วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ 2

27/11/52
นักลงทุนเทขายหุ้น จากความกังวลดูไบเลื่อนจ่ายหนี้

ผลพวงจากการเลื่อนชำระหนี้ของกลุ่มทุนดูไบทำให้เกิดแรงขายในตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนนี้ ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ ปิดทำการเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า ส่วนหุ้นแบงก์และผู้ผลิตรถในเอเชียก็เจอแรงฉุดจากปัจจัยความกังวลในเรื่องการเพิ่มทุนและค่าเงินดอลลาร์ที่ร่วงลงไปแตะระดับต่ำสุดในรอบ 14 ปี เมื่อเทียบกับเงินเยน

ทางด้านราคาน้ำมันปรับตัวลง 1.7 เหรียญ มาอยู่ที่ประมาณ 76 เหรียญต่อบาร์เรล ที่ตลาดนิวยอร์ก หลังกระทรวงพลังงานเผยตัวเลขสต็อกเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มมาอยู่ที่ 337 ล้านบาร์เรล และทำให้คาดกันว่าตัวเลขสำรองน้ำมันดังกล่าวน่าจะเพียงพอรองรับกับความต้องการที่จะมีในตลอดหน้าหนาวนี้

ความพยายามจากทางดูไบในการแก้ปัญหาหนี้ของ Dubai World ในฐานะที่เป็นบริษัทลงทุนของรัฐ และแบกหนี้อยู่กว่า 59,000 ล้านเหรียญ ขณะนี้มีรายงานข่าวว่ากำลังหาทางประวิงเวลาเพื่อเลื่อนการชำระหนี้ออกไป ทำให้กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ที่ไม่ใช่แค่เพียงกับดูไบเท่านั้น แต่รวมไปถึงฐานะการเงินของกลุ่มประเทศในแถบอ่าวเปอร์เซียโดยรวม และถือเป็นความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ครั้งใหญ่เหมือนกับเช่นในกรณีของอาร์เจนตินา เมื่อปี 2544

สำหรับปัจจัยค่าเงินเยนที่วิ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี เมื่อเทียบกับดอลลาร์ เกิดขึ้นหลังจากที่ตลาดเก็งกันว่าทางการญี่ปุ่นจะยังสามารถรับมือกับการแข็งค่าของเงินเยนได้อีก แม้รัฐมนตรีกระทรวงการคลังจะออกมาบอกว่า รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการจัดการกับความผิดปกติสำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินก็ตาม

นักกลยุทธ์ตลาดเงินของ SocGen (Societe Generale) ในฝรั่งเศสก็มองว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่นไม่น่าจะเข้ามาแทรกแซงในตลาด หากค่าเงินไม่เร่งตัวลงมาต่ำกว่าระดับ 85 เยนต่อดอลลาร์ แม้ในขณะนี้บรรดาเทรดเดอร์พยายามที่จะทดสอบให้ถึงระดับดังกล่าว

อย่างไรก็ดี แม้เงินดอลลาร์จะอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเยน แต่ถ้าหากเทียบกับเงินสกุลหลักๆ อื่นแล้ว ดอลลาร์กลับสามารถฟื้นตัวขึ้นได้ โดยเฉพาะภายหลังจากข่าวแผนการเลื่อนชำระหนี้ของดูไบ ซึ่งทำให้เงินไหลกลับเข้ามายังดอลลาร์อีกครั้ง ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและมีความเสี่ยงต่ำ


จีนตั้งเป้าลดปริมาณปล่อยคาร์บอน ต้อนรับประชุมโลกร้อน

ล่าสุด ประเทศผู้ปล่อยมลพิษรายใหญ่ที่สุดของโลก อย่าง จีน ก็ออกมาประกาศตั้งเป้าชะลอการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ ซึ่งถือเป็นการ “วอร์มอัพ”ก่อนที่จะมีการประชุมผู้นำโลกเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่กรุงโคเปนเฮเกนในอีกไม่ถึงสองสัปดาห์ข้างหน้า

การประกาศของยักษ์ใหญ่แดนมังกรนี้ ตามมาเพียงหนึ่งวันหลังจากที่ทางสหรัฐฯ เสนอลดการปล่อยมลพิษราว 17% ในช่วงสิบปีข้างหน้า โดยคณะรัฐมนตรีของจีน หรือ State Council ได้ออกแถลงการณ์ที่กรุงปักกิ่งเมื่อวานนี้ว่า ประเทศจะลดปริมาณคาร์บอนต่อหน่วยจีดีพีลง 40 – 45% ภายในปี 2563 เมื่อเทียบกับปี 2548

ด้านนักรณรงค์กลุ่ม Greenpeace China รายหนึ่งมองว่า แม้สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกจะเข้าขั้นวิกฤติ และจีนก็น่าจะมีมาตรการที่เข้มข้นกว่านี้ แต่ก็มองว่าการประกาศของรัฐบาลล่าสุดถือเป็นความคืบหน้าครั้งสำคัญของโลกอุตสาหกรรมยุคใหม่

เป้าหมายของการลดมลพิษที่ตั้งกันออกมาล่าสุด ก็ทำให้ประเทศที่มีเศรษฐกิจขยายตัวเร็วที่สุดในโลกรายนี้ มีจุดยืนและเหตุผลสำหรับการเข้าเจรจาในการประชุมที่กรุงโคเปนเฮเกน ที่จะเริ่มกันในวันที่ 7 ธันวาคม 2552 ซึ่งทั้ง นายกรัฐมนตรี เหวิน เจี่ย เป่า และประธานาธิบดี บารัค โอบามา คือหนึ่งในผู้นำของ 66 ประเทศทั่วโลกเป็นอย่างน้อย ที่มีจุดประสงค์ต้องการบรรลุข้อตกลงในกรอบสนธิสัญญารอบสุดท้าย ที่จะมาทดแทน “พิธีสารเกียวโต” หรือ Kyoto Protocol ปี 2540 ที่จะหมดอายุลงในปี 2555

การเจรจาที่นำไปสู่การประชุมครั้งสำคัญนี้ มีอุปสรรคเมื่อเหล่าประเทศอุตสาหกรรมและประเทศกำลังพัฒนาตกลงกันไม่ได้ในประเด็นอย่างเช่น เป้าหมายการลดมลพิษ และคำถามที่ว่าประเทศร่ำรวยควรจะต้องให้ความช่วยเหลือเป็นเม็ดเงินสักเท่าไหร่แก่ประเทศยากจนเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายนี้ ขณะที่จีนและอินเดียบอกว่า ประเทศอุตสาหกรรมต่างๆ ต้องตกลงที่จะลดปริมาณคาร์บอนลง 40% นับจากปี 1990 มาจนถึงปี 2020 ถ้าหากหวังว่าชาติที่ยากจนจะตอบตกลงกับเป้าหมายการลดมลพิษในระยะยาว

ก่อนหน้านี้เพียงหนึ่งวัน นาง Carol Browner ที่ปรึกษาของประธานาธิบดี โอบามา ทางด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม บอกว่า สหรัฐฯ จะเสนอลดการปล่อยปริมาณคาร์บอนลงในช่วงประมาณ 17% จากปี 2005 ถึงปี 2020 และนี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่ประเทศผู้นำโลกประกาศเป้าหมายไว้อย่างชัดเจน
money wake up
**********
25/11/52
ธนาคารกลางเวียดนามลดค่าเงินดองลง 5.2%

Posted on Wednesday, November 25, 2009
ธนาคารกลางเวียดนามประกาศลดค่าเงินดอง โดยให้มีผลบังคับใช้ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ค่ากลางของเงินดองลดลงประมาณ 5.2% มาอยู่ที่ระดับ 17,951 ดองต่อดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับวานนี้ที่ระดับ 17,034 ดองต่อดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้ ธนาคารกลางเวียดนามประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1% เป็น 8% จากเดิมที่ระดับ 7% โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม นี้เป็นต้นไป ซึ่งนับเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 11 เดือน เพื่อยับยั้งเงินเฟ้อ พร้อมกับประกาศลดช่วงการซื้อขายเงินดองลงสู่ระดับ 3% จากเดิมที่ระดับ 5% โดยให้มีผลในวันพรุ่งนี้

ที่ผ่านมาธนาคารกลางเวียดนามได้ตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 7% นับตั้งแต่เดือนมกราคม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลที่ระดับ 5% ส่วนในปีที่แล้ว เศรษฐกิจเวียดนามขยายตัว 6.2% ขณะที่อัตราการปล่อยสินเชื่อในรอบ 10 เดือนซึ่งสิ้นสุดในเดือนตุลาคมพุ่งขึ้นแตะ 33% ซึ่งมากกว่าเป้าหมายของรัฐบาลที่ 30%

สำหรับสัญญาณที่บ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อขยายตัวอย่างรวดเร็วเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันให้ธนาคารกลางเวียดนามตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยในวันนี้ เนื่องจากสำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคประจำเดือนพฤศจิกายนพุ่งขึ้น 4.35% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเป็นสถิติที่พุ่งขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม

ทั้งนี้ นายเหงียน ซินห์ ฮุง รองนายกรัฐมนตรีเวียดนาม บอกว่า ธนาคารกลางเวียดนามคาดการณ์ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค จะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วสู่ระดับ 6% ภายในปลายปีนี้
money news update
*********
25/11/52
IMF ขยายเงินกู้ให้ประเทศที่เผชิญวิกฤติการเงิน

Posted on Wednesday, November 25, 2009
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) ประกาศขยายวงเงินกู้เป็น 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมที่ 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับประเทศที่เผชิญวิกฤตการณ์ด้านการเงิน หลังจากชาติสมาชิก IMF รวมถึงจีน รัสเซีย บราซิล และอินเดีย มีมติเห็นชอบในการอัดฉีดเงินเข้าสู่กองทุน "New Arrangements to Borrow (NAB)" ของ IMF ในการประชุมที่วอชิงตันเมื่อวานนี้

นายโดมินิก สเตราส์-คาห์น ผู้อำนวยการ IMF บอกว่า การที่ IMF ตัดสินใจเพิ่มวงเงินกู้ให้กับประเทศที่ประสบวิกฤตการณ์การเงินในครั้งนี้ถือเป็นย่างก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงการพึ่งพาอาศัย และจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ IMF ในการตอบสนองวิกฤตการณ์ได้อย่างรวดเร็ว

IMF ระบุด้วยว่า การขยายวงเงินกู้ครั้งนี้ยังมากกว่าที่กลุ่มผุ้นำในที่ประชุม G20 ให้คำมั่นสัญญาเอาไว้

ทั้งนี้ วิกฤติการเงินโลกในรอบนี้รุนแรงมากจนทำให้หลายประเทศต้องการเงินทุนเอาไว้รองรับความต้องการในประเทศ และการขยายวงเงินกู้ของ IMF จะช่วยให้ระบบการเงินโลกมีเสถียรภาพ
money news update**********
25/11/52
การส่งออกญี่ปุ่นลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 พฤศจิกายน 2552 10:48 น.

การส่งออกของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยังคงลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 แต่กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า เมื่อเดือนตุลาคมการหดตัวของการส่งออก อยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบปี โดยลดลงร้อยละ 23.2 จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มีมูลค่าการส่งออกราว 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ เป็นผลจากภาวะตลาดโลกที่เริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะตลาดรถยนต์ และผลิตภัณฑ์เหล็ก สำหรับตลาดส่งออก เมื่อแยกตามภูมิภาค พบว่าการส่งออกไปยัวสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 27.6 และการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปลดลงร้อยละ 15 ขณะที่การส่งออกไปจีนลดลงร้อยละ 14.3
ส่วนการนำเข้าเมื่อเดือนตุลาคมลดลง 35.6 ทำให้ญี่ปุ่นเกิดดุลการค้ากว่า 8 แสนล้านเยน
manager online
**********
25/11/52
หุ้นติดลบ นักลงทุนกังวลแบงก์เพิ่มทุน - GDP สหรัฐฯ

นักลงทุนขายหุ้นทำกำไรกันออกมา ต่อเนื่องจากทางฝั่งตลาดเอเชียที่มีข่าวว่าธนาคาร 5 แห่งของจีนอาจต้องถูกบังคับให้มีการเพิ่มทุน ขณะที่ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF บอกว่า เท่าที่ผ่านมาธนาคารเปิดเผยตัวเลขการขาดทุนจากวิกฤติการเงินออกมาเพียงแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น

นอกจากนี้ รายงานเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ ก็คือ ตัวเลข GDP ปรับปรุงของไตรมาส 3 ก็ออกมาขยายตัว 2.8% ซึ่งลดลงจากที่เคยประกาศครั้งแรก ที่ 3.5% สาเหตุหลักก็เป็นเพราะการใช้จ่ายผู้บริโภคที่ต่ำกว่าคาด

หุ้นกลุ่มการเงินในดัชนี S&P 500 ถูกขายออกมา นำโดย JPMorgan Chase และ Bank of America เมื่อบริษัทประกันเงินฝาก หรือ FDIC ระบุว่า จำนวนสถาบันการเงินที่มีปัญหาในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 552 แห่งแล้วในไตรมาส 3 และในเวลาเดียวกัน มูลค่าเงินกองทุนที่ช่วยลูกค้าในกรณีแบงก์ล้ม ก็ลดลงเป็นตัวเลขติดลบแล้ว

อย่างไรก็ดี บรรยากาศการลงทุนทั้งที่ยุโรปและสหรัฐฯ ยังมีแรงหนุน เมื่อตัวเลขความเชื่อมั่นทางธุรกิจของเยอรมันพุ่งขึ้นมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดในเดือนพฤศจิกายน และขึ้นมาที่ระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือน ขณะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ลดช่วงลบลงในช่วงครึ่งหลังการซื้อขาย เมื่อรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินแสดงถึง การคาดการณ์แนวโน้มอัตราการว่างงานในประเทศที่ลดลงสำหรับปีนี้และปีหน้า โดยคาดว่าตัวเลขจะชะลอลงไปที่ 9.3 – 9.7% ในไตรมาส 4/53 จากที่เคยคาดไว้เมื่อกลางปีที่ผ่านมาว่าจะอยู่ที่ 9.5 – 9.8% แม้จะมีความเป็นห่วงว่า การที่อัตราดอกเบี้ยยืนอยู่ในระดับที่ต่ำมากเช่นนี้ต่อไป อาจจะสร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดการเก็งกำไรกันอย่างหนักในตลาดการเงิน และบิดเบือนภาพแนวโน้มเงินเฟ้อได้

นอกจากนั้น ก็มีปัจจัยบวกมาจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์ที่ระบุว่า ผลกำไรของบริษัทอเมริกันปรับตัวขึ้นในไตรมาส 3 ด้วยอัตราสูงที่สุดในรอบห้าปี นำโดย ธุรกิจธนาคารที่กำไรโตขึ้นมาถึง 36% หรือราว 97,000 ล้านเหรียญ ขณะที่ธุรกิจอื่นๆ กำไรเพิ่มขึ้น 2% หรือ 12,900 ล้านเหรียญ

เฟดเรียกแบงก์ส่งแผนจ่ายคืนหนี้โครงการ 7 แสนล้านเหรียญ

ผ่านกันมาได้สักพักแล้วสำหรับฝุ่นที่ตลบในภาคการเงินการธนาคารของสหรัฐฯ มาถึงตอนนี้ก็ถึงคราวที่เฟดได้เวลาส่งสัญญาณให้ธนาคารที่ผ่านการทดสอบสถานะการเงิน (Stress tests) ต้องยื่นแผนการจ่ายคืนหนี้ให้กับรัฐบาลที่เคยให้ความช่วยเหลือเมื่อครั้งวิกฤติการเงินกำลังสุกงอม

ทั้งสำนักข่าว Bloomberg และ Reuters รายงานว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ ขอให้สถาบันการเงินทั้ง 9 แห่งที่อยู่ในส่วนหนึ่งของการทำ Stress Tests ที่ผ่านมาในปีนี้ ส่งแผนการชำระคืนเงินช่วยเหลือและเพิ่มทุนที่ได้มาจากรัฐบาล โดยแผนการคืนเงินดังกล่าว ที่รวมถึงกำหนดการชำระเงิน ที่ Bank of America และธนาคารอีกแปดแห่งถูกขอให้ส่งมอบ ก็ยังได้มีการเปิดทางเลือกอื่นๆ ไว้ด้วย สำหรับการจ่ายเงินคืนเข้ากองทุน TARP หรือที่คุ้นเคยกันว่ามาตรการช่วยเหลือภาคการเงิน 7 แสนล้านเหรียญ ถ้าหากแบงก์สามารถทำการเพิ่มทุนและมีส่วนสำรองที่เหลือพอสำหรับเหตุที่ไม่คาดฝันในอนาคต

คำประกาศของเฟดนี้อาจสร้างแรงกดดันให้กับธนาคารที่พอใจกับความยืดหยุ่นของกำหนดการชำระคืนหนี้โครงการ TARP รวมถึงเงื่อนเวลาสบายๆ ที่เคยได้

และถ้าย้อนกลับไปดูความช่วยเหลือที่รัฐหยิบยื่นให้ด้วยความจำเป็น ธนาคารทั้ง 9 แห่งก็ได้รับเงินมาแล้วรวมกันกว่า 142,000 ล้านเหรียญ ภายใต้โครงการเจ็ดแสนล้านที่สภาคองเกรสเซ็นหนุนหลังให้นำออกมาใช้ได้ตั้งแต่ปี 2008 และแบงก์ที่ยังไม่จ่ายคืนหนี้ในโครงการนี้ ก็มี Bank of America, PNC, Citigroup, Fifth Third Bancorp, GMAC, KeyCorp, Regions Financial Corp., SunTrust Banks และ Wells Fargo

เฟดเองเคยเปิดเผยผลของการทำ Stress tests ไว้เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ตรวจสอบดูว่า ผู้ปล่อยกู้ขนาดใหญ่ทั้ง 19 แห่งของประเทศจะสามารถอยู่รอดได้หรือไม่ภายใต้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างช้าๆ และปัญหาการว่างงานที่รุนแรงมากกว่าคาด ซึ่งผลออกมาว่า มีแบงก์ทั้งสิ้น 10 แห่ง ที่รวมถึง Bank of America, Wells Fargo และ Citigroup ที่จำเป็นต้องเพิ่มระดับทุนของตนเอง

อย่างไรก็ดี มีเงื่อนไขที่สำคัญอีกข้อที่กฏหมายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ได้กำหนดไว้ ก็คือ ธนาคารที่จะจ่ายคืนหนี้ได้ จะต้องผ่านการระดมทุนมาเองอย่างเรียบร้อย ซึ่งนับตั้งแต่นั้น ก็มีบางธนาคาร อย่างเช่น Goldman Sachs Group, Morgan Stanley และ JPMorgan Chase ที่นำเงินมาจ่ายคืนหนี้กองทุน TARP ด้วยฐานเงินทุนที่เพิ่มขึ้นและปราศจากเงินของรัฐบาล

ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเยอรมันทำ New-Hi รอบ 15 เดือน

ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจประจำเดือนพ.ย.ของเยอรมนีพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือน สูงกว่าการคาดการณ์และทำสถิติเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8

หลังจากรัฐบาลเยอรมนีใช้มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจวงเงิน 85,000 ล้านยูโร (127,000 ล้านดอลลาร์) ซึ่งช่วยหนุนเศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวขึ้นจากภาวะถดถอย

สถาบัน Ifo เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี ซึ่งได้จากการสำรวจความเห็นผู้บริหารราว 7,000 คน ปรับตัวสูงขึ้นจากระดับ 91.9 ในเดือนต.ค. สู่ระดับ 93.9 ในเดือนพ.ย. โดยดัชนีดังกล่าวเคยร่วงลงไปอยู่ที่ระดับ 82.2 ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 26 ปี

ทั้งนี้ เศรษฐกิจเยอรมนีในไตรมาส 3/52 ขยายตัว 0.7% จากไตรมาส 2 เนื่องจากยอดส่งออกสินค้าปรับตัวสูงขึ้น และบริษัทหลายแห่งเพิ่มกำลังการผลิตและการลงทุน ขณะที่อุตสาหกรรมการผลิตในเดือนพ.ย.ขยายตัวเป็นเดือนที่ 2 และดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีพุ่งสูงขึ้น 19% ในปีนี้

อย่างไรก็ตาม อัตราว่างงาน การแข็งค่าของเงินยูโร และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลมูลค่า 85,000 ล้านยูโร (127,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ที่เริ่มครบกำหนดหมดอายุ อาจฉุดรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้า

นอกจากนี้ รัฐบาลได้ปรับเพิ่มแนวโน้มเศรษฐกิจเมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวที่ประมาณ 1.2% ในปี 2553 หลังจากที่หดตัว 5% ในปีนี้

ADB เตือนเอเชียระวังเงินไหลเข้า-แนะพัฒนาตลาดพันธบัตร

ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) เปิดเผยว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว / การแข็งค่าขึ้นอย่างมากของค่าเงิน และอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าในประเทศเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออก จะดึงดูดเม็ดเงินจากต่างชาติจำนวนมาก ซึ่งเงินที่ไหลเข้าอาจจะทำลายเสถียรภาพได้

ประเทศเอเชียตะวันออกในที่นี้ หมายรวมถึง จีน ฮ่องกง อินโดนิเซีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม

คำกล่าวของ ABD ระบุว่า เงินทุนไหลเข้าเหล่านี้ ประกอบกับสภาพคล่องจำนวนมากในประเทศ นโยบายการเงินที่ยังคงผ่อนคลายอยู่ และอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความยืดหยุ่นเพียงเล็กน้อยในภูมิภาคนี้ อาจสร้างความท้าทายสำคัญสำหรับการบริหาร ศก.มหภาค

หนี้ค้างชำระทั้งหมดในตลาดพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นของประเทศเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออก ได้เพิ่มขึ้น 14.8% สู่ระดับ 4.2 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับ Q3/52

อัตราการเพิ่มขึ้นอย่างมากดังกล่าวสะท้อนถึงความต้องการเงินทุน สำหรับโครงการกระตุ้นทางการคลังของรัฐบาล รวมทั้งความต้องการเงินทุนของภาคเอกชนในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาย และพลังงาน

นอกจากนี้ ADB ยังได้ผลักดันให้รัฐบาลในเอเชียพัฒนาตลาดพันธบัตรภายในประเทศต่อไป เพื่อลดเม็ดเงินในคลังสำรองที่มีอยู่มากเกินไป

หลังจากที่รัฐบาลนำเงินดังกล่าวไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำในต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นภาวะไร้สมดุลที่มีการกล่าวโทษกันว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก

