวแรงเคลื่อนไหวในกรอบมากกว่า 10 จุดในวันนี้ (27 พ.ย. 52) เพราะดัชนีกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้น 50 – 60% มาตั้งแต่ตอนต้นปีกับความหวังที่มีต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยุโรปและเอเชียได้ตอบรับต่อข่าวการขอเลื่อนการชำระหนี้ของรัฐบาลดูไบไปแล้ว ด้วยการปรับลดลงประมาณ 3% และ 2% ตามลำดับ แต่สิ่งที่กังวลกันในขณะนี้ก็คือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ของดูไบ ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ระดับโลกหลายแห่งที่กำลังอยู่ระหว่างการฟื้นฟูงบการเงินจะได้รับผลกระทบด้วยหรือไม่อย่างไร ทำให้นักลงทุนบางส่วนเริ่มคิดที่จะกลับไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำแทน

วราภรณ์ให้แนวรับของดัชนีในวันนี้ไว้ที่ 667 – 670 จุด และหากดัชนีปรับลดลงแรง ก็มีโอกาสที่จะดีดกลับได้แต่ไม่มากนัก สำหรับปัจจัยการเมืองภายในประเทศน่าจะกลับมามีความสำคัญอีกครั้งในกลางเดือนหน้า ซึ่งยังคดีความทางการเมืองอีกหลายคดีที่ยังไม่ได้ข้อยุติ โดยนักลงทุนต้องไม่ลืมว่า ปัญหาการเมืองได้กลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้น
money news update

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น