ปินทุ โลฮานี รองประธานฝ่ายการเงินและจัดการของ ADB กล่าวว่า ตอนนี้มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มการออกพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่น ตลอดจนการใช้มาตรการต่างๆเพื่อผลักดันให้นักลงทุนสถาบันและต่างชาติเข้ามาซื้อพันธบัตรของเอเชีย และปรับปรุงกรอบนโยบายและการกำกับดูแล เพื่อที่นักลงทุนจะได้มีความสบายใจในการลงทุนในตลาดภูมิภาคเอเชีย ซึ่ง ADB พร้อมที่จะสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว

รองประธานฝ่ายการเงินกล่าวต่อไปว่า ตลาดทุนที่คึกคักเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับการกระจายการลงทุนเพื่อสนับสนุนการลงทุนในระยะยาวและการรักษาระดับการขยายตัวให้อยู่ในระดับสูงต่อไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลา แต่ ADB คาดหวังว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้
**********
ออสเตรเลียเล็งช่วยธุรกิจถ่านหิน-ไฟฟ้า

รัฐบาลออสเตรเลียได้เสนอแนวทางในการสนับสนุนกลุ่มผู้ผลิตถ่านหินและไฟฟ้าของประเทศ เพื่อที่แผนการซื้อขายปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะได้รับเสียงสนับสนุนจากฝ่ายค้าน

การให้ความช่วยเหลือแก่ธุรกิจและบริษัทที่มีแนวโน้มว่าจะได้รับผลกระทบจากการนำโครงการซื้อขายปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาใช้จะอยู่ที่ประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือ 6,400 ล้านดอลลาร์

นายเควิน รัดด์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียกล่าวในการแถลงข่าวเรื่องการประกาศข้อตกลงนี้ว่า ออสเตรเลียจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศก่อนใครและหนักสุด ดังนั้นความรับผิดชอบในเรื่องนี้คือ การลงคะแนนเสียงเพื่อให้มีการดำเนินการและแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

บลูมเบิร์กรายงานว่า ข้อเสนอดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ได้มีการเจรจาต่อรองระหว่างรัฐบาลและฝ่ายค้าน ซึ่งนับรวมถึงพรรคลิเบอรัลและเนชั่นแนล

อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ยังต้องมีการหารือกันอีกว่าจะให้การสนับสนุนเพื่อปรับเปลี่ยนเนื้อหาใดๆรวมทั้งตัวข้อเสนอหรือไม่

วุฒิสภาออสเตรเลียไม่ได้ให้เสียงสนับสนุนกฎหมายเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศดั้งเดิมที่นายกรัฐมนตรีได้นำเสนอไปเมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ออสเตรเลียซึ่งเป็นประเทศที่ส่งออกถ่านหินรายใหญ่สุดของโลกนั้น ได้เสนอให้มีการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 5% เหลือ 15% จากระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2543 ในช่วง 10 ปีข้างหน้า

นักกฎหมายบางคนได้หาทางที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่านี้ ขณะที่นักกฎหมายบางกลุ่มกล่าวว่า แผนการดังกล่าวสร้างความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจของออสเตรเลีย โดยปราศจากการรับประกันว่ากฎมายจะช่วยบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างไร ซึ่งนายกฯออสเตรเลียจำเป็นต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากวุฒิสมาชิก 7 รายเพื่อผ่านความเห็นชอบกฎหมายดังกล่าวในวุฒิสภา

ทรูเอ็นเนอร์จี พีทีวาย ซัพพลายเออร์พลังงานเปิดเผยว่า กฎหมายเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์นั้นถือเป็นหายนะสำหรับเศรษฐกิจในรัฐวิคตอเรีย และอาจจะทำให้อุตสาหกรรมไฟฟ้าย่ำแย่ลง

ทั้งนี้ นายกฯออสเตรเลียต้องการให้มีการอนุมัติแผนการณ์ดังกล่าวก่อนหน้าการประชุมว่าด้วยสภาพอากาศของสหประชาชาติ ที่กรุงโคเปนเฮเกน ของเดนมาร์กในเดือนหน้า ซึ่งจะมีการออกกฎหมายออกมาเพื่อกำหนดเงื่อนไขในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2554
money wake up***********
24/11/52
ยุโรปพ้นถดถอย
เศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัวแล้ว หลังจีดีพีเติบโตติดต่อกัน 2 ไตรมาส ด้านจีนร้อนแรง คาดไตรมาส 4 ทะลุ 10% ปีหน้าทั้งปีโตรวดเลข 2 หลัก

นักวิเคราะห์ เปิดเผยว่า สหภาพยุโรป (อียู) จะสามารถหลุดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 70 ปี โดยคาดการณ์ว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของอียูช่วงไตรมาส 3 จะขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ซึ่งหากเศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้ในระยะ 2 ไตรมาสติดต่อกัน นับเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการสิ้นสุดของภาวะเศรษฐกิจถดถอย ดังที่หลายประเทศทั่วโลกสามารถสลัดหลุดจากภาวะดังกล่าวได้แล้ว โดยเฉพาะในเอเชีย
ทั้งนี้ เศรษฐกิจอียูช่วงไตรมาส 2 ขยายตัวที่ 0.2% หลังจากตดลบติดต่อกันถึง 5 ไตรมาส และคาดว่าในไตรมาส 3 สมาชิกอียูในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกจะขยายตัวแซงหน้ากลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก ไม่เพียงเท่านั้นยุโรปตะวันออกยังเป็นภูมิภาคที่ขยายตัวช้าที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ด้านบริษัท มาร์คิต ได้ทำการสำรวจความเห็นของผู้บริหารใน 16 ประเทศของกลุ่มยูโรโซน พบว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (พีเอ็มไอ) ปรับขึ้นมา 53.7 จุด ในเดือนนี้ จาก 53 จุด เมื่อเดือนต.ค. หลังจากที่ดัชนีพีเอ็มไอของกลุ่มยูโรโซนสามารถยุติภาวะติดลบได้เป็นครั้งแรกในรอบ 14 เดือน เมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ภาคการผลิตขยายตัวเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันที่ 51 จุด จาก 50.7 จุด ขณะที่ภาคบริการขยายตัวทำลายสถิติเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน ที่ 53.2 จุด จาก 52.6 จุด

อย่างไรก็ตาม บริษัททั่วยุโรปยังคงปลดพนักงานอย่างต่อเนื่องเพื่อลดต้นทุนและกระตุ้นรายได้ ส่งผลให้ตัวเลขว่างงานของยุโรปพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 9.7% ช่วงเดือนก.ย. นับเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2542

ด้านความเคลื่อนไหวของเงินยูโร ล่าสุดยังคงแข็งค่าต่อเงินเหรียญสหรัฐ โดยแข็งค่าขึ้นมาถึง 18% แล้ว นับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนก.พ. กลายเป็นปัจจัยคุกคามต่อการฟื้นตัว และกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทสัญชาติยุโรปด้วย
posttoday**********
23/11/52
ธนาคารในแคนาดาเริ่มมีกำไรครั้งแรกในรอบ 2 ปี

Posted on Monday, November 23, 2009
นักวิเคราะห์จากแมคควอรี แคปิตอล มาร์เก็ตส์ สุมิต มัลโฮตรา คาดการณ์ว่า ธนาคารรายใหญ่ในแคนาดาอาจรายงานผลกำไรเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี หลังจากยอดขายและรายได้จากการซื้อขายหุ้น พุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเป็นผลมาจากราคาหุ้นพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา

ธนาคารรายใหญ่ของแคนาดาที่มีกำหนดจะรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ในวันพรุ่งนี้คือ แบงค์ ออฟ มอนทรีอัล ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่อันดับ 4 ของแคนาดาเมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์ ตามด้วย รอยัล แบงค์ ออฟ แคนาดา ซึ่งเป็นสถาบันการเงินปล่อยกู้รายใหญ่สุดของแคนาดา และแคนาเดียน อิมพีเรียล แบงค์ ออฟ คอมเมิร์ซ โดยคาดว่าผลกำไรของธนาคารเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 15%

สำนักงานสถิติแห่งชาติแคนาดารายงานว่า อัตราว่างงานของแคนาดามีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 11 ปีที่ระดับ 8.6% ทำให้ตัวเลขการปล่อยเงินกู้เพื่อผู้บริโภคปรับตัวลดลง แต่การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นช่วยให้ผลประกอบการของธนาคารดีดตัวขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายได้จากการซื้อขายหุ้นและค่าธรรมเนียมการขายหุ้น
money news update***********
23/11/52
จับตาหุ้น-ทอง นักลงทุนเก็งตัวเลขตลาดบ้านอเมริกาทำสถิติใหม่

ตลาดหุ้นทั่วโลกแผ่วแรงลงในสัปดาห์ที่แล้ว เริ่มจาก Emerging markets ที่มีแรงขายเข้ามาตามราคาน้ำมันและค่าเงินที่อ่อนแรงลง ขณะอีกทางหนึ่งยังเป็นผลมาจากท่าทีของประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ออกมาบอกว่าจะค่อยๆ ถอนมาตรการอัดฉีดเงินฉุกเฉินออกจากระบบ ซึ่งก็เป็นปัจจัยฉุดตลาดหุ้นยุโรปด้วยเช่นกัน

ทางด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯฯ นักลงทุนก็เริ่มวิตกในแนวโน้มของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นำโดย ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิพคอมพิวเตอร์ Intel ที่ราคาหุ้นในสัปดาห์ที่แล้วร่วงลงเกือบ 3% ขณะ Dell ราคาหุ้นดิ่งลงกว่า 7% หลังบริษัทรายงานกำไรไตรมาสล่าสุดปรับตัวลงมากกว่าครึ่ง

นอกจากนั้น หุ้นอเมริกาในภาพรวมยังเป็นไปตามสภาวะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือนที่กลับมาติดลบเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ตลาดการเงินตกอยู่ในสภาพถูกแช่แข็งเมื่อปีที่แล้ว

นักวิเคราะห์ของ Bank of America ปรับลดคำแนะนำการลงทุนของหุ้นผู้ผลิตชิพรายใหญ่ที่สุดของโลก Intel และเบอร์สองในสหรัฐฯฯ อย่าง Texas Instruments รวมถึง ทั้งกลุ่มอุตสาหกรรม Semiconductor ด้วย และนอกจากตลาดจะเจอแรงขายของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีแล้ว ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเรื่องราคาหุ้นโดยรวมที่บวกขึ้นมาสูงเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานรองรับ

อย่างไรก็ดี สำหรับหุ้นอีกส่วนหนึ่งก็กลับได้อานิสงส์จากราคาทองคำ รวมถึงทองแดง ที่เดินหน้าบวกอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ราคาหุ้นของผู้ผลิตสินค้าจำพวกวัตถุดิบอุตสาหกรรมวิ่งขึ้นตาม โดยราคาทองคำเมื่อสัปดาห์ที่แล้วบวกขึ้นไปทำสถิติที่ 1,153.40 เหรียญต่อออนซ์ ตามมุมมองของนักลงทุนที่เก็งกันว่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าทำสถิติใหม่

สัปดาห์นี้ หลายคนกำลังจับตามองผลประกอบการของเจ้าตลาดแห่งวงการคอมพิวเตอร์ อย่าง Hewlett-Packard ไปจนถึงผู้ผลิตเครื่องจักรที่ใช้ในภาคเกษตรรายใหญ่ของโลก ซึ่งก็คือ บริษัท Deere & Co. และนอกจากนั้น ตลาดบ้านสหรัฐฯฯ จะสามารถสร้างเซอร์ไพร์สได้หรือไม่ ก็ต้องรอดูที่ตัวเลขยอดขายบ้านที่สร้างเสร็จในเดือนตุลาคม ที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบมากกว่า 2 ปี
*************
ประธานาธิบดีสหรัฐฯเชื่อ “ส่งออก” เป็นกุญแจฝ่าวิกฤติ

ประธานาธิบดีสหรัฐฯฯ ระบุภารกิจเยือนเอเชียประสบความสำเร็จอย่างงดงาม นับว่าเป็นการเยือนเอเชียอย่างเป็นทางการครั้งแรก หลังได้เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี

ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวผ่านรายการวิทยุประจำสัปดาห์เมื่อวันเสาร์ ระบุถึงภารกิจเยือนภูมิภาคเอเชียอย่างเป็นทางการครั้งแรก นาน 8 วัน ตั้งแต่กรุงโตเกียวถึงกรุงโซล โดยชี้ให้ชาวอเมริกันเห็นว่าภูมิภาคเอเชียคือ สถานที่ที่สหรัฐฯต้องซื้อสินค้าและต้องเพิ่มความเกี่ยวข้องทางการค้ามากกว่าภูมิภาคอื่นของโลก เพราะนั่นจะช่วยสร้างงานให้กับชาวอเมริกันอีกหลายล้านคน

โอบามากล่าวว่า การเพิ่มความสามารถในการส่งออก เป็นหนึ่งในหนทางที่จะช่วยสนับสนุนการสร้างงานในเกิดขึ้นในสหรัฐฯ

สหรัฐฯกำลังเร่งฟื้นเศรษฐกิจ ขณะที่จีนคือเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯด้วยมูลค่ามากกว่า 800,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ดังนั้นสหรัฐฯต้องรักษาความสัมพันธ์กับจีน ไม่เฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ หากยังต้องร่วมมือกันแก้ปัญหาโลกร้อน และร่วมผลประโยชน์กันด้านความมั่นคงของโลกด้วย

ตัวเลขการว่างงานในสหรัฐฯ ยังคงเพิ่มสูงขึ้นในเดือน ตุลาคม โดยเพิ่มเป็นตัวเลข 2 หลัก คือ 10.2% นับว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2526

โอบามาให้คำมั่นว่าจะมุ่งให้ความช่วยเหลือ การสร้างงาน เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้สหรัฐฯหลุดพ้นออกจากปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบัน และทางภาครัฐก็มีแผนที่จะประชุมหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อหานโยบายต่างๆ ในการช่วยหนุนการขยายตัวของยอดการจ้างงาน

ในการกล่าวครั้งนี้ โอบามา ได้พูดถึงอัตราการขยายตัวของสหรัฐฯ ในไตรมาส 3 ที่โต 3.5% นั้นเป็นการเดินมาอย่างถูกทาง หลังจากที่รัฐบาลใช้มาตรการกระตุ้น ศก. ด้วยเม็ดเงิน 787,000 ดอลลาร์ในเดือน กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พร้อมกับยังยืนยันว่าจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป จนกว่าจะเห็นสัญญาณที่ภาคธรุรกิจจ้างงานอย่างแท้จริง


EU เลือกนายกฯ เบลเยียมเป็นประธานคนแรก

กลุ่มผู้นำจากสหภาพยุโรป (EU) มีมติอย่างเป็นเอกฉันท์เลือก แฮร์มัน ฟาน รอมปุย นายกรัฐมนตรีเบลเยียม ให้ดำรงตำแหน่งประธานของกลุ่ม ส่งผลให้เขาเป็นประธานคนแรกที่ทำหน้าที่แบบเต็มเวลา ไม่ใช่แบบผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเหมือนที่ผ่านมา

นอกจากนั้น ในการประชุมนัดพิเศษ ผู้นำจาก 27 ประเทศสมาชิกยังมีมติแต่งตั้งบารอนเนส แคเธอรีน แอชตัน ตัวแทนจากอังกฤษ ให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าด้านนโยบายต่างประเทศของ EU แทนที่นายฮาเวียร์ โซลานา โดยบารอนเนสแอชตันเป็นตัวแทนการค้าของ EUมาตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว

การตัดสินใจดังกล่าวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวว่า การแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งครั้งนี้จะช่วยให้ EUมีความแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งขึ้นในการร่วมมือกันพัฒนาความมั่นคงและสร้างความรุ่งเรืองให้กับทั่วโลก

ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ แสดงความพร้อมที่จะทำงานร่วมกับนายฟาน รอมปุย และบารอนเนส แอชตัน ทั้งในเรื่องการแก้ปัญหานิวเคลียร์ การสร้างความมั่นคงในอัฟกานิสถาน และการสร้างความสงบในตะวันออกกลาง

โฮเซ มานูเอล บาร์โรโซ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ก็เห็นด้วยกับการแต่งตั้งดังกล่าว พร้อมยืนยันว่าไม่มีผู้ใดที่เหมาะสมกับตำแหน่งเท่านี้แล้ว

นายกรัฐมนตรีอังเกล่า แมร์เคล ของเยอรมนี กล่าวว่า EU ได้ผู้นำคนใหม่ที่มีความสามารถทางการเมืองและจะนำความสมานฉันท์มาสู่ EU

ประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซี ของฝรั่งเศส กล่าวว่า สมาชิก EU ฉลาดมากที่ตัดสินใจเลือกผู้นำจากประเทศที่มีความสำคัญแต่ไม่ได้สำคัญที่สุด ทำให้ไม่มีใครรู้สึกว่าถูกกีดกัน

ท่ามกลางเสียงสนับสนุน ปรากฏว่ามีผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการแต่งตั้งครั้งนี้ไม่น้อย เนื่องจากมองว่าทั้งฟาน รอมปุย และ บารอนเนส แอชตัน มีประสบการณ์ด้านนโยบายต่างประเทศไม่มากเท่าที่ควร และถือว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญน้อยกว่ามาก เมื่อเทียบกับผู้ท้าชิงคนอื่นๆที่ได้มีการคาดการณ์กันไว้แต่เดิม อาทิ อดีตนายกรัฐมนตรีโทนี่ แบลร์ของอังกฤษ

โอเนอร์ ออยเมน สมาชิกรัฐสภาตุรกี กล่าวว่า การที่นายฟาน รอมปุย ได้ดำรงตำแหน่งประธาน EU อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีและ EU รวมถึงโอกาสที่ตุรกีจะได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก EU เนื่องจากเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วนายฟาน รอมปุย เคยต่อต้านมิให้ตุรกีเข้าเป็นสมาชิก EU ด้วยเหตุผลด้านศาสนาและวัฒนธรรม

อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีกอร์ดอน บราวน์ของอังกฤษ ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าบารอนเรสแอชตันไม่มีอิทธิพลมากพอ และกล่าวว่าการแต่งตั้งบารอนเนสถือเป็นเรื่องดีเพราะถือว่าเธอเป็นตัวแทนของอังกฤษ


ECB เตรียมผ่อนสภาพคล่องจากระบบกันเงินเฟ้อ

ฌอง-คล้อด ทริเชต์ กล่าวว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะค่อย ๆ ถอนเงินสดฉุกเฉินที่ธนาคารได้อัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ

นายทริเชต์กล่าวในการแถลงข่าวที่นครแฟรงค์เฟิร์ตเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ว่า ขณะนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการหนุนสภาพคล่องทั้งหมดเหมือนกับที่ผ่านๆมา โดยมาตรการที่ไม่ได้มาตรฐานซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านราคาจะต้องถูกยกเลิกโดยทันทีและอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ แม้เศรษฐกิจยูโรโซน หรือ ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร 16 ประเทศจะสามารถหลุดพ้นจากภาวะถดถอยครั้งเลวร้ายที่สุดนับแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ ด้วยอัตราการขยายตัวที่ 0.4% ในไตรมาส 3 แต่ภาวะสินเชื่อที่ตึงตัว ตลอดจนมาตรการกระตุ้นทางการเงินที่หมดอายุลง ตัวเลขว่างงานที่สูงขึ้น และเงินยูโรที่แข็งค่า อาจเป็นอุปสรรคบั่นทอนการขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพได้


BOJ คงอัตราดอกเบี้ย-ยกระดับการประเมินเศรษฐกิจ

คณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.1% ในการประชุมระยะเวลา 2 วันที่เสร็จสิ้นลงในวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่

นอกจากนี้ BOJ ยังยกระดับการประเมินเศรษฐกิจเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน โดยระบุว่า "เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวขึ้น" ซึ่งถือเป็นการประเมินในทิศทางที่บวกมากขึ้นเมื่อเทียบกับการประเมินครั้งก่อนที่ระบุว่า "เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น"

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่าการประกาศคงอัตราดอกเบี้ยและการยกระดับการประเมินเศรษฐกิจของ BOJ มีขึ้น หลังจากนายนาโอโตะ คัง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจและการคลังญี่ปุ่น ออกแถลงการณ์ว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะเงินฝืดเต็มตัวแล้ว และร้องให้ BOJ เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการยับยั้งปัญหาเงินฝืด ขณะที่นักการเมืองหลายคนในญี่ปุ่นเรียกร้องให้ BOJ แก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้น

นายฮิโรชิสะ ฟูจิอิ รมว.คลังญี่ปุ่นกล่าวว่า เขารู้สึกวิตกกังวลอย่างยิ่งต่อภาวะเงินฝืดในญี่ปุ่น และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าญี่ปุ่นจะหลุดพ้นจากภาวะเงินฝืดได้เมื่อใด ซึ่งแม้ว่ารัฐบาลใช้มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายภาคสาธารณะไปในช่วงก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่แข็งแกร่งพอที่จะหนุนดัชนีราคาผู้บริโภคและราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นได้

บรรดานักวิเคราะห์ต่างให้ความเห็นว่า ภาวะเงินฝืดที่เกิดขึ้นภายในประเทศอาจทำให้บีโอเจไม่มีทางเลือกอื่นๆนอกจากการคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ต่อไปอีกระยหนึ่ง และมีความเป็นได้ที่รัฐบาลญี่ปุ่นจะขอให้บีโอเจซื้อพันธบัตรมากขึ้น

GDP ประจำไตรมาส 3 ของญี่ปุ่น ขยายตัวในอัตรา 4.8%ต่อปี ซึ่งเป็นสถิติที่ขยายตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส และเป็นการขยายตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 2 ปี แต่ดัชนีราคาผู้บริโภคของญี่ปุ่นดิ่งลงหนักสุดในรอบ 51 ปี ซึ่งบ่งชี้ว่าแม้เศรษฐกิจขยายตัวขึ้น แต่ญี่ปุ่นยังไม่หลุดพ้นจากภาวะเงินฝืด


ปัญหาการเมืองรัสเซีย ส่อเค้าบานปลาย

ผู้นำรัสเซียตำหนิพรรคฝ่ายรัฐบาลให้หยุดแทรกแซงเลือกตั้งท้องถิ่น รัสเซีย เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีรัสเซีย ตำหนิพรรคการเมืองฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลให้หยุดแทรกแซงการเลือกตั้งท้องถิ่น

ประธานาธิบดีดมิทรี เมดเวเดฟ แห่งรัสเซีย กล่าวตำหนิ พรรคการเมืองฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล หรือพรรคยูไนเต็ด รัสเซีย ซึ่งนำโดยนายกรัฐมนตรีวลาดิมีร์ ปูติน (ผู้ผลักดันนายเมดเวเดฟ ให้ได้ขึ้นนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดี) โดยนายเมดเวเดฟ ขอให้พรรคการเมืองฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลหยุดแทรกแซงการเลือกตั้งท้องถิ่น เพราะเชื่อว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่ของพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่งหรือหลายพรรคทั้งฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน แต่ประชาธิปไตยเป็นของประชาชนทุกคน

ท่าทีของนายเมดเวเดฟครั้งนี้ ถือได้ว่าแข็งกร้าวที่สุด และถือว่ากำลังท้าทายนายกรัฐมนตรีวลาดิมีร์ ปูติน ส่วนการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งหน้าจะมีขึ้นในปี 2555

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีเมดเวเดฟกล่าวในการแถลงนโยบายและผลงานประจำปีต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา เรียกร้องให้รัสเซียยุติการพึ่งพาการส่งออกน้ำมันและปรับปรุงระบบเศรษฐกิจให้มีความทันสมัย ซึ่งนักวิเคราะห์บางคนกล่าวว่าคำกล่าวของประธานาธิบดีเมดเวเดฟเป็นการท้าทายต่อนายกรัฐมนตรีปูติน

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีปูตินยังแถลงตัวเลขเศรษฐกิจว่า เศรษฐกิจรัสเซียอาจหดตัว 8-8.5% ในปีนี้ ซึ่งเป็นตัวเลขที่เลวร้ายกว่าในหลาย ๆ ประเทศ แต่ขณะเดียวกัน ก็ได้รับปากว่า รัฐบาลจะยังคงให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจต่อไป
money wake up
*************
20/11/52
หุ้นสหรัฐฯ ถอยหลังนักลงทุนหวั่นตลาดร้อนเกินไป

ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับลดลง เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าตลาดหุ้นนั้นมีความร้อนแรงเกินกว่าการคาดหมายทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยการปรับตัวขึ้นของตลาดถึง 68% ในช่วงที่ผ่านมานั้น ทำให้ดัชนี MSCI World Index ขึ้นไปอยู่ที่ระดับที่แพงที่สุดในรอบ 7 ปีเลยทีเดียว

ขณะที่ แบงก์ออฟอเมริกาได้ดาวเกรดความน่าลงทุนหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิพเซมิคอนดัคเตอร์ จาก buy เป็น Neutral เนื่องจากประเมินแล้วว่า ปริมาณอุปทานของสินค้าจะเติบโตเร็วกว่าความต้องการที่แท้จริง ทำให้หุ้นอย่าง อินเทลและ เท็กซัสอินสตรูเม้นท์ปรับจวลดลงเมื่อคืนนี้ประมาณ 3-4%

ส่วนดอลลาร์และเยนที่แข็งค่าขึ้นทำให้มีแรงขายหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ โดยหุ้นกลุ่มพลังงงานใน S&P 500 ปรับลดลง 2.1% และ หุ้นกลุ่มเทคโน ปรับลดลง 1.6% นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มธนาคารก็ปรับลดลงด้วย เนื่องจากตลาดยังคงเป็นกังวลเกี่ยวกับปัญหาการตัดหนี้สูญ

หุ้นยุโรปและเอเชียปรับลดลง หลังจากที่ผู้ผลิตโยเกิร์ตรายใหญ่อย่าง ดานอน ออกมาปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของบริษัท

ส่วนตลาดหุ้นเอเชียก็ปรับลดลงด้วย โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับลดลง นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์มิซูโฮ อินเวสเตอร์ส กล่าวว่า นักลงทุนวิตกกังวลว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคการเงินของญี่ปุ่นอาจทำให้ธนาคารพาณิชย์พากันระดมทุนด้วยการขายหุ้น ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลให้มูลค่าหุ้นอ่อนตัวลง

ส่วนการรีบาวด์ของดอลลาร์จากระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือนทำให้นักลงทุนแห่เทสัญญาล่วงหน้าน้ำมัน ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับดีมานด์ หรือ ความต้องการในน้ำมันกลั่น หลังจากทีอากาศในสหรัฐฯ ไม่ได้หนาวเย็นอย่างที่คิด ส่วนทองคำล่วงหน้าราคาปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อคืนนี้


OECD ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจปีหน้า

องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ได้เปิดเผยรายงานการคาดการณ์เศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วในปีหน้าว่าจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น และยังขยายตัวต่อเนื่องไปยังปี 2554 หลังจากเศรษฐกิจจีนและกลุ่มประเทศเกิดใหม่มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ดีและส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

เศรษฐกิจของประเทศสมาชิก 30 ประเทศของ OECD น่าจะขยายตัวได้ 1.9% ในปีหน้า และ 2.5% ในปี 2554 ส่วนปีนี้จะมีการหดตัวลง 3.5%

ขณะที่เศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปนั้นจะสามารถกลับมาขยายตัวได้ในปีหน้า โดยในรายงานระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัว 2.5% ในปี 2553 (คาดการณ์ก่อนหน้าในเดือน มิ.ย. ที่ขยายตัว 0.9%) ส่วนเศรษฐกิจในแถบยุโรปจะขยายตัว 0.9% ในปีหน้า ขณะที่ญี่ปุ่นจะเติบโตในอัตรา 1.8% ในปี 2553 และจีนจะสามารถขยายตัวได้ถึง 10.2%

ส่วนปี 2554 เศรษฐกิจสหรัฐฯจะขยายตัวได้ 2.8% ยุโรป 1.7% ญี่ปุ่น 2% และจีน 9.3%

อังเกล เกอร์เรีย เลขาธิการ OECD กล่าวในการแถลงข่าวที่กรุงโตเกียว เนื่องในการเปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจล่าสุดในวันนี้ว่า "ข่าวดีก็คือ การฟื้นตัวที่เริ่มต้นขึ้นในบางภูมิภาคเมื่อตอนต้นปีนี้ ได้แผ่อิทธิพลมาถึง OECD แล้วในท้ายที่สุด"

อย่างไรก็ตาม เกอร์เรียเตือนว่า ยังคงมีความเสี่ยงหลายประการต่อการฟื้นตัว และคาดว่าการฟื้นตัวยังคงเปราะบางไปอีกสักระยะหนึ่ง

นายจอร์เก้น เอลเมคอฟ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ OECD กล่าวว่า ณ ปัจจุบันเราได้เห็นสัญญานถึงการฟื้นตัวหลายประการ แต่จะเป็นการฟื้นตัวอย่างช้าๆ เพราะยังคงมีปัญญาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับความมั่งคั่งของภาคครัวเรือน ภาคเอกชน และ ภาคการเงิน นอกจากนี้ความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้นนอก OECD นั้นจะดูสดใสมากกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย เพราะประเทศเหล่านี้ ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากราคาสินทรัพย์ที่ร่วงหล่นลงมากนัก

ทั้งนี้การขยายตัวที่เชื้องช้าของประเทศ OECD นั้นจะยังคงทำให้ธนาคารกลางนั้น ระมัดระวังในการใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดขณะที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว โดยมีการประเมินกันว่าอัตราการว่างงานของประเทศ OECD นั้นจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 9% ในปี 2553


มูดีส์ประกาศทบทวนตราสารหนี้แบงค์ทั่วโลก

สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ออกแถลงการณ์ทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ของธนาคารพาณิชย์ทั่วโลก

มูดีส์อาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ด้อยสิทธิและตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน (hybrid) จำนวน 775 รายการที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ 170 แห่ง ใน 36 ประเทศทั่วโลก คิดเป็นมูลค่ารวมกัน ราว 4.50 แสนล้านดอลลาร์ รวมถึงตราสารหนี้ที่ออกโดยโกลด์แมน แซคส์, ซิตี้กรุ๊ป และเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค

แถลงการณ์ของมูดีส์ระบุว่า การทบทวนอันดับเครดิตตราสารหนี้ครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อธนาคารทั่วโลก อย่างไรก็ตาม มูดีส์ได้พิจารณาทบทวนโดยอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ของธนาคารเหล่านี้ หลังจากมูดีส์ปรับเปลี่ยนวิธีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ใช้กับหลักทรัพย์ประเภทนี้

ทั้งนี้ มูดีส์คาดว่า ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุนที่อาจได้รับผลกระทบในครั้งนี้นั้น ตราสาร 40% อาจได้รับการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง 1-2 ขั้น ขณะที่ 50% อาจได้รับการปรับลดอันดับลง 3-4 ขั้น และตราสารที่เหลืออาจได้รับการปรับลดอันดับ ลง 5 ขั้นหรือมากกว่านั้น

มูดีส์คาดว่าจะทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารเหล่านี้ให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือนข้างหน้า และจะประกาศผลการทบทวนแต่ละรายการขั้นตอนทุกอย่างแล้วเสร็จ

บลูมเบิร์กรายงานว่า การประกาศทบทวนครั้งนี้มีขึ้นหลังจากสถาบันการเงินทั่วโลกขาดทุนรวมกันกว่า 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ หลังจากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และการทบทวนอันดับครั้งนี้มีขึ้นในเวลาเดียวกับที่มูดีส์, สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) และฟิทช์ เรทติ้งส์ ถูกบรรดานักลงทุนและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐ รวมถึงนายคริสโตเฟอร์ ด็อด ประธานคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารแห่งวุฒิสภาสหรัฐ วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

นายด็อดระบุว่า บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือเหล่านี้ให้อันดับเครดิตตราสารหนี้ของสถาบันการเงินกลุ่มซัพไพร์มในสหรัฐในระดับที่สูงเกินจริง จนนำไปสู่วิกฤตการณ์การเงินทั่วโลก

นักวิเคราะห์จาก UBS ในโตเกียวกล่าวว่า การดาวเกรดตราสารหนี้เหล่านี้จะส่งผลต่อต้นทุนของธนาคารผู้ออกตราสารหนี้ในการออกขายตราสารหนี้ใหม่ๆ


ทูตสหรัฐเผยโอบามาวอนผู้นำจีนปล่อยเงินหยวนแข็งค่าปีหน้า

จอน ฮันท์สแมน เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำกรุงปักกิ่ง เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวกับผู้นำจีนว่าสหรัฐอยากเห็นเงินหยวนเคลื่อนไหวอย่างยืดหยุ่นกว่านี้ในปีหน้า

โอบามากล่าวกับประธานาธิบดีหู จิ่นเทา และนายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐมนตรีคลังของทั้งสองประเทศว่า สหรัฐต้องการเห็นความคืบหน้าในการแก้ปัญหาต่างๆ รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศภายในช่วงซัมเมอร์ปีหน้า

ฮันท์สแมน กล่าวที่กรุงปักกิ่งว่า "นับตั้งแต่บัดนี้จนถึงการประชุมยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจครั้งหน้า เราต้องการเห็นความคืบหน้าในการแก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งมีส่วนทำให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐและจีนมีสมดุลมากขึ้น"

เงินหยวนของจีนตรึงอยู่ที่ระดับ 6.83 หยวน/ดอลลาร์ มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2551 ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้จีนกลายเป็นประเทศที่ถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมากที่สุดที่ระดับ 797,100 ล้านดอลลาร์ในเดือนสิงหาคม หรือเพิ่มขึ้น 10% จากวันที่ 1 มกราคม 2552

ฮันท์สแมนเชื่อว่าประเด็นการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐของจีนไม่ได้มีการพูดคุยกันอย่างชัดเจนในการประชุมครั้งนี้


ปิดฉากการเยือนเอเชีย โอบามาพร้อมเจรจาตรงกับเกาหลีเหนือ

ประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐ ได้เดินทางออกจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้แล้วในช่วงบ่ายวานนี้ นับเป็นการเสร็จสิ้นภารกิจเดินสายเยือนเอเชีย 4 ประเทศ ระหว่างวันที่ 12-19 พฤศจิกายน

ประธานาธิบดีบารัก โอบามาแห่งสหรัฐและประธานาธิบดี ลีมยองบัก แห่งเกาหลีใต้ ร่วมแถลงข่าวในภายหลังการร่วมหารือด้านการค้าและนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือในระหว่างการเดินทางเยือนของผู้นำสหรัฐ ซึ่งการเบือนเกาหลีใต้ เป็นการปิดฉากทางเยือนเอเชียของผู้นำสหรัฐ

แถลงการณ์ร่วม ผู้นำทั้ง 2 ได้ย้ำความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในกรณีของเกาหลีเหนือ และเรียกร้องให้เกาหลีเหนือกลับเข้าสู่โต๊ะการเจรจาเพื่อยุติโครงการนิวเคลียร์ โดยต่างก็ต้องการให้เกาหลีเหนือยุติท่าทีลังเลที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง

สหรัฐฯ มีแผนจะส่งนายสตีเฟน บอสเวิร์ต ไปเจรจาโดยตรงกับทางการโสมแดงเรื่องโครงการนิวเคลียร์ในวันที่ 8 ตุลาคมนี้ เพื่อแลกกับการให้ความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจ และ จุดยืนในประชาคมโลก นับเป็นการกำหนดวันที่สำหรับภารกิจดังกล่าวเป็นครั้งแรก

ภารกิจของนายบอสเวิร์ตคือการทำให้เกาหลีเหนือกลับสู่โต๊ะเจรจา 6 ฝ่ายเรื่องเพื่อปลดรนิวเคลียร์อีกครั้ง หลังเกาหลีเหนือหยุดเข้าเจรจาตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ในหนึ่งเดือนต่อมายังทดสอบระเบิดนิวเคลียร์เป็นครั้งที่สองท้าทายโลกอีกด้วย

ส่วนในประเด็นการค้านั้น ผู้นำทั้ง 2 ยังคงยืนยันความสำคัญของข้อตกลงการค้าเสรี โดยประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้มีการเจรจาเพื่อทำข้อตกลงการค้าเสรีกับเกาหลีใต้

หลังจากที่การเจรจาต้องหยุดชะงักลงเพราะสหภาพและกลุ่มล็อบบี้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐมองว่า ข้อตกลงดังกล่าวยังไม่สามารถเปิดตลาดเกาหลีใต้ได้อย่างเพียงพอ อย่างไรก็ตามข้อตกลงการค้าเสรีของ 2 ประเทศในขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจาเท่านั้น

ขณะที่ข้อตกลงของ 2 ประเทศยังคงติดอยู่ที่สภาคองเกรส เนื่องจากส.ส.ต้องการให้ค่ายรถของสหรัฐ ได้แก่ ไครสเลอร์ ฟอร์ด และเจนเนอรัล มอเตอร์ส สามารถเข้าถึงตลาดรถเกาหลีใต้ได้มากกว่านี้ ทางด้านประธานาธิบดีลีมยองบัก ของเกาหลีใต้ก็ยืนยันว่าเขาเต็มใจที่จะเจรจาเรื่องอุตสาหกรรมยานยนต์อีกครั้ง

ในระหว่างเดินทางเยือนเอเชีย ผู้นำสหรัฐได้รับฟังเสียงเรียกร้องจากผู้นำประเทศในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ที่ต้องการให้สหรัฐแสดงให้เห็นว่า สหรัฐจะเดินหน้าเพื่อลดอุปสรรคการเปิดเสรีการค้า โดยในการประชุมอาเซียนนั้น โอบามาก็ได้แสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมและขยายขอบเขตกลุ่มการค้าเสรีในภูมิภาค


สิงคโปร์ระบุภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจยุติแล้ว

ทางการสิงคโปร์ประกาศว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งรุนแรงของประเทศสิ้นสุดลงแล้ว หลังเศรษฐกิจสิงคโปร์ขยายตัวขึ้นสองไตรมาสติดต่อกันในรอบ 3 เดือนที่นับจนถึงเดือนกันยายน

ปลัดกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม (MTI) ของสิงคโปร์ อ้างข้อมูลอย่างเป็นทางการว่า GDP Q3/52 ขยายตัว 14.2% ต่อปี ทำสถิติขยายตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส และเป็นการขยายตัวต่อปีครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีที่แล้ว หลังเติบโตที่ร้อยละ 21.7 ในไตรมาสก่อน ซึ่งเท่ากับว่าเศรษฐกิจของสิงคโปร์หลุดพ้นจากภาวะถดถอยแล้ว

ทั้งนี้ การขยายตัวทางเศรษฐกิจมาจากการฟื้นตัวของภาคบริการและภาคอุตสาหกรรมช่วยหนุนเศรษฐกิจของประเทศให้ดีดตัวขึ้น ส่วนมุมมองปีหน้า คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 3.0-5.0 % ขณะที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโดยรวมจะหดตัว 2.0-2.5% ในปีนี้

สิงคโปร์ซึ่งพึ่งพาการค้าเป็นหลัก นับเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ดำดิ่งสู่ภาวะถดถอยเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกกระทบต่อปริมาณความต้องการสินค้าส่งออกของสิงคโปร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสหรัฐ

สำนักข่าว Bloomberg ประเมินว่า การคาดการณ์ตัวเลข GDP ของทางการสิงคโปร์เป็นหลักฐานล่าสุดที่บ่งชี้ว่า สิงคโปร์อาจจะดำเนินการตามอีกหลายประเทศทั่วโลกในการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยก่อนหน้านี้อินเดียได้ส่งสัญญาณการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการออกคำสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ภายในประเทศปรับเพิ่มการสำรองสภาพคล่อง 25% จากเดิม 24% ขณะที่ธนาคารกลางออสเตรเลียประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้วถึง 2 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ควรต้องจับตาต่อไปคือ สัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะอ่อนแอทางเศรษฐกิจในเดือนต.ค. ที่ล่าสุดยอดการส่งออกดิ่งลง 12.6% จากเดือนก.ย. หรือร่วงลง 6.1% จากปีที่แล้ว


ค่าเงินเอเชียทรุด หวั่นมาตรการแทรกแซงค่าเงิน

สกุลเงินรูเปียห์ของอินโดนีเซีย และรูปีของอินเดียร่วงทั้งในตลาด Spot และ ตลาด Foreign จากความวิตกว่ารัฐบาลอาจดำเนินมาตรการควบคุมการไหลเข้าของเงินทุน

หลังจากบราซิลดำเนินความพยายามครั้งล่าสุดในการจำกัดการไต่ขึ้นของสกุลเงิน “เรียล” ของบราซิล โดยบราซิลดำเนินขั้นตอนใหม่ในสัปดาหฺนี้ในความพยายามกดดัน เรียล โดยบราซิลประกาศเก็บภาษี 1.5% ในการค้าบางรายการที่เกี่ยวข้องกับตราสาร หรือ American Depository Receipts ที่ออกโดยบริษัทบราซิล

ค่าเงินรูเปียห์ร่วงลง 0.7% ขณะที่ค่าเงินริงกิตอ่อนตัวลง 0.3% ส่วนดอลลาร์ไต้หวันอ่อนลง 0.1% ทำให้ไต้หวันสั่งห้ามนักลงทุนจากการลงทุนในเงินฝากประจำ

ส่วนอินโดนีเซียระบุว่าอาจจะมีการจำกัดสิทธิของชาวต่างชาติในการถือครองตราสารหนี้ของ ธนาคารกลางอินโดนีเซีย ซึ่งจากกระแสข่าวดังกล่าว ทำให้นักลงทุนกังวลว่าประเทศตลาดเกิดใหม่หลายประเทศอาจจะประกาศมาตรการควบคุมเงินทุนในช่วงนี้
*************
19/11/52
สิงคโปร์ ครองแชมป์ประเทศโปร่งใสที่สุดในเอเชีย

องค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย (Transparency Thailand) เปิดเผยผลการจัดอันดับดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชันประจำปี พ.ศ. 2552 จากการจัดอันดับทั้งหมด 180 ประเทศทั่วโลก พบว่า

หากพิจารณาเฉพาะการจัดอันดับของกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชีย พบว่า ประเทศที่มีคะแนนเป็นอันดับที่ 1 คือ สิงคโปร์ (9.2 คะแนน) ส่วนประเทศที่มีคะแนนต่ำที่สุดคือ พม่า (1.4 คะแนน)

Corruption Perceptions Index (CPI) เป็นดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์ปัญหาคอร์รัปชันของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่มีค่าคะแนนตั้งแต่ 0 (คอร์รัปชันมากที่สุด) - 10 (คอร์รัปชันน้อยที่สุด) จัดทำโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระนานาชาติที่ก่อตั้งขึ้น เพื่อรณรงค์แก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน

ประเทศไทยได้ 3.4 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน อยู่อันดับที่ 84 จาก 180 ประเทศ (เท่ากับประเทศเอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา อินเดีย และปานามา) และอยู่อันดับที่ 10 จาก 23 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย จากอันดับปี 2551 ไทยได้คะแนน 3.50 อยู่อันดับที่ 80 ของโลกจากทั้งหมด 180 ประเทศเช่นเดียวกัน

ขณะที่นิวซีแลนด์ เดนมาร์ก สิงคโปร์ และสวีเดน เป็นกลุ่มประเทศที่ครองตำแหน่งสามอันดับแรก (9.4, 9.3 และ 9.2 คะแนน)

ส่วนประเทศที่ได้อันดับสุดท้าย ได้แก่ ประเทศอิรัก (1.5 คะแนน) ซูดาน (1.5 คะแนน) พม่า (1.4 คะแนน) อัฟกานิสถาน (1.3 คะแนน) และโซมาเลีย (1.1 คะแนน) ซึ่งประเทศที่มีคะแนนน้อยเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่กำลังอยู่ในภาวะสงคราม หรือมีความขัดแย้งภายในประเทศเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งเป็นสภาพการเมืองการปกครองที่มีความเปราะบาง

ผลในการจัดอับดับนั้น ต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อประเทศกำลังพัฒนาด้วย กล่าวคือ ต้องไม่ให้สินบนเพื่อดำเนินธุรกิจในประเทศที่กำลังพัฒนา หรือต้องไม่สนับสนุนศูนย์กลางการดำเนินธุรกรรมทางการเงิน ที่อาจเป็นแหล่งฟอกเงินของผู้กระทำความผิด (Safe Haven) เช่น หมู่เกาะบริติช เวอร์จิน

************
19/11/52
ตลาดหุ้นแผ่ว ขณะน้ำมันบวกสวนหลังตัวเลขสต็อกลด

ประเด็นเรื่องการเพิ่มทุนฉุดหุ้นในกลุ่มธนาคารและ property ในตลาดเอเชียเมื่อวานนี้ นำโดย ดัชนีนิคเคอิของญี่ปุ่นที่เจอกับกระแสการ downgrade หุ้นในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มเติมจากปัจจัยในเรื่องการเพิ่มทุน ความกังวลส่วนหนึ่งเริ่มจากบริษัทที่ชื่อว่า Tokyo Tatemono มีแผนที่จะขายหุ้นเพิ่มทุนมูลค่า 45,600 ล้านเยน ในขณะเดียวกัน ทางโบรกเกอร์ อย่าง JPMorgan Chase ก็ได้ปรับลดคำแนะนำการลงทุนในหุ้นตัวนี้ไปพร้อมๆ กันด้วย

ข่าวเพิ่มทุนก็เปรียบเสมือนการจุดประกายให้เกิดความกังวลในเรื่องมูลค่าหุ้นที่จะลดลง ภายหลังจากการออกขายหุ้นสิ้นสุดลง หรือที่เรียกว่า Dilution effect ซึ่งอาจจะมีอีกหลายบริษัทที่จะประกาศแผนในแบบเดียวกันนี้ตามมา

ทางด้านหุ้นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกง ก็ถูกกระทบหลังจากรัฐบาลของเมืองเสิ่นเจิ้นในจีน ประกาศจะปรับขึ้นภาษีสำหรับธุรกิจ Property Tax นี้ ซึ่งที่ปรึกษาของธนาคารกลางรายหนึ่งก็บอกว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุดถือเป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญในการรักษาความสมดุลระหว่างภาคการลงทุนและความต้องการผู้บริโภค

อย่างไรก็ดี หุ้นเทเลคอมในเอเชียก็บวกขึ้นได้ นำโดย China Mobile ผู้ให้บริการโทรศัพท์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อดูจากมูลค่าตลาด เมื่อประธาน คือ นาย หวัง เจี่ยน โจว บอกว่า จำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์ระบบ 3G ของตนจะพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 3 ล้านคนในสิ้นปีนี้ เทียบกับตัวเลขผู้ใช้ 1.66 ล้านคน ณ สิ้นเดือนกันยายน

ข้ามฝั่งมาที่อเมริกา ตลาดหุ้นก็ถูกกดดันจากตัวเลขในตลาดบ้าน ที่ยอดการก่อสร้างที่อยู่อาศัยเดือนตุลาคมออกมาลดลงผิดคาด ขณะตลาดเองก็ยังมีความกังวลในเรื่องมาตรการยกเว้นภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้านที่กำลังจะหมดอายุลง และรอดูอยู่ว่ารัฐบาลประธานาธิบดี บารัค โอบามา จะต่ออายุมาตรการดังกล่าวออกไปอีกหรือไม่

รายงานสภาวะตลาดบ้านล่าสุดของสหรัฐฯ นี้ได้ยืนยันความเชื่อที่ว่า เศรษฐกิจของประเทศยังไม่สามารถทรงตัวได้ดีนัก และการถอนนโยบายกระตุ้นต่างๆ ออกอย่างรวดเร็วจนเกินไปย่อมอาจมีผลที่รุนแรงตามมา

สำหรับภาพตลาดโดยรวมก็ถูกกดดันจากแรงขายหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี นำโดย ผู้ผลิตซอฟท์แวร์ออกแบบวิศวกรรมรายใหญ่ อย่าง Autodesk ที่ราคาหุ้นดิ่งลง 10% หลังบริษัทคาดการณ์กำไรในไตรมาส 4 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ได้คาดกาณ์ไว้ และยังส่งสัญญาณว่าการฟื้นตัวของธุรกิจอาจไม่ราบเรียบนัก นอกจากนั้น ผู้ผลิตซอฟท์แวร์บริหารลูกค้าชื่อดัง คือ Salesforce.com ราคาหุ้นก็ร่วงลงเช่นกัน จากเหตุผลตัวเลขคาดการณ์กำไรไตรมาสปัจจุบันของบริษัทไม่สูงเหมือนอย่างที่ตลาดคาด

อย่างไรก็ดี หุ้นธนาคาร อย่าง Bank of America กลับพุ่งสวนขึ้นมาได้ถึงกว่า 3% หลังมหาเศรษฐี John Paulson ผู้บริหารเฮดจ์ฟันด์ชื่อดังบอกว่า ราคาหุ้นแบงก์ยักษ์ใหญ่นี้จะพุ่งขึ้นถึงเกือบสองเท่าภายในสิ้นปี 2554 หลังจากที่ผ่านพ้นวังวนของการล้างหนี้สูญและเห็นโอกาสที่กำไรจะเติบโตได้ดีอีกครั้ง

ด้านราคาน้ำมัน ก็ขยับมุ่งสู่ 80 เหรียญต่อบาร์เรลอีกครั้ง หลังตัวเลขสต็อกสัปดาห์ล่าสุดออกมาลดลงผิดไปจากที่ตลาดคาด เนื่องจากสภาวะการกลั่นและการนำเข้าที่ชะลอตัว


กูรูนักลงทุนเก็งหุ้นตลาดเกิดใหม่อาจพุ่งอีก 40%

Mark Mobius เป็นกูรูนักลงทุนชื่อดังอีกคนหนึ่งที่ออกมาเปิดเผยมุมมองทางด้านบวกสำหรับหุ้นใน Emerging markets โดย Mobius มีความเห็นว่าตลาดหุ้นบราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน มีความเป็นไปได้ที่จะปรับเพิ่มขึ้นอีก 30-40% ภายใน 3-4 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ขณะที่ระดับหนี้ภาครัฐที่ลดลงจะเป็นแรงหนุนต่อผลประกอบการภาคธุรกิจ

Mobius ซึ่งเป็นประธานของบริษัท Templeton Asset Management ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก เปิดเผยว่า เขาได้เพิ่มระดับการลงทุนในหุ้นของตลาดเกิดใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มประเทศที่เรียกว่า BRICs ในฐานะ 4 ประเทศกำลังพัฒนา ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด

และความน่าสนใจก็สะท้อนได้จากผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปีที่สูงกว่าทุกตลาด นำโดย รัสเซีย ที่ดัชนีหุ้น RTS พุ่งขึ้นกว่า 130% ทำสถิติสูงสุดถ้าเทียบกับดัชนีตลาดอื่นๆ ทั้งหมดในโลกจำนวน 89 แห่ง ขณะที่ตลาดหุ้นบราซิล จีน และอินเดีย ก็วิ่งขึ้นได้มากกว่า 75% แล้ว

ผู้บริหารกองทุนรุ่นลายครามผู้นี้ยังบอกด้วยว่า แม้การปรับตัวลงอย่างรุนแรงของตลาดหุ้นอาจจะเกิดขึ้นได้บ้างแม้ในสภาวะตลาดกระทิงเช่นนี้ แต่นั่นก็หมายถึงโอกาสที่นักลงทุนควรจะต้องเตรียมพร้อมที่จะเข้าซื้อไว้ด้วย

Mobius มองว่า ภาคเศรษฐกิจที่จะมีการขยายตัวอย่างโดดเด่นที่สุดใน Emerging markets นี้ก็คือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคและสินค้าโภคภัณฑ์ โดยหุ้นในจีนและบราซิลยังเรียกว่ามีมูลค่าถูกที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเมื่อเทียบกับสินทรัพย์

ปัจจุบันกองทุน Templeton ของ Mobius ลงทุนอยู่ในเศรษฐกิจกลุ่มประเทศ BRICs อยู่แล้วราวๆ 2,000 ล้านเหรียญ


นายกรัฐมนตรีจีนเมินจัดตั้งกลุ่ม “G2” -โอบามาปิดทริปเอเชียที่เกาหลีใต้แล้ว

นายเหวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีของจีน กล่าวในระหว่างการประชุมร่วมกับประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐ ที่กรุงปักกิ่งเมื่อวานนี้ว่า จีนไม่เห็นด้วยกับแนวคิดจัดตั้งกลุ่ม "G2" ซึ่งประกอบด้วยสองประเทศมหาอำนาจของโลกอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน โดยให้เหตุผลว่า จีนยังคงเป็นประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมีประชากรจำนวนมหาศาล และยังอีกยาวไกลกว่าที่จีนจะเป็นประเทศที่มีความทันสมัยทัดเทียมประเทศพัฒนาแล้ว

นายกเหวิน เจียเป่า ของ จีนกล่าว "เราต้องมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาเกี่ยวกับเรื่องนี้"

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโอบามาอยู่ระหว่างการเดินทางเยือนจีนเป็นเวลา 4 วัน เพื่อเข้าพบกับบรรดาผู้นำระดับสูงของประเทศ ซึ่งรวมถึงการประชุมสุดยอดกับประธานาธิบดีหู จิ่นเทา เมื่อวันอังคารและบ่ายวานนี้

ผู้นำสหรัฐได้ไปที่กำแพงเมืองจีนในชานกรุงปักกิ่ง และได้ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวที่ถามว่า เขารู้สึกพอใจกับการเดินทางเยือนจีนครั้งนี้หรือไม่ว่า โดยโอบามากล่าวว่า "ครับ มันเป็นการเดินทางที่ดีเยี่ยม"

และในช่วงค่ำวานนี้ ประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐ เดินทางถึงฐานทัพอากาศโอซาน ใกล้กับเมืองเปียงแทก ในจังหวัดเกียงกี เพื่อเริ่มต้นภารกิจสองวันในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นจุดหมายสุดท้ายในการเดินสายเยือน 4 ประเทศในเอเชีย ซึ่งประกอบไปด้วยญี่ปุ่น สิงคโปร์ และจีน

รายงานระบุว่า ผู้นำสหรัฐมีกำหนดการที่จะเข้าพบนายลี เมียง-บัค ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ที่กรุงโซลในช่วงเช้าวันนี้ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี และหาหนทางคลี่คลายประเด็นต่างๆทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งปัญหานิวเคลียร์เกาหลีเหนือจะเป็นหัวข้อสำคัญของการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำทั้งสอง

นอกจากนี้ นายลีและนายโอบามายังจะหารือถึงข้อตกลงการค้าเสรี หรือ เอฟทีเอ ระหว่างสองประเทศ หลังจากที่ขั้นตอนการให้สัตยาบันได้หยุดชะงักไป เนื่องจากประชาชนของทั้งสองประเทศได้ก่อเหตุประท้วงอย่างรุนแรง โดยกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการทำเอฟทีเอในเกาหลีใต้ได้เรียกร้องให้มีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเนื้อวัว ส่วนฝ่ายคัดค้านในสหรัฐไม่พอใจเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์

ผู้นำทั้งสองยังจะหารือในประเด็นอื่นๆที่นอกเหนือจากประเด็นระดับทวิภาคี ได้แก่ ปัญหาโลกร้อน การประชุม G20 ที่เกาหลีใต้จะเป็นเจ้าภาพในเดือนพ.ย.ปีหน้า และการส่งทหารเกาหลีใต้ไปประจำการในอัฟกานิสถาน

ทั้งนี้ โอบามาจะมุ่งหน้ากลับสหรัฐอเมริกาในช่วงค่ำวันพฤหัสบดี ภายหลังเสร็จสิ้นการเยี่ยมเจ้าหน้าที่ทหารชาวอเมริกันที่ฐานทัพสหรัฐในเกาหลีใต้


แบงค์ชาติรัสเซียอาจปล่อยรูเบิลแข็งค่าหลังราคาโภคภัณฑ์พุ่ง

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางรัสเซียอาจยอมให้สกุลเงินรูเบิลแข็งค่าขึ้นในปีหน้า เนื่องจากการพุ่งขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และดีมานด์ของผู้บริโภคกส่งผลให้ธนาคารกลางต้องเร่งดำเนินการในเรื่องดังกล่าว

กิโญม แทรสคา นักยุทธศาสตร์การลงทุนจากธนาคารคาลิยง กล่าวว่า "ธนาคารกลางรัสเซียพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้การแข็งค่าของเงินรูเบิลเป็นไปอย่างราบรื่น แต่การดำเนินการดังกล่าวไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเม็ดเงินทุนไหลเข้าในรัสเซียมีอยู่เป็นจำนวนมาก หลังจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น"

ที่ผ่านมานั้น ธนาคารกลางรัสเซียส่งสัญญาณมาโดยตลอดว่าทางธนาคารกลางจะสกัดกั้นการแข็งค่าของสกุลเงินรูเบิล

ขณะที่นายวลาดิเมียร์ ปูติน นายกรัฐมนตรีรัสเซียกล่าวว่า รัฐบาลจะไม่ยอมให้เงินรูเบิลแข็งค่ามากเกินไปเนื่องจากกลุ่มผู้ส่งออกของรัสเซียไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดโลกได้

เคลเมนส์ กราฟ นักวิเคราะห์จากธนาคาร UBS ในมอสโคว์ กล่าวว่า การที่ธนาคารกลางรัสเซียยอมปล่อยสกุลเงินรูเบิลให้แข็งค่าอาจเพราะเห็นว่าอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงและกำลังซื้อในตลาดภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น หลังจากกำลังซื้อหดตัวลงมากเป็นประวัติการณ์ถึง 10.9% ในไตรมาส 2

นอกจากนี้ ธนาคารกลางรัสเซียอาจเห็นว่าการที่ธนาคารกลางได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอยู่ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 9.5% อาจไม่สามารถกระตุ้นการกู้ยืมได้ เนื่องจากสถาบันการเงินในรัสเซียกังวลว่าผู้บริโภคไม่สามารถจ่ายคืนเงินกู้ได้

ทั้งนี้เงินรูเบิลแข็งค่าขึ้น 3.4% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และแข็งค่าอีก 1% ในเดือน พ.ย. โดยแบงก์ชาติรัสเซียกล่าวเมื่อช่วงปลายเดือน ต.ค. ว่า ธนาคารจะใช้นโยบายการเงินในการลดความน่าสนใจของการลงทุนระยะสั้นในสินทรัพย์ของรัสเซีย และ หยุดความเสี่ยงสะสมต่างๆ เพราะผู้กำหนดนโยบายต้องการป้องกันการเก็งกำไรในรูปแบบต่างๆ ที่อาจจะส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจได้ อย่างเช่น การทำ Carry Trade
money wake up
*********
19/11/52
เวียดนามเล็งขายพันธบัตรมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์

Posted on Thursday, November 19, 2009
นายเหงียน ซินห์ ฮุง รองนายกรัฐมนตรีเวียดนาม บอกว่า รัฐบาลจะระดมทุนให้ได้ 1 พันล้านดอลลาร์ โดยการขายพันธบัตร เพื่อนำเงินไปสร้างถนนและโรงผลิตไฟฟ้า และรองรับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น

การขายพันธบัตรครั้งนี้จะถือเป็นการทดสอบความเชื่อมั่นของนักลงทุน เนื่องจากตอนนี้เงินดองเวียดนามกำลังอ่อนค่าแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบเงินดอลลาร์ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อก็พุ่งสูง ส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศก็ลดลง

ทั้งนี้ เมื่อเดือนตุลาคมปี 2548 เวียดนามได้ระดมทุน 750 ล้านดอลลาร์ผ่านการขายพันธบัตรอายุ 10 ปี จากนั้นก็นำเงินดังกล่าวไปปล่อยกู้ให้กับบริษัท เวียดนาม ชิปบิลดิง อินดัสทรี คอร์ป หรือที่รู้จักกันในชื่อ วินาชิน (Vinashin) ซึ่งเป็นบริษัทต่อเรือที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม

ขณะที่ในปีนี้บริษัทและรัฐบาลของตลาดเกิดใหม่ได้ขายพันธบัตรมูลค่า 555,000 ล้านดอลลาร์แล้ว ซึ่งมากกว่าปีที่แล้วถึง 70% และมากกว่าระดับสูงสุดก่อนหน้านี้ที่ 367,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทำไว้ในปี 2550
money news update
***********
18/11/52
หุ้นสหรัฐฯ บวก หลังประธานเฟด-ตัวเลขเศรษฐกิจส่งสัญญาณดอกเบี้ยต่ำ

ประเด็นเรื่องความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ต้องเผชิญ เป็นสิ่งที่ประธานธนาคารกลาง นาย Ben Bernanke มุ่งให้ความสนใจเป็นพิเศษ ท่ามกลางสภาวะการจำกัดของสินเชื่อในระบบ ความอ่อนแอในตลาดแรงงาน รวมถึงการหดตัวของภาคธุรกิจในอนาคต ที่เป็นตัวถ่วงสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในขณะนี้

ตลาดหุ้นเอเชียเมื่อวานนี้ รวมทั้งที่ยุโรป ก็ต้องเจอกับแรงขายทำกำไรเข้ามาบ้าง หลังจากคำเตือนของ Bernanke แม้หลายบริษัทจะมีข่าวดีออกมา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีธนาคารยักษ์ใหญ่จากสวิส อย่าง UBS ที่ออกมาตั้งเป้าว่า ผลกำไรก่อนหักภาษีจะพุ่งขึ้นแตะ 15,000 ล้านฟรังก์สวิส หรือประมาณ 14,900 ล้านเหรียญในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า

ซีอีโอของ UBS นาย Oswald Gruebel มีภารกิจสำคัญที่ต้องฟื้นฟูธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสวิสรายนี้หลังจากประสบกับภาวะการขาดทุนอย่างหนัก ซึ่งครั้งสุดท้ายที่ธนาคารสามารถบันทึกผลดำเนินงานเป็นกำไรได้ ก็คือ ในปี 2006 ที่ UBS มีกำไร 14,100 ล้านฟรังก์ และสำหรับงานที่ท้าทายของซีอีโอหน้าใหม่ที่เพิ่งรับตำแหน่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ก็คือ การฟื้นฟูความสามารถในการทำกำไรโดยไม่ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมากนัก รวมถึงลดการเสียลูกค้าในส่วนงาน wealth management ให้ได้

ที่ผ่านมา Gruebel ได้ลดจำนวนพนักงานไปแล้ว 7,500 ตำแหน่ง รวมถึงการขายธุรกิจในบราซิล และการระดมเงินจากนักลงทุนจำนวน 3,800 ล้านฟรังก์สวิสเพื่อเพิ่มฐานเงินทุนของธนาคาร

ที่อเมริกา ตลาดหุ้นขยับขึ้นมาในช่วงท้ายการซื้อขาย ส่งผลให้ดัชนีปรับบวกได้เป็นวันที่สาม หลังจากมุมมองของประธานเฟดส่งสัญญาณดอกเบี้ยน่าจะยืนอยู่ต่ำนานออกไปอีก อีกทั้งตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาอย่างผลผลิตอุตสาหกรรมและตัวชี้ภาวะราคาขายส่งในประเทศก็ปรับเพิ่มขึ้นต่ำกว่าที่คาดในเดือนตุลาคม ซึ่งในส่วนนี้ถือเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เชื่อในเรื่องแนวโน้มดอกเบี้ยต่ำต่อไป

นอกจากนั้น หุ้น Wal-Mart Stores และ Exxon Mobil ก็ปรับตัวขึ้น หลังบริษัทของ Warren Buffet รายงานการเข้าซื้อหุ้นดังกล่าวเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3

ในส่วนมุมมองจากธุรกิจค้าปลีก โดยรวมก็ยังมีท่าทีที่ระมัดระวังสำหรับแนวโน้มในอนาคต โดยล่าสุดเชนร้านค้าหรู อย่าง Saks Inc. และผู้ค้าปลีกรายใหญ่อันดับสองในสหรัฐฯ อย่าง Target Corp. บอกว่า ยังจับตามองแนวโน้มดีมานด์อย่างใกล้ชิด แม้ผลประกอบการไตรมาส 3 จะออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก็ตาม

ทางด้านราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นเป็นวันที่สอง มาอยู่ที่ 79.14 เหรียญต่อบาร์เรลที่ตลาดนิวยอร์ก เหตุผลมาจากการคาดการณ์ว่าตัวเลขสต็อกน้ำมันจากทั้งกระทรวงพลังงานและสถาบันปิโตรเลียมสหรัฐฯ (API) จะออกมาลดลงในสัปดาห์ที่แล้ว โดยรายงานดังกล่าวจะประกาศในคืนวันนี้


ธุรกิจวอลล์สตรีทมีแววกลับมาคึก หลังผ่านพ้นช่วงวิกฤติ

มีรายงานระบุว่า บริษัทใน Wall Street กำลังฟื้นตัวขึ้นได้เร็วกว่าธุรกิจในภาคส่วนอื่นๆ ของสหรัฐฯ เมื่อหน่วยงานตรวจสอบบัญชีของรัฐนิวยอร์กได้เปิดเผยผลกำไรของบริษัททางด้านการลงทุนขนาดใหญ่ที่สุดจำนวน 4 ราย ที่สามารถกวาดกำไรรวมกันได้กว่า 22,000 ล้านเหรียญในช่วง 3 ไตรมาสแรกปีนี้ หลังจากประสบภาวะการขาดทุนที่สูงถึง 40,000 ล้านเหรียญในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ในส่วนของการจ้างงาน พบว่า พนักงานที่ถูกปลดอาจมีจำนวนต่ำกว่า 35,000 ราย ซึ่งน้อยกว่าตัวเลข 47,000 รายที่รัฐได้คาดการณ์ไว้เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา นอกจากนั้น รายงานยังระบุด้วยว่า บริษัทที่เป็น bank holding company ขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศทั้ง 6 รายได้ทำการกันสำรองเป็นเงินจำนวน 112,000 ล้านเหรียญสำหรับค่าตอบแทนพนักงานในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ ขณะที่เงินโบนัสส่วนกลาง ที่รวมถึง stock options อาจจะสูงกว่าปีที่แล้วด้วย

เจ้าหน้าที่หน่วยงานตรวจบัญชีสรุปว่า ผลของการที่รัฐบาลกลางได้เข้มงวดกับการจ่ายเงินโบนัสและชะลอในเรื่องค่าตอบแทนเพื่อหวังลดระดับความเสี่ยงที่เกินจำเป็น รวมถึงการลดเก็บภาษีเงินได้ในระยะสั้น ได้ช่วยให้นิวยอร์กพร้อมรับผลดีจากความมีเสถียรภาพของอุตสาหกรรมการเงินในระยะยาว

สำหรับความสำคัญของภาคการเงิน ที่รวมถึงธุรกิจใน Wall Street ด้วยนั้น ได้สร้างรายได้ให้กับนิวยอร์กประมาณ 15% ของจำนวนภาษีที่จัดเก็บได้ทั้งหมด โดยผลศึกษาล่าสุดระบุว่า เงินภาษีที่เมืองนิวยอร์กเก็บได้จาก Wall Street นั้น ร่วงลงราว 40% หรือประมาณ 1,900 ล้านเหรียญ ในปีงบประมาณ 2552 ที่สิ้นสุดลงในเดือนมิถุนายน


เงินเฟ้ออังกฤษปรับขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน

สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษเปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อในเดือนต.ค.ปรับตัวขึ้น 1.5% จากระดับปีที่แล้ว นับเป็นสถิติที่ปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน ขณะที่ต้นทุนด้านเชื้อเพลิงและค่าตั๋วเครื่องบินปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ที่บลูมเบิร์กสำรวจความคิดเห็นคาดการณ์ว่า เงินเฟ้อจะอยู่ที่ 1.4%

แอนดรูว์ เซนแทนซ์ ผู้บริหารด้านนโยบายของธนาคารกลางอังกฤษ กล่าวว่า เงินเฟ้ออาจจะผันผวน และเสี่ยงที่จะสูงเกินกว่าเป้าหมายที่ระดับ 2% ในช่วง 2 ปีหลังจากนี้ แต่ตอนนี้ก็ยังเร็วเกินไปที่จะพิจารณาเรื่องการใช้นโยบายคุมเข้มหลังจากที่ธนาคารกลางอังกฤษได้ขยายวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรไปเป็น 2 แสนล้านปอนด์ หรือ 337,000 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อรับมือกับภาวะเงินฝืด

เอมิต คารา นักเศรษฐศาสตร์ของยูบีเอส เอ และอดีตเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางอังกฤษกล่าวว่า จากมุมมองด้านนโยบายนั้น อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นคงจะยังไม่ส่งผลกระทบอย่างแท้จริง แบงค์ชาติจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ และซื้อสินทรัพย์เพิ่มขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย และคงจะยังไม่มีการขึ้นดอกเบี้ยอีกจนกว่าจะถึงไตรมาส 3 ปีหน้า

อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้นมาจากราคาเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่นที่ร่วงลงน้อยกว่าเดิมในปีนี้เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว

ส่วนต้นทุนของรถยนต์มือสองก็เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากจำนวนรถในคลังสินค้าลดลง ขณะที่ค่าตั๋วเครื่องบินปีนี้ก็ปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่อ่อนตัวลง


สหรัฐจับมือจีนสางปัญหากีดกันการค้า-ค่าเงิน

ประธานาธิบดีหูจิ่นเทาของจีนกล่าวในระหว่างการแถลงร่วมกับประธานาธิบดีบารัก โอบามาแห่งสหรัฐที่กรุงปักกิ่งในวันนี้ว่า ทั้ง 2 ประเทศจะต้องยุติการใช้มาตรการปกป้องทางการค้า โดยทั้ง 2 ฝ่ายจะเริ่มต้นการเจรจาเพื่อสร้างความเท่าเทียมกัน ในการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจและการค้า

ในการประชุมลับครั้งนี้ประธานาธิบดีทั้ง 2 ยังได้ร่วมหารือเกี่ยวกับสภาวะโลกร้อนและเกาหลีเหนือด้วย ก่อนที่การหารือจะเริ่มขึ้น ประธานาธิบดีโอบามากล่าวว่า การเจรจาอย่างจริงจังเป็นสิ่งสำคัญต่อทั้ง 2 ฝ่ายและต่อโลก ขณะที่ประธานาธิบดีหูกล่าวว่าต้องการเห็นความสัมพันธ์ในเชิงลึกต่อไป

ส่วนประเด็นค่าเงินหยวน เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต่างจับตา โดยท่าทีของผู้นำสหรัฐ กล่าวว่า “เขารู้สึกพอใจกับคำมั่นสัญญาของจีนในการดำเนินการมากขึ้นไปสู่ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่อิงกับกลไกตลาด”

เป็นที่น่าสังเกตว่าท่าทีของ ประธานาธิบดีจีน กลับไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับค่าเงินหยวน หรือนโยบายอัตราอัตราแลกเปลี่ยนของจีน รวมถึงมุมมองต่อค่าเงินดอลลาร์ แต่ย้ำชัดว่า “ทั้ง 2 ฝ่าย มีความเห็นพ้องกันโดยรวม และตกลงกันที่จะต่อต้านการกีดกันทางการค้า และพยายามที่จะป้องกันวิกฤติเศรษฐกิจ และการเงินในอนาคต”

บลูมเบิร์กรายงานว่า สหรัฐมองว่าเงินหยวนของจีนที่มีมูลค่าต่ำเกินไปว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้การค้าระหว่าง 2 ประเทศไม่มีความสมดุล โดยจีนได้ซื้อเงินดอลลาร์เพื่อป้องกันไม่ให้เงินหยวนแข็งค่า หลังจากที่จีนมีสำรองเงินตราต่างประเทศถึง 2.3 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อไตรมาส 3 ซึ่งสูงถึง 2 เท่าของสำรองเงินตราต่างประเทศทั่วโลก

จีนตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของนานาประเทศที่เพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงจากสหรัฐในการให้หยวนแข็งค่าขึ้นเทียบสกุลเงินอื่นๆ ขณะที่สหรัฐระบุว่าหยวนที่มีมูลค่าต่ำเกินไป กำลังทำให้เกิดความไร้สมดุลระหว่างเศรษฐกิจจีน-สหรัฐ

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารกลางจีนเปิดเผยว่า นโยบายเงินตราต่างประเทศของธนาคารจะยึดติดกับกระแสเงินทุนหมุนเวียนทั่วโลกและการเปลี่ยนแปลงของสกุลเงินหลักๆ จากเดิมที่แบงค์ชาติจีนเคยระบุว่า จะดูแลเงินหยวนให้มีเสถียรภาพ โดยเศรษฐกิจเมื่อไตรมาส 3 นั้น แข็งค่าขึ้น 8.9% จากระดับปีที่แล้ว


ญี่ปุ่น-สหรัฐประชุมแก้ปัญหาฐานทัพในโอกินาว่าครั้งแรกวานนี้

ญี่ปุ่นและสหรัฐได้จัดการประชุมกลุ่มคณะทำงานระดับสูงเป็นครั้งแรกในวันนี้ เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาในประเด็นต่างๆรวมถึงประเด็นที่มีปัญหากรณีการย้ายฐานทัพสหรัฐในโอกินาว่า

รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ และรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของญี่ปุ่น และนายจอห์น รูส เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศญี่ปุ่นในฐานะตัวแทนนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ และนายโรเบิร์ต เกตส์ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ตลอดจนเจ้าหน้าที่อาวุโสในกระทรวงกลาโหมได้เข้าร่วมประชุมกันเพื่อเร่งปรับนโยบายระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐ

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่รัฐบาลของญี่ปุ่นยังได้ร่วมประชุมกันเป็นการภายใน แต่ขณะนี้ยังไม่ปรากฏถึงความชัดเจนในประเด็นดังกล่าว

ผู้เข้าประชุมจะร่วมกันศึกษากระบวนการผลักดันให้ญี่ปุ่นและสหรัฐบรรลุข้อตกลงระดับทวิภาคีว่าด้วยเรื่องกองทัพสหรัฐในปี 2549 ที่ระบุให้มีการย้ายฐานทัพฟูเตมมะของนาวิกโยธินสหรัฐในเมืองกิโนวัน จังหวัดโอกินาว่า ออกจากย่านชุมชนเมือง ไปยังเมืองนาโก ซึ่งเป็นพื้นที่ตอนเหนือของโอกินาวาที่มีประชากรเบาบางภายในปี 2557

ทั้งนี้ ข้อตกลงดังกล่าวนับเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาการปรับกองทัพสหรัฐในญี่ปุ่นและเกี่ยวข้องกับการโยกย้ายนาวิกโยธินราว 8,000 นายจากโอกินาว่าไปประจำที่เกาะกวม ซึ่งรายละเอียดในสัญญาได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลชุดก่อนที่นำโดยพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านของญี่ปุ่น

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าที่ประชุมคณะทำงานของรัฐบาลญี่ปุ่นดูจะมีอุปสรรคตั้งแต่เริ่มประชุม เมื่อนายยูคิโอะ ฮาโตยามะ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นกล่าวว่า ญี่ปุ่นจะเข้าร่วมการเจรจาแต่จะไม่พาดพิงถึงประเด็นข้อตกลงในปี 2549 ตามที่ได้ระบุไว้ก่อนหน้านี้ ขณะที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐกล่าวว่า การประชุมจะมุ่งเน้นที่การบังคับใช้ข้อตกลงดังกล่าว


นักวิเคราะห์คาดสายการบินจีนปรับตัวดีขึ้นในปีหน้า

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมสายการบินจีนจะพัฒนาขึ้นในปีหน้าอันเนื่องมาจากปัจจัย 3 ประการ ได้แก่ การกลับมาเก็บค่าธรรมเนียมน้ำมันอีกครั้ง // เงินหยวนที่มีโอกาสแข็งค่าขึ้นในปีหน้า // และอุตสาหกรรมการบินพลเรือนที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

สำนักงานพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีน (NDRC) และสำนักงานการบินพลเรือนจีน ได้ประกาศเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า

สายการบินจีนสามารถเก็บค่าธรรมเนียมน้ำมันได้สูงสุด 20 หยวนสำหรับเที่ยวบินที่สั้นกว่า 800 กิโลเมตร และ 40 หยวนสำหรับเที่ยวบินที่ไกลกว่า 800 กิโลเมตร โดยมีผลตั้งแต่เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งมาตรการนี้จะช่วยให้อุตสาหกรรมการบินจีนมีรายได้เพิ่มขึ้นราว 8.2 พันล้านหยวนในปีหน้า

นอกจากนั้นอุตสาหกรรมการบินยังอาจได้รับประโยชน์จากการแข็งค่าของเงินหยวน ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าจะเกิดขึ้นในปีหน้า โดยหากเงินหยวนแข็งค่าราว 3% สายการบินแอร์ไชน่า และ ไชน่า เซาท์เทิร์น แอร์ไลน์ จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 3 ล้าน และ 5 ล้านหยวนตามลำดับ

นักวิเคราะห์เชื่อว่า การที่เศรษฐกิจจีนดีดตัวขึ้นในลักษณะของตัว V จะทำให้ผู้โดยสารเที่ยวบินในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ไปจนถึงปีหน้า

ส่วนเที่ยวบินระหว่างประเทศจะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับงานสำคัญต่างๆ ในปีหน้า อาทิ งาน World Expo 2010 ซึ่งจะจัดขึ้นที่เซี่ยงไฮ้, การแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 16 ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองกว่างโจว และเกมการแข่งขันอีกหลายรายการ
money wake up
**********
16/11/52
GM คืนเงินกู้รัฐบาลเร็วกว่ากำหนด

Posted on Monday, November 16, 2009
เจนเนอรัล มอเตอร์ส (GM) บริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่สุดของสหรัฐ เตรียมจ่ายเงิน 6,700 ล้านดอลลาร์คืนให้รัฐบาลสหรัฐ ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป ซึ่งเร็วกว่ากำหนดถึง 5 ปี โดย GM เตรียมคืนเงินไตรมาสละ 1 พันล้านดอลลาร์ เริ่มงวดแรกในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 ซึ่งจะส่งผลให้ GM จ่ายเงินครบ 6,700 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ของปี 2554 จากที่กู้ยืมมาทั้งหมด 49,900 ล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ GM กำลังพยายามยกเครื่ององค์กร เพื่อให้สามารถกลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง หลังจากที่ทางบริษัทต้องยื่นขอความคุ้มครองจากการล้มละลายต่อศาลเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2552 เนื่องจากขาดทุนถึง 88,000 ล้านดอลลาร์ มาตั้งแต่ปี 2547 และต้องลดแบรนด์รถยนต์ในเครือจาก 8 แบรนด์เหลือเพียง 4 แบรนด์ ได้แก่ เชฟโรเล็ต คาดิลแลค บิวอิค และ GMCซึ่งสาเหตุที่บริษัทสามารถคืนเงินได้ก่อนกำหนด เนื่องจากตอนนี้สถานะทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่งเกินคาด

ในวันพรุ่งนี้ GM มีกำหนดการ ที่จะแจ้งผลประกอบการเบื้องต้นของไตรมาส 3
***********
IMF แนะจีนจำเป็นปล่อยเงินหยวนให้แข็งค่าขึ้น

Posted on Monday, November 16, 2009
นายโดมินิก สเตราส์ คาห์น กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมด้านการเงินในจีน ถึงความจำเป็นต้องปรับความสมดุลของเศรษฐกิจโลกและ ความพยายามของจีนในการกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชน ว่า ในการปฎิรูปเศรษฐกิจรัฐบาลจีน จำเป็นจะต้องปล่อยให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้น ซึ่งการปล่อยค่าเงินหยวนและเงินสกุลอื่นในเอเชียให้แข็งค่าขึ้น จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของครัวเรือน เพิ่มส่วนแบ่งรายได้ของแรงงาน โดยอุปสงค์ในประเทศจีนที่สูงขึ้น ประกอบกับเงินออมในสหรัฐที่สูงขึ้น จะช่วยปรับความสมดุลของอุปสงค์โลก และรับประกันเศรษฐกิจโลกที่แข็งแรงขึ้นสำหรับทุกฝ่าย

ทั้งนี้การประชุมรัฐมนตรีคลังเอเปก ได้ออกแถลงการณ์ร่วม เรียกร้องให้มีความยืดหยุ่นเกี่ยวกับระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินให้มากขึ้น ทำให้ถูกมองว่า เป็นการส่งสัญญาณ ให้จีนยอมปล่อยค่าเงินหยวนให้แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ

**********
คาดยอดค้าปลีก ต.ค.สหรัฐดีดขึ้น 0.9%

Posted on Monday, November 16, 2009
ผลสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์สำนักข่าวบลูมเบิร์กคาดการณ์ว่า ยอดค้าปลีกเดือนตุลาคมของสหรัฐที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเตรียมเปิดเผยในคืนนี้ จะกลับมาดีดตัวขึ้นอีกครั้ง 0.9% หลังจากยอดค้าปลีกเดือนกันยายนอ่อนตัวลง 1.5%

นอกจากนี้ยังคาดว่า ยอดค้าปลีกที่ไม่นับรวมยอดขายรถยนต์ในเดือนตุลาคม อาจเพิ่มขึ้น 0.4% ซึ่งจะเป็นสถิติที่เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 เดือน

นาย เจมส์ ซัลลิแวน หัวหน้านักวิเคราะห์จากบริษัท MF Global Inc ในนิวยอร์ก บอกว่า ยอดขายสินค้าจากบรรดาห้างค้าปลีกที่เพิ่มขึ้น จะช่วยทำให้ฤดูการจับจ่ายใช้สอยในวันหยุดของสหรัฐคึกคักขึ้น แต่ก็ยังต้องลุ้นว่า ตลาดแรงงานสหรัฐจะฟื้นตัวเมื่อใด

สำหรับยอดขายรถยนต์โดยสารและรถบรรทุกขนาดเล็กประจำเดือนตุลาคม ของสหรัฐมีอยู่ทั้งสิ้น 838,000 คัน เพิ่มขึ้น 12% จากเดือนกันยายน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดรถยนต์ของสหรัฐเริ่มมีเสถียรภาพ และยังบ่งชี้ว่าผู้บริโภคเริ่มหันมาใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ด้วย

ส่วนตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร ประจำเดือนตุลาคม ร่วงลง 190,000 ตำแหน่ง ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 175,000 ตำแหน่ง แต่ยังน้อยกว่าตัวเลขจ้างงานเดือนกันยายนที่ร่วงลง 219,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราว่างงานเดือนตุลาคม พุ่งขึ้นแตะระดับ 10.2% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 26 ปีครึ่ง

**********
ประธานาธิบดีสหรัฐฯหวังการค้าสหรัฐ-จีน สมดุล

Posted on Monday, November 16, 2009
นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ บอกในโอกาสเดินทางมาเยือนจีนอย่างเป็นทางการครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีว่า การค้าระหว่างสหรัฐและจีนช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจของทั้งสองประเทศขยายตัวขึ้น และหากการค้าระหว่างประเทศมีความสมดุลมากกว่านี้ก็จะยิ่งทำให้ทั้งสองประเทศเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น เนื่องจากจะสามารถสร้างงานให้กับทั้งสหรัฐและจีนได้

นายโอบามา บอกอีกว่า สหรัฐจะยังคงสนับสนุนนโยบายจีนเดียวอย่างเต็มที่ต่อไป และยินดีที่ความสัมพันธ์ในคาบสมุทรนั้นดีขึ้น โดยสหรัฐหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างจีนและไต้หวันปรับตัวดีขึ้นมาก ซึ่งความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าจะมีส่วนช่วยลดความตึงเครียดลงได้มาก

ทั้งนี้นายโอบามาได้เดินทางถึงจีนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และได้พบกับคณะเจ้าหน้าที่ของจีนก่อนที่จะพบปะกับเยาวชนจีน โดยหลังจากการเดินทางเยือนจีน ผู้นำสหรัฐจะเดินทางไปเยือนเกาหลีใต้เป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายของการเดินสายเยือนเอเชีย 4 ประเทศ

money news update**********
16/11/52
APEC ปิดฉากลง พร้อมผนึกกำลังร่วมสร้างสมดุลเศรษฐกิจใหม่

ผู้นำสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ให้คำมั่นระหว่างการแถลงปฏิญญาร่วมกันว่าจะเร่งกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน ซึ่งรวมถึงการศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างเขตการค้าเสรี

บทสรุปจากทางสหรัฐที่ย้ำขอเรีกร้องเกี่ยวกับภาวะไร้สมดุลในภาค เศรษฐกิจ ที่เกิดมาจากวิกฤติการเงินโลก ซึ่งแผนยุทธศาสตร์นี้เรียกร้องให้สหรัฐประหยัดมากขึ้น ปฎิรูปการคลัง และลดการขาดดุลในระยะยาว และการกู้เงิน แต่กลุ่มผู้นำหลายประเทศ พุ่งเป้าไปที่สัญญาณมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐ

ความเห็นที่น่าสนใจของ ประษาธิบดี หู จิ่นเทาของจีน กล่าวว่า จีนได้ทำหน้าที่ของตนเองในการนำโลกออกาจากภาวะถดถอยแล้ว แต่ได้รับผลกระทบจากการตรวจสอบทางการค้า และมาตรการกีดกันทางการค้า ซึ่งนโยบายของจีนที่ผูกค่าเงินหยวนกับดอลลาร์ ส่งผลให้สินค้าส่งออกของจีนมีราคาถูกลงนั้น ถูกหยิบยกในการประชุมครั้งนี้ด้วย ซึ่งผู้นำสหรัฐกล่าวว่า จะนำเอาประเด็นดังกล่าว หารือกับจีนในการเยื้อนสัปดาห์หน้า

และบทสรุปของผู้นำ 21 ประเทศ นั้น ลงความเห็นว่า จะดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปจนกว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนจะเกิดขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งยังกระตุ้นให้มีการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอย่างเป็นรูปธรรม

ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯ ประกาศจะให้มลรัฐฮาวายเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย-แปซิฟิก ในปี 2554 พร้อมฝากมุขเอาไว้ว่า "ผมตั้งตารอที่จะเห็นพวกคุณทุกคนใส่เสื้อลายดอก และกระโปรงฟาง เพราะวันนี้ ผมได้ประกาศว่าเราจะนำที่ประชุมนี้ไปจัดที่ฮาวาย บ้านเกิดของผม ในปี 2554"

การประชุมสุดยอดผู้นำ APEC ปีหน้า จะจัดขึ้นในเมืองท่าโยโกฮามาของญี่ปุ่น และรัสเซียจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในปี 2555 ที่เมืองวลาดิโวสต็อก
**********
หุ้นโลกขยับบวกต่อ รับข่าวดีเศรษฐกิจ-ผลประกอบการ

นักลงทุนยังเทเงินเข้าไปยังตลาดหุ้นทั่วโลกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เริ่มจาก MSCI Emerging Markets ที่บวกขึ้นอย่างมากในรอบเดือน ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะตัวเลขที่มาจากทางประเทศบราซิล ที่มีรายงานยอดค้าปลีกออกมาเพิ่มขึ้นในเดือนล่าสุด รวมทั้งผลกำไรของบริษัทรับสร้างบ้านในประเทศที่ออกมาดีกว่าคาด จนทำให้มีการคาดการณ์ว่าการใช้จ่ายผู้บริโภคน่าจะเป็นตัวนำการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจครั้งนี้

นอกจากนั้น ยังมีความเคลื่อนไหวมาจากประเทศจีน เมื่อประธานาธิบดี หู จิ่น เทา บอกว่า รัฐบาลจะดำเนินมาตรการเต็มที่เพื่อกระตุ้นความต้องการในประเทศ หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จีนได้รายงานผลผลิตอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกในเดือนตุลาคมที่ดีกว่าคาด ด้วยตัวเลขผลผลิตที่ออกมาเพิ่มขึ้นถึง 16% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ขณะเดียวกัน ทางเกาหลีใต้ ก็เปิดเผยตัวเลขสถานการณ์ภาคแรงงานที่น่าพอใจ ด้วยอัตราการว่างงานที่ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเก้าเดือน

ทางด้านยุโรป ตลาดหุ้นก็ปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่สองหลังจากกลุ่มประเทศ G-20 เห็นชอบร่วมกันในการคงระดับการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป รวมถึงปัจจัยผลประกอบการที่นำโดย สถาบันการเงิน อย่าง Credit Agricole และผู้ผลิตปูนซีเมนต์ยักษ์ใหญ่ Holcim ที่ประกาศผลดำเนินงานดีเหนือความคาดหมาย

ส่วนผู้นำในธุรกิจเหมือง คือ BHP Billiton และ Rio Tinto ก็นำการบวกของหุ้นกลุ่มนี้ขึ้นได้ ถือเป็นการบวกรับข่าวการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในจีน และคำสั่งซื้อเครื่องจักรที่เพิ่มขึ้นในญี่ปุ่น

ดัชนี Euro Stoxx 50 ที่ใช้วัดราคาหุ้นขนาดใหญ่ในยูโรโซน ปรับตัวขึ้น 3.2% ในสัปดาห์ที่แล้ว ส่วน Dow Jones Stoxx 600 ขยับขึ้น 2.8%

ในธุรกิจการบินก็มีปัจจัยการควบรวมกิจการลับเข้ามาอีกครั้งในสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อ British Airways ในฐานะสายการบินรายใหญ่ที่สุดอันดับสามของยุโรป ในที่สุดก็ได้ประกาศเห็นชอบควบรวมกิจการกับทางสายการบิน Iberia หลังจากที่ยืดเยื้อและพูดคุยกันมานานกว่า 1 ปีแล้ว

ส่งท้ายด้วยหุ้นทางฝั่งสหรัฐฯ ตลาดก็ปรับขึ้นเป็นสัปดาห์ที่สองเช่นกัน หลังเห็นท่าทีของกลุ่มประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจ อย่าง G20 และผลประกอบการของธุรกิจชั้นนำ เช่น Wal-Mart Stores รวมถึง Walt Disney ที่ออกมาดีกว่าตลาดคาดการณ์ ซึ่งในสัปดาห์นี้ นักลงทุนก็ยังรอลุ้นรายงานทางเศรษฐกิจที่สำคัญหลายตัว อย่างเช่น ตัวเลขยอดค้าปลีก ผลผลิตอุตสาหกรรม ดัชนีราคาสินค้า และภาวะการสร้างบ้าน เป็นต้น
**********
วอร์เรน บัฟเฟต มองธุรกิจพ้นจุดต่ำสุด แม้ภาพรวมเศรษฐกิจต้องรออีกยาว

หนึ่งในปัจจัยที่มีคนจับตาดูอยู่ก็คือ มุมมองของมหาเศรษฐีนักลงทุน วอร์เรน บัฟเฟต (Warren Buffett) ที่ล่าสุดออกมาบอกว่า แม้ธุรกิจของเขาน่าจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดอันเป็นผลของวิกฤติการเงินครั้งนี้แล้ว แต่ก็ยังเชื่อว่าแรงขับดันเศรษฐกิจในปัจจุบันยังมีอยู่น้อย และไม่คิดว่าช่วงไฮซีซั่นที่กำลังจะมาถึง จะสามารถช่วยทำให้ทุกอย่างดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาได้

บัฟเฟต ที่ได้ให้สัมภาษณ์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมากับผู้ดำเนินรายการชื่อดังของอเมริกา อย่าง Charlie Rose บอกว่า ความต้องการของผู้บริโภคจะฟื้นขึ้น และมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะกลับมาเหมือนเดิมในอีกสองปีข้างหน้า ไม่ใช่เพียงแค่หนึ่งปีเหมือนอย่างที่หลายคนคิดไว้

ความเห็นของมหาเศรษฐีอันดับสองของโลกนี้ อาจจะดูไม่เป็นไปตามตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาสสามที่ GDP กลับมาขยายตัวเป็นบวกได้เป็นครั้งแรกในรอบหลายไตรมาส แต่สิ่งที่ดูจะสอดคล้องกับมุมมองของ บัฟเฟต ก็คือ อัตราการว่างงาน ที่เมื่อเดือนที่แล้วตัวเลขพุ่งขึ้นเป็นสองหลักที่ 10.2% และเป็นระดับสูงสุดในรอบ 26 ปีเลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี แม้เขาจะมีมุมมองที่ไม่สดใสนักต่อสภาวะเศรษฐกิจ แต่ดีลการซื้อกิจการมูลค่า 26,400 ล้านเหรียญ ของ Burlington Northern Santa Fe ที่ทำธุรกิจรถไฟเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยผ่าน Berkshire Hathaway ก็ทำให้หลายคนเชื่อว่า ยังมีอีกหลายธุรกิจที่กำลังไปได้ดีแม้แนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจจะผันผวนอยู่ก็ตาม

สำหรับเรื่องทิศทางเงินดอลลาร์ ที่อ่อนค่ามาแล้วกว่า 15% นับตั้งแต่จุดสูงสุดของปีนี้เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก กูรูนักลงทุนวัย 79 รายนี้ ก็มองว่า ดอลลาร์มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าต่อไป ขณะรัฐบาลยังคงพิมพ์เงินเข้าสู่ระบบมากขึ้น แต่คำถามก็คือ ค่าเงินสหรัฐฯ จะอ่อนต่อไปได้อีกมากน้อยแค่ไหน

บัฟเฟตประมาณการณ์ว่า สภาคองเกรสสหรัฐฯ จะต้องปรับขึ้นภาษีและปิดช่องว่างการขาดดุลงบประมาณให้ได้ในที่สุด หลังจากที่ตัวเลขขึ้นไปติดลบสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1.4 ล้านล้านเหรียญ มิฉะนั้นแล้ว ค่าเงินของประเทศจะยิ่งสูญเสียมูลค่าไปมากกว่านี้
**********
สหรัฐขาดดุลการค้าเกินคาด หลังนำเข้าน้ำมันพุ่ง

กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐพุ่งขึ้นสูงเกินคาดถึง 18.2% ซึ่งเป็นการขยายตัวมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2542 แตะ 36,500 ล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. มากกว่าระดับ 30,800 ล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค. และมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ที่ระดับ 31,700ล้านดอลลาร์

ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ยอดขาดดุลการค้าปรับตัวสูงขึ้นในเดือนก.ย.คือ ราคาน้ำมันในต่างประเทศที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบหนึ่งปี และได้บดบังยอดส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมา

กระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ตัวเลขนำเข้าโตขึ้น 5.8% แตะ 168,400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวมากที่สุดนับตั้งแต่ปีพ.ศ.2536 นำโดยน้ำมันที่พุ่งขึ้น 20.1% โดยยอดนำเข้าน้ำมันจากกลุ่มโอเปคเพิ่มขึ้นแตะ 11,900 ล้านดอลลาร์ สูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2551

ขณะที่ยอดส่งออกปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน โดยเพิ่มขึ้น 2.9% แตะ 132,000ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายรถยนต์อเมริกันที่แข็งแกร่งขึ้น รวมไปถึงเครื่องบิน และเครื่องจักรกลอุตสาหกรรม

นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ สหรัฐขาดดุลการค้าเป็นมูลค่าราว 366,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณครึ่งหนึ่งของตัวเลขขาดดุลการค้าที่ 695,900 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐร่วงลงรุนแรงในปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐดิ่งลงสู่ภาวะถดถอย และมูลค่าของเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง

ด้านนักวิเคราะห์คาดว่า เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวขึ้นจะเป็นปัจจัยผลักดันให้ดีมานด์การส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ เมื่อช่วงต้นเดือนนี้ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะเปลี่ยนรูปแบบการขยายตัว พร้อมระบุว่าจะส่งเสริมการส่งออกของประเทศ

สำหรับตัวเลขขาดดุลการค้าที่ได้รับการเปิดเผยล่าสุดนี้ยังแสดงให้เห็นด้วยว่า ช่องว่างทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนขยายตัวขึ้น 9.2% แตะ 22,100 ล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. เพราะยอดนำเข้าจากจีนทะยานขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นประเด็นที่อ่อนไหวทางการเมือง เนื่องจากสหรัฐพยายามกดดันให้จีนปล่อยเงินหยวนแข็งค่าขึ้นเทียบกับเงินดอลลาร์ เพื่อทำให้สินค้าส่งออกของสหรัฐมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโอบามาอยู่ในระหว่างเดินสายเยือนภูมิภาคเอเชีย และจะพบกับประธานาธิบดีหู จิ่นเทาของจีนที่กรุงปักกิ่งในวันอังคารนี้
*********
เศรษฐกิจยูโรโซนหลุดพ้นภาวะถดถอย

สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป หรือ ยูโรสแตท เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรกลับมาขยายตัวอีกครั้งที่ 0.4% ในไตรมาส 3 ซึ่งหมายความว่าเศรษฐกิจยูโรโซนได้หลุดพ้นจากภาวะถดถอยแล้ว เช่นเดียวกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นและสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม อัตราการขยายตัวดังกล่าวยังต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ เนื่องจากประเทศเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของยูโรโซน อาทิ เยอรมนี และ ฝรั่งเศส มีอัตราการขยายตัวในไตรมาสสามที่น้อยกว่าคาดการณ์

นอกจากนี้ ในบรรดา 16 ประเทศที่ใช้เงินยูโร ไม่ใช่ทุกประเทศที่สามารถหลุดพ้นจากภาวะถดถอยได้แล้ว โดย สเปนเพิ่งเปิดเผยว่า GDP ของประเทศยังคงหดตัว 0.3% ในเดือนก.ค.-ก.ย.

ขณะที่เศรษฐกิจของสหภาพยุโรป (EU) โดยรวม ซึ่งรวมถึงประเทศที่ไม่ใช้สกุลเงินยูโร อาทิ อังกฤษ และ สวีเดน สามารถหลุดพ้นจากภาวะถดถอยได้แล้วเช่นกัน หลังจากขยายตัว 0.2% ในไตรมาสสาม


จีนเดินหน้ากระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ-ลดพึ่งพาส่งออก

ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ของจีน กล่าวกับผู้นำธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกว่า จีนต้องใช้มาตรการเชิงรุกในการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้โดยพึ่งพาการลงทุนและการส่งออกให้น้อยที่สุด

นายหูกล่าวที่สิงคโปร์ว่า "เราทำงานอย่างหนักเพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศเพื่อต้องการให้ประชาชนมีกำลังจ่ายมากขึ้น"

ผู้นำจีนไม่ได้กล่าวถึงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศซึ่งกำลังเป็นปัญหาในตอนนี้ เนื่องจากจีนไม่ยอมปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าเพื่อสนับสนุนภาคการส่งออก โดยเงินหยวนยังตรึงอยู่ที่ระดับ 6.83 หยวน/ดอลลาร์ มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ทั้งที่แข็งค่าขึ้นถึง 21% ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา

หัวหน้านักยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนจากบริษัท เอสเจเอส มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า"อันที่จริงหลายประเทศในภูมิภาคกำลังแข็งขันกับจีนเรื่องการส่งออก" "ตราบใดที่เงินหยวนยังอ่อนค่าสอดคล้องกับเงินดอลลาร์ ประเทศอื่นในเอเชียก็ต้องเข้าแทรกแซงเพื่อไม่ให้สกุลเงินของตนเองแข็งค่าเช่นกัน"

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 4 ล้านล้านหยวน (586,000 ล้านดอลลาร์) ช่วยหนุนให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวถึง 8.9% ในไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

เศรษฐกิจจีนก็มีอิทธิพลต่อประเทศอื่นในเอเชียมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2545 สหรัฐยังเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ แต่ในปี 2551 จีนสามารถแซงหน้าสหรัฐและเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของประเทศที่กล่าวมาทั้งหมด สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน
money wake up
***********
16/11/52
ยอด FDI เดือนตุลาคมในจีนพุ่ง 5.7%

Posted on Monday, November 16, 2009
กระทรวงพาณิชย์จีน ระบุว่า ยอดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในเดือนตุลาคมปีนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีมูลค่า 7.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นสถิติที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนอย่างแข็งแกร่ง และการคาดการณ์ว่างินหยวนจะแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับยอดขายปลีกที่เพิ่มขึ้นก็มีส่วนช่วยผลักดันให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน เช่น เทสโก้ บริษัทค้าปลีกรายใหญ่สุดของอังกฤษซึ่งได้เข้ามาจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อก่อสร้างศูนย์กลางซื้อขายสินค้าในจีนเป็นครั้งแรก

นายลู เจิงเหว่ย นักเศรษฐศาสตร์ของอินดัสเทรียล แบงก์ บอกว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะมีส่วนสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนต่ออย่างต่อเนื่องทั้งในตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดเงิน โดยในไตรมาส 3/52 เศรษฐกิจจีนขยายตัว 8.9% ส่วนการผลิตภาคอุตสาหกรรมเมื่อเดือนตุลาคมก็ขยายตัวรวดเร็วที่สุด นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 ขณะที่อัตราการขยายตัวของยอดขายปลีกก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 16.2%
**********
ชี้หากเงินหยวนยังอ่อนค่าต่อไป กระเทือนส่งออกทั้งเอเชีย

Posted on Monday, November 16, 2009
อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า ผลการประชุมเอเปคค่อนข้างสอดคล้องกับที่ประชุม G20 ในสัปดาห์ก่อนว่ากลุ่มประเทศสมาชิกยังจำเป็นต้องคงนโยบายผ่อนคลายการเงินและคลังไว้จนกว่าจะมีสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน ซึ่งสะท้อนว่ากลุ่มประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจยังมีความเชื่อมั่นที่เปราะบางต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยประเด็นการถอดถอนมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลัง ก็ยังเป็นประเด็นที่ตลาดต้องจับตามองต่อไป

อุสรากล่าวอีกว่า การที่ค่าเงินหยวนได้อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินในภูมิภาค ถือเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของภาคส่งออกในเอเชียได้ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจเอเชียในปีหน้าไม่ได้ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งอย่างที่คาดการณ์ไว้

ในสัปดาห์นี้ หลายประเทศในเอเชีย ยุโรป รวมถึงสหรัฐฯ จะประกาศเงินเฟ้อ ซึ่งหากเงินเฟ้อขยับสูงขึ้น จะทำให้ตลาดกังวลได้ว่า อาจมีการลดการผ่อนคลายนโยบายการเงิน และขึ้นดอกเบี้ยอีกได้ นอกจากนี้ ในช่วงท้ายสัปดาห์ สหรัฐฯจะประกาศยอดค้าปลีกเดือนตุลาคมอีกด้วย ซึ่งจะบ่งชี้ตัวเลขการส่งออกของเอเชียและยุโรปในไตรมาส 4/52 ได้ จึงเป็นประเด็นที่น่าจับตามองเช่นกัน

สำหรับประเด็นในประเทศที่ต้องจับตานั้น จะเป็นเรื่องการเมือง และตัวเลขการส่งออกของเดือนตุลาคม

อุสรากล่าวอีกว่า ค่าเงินบาทสัปดาห์นี้น่าจะแข็งค่าตามภูมิภาค แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยก็คงจะเข้ามาดูแลอีกเช่นกัน ทำให้ค่าเงินบาทน่าจะแกว่งตัวในระดับ 33.20 – 33.40 บาทได้

**********
จีดีพีญี่ปุ่น ไตรมาส 3/52 พุ่ง 4.8%

Posted on Monday, November 16, 2009
สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นรายงาน ตัวเลขเศรษฐกิจ (GDP) ประจำไตรมาส 3/52 ของญี่ปุ่น ขยายตัวในอัตรา 4.8% ต่อปี ซึ่งเป็นสถิติที่ขยายตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส และเป็นการขยายตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 2 ปี มากกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลล์สำนักข่าวเกียวโดคาดว่าจะขยายตัวเพียง 2.6%

ทั้งนี้ ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคซึ่งคิดเป็น 60% ของจีดีพี ขยายตัวขึ้น 0.7% ในไตรมาส 3/52 ขณะที่ตัวเลขการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวขึ้น 1.6% และการลงทุนภาคสาธารณะขยับลง 1.2% โดยความต้องการภายในประเทศมีส่วนช่วยหนุนจีดีพีขยายตัวขึ้น 0.8% และส่วนตลาดต่างประเทศมีส่วนช่วยหนุนจีดีพีโตขึ้น 0.4%

ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/52 ของญี่ปุ่นที่ขยายตัวขึ้นสอดคล้องกับตัวเลขเศรษฐกิจที่ทางการญี่ปุ่นเปิดเผยในช่วงก่อนหน้านี้ ทั้งยอดสั่งซื้อเครื่องจักรขั้นพื้นฐานประจำเดือนกันยายนที่พุ่งขึ้น 10.5% มาแตะที่ 7.38 แสนล้านเยน ซึ่งเป็นการปรับติดขึ้นติดต่อกัน 2 เดือน และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 3.1%

ขณะที่อัตราว่างงานเดือนกันยายนของญี่ปุ่นร่วงลงแตะระดับ 5.3% จากเดือนสิงหาคม ที่ระดับ 5.5% ส่วนจำนวนบริษัทล้มลายของญี่ปุ่นในเดือนตุลาคมได้ลดลง 11.7% จากปีที่แล้ว แตะระดับ 1,261 ราย เพราะได้ปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
money news update
*************
12/11/52
ยอดค้าปลีกไตรมาส 3/52 ของ นิวซีแลนด์เพิ่ม 0.1%

Posted on Thursday, November 12, 2009
สำนักงานสถิติเเห่งชาตินิวซีแลนด์ แถลงวันนี้ว่า ยอดค้าปลีกนิวซีแลนด์ไตรมาส 3/52 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 เป็นผลมาจากตลาดอสังหาริมทรัพย์และความเชื่อมั่นผู้บริโภคได้ฟื้นตัวขึ้น ส่งสัญญาณว่าการฟื้นตัวของนิวซีแลนด์กำลังมีเสถียรภาพมากขึ้น

สำนักงานสถิติเเห่งชาตินิวซีแลนด์ ระบุว่า ยอดค้าปลีกนิวซีแลนด์ในไตรมาสดังกล่าวเพิ่มขึ้น 0.1% หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.5% ในไตรมาส 2/52 ซึ่งสวนทางกับนักวิเคราะห์ที่ประมาณการไว้ว่าจะลดลง 0.1%

นอกจากนี้ ยอดขายที่ห้างค้าปลีกและร้านชำในนิวซีแลนด์เดือนเดียวกันเพิ่มขึ้น 0.2% ส่วนยอดขายที่ร้านค้าอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือนเพิ่มขึ้น 6.5% ขณะที่ยอดขายที่ห้างสรรพสินค้าลดลง 3.1% และยอดขายที่ผู้เเทนจำหน่ายยานยนต์ลดลง 2%
money news update
*********
ธนาคารโลกเตือนจีนเสี่ยงเงินฝืด-การผลิตล้นตลาด

Posted on Thursday, November 12, 2009
จัสติน ยีฟุ ลิน รองประธานอาวุโสของธนาคารโลกและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ได้ออกมาเตือนว่า การที่จีนจะพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนได้ต้องมุ่งเน้นการสร้างสมดุล ซึ่งที่ผ่านมาจีนมีจุดยืนทางการเงินที่แข็งแกร่ง และยังมีเงินสำรองต่างประเทศถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ จีนยังมีโอกาสที่จะยกระดับด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีอีกมาก

รองประธานอาวุโส บอกว่า ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับรัฐบาลที่จะพุ่งเป้าไปที่ความพยายามในการสร้างสมดุลให้กับเศรษฐกิจมากกว่าเดิม รวมทั้งผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวจากดีมานด์ภายในประเทศ ซึ่งนอกจากการปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรมแล้ว จีนควรให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างภาคการเงินด้วยเช่นกัน เนื่องจากบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่จ้างพนักงานถึง 80% ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการด้านการเงินได้ เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวถูกครอบงำจากธนาคารขนาดใหญ่ที่ให้บริการกับบริษัทรายใหญ่ๆเป็นส่วนใหญ่ อาจทำให้เกิดช่องว่างด้านรายได้มากขึ้น

รองประธานอาวุโสฯ บอกด้วยว่า ปัจจัยท้าทายที่สำคัญ ที่เศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญอยู่ก็คือ ความเสี่ยงของภาวะการผลิตที่สูงเกินไป หากไม่หาทางแก้ อาจจะทำให้เกิดภาวะเงินฝืดได้ และจะมีคนว่างงานมากขึ้น รวมถึงอัตราการล้มละลายที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการใช้จ่ายและการลงทุนอ่อนตัวลง
money news update
************
12/11/52
หุ้นโลกเดินหน้าบวก ขณะทองทำนิวไฮต่อ

ตัวเลขภาคการผลิตของจีนที่สดใส บวกกับผลประกอบการของธุรกิจชั้นนำก็ได้สร้างความคึกคักให้กับตลาดหุ้นทั่วโลก นับตั้งแต่ตลาดเอเชียเมื่อวาน มาจนถึงยุโรปและอเมริกา

ปัจจัยผลดำเนินงานเริ่มจากธนาคารที่มีมาร์เก็ตแค็ปขนาดใหญ่อันดับ 3 ของฝรั่งเศส อย่าง Credit Agricole ที่ออกมาดีกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ด้วยตัวเลขกำไรในไตรมาส 3 ที่ 289 ล้านยูโร พร้อมกับการประกาศเปลี่ยนตัวซีอีโอในปีหน้า

ขณะที่ผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่อันดับสองของโลก อย่าง Holcim ก็เปิดเผยผลกำไรในไตรมาส 3 ที่ 673 ล้านฟรังค์สวิส เมื่อเทียบกับตัวเลข 460 ล้านฟรังก์สวิสที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ผลงานดังกล่าวก็เกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทได้ทำการปิดตัวโรงงานหลายแห่ง รวมถึงการลดจำนวนพนักงาน ด้วยจุดประสงค์ที่อยากจะเห็นอัตรากำไรที่ดีขึ้น

นอกจากนั้น ผู้ให้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินชั้นนำสัญชาติดัทช์ อย่าง ING Group ก็เปิดเผยผลกำไรเฉียด 500 ล้านยูโรในไตรมาสล่าสุด ซึ่งดีขึ้นจากที่เคยขาดทุน 478 ล้านยูโรในช่วงเดียวกันปีที่แล้ว

มาที่อเมริกา ที่ดัชนี S&P 500 ขยับขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 13 เดือน นำโดยแรงซื้อหุ้นในกลุ่มการเงิน อย่าง Bank of America, Goldman Sachs และ Wells Fargo เช่นเดียวกับหุ้นในกลุ่มรับสร้างบ้านที่บวกกันอย่างคึกคัก นำโดย Toll Brothers ที่เป็นบริษัทรับสร้างบ้านหรูหรารายใหญ่ที่สุดของประเทศ ราคาหุ้นกระโดดขึ้นถึง 16% ซึ่งนับว่าแรงที่สุดในรอบ 17 ปี หลังจากบริษัทบอกว่ายอดคำสั่งซื้อพุ่งขึ้นถึง 42% ในไตรมาสล่าสุด ขณะที่ยอดขายและกำไรก็ออกมาเหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์

ส่วนหุ้นในกลุ่มเดียวกัน เช่น Pulte Homes, KB Home, Lennar และ D.R.Horton ก็บวกขึ้นได้อย่างน้อย 5%

และก็ยังบวกได้อย่างต่อเนื่องสำหรับราคาทองคำ จนทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ที่ 1,119.10 เหรียญต่อออนซ์เมื่อคืนนี้ ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าแนวโน้มเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าจะผลักให้ความต้องการในสินทรัพย์ที่เป็นทางเลือกเพิ่มมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ตลาดก็ยังได้เห็นมุมมองของกูรูนักลงทุนชื่อดัง อย่าง Marc Faber ที่ระบุไว้ในงานเขียนฉบับล่าสุดว่า ราคาทองจะไม่หล่นลงไปต่ำกว่าระดับ 1,000 เหรียญอีกแล้ว ภายใต้สภาวะที่ธนาคารกลางต่างๆ ได้ทำการพิมพ์เงินเพื่อมาหนุนการขาดดุลงบประมาณ ซึ่งบางทีราคาทองในวันนี้อาจจะถูกกว่าในปี 2544 เสียด้วยซ้ำ หากสมมติให้ดอกเบี้ยอยู่ในระดับเดียวกัน

Faber ยังได้พูดถึงการที่จีนเดินหน้าซื้อทรัพยากรต่างๆ ที่รวมถึงทองด้วยว่า มีโอกาสเพิ่มขึ้นได้อีก พร้อมกับคาดว่าเศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่ก็น่าจะขยายตัวได้ในอัตราที่สูงสุดด้วย


จับตาทิศทางค่าเงินหยวน หลังถูกกดดันรอบด้าน

เงินหยวนถูกกดดันให้แข็งค่าอีกครั้ง หลังตัวเลขเศรษฐกิจจีนล่าสุดออกมาส่งสัญญาณเร่งตัวขึ้น ประจวบเหมาะกับการมาเยือนเอเชียของผู้นำสหรัฐฯ ที่ตั้งธงมาก่อนแล้วว่าจะหยิบยกประเด็นค่าเงินของจีนขึ้นมาพูดคุย

ขณะที่ท่าทีของนายกรัฐมนตรี นาย เหวิน เจี่ยเป่า ก็ยังไม่ได้พุ่งเป้ามาเปลี่ยนแปลงนโยบายในเรื่องค่าเงินมากนัก จนกว่าจะเห็นการฟื้นตัวอย่างมากสำหรับภาคส่งออกในฐานะที่จะเป็นตัวสร้างความมั่งคงในเศรษฐกิจของประเทศและเพิ่มการจ้างงาน

และนอกจากอเมริกาที่คาดหวังกับการเปลี่ยนทิศของนโยบายค่าเงินของจีนแล้ว ทางประธานของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย หรือ ADB ก็พูดถึงค่าเงินของประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกแห่งนี้ด้วยว่า มีความจำเป็นและเหมาะสมแล้วที่จีนจะปล่อยให้ค่าเงินของตนเคลื่อนไหวในแบบที่ยืดหยุ่นมากขึ้น หลังจากที่รัฐบาลใช้มาตรการตอบโต้กับสภาวะวิกฤติในช่วงที่ผ่านมาได้อย่างดีเยี่ยม จนนำมาสู่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง

คำกล่าวของประธาน ADB นั้นก็สอดคล้องกับของผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่บอกว่าอยากเห็นจีนจัดการกับเรื่องค่าเงินของตนที่อ่อนเกินควร

ไฮไลท์ตัวเลขเศรษฐกิจจีนล่าสุดอยู่ที่ผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม ที่ขยายตัว 16.1% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และเป็นอัตราที่สูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2551 ขณะตัวเลขยอดค้าปลีกก็เพิ่มขึ้นด้วยอัตรา 16.2% ต่อปี ในเดือนเดียวกันนี้ด้วย เช่นเดียวกับ มูลค่าการเกินดุลการค้า ที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากเดือนกันยายน มาอยู่ที่ 24,000 ล้านเหรียญ หลังมูลค่าส่งออกร่วงในอัตราที่ต่ำสุดของปีนี้

มาดูที่มุมมองของธนาคารกลางจีน ผ่านรายงานประจำไตรมาสล่าสุดที่ระบุว่า นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศจะมีการพิจารณาถึงปัจจัยเงินทุนเคลื่อนย้ายในโลกและการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินสกุลหลักเข้าไว้ด้วย ซึ่งนั่นก็อาจจะถูกตีความว่า มีความเป็นไปได้ที่จีนอาจจะปล่อยให้ค่าเงินของตนแข็งขึ้นได้ ขณะเดียวกับที่เงินดอลลาร์อ่อนค่า

และที่น่าสนใจก็คือ ข้อความในรายงานของแบงก์ชาติจีนล่าสุดดังกล่าว ได้เปลี่ยนไปจากฉบับก่อนหน้าที่เคยระบุถึงความต้องการที่จะปกป้องค่าเงินหยวนให้มีเสถียรภาพ


ประธานาธิบดีสหรัฐฯทัวร์เอเชียอย่างเป็นทางการครั้งแรก

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา จะเริ่มเดินทางมาเยือนเอเชียอย่างเป็นทางการ ซึ่งนับเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ

ประเด็นที่น่าจับตา คงไม่พ้นเรื่องการเตรียมเจรจากับญี่ปุ่นในประเด็นฐานทัพโอกินาวา ที่ต้องการจะสางปัญหาดังกล่าว ก่อนเปิดการประชุม สุดยอดผู้นำเอเชียแปซิฟิก APEC (เสาร์-อาทิตย์นี้) หรือ เรียกว่า Leader meeting และปัญหาใหม่ล่าสุดที่เกิดขึ้นระหว่างปะทะกันในน่านน้ำทะเลเหลือง ระหว่างเกาหลีใต้ และเกาหลีเหนือ รวมถึง หารือเรื่องสงครามในอัฟกานิสถาน การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โครงการอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ

ประธานาธิบดีโอบามา จะเดินทางเยือนญี่ปุ่นเป็นประเทศแรก ในวันศุกร์ ที่ 13 พ.ย. นี้ โดยจะเป็นการประชุมร่วมกับ ยูคิโอะ ฮาโตยามะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ในประเด็น ข้อตกลงเรื่องฐานทัพของสหรัฐในประเทศญี่ปุ่น

นายฮาโตยามะ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อ 2 เดือนที่แล้วให้คำมั่นว่า จะปรับเปลี่ยนข้อตกลงเมื่อปี 2549 ในเรื่องการเปลี่ยนฐานทัพอากาศฟูเตนมะที่เกาะโอกินาว่า ซึ่งมีทหารในสังกัดจำนวนมาก

ขณะที่พรรคเดโมเครติค ออฟ เจแปนต้องการให้มีการโยกย้ายฐานทัพออกจากเกาะโอกินาว่า เนื่องจากประชาชนในพื้นที่ได้ร้องเรียนมาเกี่ยวกับเรื่องมลพิษ เสียงรบกวน และอาชญากรรม

บลูมเบิร์กรายงานว่า โอบามาได้ให้สัมภาษณ์กับ NHK เทเลวิชั่น ว่า ญี่ปุ่นควรจะรักษาข้อตกลงไว้ ในเวลาต่อมา ทั้ง 2 ประเทศตกลงที่จะจัดตั้งคณะทำงานในระดับครม.ขึ้นมา เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งในเรื่องดังกล่าว

ผู้เชี่ยวชาญในญี่ปุ่น ต่างออกมาประเมินสถานการณ์ ว่าปัญหาดังกล่าวอาจจะไม่สามารถหาข้อสรุปสุดท้ายได้ ภายในการเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้ และในวันเสาร์-อาทิตย์ โอบามาจะเข้าร่วมประชุม APEC ที่สิงคโปร์ (Leader Meeting) ซึ่งผู้นำของไทย และทั้งหมด 21 ประเทศ (ชาติสมาชิกเอเปคประกอบไปด้วย ออสเตรเลีย บรูไน แคนาดา ชิลี จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย เม็กซิโก นิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินี เปรู ฟิลิปปินส์ รัสเซีย สิงคโปร์ ไต้หวัน สหรัฐ เวียดนาม และไทย) จะเข้าร่วมในการประชุมครั้งนี้


EU เรียกประชุมเลือกประธานสหภาพยุโรปคนแรก

สหภาพยุโรป (EU) เรียกประชุมนัดพิเศษในวันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายนนี้ ที่บรัสเซล เพื่อเฟ้นหาประธานคนแรกของของกลุ่ม รัฐบาลสวีเดนระบุในเว็บไซต์โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับผู้ที่จะมาดำรง 3 ตำแหน่งใหม่ในสหภาพยุโรปในการประชุมครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ทางเว็บไซต์ไม่ได้เปิดเผยชื่อตัวเก็งที่เหมาะสมกับตำแหน่งดังกล่าว

โรเบอร์ต้า อเลเนียส โฆษกหญิงของรัฐบาลสวีเดน กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเฟรดริก ไรน์เฟลด์ท ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานหมุนเวียน EU อยู่ในขณะนี้ จะปรึกษากับผู้นำกลุ่ม EU เป็นรอบที่สองก่อนที่การประชุมจะเริ่มขึ้นตามกำหนด

หลายฝ่ายเชื่อว่า เฮอร์แมน วอน รอมปุย นายกรัฐมนตรีเบลเยียม มีสิทธิได้นั่งเก้าอี้ประธาน EU หลังจากที่ โทนี่ แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประสบความล้มเหลวในการขอเสียงสนับสนุนจากกลุ่มสังคมนิยมในยุโรป ซึ่งเป็นพันธมิตรพรรคแรงงานอังกฤษ โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะโทนี่ แบลร์ ให้การสนับสนุนให้จอร์จ ดับเบิลยู บุช รุกล้ำเข้าสู่อิรักในปี 2546

สำหรับตัวเก็งที่จะคว้าตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของ EU ไปครองคือ มัสซิโม ดาเลมา อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศของอิตาลี

ชาดา อิสลาม นักวิเคราะห์จากศูนย์นโยบายยุโรปในบรัสเซลล์ กล่าวกับบลูมเบิร์กว่า "ตำแหน่งประธาน EU ยังไม่มีการกำหนดแบบตายตัว ดังนั้นผู้นำในกลุ่มสามารถเลือกได้ตั้งแต่คนดังไปจนถึงคนที่ไม่โดดเด่นอะไร แต่หาก EU ต้องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบองค์กรที่ซบเซามานาน สมาชิกกลุ่มก็ควรเลือกผู้ที่มีความโดดเด่นและกระตือรือร้น"

ทั้งนี้ ประธาน EU จะมีวาระการทำงาน 2 ปีครึ่ง และมีบทบาทในการขับเคลื่อนการทำงานของที่ประชุมผู้นำ EU และช่วยประสานความร่วมมือและทำให้เกิดความสอดคล้องอย่างเป็นเอกฉันท์ตามที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญาลิสบอน


อังกฤษเผยว่างงานเพิ่มขึ้นน้อยสุดในรอบ 18 เดือน

จำนวนคนตกงานในอังกฤษปรับตัวสูงขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวที่สุดในรอบ 18 เดือน ส่งสัญญาณว่าความพยายามของรัฐบาลในการดึงเศรษฐกิจให้หลุดพ้นจากภาวะถดถอยนั้นกำลังได้ผล

สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ รายงานว่า จำนวนประชาชนที่ไม่มีงานทำเพิ่มขึ้นอีก 30,000 คน แตะ 2.46 ล้านคนในระหว่างเดือนก.ค.-ก.ย.2552 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดนับตั้งแต่ช่วงไตรมาส มี.ค.- พ.ค. 2551 หรือในรอบ 18 เดือน

ขณะที่ จำนวนคนว่างงานที่ขอรับสวัสดิการจากรัฐในเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 12,900 คน มาอยู่ที่ 1.64 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.ปีที่แล้ว ส่วนจำนวนผู้มีงานทำเพิ่มขึ้น 6,000 คน แตะ 28.93 ล้านคน

ริคกี้ เวสต์วูด นักเศรษฐศาสตร์จากแคปิตอล อีโคโนมิคส์ กล่าวว่า ตลาดแรงงานอังกฤษที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นน่าประทับใจ เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่า เศรษฐกิจอังกฤษยังไม่หลุดพ้นจากภาวะถดถอย

จอร์จ บักลีย์ นักเศรษฐศาสตร์จากดอยช์แบงก์ เชื่อว่าเศรษฐกิจอาจหลุดพ้นจากภาวะถดถอยแล้ว แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะเป็นการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนหรือไม่

ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงในอัตราที่ชะลอตัวลง ด้านเคนเนธ คลาร์ก อดีตรัฐมนตรีคลังอังกฤษเชื่อว่า เมอร์วิน คิง ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษจะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ในขณะที่อังกฤษยังคงเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่

ขณะที่ธนาคารกลางอังกฤษได้มีการปรับคาดการณ์เงินเฟ้อว่าจะเกิน 2% ในปี 2555 แม้จะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ คลาร์ก กล่าวว่า "ผู้ว่าการธนาคารกำลังเผชิญกับการตัดสินใจครั้งสำคัญและเชื่อว่าผู้ว่าการแบงก์ชาติยังไม่ต้องการที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในช่วง 12 เดือนนี้


ธนาคารโลกเตือนเอเชียอาจเผชิญภาวะฟองสบู่

โรเบิร์ต โซเอลลิก ประธานธนาคารโลกชี้ว่าผู้ว่าการธนาคารกลางในเอเชียจำเป็นต้องพิจารณาเรื่องมาตรการในการควบคุมด้านการเงิน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะฟองสบู่ด้านสินทรัพย์ ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศต่างๆในเอเชียกำลังฟื้นตัวขึ้นท่ามกลางสภาพคล่องที่หนาแน่น

แม้ว่าตัวเขาเองค่อนข้างจะสบายใจกับแนวโน้มของการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ แต่คาดว่ายังมีความเสี่ยงในด้านต่างๆที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกในปีหน้า

หนึ่งในประเด็นที่สร้ญงความกังวลได้แก่ ภาวะฟองสบู่ด้านสินทรัพย์ในระบบเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกบางประเทศที่กลับมาขยายตัวแล้ว หลังจากที่ดิ่งลงอย่างหนักในช่วงเศรษฐกิจถดถอย ธนาคารกลางประเทศต่างๆทั่วโลกได้ลดอัตราดอกเบี้ยลงและอัดฉีดเงินจำนวนมากเข้าสู่ระบบการเงินในช่วงที่เกิดวิกฤตด้านการเงินครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบ 60 ปีตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ปีที่แล้ว

ประธานธนาคารโลกกล่าวต่อไปว่า ตอนนี้ ความท้าทายที่แท้จริงคือ ความเสี่ยงของบุคคลที่เราทำธุรกรรมด้วย ในขณะที่เศรษฐกิจเริ่มกลับมาขยายตัว เราก็จะเห็นว่าประเทศต่างๆต้องจมอยู่กับปัญหาสินเชื่อ

ในขณะที่ผู้ว่าการธนาคารกลางในประเทศต่าง ๆ ในเอเชียจะต้องเผชิญกับความท้าทายมากกว่าเดิม เนื่องจากธนาคารเหล่านี้ไม่สามารถเดินรอยตามธนาคารกลางสหรัฐได้เหมือนที่เคยทำในอดีต

ประธานธนาคารโลกกล่าวนอกรอบการประชุม APEC ว่า หลายประเทศอาจเสี่ยงที่จะเผชิญกับผลกระทบด้านเงินเฟ้อในบางธุรกิจ และยังทำให้เกิดอันตรายในเรื่องของการสร้างความเสี่ยงที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวได้ เนื่องจากสถานการณ์แวดล้อมในสหรัฐและยุโรปยังคงมีปัญหา ดังนั้นจุดยืนในการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำจึงเป็นเรื่องที่ยอมรับได้

ในบรรดาประเทศสมาชิก APEC ธนาคารกลางออสเตรเลียได้ขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วถึง 2 ครั้งในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ธนาคารกลางในเอเชียบางประเทศที่แนวโน้มเศรษฐกิจออกมาดีก็ดูเหมือนว่า จะพร้อมที่จะขึ้นดอกเบี้ยแล้ว
money wake up
**************
11/11/52
ฟิทช์เชื่อราคาสินทรัพย์ทั่วโลกยังห่างไกลฟองสบู่

Posted on Wednesday, November 11, 2009
นายเดวิด ไรเลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือฟิทช์เรทติ้งส์ บอกว่า ราคาหุ้นและราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นขณะนี้ยังไม่น่าห่วง และมองว่าความหวั่นเกรงเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่สินทรัพย์ที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็นการวิตกมากเกินไป

ทั้งนี้ ราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นในขณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของผลจากการดำเนินนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจ และหากราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้นมากเกินไปเมื่อไร เมื่อนั้นค่อยหวั่นเกรงว่าจะเกิดภาวะฟองสบู่

ความเห็นของ นายไรเลย์ เป็นไปในทางตรงกันข้ามกับความเห็นของ นายนอเรียล โรบินี ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ซึ่งแสดงความวิตกว่า ราคาหุ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มขึ้นในขณะนี้จะกลายเป็นฟองสบู่ในอนาคต
**********
11/11/52
กำไรไตรมาส 3/52 ไอเอ็นจีกรุ๊ปพุ่งแรง

Posted on Wednesday, November 11, 2009
ไอเอ็นจีกรุ๊ปเอ็นวี บริษัทประกันยักษ์ใหญ่สัญชาติเนเธอร์แลนด์แจ้งผลประกอบการไตรมาส 3/52 กลับมามีกำไร หลังจากที่ขาดทุนในไตรมาสเดียวกันปีก่อน เป็นผลมาจากสภาวะตลาดเงินที่ฟื้นตัวขึ้น

ไอเอ็นจี ระบุว่า บริษัทมีกำไรสุทธิในไตรมาสดังกล่าวที่ 499 ล้านยูโร หรือประมาณ 784 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังขาดทุน 478 ล้านยูโรในไตรมาส 3/51 ซึ่งเป็นช่วงเกิดวิกฤตการเงินโลก

ทั้งนี้ ไอเอ็นจียังระบุว่า ในปีนี้ไอเอ็นจีได้ลดจำนวนพนักงานลง 10,400 ราย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิในไตรมาสดังกล่าวอีกด้วย
**********
11/11/52
ดุลการค้าจีนเดือนต.ค. พุ่งทำสถิติใหม่ปีนี้

Posted on Wednesday, November 11, 2009
สำนักงานศุลกากรจีน บอกว่า ในเดือนตุลาคม ยอดเกินดุลการค้าของจีนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 23,990 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับเดือนกันยายนที่ 12,930 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ยอดการส่งออกปรับตัวลดลง 13.8% ซึ่งน้อยกว่าในเดือนกันยายนที่ดิ่งลง 15.2%

การรายงานยอดเกินดุลการค้าในวันนี้ มีขึ้นก่อนที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯจะเข้าพบกับผู้นำจีนในระหว่างการเดินสายเยือนเอเชีย ส่วนกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มองว่า มูลค่าของเงินหยวนอ่อนค่ากว่าความเป็นจริง ขณะที่จีนก็ปฏิเสธข้อเรียกร้องจากประเทศต่างๆที่ต้องการให้ปรับขึ้นค่าเงินหยวน

ด้านอลิสแตร์ ฉานนักวิเคราะห์จาก Moody’s Economy.com บอกว่า ผู้ส่งออกทั่วโลกกำลังกดดันให้เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของจีน เร่งผลักดันให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้น ขณะที่รัฐบาลอาจต้องรอให้ยอดส่งออกขยายตัวได้ดีขึ้น ก่อนจะปรับเพิ่มค่าเงิน
money news update
*************
11/11/52
เอเปกคาดมาตรการกีดกันการค้าขวางเศรษฐกิจฟื้นตัว

Posted on Wednesday, November 11, 2009
นายจอร์จ เยียว รัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์ บอกว่า การประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศและการค้ากลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ในวันนี้ จะมีการหารือถึงประเด็น วิกฤติเศรษฐกิจในปัจจุบัน ความร่วมมือของเศรษฐกิจมหภาค การปฏิรูปสถาบันการเงิน และต่อต้านการกีดกันทางการค้า เนื่องจากการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้น เป็นสิ่งที่อันตรายต่อระบบเศรษฐกิจ และสถานการณ์การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในปัจจุบันยังคงเปราะบาง จึงควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ

สำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีเอเปก มีขึ้นก่อนจะถึงการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มเอเปกในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งจะมีผู้นำโลก เช่น ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ของจีน ร่วมประชุมกับผู้นำ 19 เขตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย และแปซิฟิก โดยในร่างแถลงการณ์ของกลุ่มรัฐมนตรีคลังเอเปกได้แสดงความวิตกถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยระลอกที่ 2 พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป
money news update
***********
11/11/52
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนเยอรมันอ่อนตัวต่อเนื่อง

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนของเยอรมนีปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่สองติดต่อกันในเดือนพ.ย. เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใกล้จะหมดอายุลง และอัตราว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจยุโรป ZEW เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนที่มีเป้าหมายเพื่อชี้วัดแนวโน้มของนักลงทุนสำหรับช่วงเวลา 6 เดือนข้างหน้า ร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 51.1 ในเดือนพ.ย. จากระดับ 56 จุดในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการลดลงมากกว่าโพลล์สำรวจ

นักเศรษฐศาสตร์ที่บลูมเบิร์ก นิวส์ได้สำรวจความคิดเห็นไว้ พบว่าดัชนีดังกล่าวจะลดลงมาอยู่ที่ระดับเพียง 55 จุด ในเดือน พ.ย.

ทั้งนี้ ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีร่วงลง 3.5% ในเดือนที่แล้วเนื่องจากความกังวลที่ว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของเยอรมนีจะเป็นไปอย่างล่าช้าเมื่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหมดอายุลง รวมทั้งความกังวลที่ว่าอัตราว่างงานที่พุ่งขึ้นจะส่งผลให้ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคหดตัวลงด้วย

ขณะเดียวกันคาดว่ายอดส่งออกซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเยอรมนีอาจสะดุด เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินยูโรทำให้สินค้าที่ผลิตในยุโรปมีราคาแพงขึ้น
**************
11/11/52
แบงก์ยุโรปรายงานผลประกอบการดีสวนคาดการณ์

HSBC โฮลดิงส์ ธนาคารรายใหญ่สุดของยุโรป เผยกำไรก่อนหักภาษีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว หลังการตั้งสำรองหนี้สูญลดลง โดยสินทรัพย์ด้อยค่าปรับตัวลดลงในไตรมาส 3 จนแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของปี 2551 ส่วนกำไรของธนาคารนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้มีมากกว่าปี 2551

HSBC ตั้งสำรองหนี้สูญมูลค่า 67,000 ล้านดอลลาร์นับต้งแต่ต้นปี 2549 ส่วนมากในสหรัฐ หลังจากที่ทางธนาคารเข้าเทคโอเวอร์บริษัท เฮาส์โฮลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์

หลังจากนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ Michael Geoghegan ซีอีโอของธนาคาร ก็ถูกย้ายไปประจำการที่ฮ่องกงแทนลอนดอน เนื่องจากทางธนาคารต้องการลดการทำธุรกิจในสหรัฐและหันไปลงทุนในตลาดเกิดใหม่อย่างจีน อินเดีย และบราซิล

HSBC ยุบธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในสหรัฐเมื่อเดือนมีนาคม จากนั้นหนึ่งเดือนบริษัทก็ระดมทุนได้ 17,800 ล้านดอลลาร์ โดยไม่ต้องรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลอังกฤษ

ขณะที่บาร์เคลย์ส ธนาคารรายใหญ่อันดับสองของอังกฤษเผยผลกำไรไตรมาส 3 ร่วงลง 54% หลังธนาคารมีอัตราการด้อยค่าของสินทรัพย์ที่เพิ่มมากขึ้น

กำไรสุทธิของบาร์เคลย์สปรับตัวลดลงแตะที่ 1,080 ล้านปอนด์ (1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากระดับ 2,330 ล้านปอนด์ในปีก่อนหน้านี้ โดยธนาคารคาดว่า อัตราการด้อยค่าของสินทัรพย์ตลอดทั้งปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 9-9,600 ล้านปอนด์

ทั้งนี้ บาร์เคลย์สหันมามุ่งเน้นการดำเนินงานของแผนกวาณิชธนกิจมากขึ้น ด้วยการควบกิจการของแผนกดังกล่าวในอเมริกาเหนือรวมกับเลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิ้ง อิงค์เมื่อปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งว่าจ้างพนักงานในยุโรปและเอเชียเพิ่มอีก 750 ตำแหน่งในปีนี้

บลูมเบิร์กรายงานว่า เมื่อปีที่แล้ว บาร์เคลย์สเลี่ยงที่จะขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่เลือกที่จะระดมทุนจากกลุ่มนักลงทุนในตะวันออกกลางกว่า 5 พันล้านปอนด์แทน นอกจากนี้ ยังได้ขายหุ้นของบาร์เคลย์ส โกลบอล อินเวสเตอร์ราว 80% ให้กับบริษัทแบล็คร็อคเพื่อระดมทุนอีกราว 14,200 ล้านดอลลาร์
**************
10/11/52
ยอดบริษัทญี่ปุ่นล้มละลายลดลงหลังรัฐบาลใช้แผนฟื้นเศรษฐกิจ

Posted on Tuesday, November 10, 2009
โตเกียว โชเกียว รีเสิร์ช บริษัทวิจัยด้านเครดิตของภาคเอกชนในญี่ปุ่นบอกว่า จำนวนบริษัทที่ล้มละลายของญี่ปุ่นในเดือนตุลาคมลดลง 11.7% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว มาอยู่ที่ ระดับ 1,261 ราย ซึ่งเป็นสถิติที่ปรับลดลงติดต่อกัน 3 เดือน เนื่องจากได้ปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยยอดหนี้สินของบริษัทล้มละลายในญี่ปุ่นลดลง 71.1% มาอยู่ที่ 290,340 ล้านเยน ขณะที่ยอดหนี้สินของบริษัทขนาดใหญ่ที่ล้มละลาย อยู่ที่ ประมาณ 1 หมื่นล้านเยน ซึ่งลดลงจากปีที่แล้ว

โตเกียว โชโกะ รีเสิร์ช บอกด้วยว่า ปัจจัยที่ทำให้จำนวนบริษัทล้มละลายลดลงในเดือนตุลาคมมาจากการที่รัฐบาลญี่ปุ่นใช้ระบบรับประกันเงินกู้สำหรับบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่ขาดสภาพคล่อง รวมทั้งการจัดสรรงบประมาณเข้าสู่โครงการสาธารณะซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้มากขึ้น

ทั้งนี้ จำนวนบริษัทล้มละลายในเดือนตุลาคมปีนี้ลดลงสวนทางกับปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่มีบริษัทในญี่ปุ่นล้มละลายจำนวนมาก รวมถึงบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น ยามาโตะ ไลฟ์ อินชัวรันซ์ และบริษัท นิวซิตี้ เรสซิเดนซ์ อินเวสท์เมนท์ คอร์ป
**********
10/11/52
ราคาอสังหาฯ 70 เมืองใหญ่ของจีนพุ่งสูงสุดรอบ 14 เดือน

Posted on Tuesday, November 10, 2009
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน ระบุว่า ราคาที่อยู่อาศัยใน 70 เมืองใหญ่ของประเทศจีน ในเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้น 3.9 % เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน ซึ่งนับเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 14 เดือน

ขณะที่การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ของจีนในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ได้เพิ่มขึ้น 18.9 % เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน เนื่องจากสถาบันการเงินได้ปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ลงทุนอสังริมทรัพย์ในปีนี้มากสุดในประวัติการณ์

ขณะที่นักวิเคราะห์หลายรายเริ่มมองว่า ราคาที่อยู่อาศัยที่สูงขึ้นอาจจะทำให้จีนประสบกับภาวะฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์

นายลู่ ติง นักเศรษฐศาสตร์ เมอร์ริลลินช์ ฮ่องกง ระบุว่า ราคาบ้านในจีนในกรุงปักกิ่ง เสิ่นเจิ้น กวางโจวและเซี่ยงไฮ้ ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากที่สุด ดังนั้นรัฐบาลควรออกมาตราการสำหรับบ้านมือสอง เพื่อควบคุมการเก็งกำไรและราคาบ้านที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
money news update
*********
10/11/52
สิงคโปร์เล็งใช้มาตรการควบคุมตลาดอสังหาฯ

ธนาคารกลางสิงคโปร์เปิดเผยในรายงาน Financial Stability Review ว่า สิงคโปร์อาจต้องใช้มาตรการควบคุมตลาดอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศมากขึ้นหากอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจก่อให้เกิดการซื้อขายเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์

ธนาคารกลางสิงคโปร์กล่าวในรายงานว่า ดีมานด์หรือความต้องการที่อยู่อาศัยส่วนบุคคลขยายตัวขึ้นอย่างมาก และราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นอาจทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ตกอยู่ในความเสี่ยง

สิ่งที่ต้องทำในเวลานี้คือการติดตามสถานการณ์ราคาและการทำธุรกรรมซื้อขายบ้านอย่างใกล้ชิด เพราะแม้ว่าเศรษฐกิจสิงคโปร์และเศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญความไม่แน่นอน แต่ตลาดอสังหาริมทรัพย์สิงคโปร์ยังมีการซื้อขายที่แข็งแกร่ง

ธนาคารกลางเชื่อว่าเกิดจากการเก็งกำไร ด้วยเหตุนี้สิงคโปร์จึงต้องปรับมาตรการให้พอเหมาะเพื่อควบคุมตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้เคลื่อนไหวอย่างสมดุลกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ธนาคารกลางสิงคโปร์ยังกล่าวด้วยว่า เศรษฐกิจสิงคโปร์เข้าสู่ระยะฟื้นตัวแล้วหลังจากเผชิญกับภาวะถดถอยรุนแรงในปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่ถึงระดับก่อนเกิดวิกฤตการณ์

ขณะที่อดีตนายกรัฐมนตรีลี กวน ยู คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในประเทศจะขยายตัว 2.5% ในปีนี้ และจะขยายตัว 3% ในปีหน้า

นอกจากนี้ ธนาคารกลางสิงคโปร์คาดว่าตลาดหุ้นสิงคโปร์จะเผชิญภาวะผันผวนไม่ต่างกับตลาดหุ้นของประเทศอื่นๆในเอเชีย เนื่องจากนักลงทุนสถาบันต่างชาติและนักลงทุนรายใหญ่ปรับพอร์ทการลงทุน
บลูมเบิร์กรายงานว่า จีดีพี ไตรมาส 3 ขยายตัว 14.9%ต่อปี หลังจากขยายตัวอย่างแข็งแกร่งถึง 22%ต่อปี ในไตรมาส 2

ทั้งนี้ สิงคโปร์ต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การค้า และการเงินเป็นหลัก เพื่อให้สามารถประคองสถานการณ์เป็นประเทศที่มีมาตรฐานการดำรงชีวิตที่สูงสุดในเอเชีย โดยภาคการผลิตของสิงคโปร์ขยายตัว 35%ต่อปีในไตรมาส 3 ส่วนภาคบริการขยายตัว 9.5%
money news update*************
10/11/52
เยอรมนีเผยยอดส่งออกพุ่งส่งสัญญาณเศรษฐกิจฟื้น

สำนักงานสถิติของเยอรมนีรายงานว่า ยอดส่งออกในเดือนก.ย.พุ่งขึ้น 3.8% จากเดือนส.ค. แม้ว่าค่าเงินยูโรแข็งแกร่งในระยะนี้ ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 2.5%

ขณะที่ยอดนำเข้าปรับตัวสูงขึ้นเช่นกันที่ 5.8% นับเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ชี้ว่าเศรษฐกิจเยอรมนีซึ่งมีขนาดใหญ่สุดในยุโรปกำลังฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้น

เยอรมนีเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่สุดของโลก ส่งออกสินค้าคิดเป็นมูลค่า 7 หมื่นล้านยูโร (105,000 ล้านดอลลาร์) ในเดือนก.ย. และนำเข้าสินค้าคิดเป็นมูลค่า 59,400 ล้านยูโร

ตัวเลขส่งออกและนำเข้าล่าสุดส่งผลให้เยอรมนีมียอดเกินดุลการค้าขยับลงมาอยู่ที่ 9,900 ล้านยูโร (14,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากระดับ 10,600 ล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค.

ทั้งนี้ แต่เมื่อเทียบเป็นรายปี ยอดส่งออกเดือนก.ย.2552 อยู่ในระดับต่ำกว่ายอดส่งออกเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว 18.8% ขณะที่ยอดนำเข้าลดลง 16.3% เมื่อเทียบกับเดือนก.ย. 2551

ตัวเลขส่งออกและนำเข้ารายปีแสดงให้เห็นว่า ยอดส่งออกและนำเข้าของเยอรมนีปรับตัวลดลงในจังหวะที่ชะลอตัว โดยเมื่อเดือนส.ค. ยอดส่งออกรายปี ทรุดลง 20.9% ขณะที่ยอดนำเข้าร่วง 20.1%

นอกจากนี้ยังมีความน่าสนใจจากเยอรมันเพิ่มเติมด้วยก็คือ ผู้นำระดับโลกจากหลายประเทศพร้อมด้วยประชาชนหลายพันคนร่วมกันฉลองครบรอบ 20 ปีของการทำลายกำแพงเบอร์ลิน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่นำไปสู่การสิ้นสุดสงครามเย็นในที่สุด

นายกรัฐมนตรีอังเกล่า แมร์เคล ซึ่งเติบโตในเยอรมนีตะวันออก จะเป็นผู้นำการเฉลิมฉลองครั้งนี้ ส่วนแขกสำคัญของงานประกอบด้วย มิคาอิล กอบาชอฟ อดีตผู้นำสหภาพโซเวียต, นิโกลาส์ ซาร์โกซี ประธานาธิบดีฝรั่งเศส, กอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และ ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ รวมถึง ไมคลอส เนเม็ธ อดีตนายกรัฐมนตรีฮังการี ซึ่งเป็นผู้ตัดสินใจเปิดชายแดนเพื่อให้ชาวเยอรมันตะวันออกหนีไปยังเยอรมันตะวันตกได้

การเฉลิมฉลองครั้งนี้จัดขึ้นบริเวณ Brandenburg Gate ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการรวมสองเยอรมนีเข้าด้วยกันอีกครั้งในปี 2533 โดยในงานมีการนำโดมิโนยักษ์ทำจากโฟม 1,000 ตัวไปวางตามทางที่เคยมุ่งไปสู่กำแพงเบอร์ลิน เพื่อแสดงถึงการล่มสลายอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกในปี 2532
***********
10/11/52
ยักษ์ประกันยุโรป Allianz เผยกำไรพุ่งกว่าเท่าตัว

บริษัทประกันรายใหญ่ที่สุดของยุโรป Allianz เปิดเผยกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว เมื่อรายได้จากการลงทุนฟื้นขึ้นได้ หลังจากที่มีการล้างหนี้สูญไปเมื่อปีที่แล้ว และถ้าหากไม่รวมรายได้จากการขายธุรกิจ Dresner Bank ให้กับ Commerzbank จากเยอรมันไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา กำไรของยักษ์ใหญ่ประกันรายนี้ ก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1,320 ล้านยูโร จาก 545 ล้านยูโรในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นระดับที่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าตัวเลขจะออกมาที่ราว 1,250 ล้านยูโร ขณะที่ทาง Allianz เองก็ไม่ได้ตั้งเป้าหมายกำไรของทั้งปีไว้

บริษัทประกันจากเมืองมิวนิครายนี้ ภายใต้การนำของซีอีโอ นายมิคาเอล ดิเอคมันน์ (Michael Diekmann) สามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้ในครึ่งปีแรก หลังจากล้างขาดทุนและขายธุรกิจที่ไม่ทำกำไร อย่าง ธนาคาร Dresner ที่เคยสร้างภาระขาดทุนกว่า 2,400 ล้านยูโรในปีที่แล้ว

มาในตอนนี้ Allianz ก็กำลังดิ้นรนที่จะกลับไปยืนผงาดด้วยกำไรที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์เหมือนในปี 2007 อีกครั้ง ภายหลังจากที่วิกฤติเศรษฐกิจเล่นงานรายได้เบี้ยประกันให้ลดลง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยก็อยู่ในระดับต่ำ และมูลค่าการลงทุนในหุ้นก็ปรับตัวลง ซึ่งทั้งหมดนี้ต่างล้วนไปบีบคั้นกำไรของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา

จากธุรกิจประกันของเยอรมัน ก็มาดูต่อที่ความเคลื่อนไหวของยักษ์ใหญ่ประกันจากฝรั่งเศส ที่บริษัทสาขาในออสเตรเลีย อย่าง Axa Asia Pacific Holdings ได้ปฏิเสธการเข้ามาขอซื้อธุรกิจจากบริษัทแม่ และบริษัทที่ทำธุรกิจ wealth management รายใหญ่ อย่าง AMP ไปเรียบร้อยแล้ว และนี่ก็ถือเป็นการยุติความหวังดีลเทคโอเวอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียของปีนี้อีกด้วย

บริษัท AMP จากซิดนีย์ ได้ทำคำเสนอซื้อ Axa Asia Pacific ในราคา 5.34 ดอลลาร์ออสเตรเลียต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาในตลาดถึงกว่า 20% และภายใต้ข้อเสนอนี้ บริษัทแม่ ซึ่งก็คือ Axa จากปารีส จะขายหุ้น Axa Asia Pacific นี้ในสัดส่วน 54% ให้กับบริษัท AMP ก่อนที่จะซื้อหุ้นธุรกิจในเอเชียรายนี้คืน ด้วยมูลค่า 7,700 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย

ราคาหุ้นของ Axa Asia Pacific พุ่งขึ้นไปสูงถึง 35% ในการซื้อขายเมื่อวานนี้ ซึ่งสะท้อนว่านักลงทุนต่างคาดหวังมูลค่าการขอซื้อหุ้นในราคาที่สูงกว่านี้ ขณะเดียวกัน คำเสนอซื้อดังกล่าวก็ถือเป็นความพยายามครั้งที่สองจากบริษัทแม่ในฝรั่งเศส ในรอบห้าปี สำหรับความต้องการที่จะเข้ามามีส่วนแบ่งในตลาดที่กำลังมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ

***********
10/11/52
Dow Jones พุ่งทำสถิติใหม่ของปี 2552 หลัง G20 ยันกระตุ้นเศรษฐกิจต่อ

ดัชนี Dow Jones ปิดบวกกว่า 2% ประเดิมวันทำการแรกของสัปดาห์ รับข่าวที่ประชุม G20 ที่แสดงความเห็นพ้องกันว่าจะคงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ต่อไป โดยรัฐมนตรีกระทรวงการคลังอังกฤษ Alistair Darling ในฐานะเจ้าภาพจัดประชุมบอกว่า ที่ประชุมตัดสินใจที่จะสนับสนุนนโยบายอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำต่อไปอีก และยังคงระดับการขาดดุลงบประมาณจำนวนมหาศาลไปจนกว่าจะเห็นว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสามารถเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

สำหรับการคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยของนักลงทุนในขณะนี้ หากมองผ่านตลาดล่วงหน้าในส่วน Fed funds futures ก็สะท้อนให้เห็นความเชื่อที่ว่า ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจะเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนปีหน้า ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจอเมริกามีความเป็นไปได้ที่จะขยายตัวเป็นไตรมาสที่สี่ติดต่อกัน

นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งมีความเห็นว่า ในสภาวะตอนนี้ ที่มีสัญญาณเศรษฐกิจกำลังขยายตัวได้และเริ่มรองรับการขยับขึ้นของดอกเบี้ย จะเป็นตัวผลักดันให้ตลาดหุ้นบวกได้ต่อหลังจากนี้ ขณะเฟดยังมีโอกาสยืนดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำนี้ต่อไปในการประชุมอีก 6 ครั้งข้างหน้า

ทางด้านราคาน้ำมันก็ปรับตัวขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา ตามปัจจัยเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงไปอยู่แถวระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือน และเรื่องพายุลูกใหม่ Ida ที่เคลื่อนเข้าอ่าวเม็กซิโก จนทำให้ผู้ผลิตทั้งบริษัท BP และ Chevron ต้องปรับลดกำลังการผลิต โดยสัญญาน้ำมันส่งมอบเดือนธันวาคม บวกขึ้น 2 เหรียญ หรือกว่า 2% มาที่ 79.44 เหรียญต่อบาร์เรล จ่อเข้าใกล้ระดับสูงสุดใหม่ที่เคยทำไว้ที่ 82 เหรียญ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม

ในส่วนราคาสินทรัพย์ที่เป็นทางเลือกสำคัญของนักลงทุน อย่าง ทองคำ ก็บวกได้กว่า 5 เหรียญ มาปิดที่ 1,101.4 เหรียญต่อออนซ์ หลังจากระหว่างวันราคาวิ่งขึ้นไปแตะระดับ 1,111.70 เหรียญ ซึ่งนับว่าเป็นสถิติสูงสุดใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว
money wake up
**********
07/11/52
เฟดตรึงดอกเบี้ยทองพุ่ง
โพสต์ทูเดย์ — เฟดประกาศจะยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำต่อไป แม้สัญญาณเศรษฐกิจจะเริ่มดี

วานนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายทางการเงินของเฟด มีมติอย่างเป็นเอกฉันท์ให้ขยายระยะเวลาการคงอัตราดอกเบี้ยธนาคารไว้ที่ระดับ 00.25% ต่อไป แม้ว่าจะพบสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้วก็ตาม

แถลงการณ์ของเฟดยังระบุด้วยว่า เศรษฐกิจของสหรัฐได้กระเตื้องขึ้นแล้วอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การประชุมครั้งล่าสุดของธนาคารในเดือนก.ย. แต่ทว่าเฟดก็ยังมีความวิตกกังวลว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาจหยุดชะงักเมื่อใดก็ได้
ทั้งนี้ เฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารลงมาอยู่ใกล้แตะระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีที่แล้ว พร้อมกับอัดฉีดเงินมากกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เข้าสู่ระบบการเงินของประเทศ เพื่อยับยั้งวิกฤตทางการเงินและภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจครั้งที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 2473

สำหรับราคาทองคำในตลาดสหรัฐ ที่ล่าสุดปิดตลาดขยับขึ้นไปอยู่ที่ 1,086.70 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์นั้น ซีเอ็นเอ็นรายงานในบทวิเคราะห์ว่า ราคาทองคำอาจพุ่งขึ้นอีกในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ โดยคาดว่าจะแตะที่ระดับ 1,500 เหรียญสหรัฐในราวปลายปีหน้า

เดวิด เบียฮัม รองประธาน บริษัท บลานชาร์ด แอนด์ คอมพานี อิงก์ ในสหรัฐ เปิดเผยด้วยว่า การประกาศยุติการขายทองคำล่วงหน้าของเหมืองทองคำทั่วโลก หลังจากเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เจ้าของเหมืองทองต้องประสบภาวะขาดทุนอย่างหนัก ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาทองคำทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว

ขณะที่ปริมาณความต้องการของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นสวนทางกันนั้น ทำให้มีการคาดการณ์กันว่าราคาทองคำอาจจะพุ่งไปแตะที่ระดับ 1,150 เหรียญสหรัฐภายในปีนี้ และจะพุ่งขึ้นไปแตะที่ 1,500 เหรียญสหรัฐในปลายปี 2553
ด้านธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) ประกาศวันเดียวกันว่า จะอัดฉีดเงินกว่า 2.5 หมื่นล้านปอนด์ (ราว 1.39 ล้านล้านบาท) เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญภาวะถดถอยอย่างรุนแรง ทำให้ยอดรวมตัวเลขของเงินอัดฉีดเข้าระบบเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 2 แสนล้านปอนด์ (ราว 11 ล้านล้านบาท)

การประกาศอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมีขึ้นหลังจากที่คณะกรรมาธิการนโยบายการเงินของบีโออี มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5% ต่อไป
posttoday
********
07/11/52
ว่างงานทั่วโลกทรุด มะกัน-ยุโรปจ่อ10%
โพสต์ทูเดย์ —
ตลาดงานทั่วโลกเข็นไม่ขึ้น เดือนต.ค. กลับยิ่งทวีความรุนแรง หลายประเทศจ่อทุบสถิติก่อนสิ้นปีนี้

ภาวะว่างงานทั่วโลกสถานการณ์ยังย่ำแย่อย่างหนักแม้สัญญาณเศรษฐกิจจะเริ่มบ่งชี้ไปในทางที่ดีขึ้นแล้วก็ตาม โดยเฉพาะภาวะว่างงานในสหรัฐ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ซึ่งเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจของโลกตะวันตก ซึ่งยังมีแรงงานหลายล้านคนต้องตกงาน และคาดว่าตลาดแรงงานจะยังไม่ฟื้นตัวในเร็วๆ นี้
ตัวเลขว่างงานช่วงเดือนต.ค. ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 9.9% จากระดับสูงสุดในรอบ 26 ปี เมื่อเดือนก.ย. ที่ 9.8% จากระดับล่าสุดยิ่งใกล้กับระดับ 10% ซึ่งเป็นตัวเลขว่างงานที่ประธานาธิบดี บารัก โอบามา แห่งสหรัฐเคยเตือนว่า อาจมีความเป็นไปได้ที่จะถึงระดับนั้น

ทั้งนี้ ตัวเลขว่างงานล่าสุดในสหรัฐ ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น แม้ว่าในวันเดียวกันจะมีการประกาศตัวเลขด้านบวก ก็ตาม โดยจำนวนผู้ที่ขอรับเงินประกันการว่างงานช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนต.ค. ปรับลดลงมาอยู่ที่ 5.12 แสนคน นับเป็นการปรับลดครั้งแรกในรอบ 2 สัปดาห์ และเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ช่วงสัปดาห์แรกของเดือนม.ค. ที่ 4.88 แสนคน

ด้าน โจเอล นารอฟ จากบริษัท อีโคโนมิก แอไวเซอร์ กล่าวว่า จากตัวเลขผลผลิต ภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐที่ชะลอตัวลง บ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจจะยังไม่เพิ่มอัตราจ้างงานในเร็วๆ นี้ ขณะที่ เอียน เชฟเพิร์ดสัน จากบริษัท ไฮก์ ฟรีเควนซี อีโคโนมิกส์ ระบุว่า ตลาดแรงงานยังอยู่ในภาวะที่อึมครึม แม้ตัวเลขผู้ที่ขอรับสวัสดิการว่างงานจะดีขึ้น แต่เป็นภาวะบวกที่ยังไม่ชัดเจน

ตัวเลขว่างงานในสหภาพยุโรป (อียู) คาดการณ์ว่าจะทะลุระดับ 10.7% ในปีหน้าจาก 9.5% ในปีนี้ เฉพาะในกลุ่มยูโรโซน ตัวเลขว่างงานช่วงเดือนก.ย. พุ่งขึ้นมาแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี ที่ 9.7%

สำหรับตัวเลขว่างงานของฝรั่งเศสช่วงเดือนก.ย. ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 9.8% และคาดว่าจะทะลุระดับ 10% ก่อนสิ้นปีนี้ ส่วนตัวเลขว่างงานของเยอรมนีช่วงเดือนต.ค. ปรับลดลงมาอยู่ที่ 7.7% จาก 8% เมื่อเดือนก.ย. นับเป็นการปรับลดลงเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม กระทรวงแรงงานเยอรมนีเตือนว่า ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินสถานการณ์ในด้าน บวก เนื่องจากผลกระทบจากวิกฤตการเงินยังมีความรุนแรงอยู่
posttoday************
05/11/52
จีนไฟเขียว “วอลท์ ดิสนีย์” สร้างสวนสนุกที่เซี่ยงไฮ้

วอล์ท ดิสนีย์ ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลจีนให้สร้างสวนสนุกที่เซี่ยงไฮ้ หวังสร้างรายได้จากสวนสนุกรายใหญ่อันดับ 2 ของบริษัท ซึ่งการอนุมัติจากรัฐบาลจะช่วยปูทางไปสู่การทำข้อตกลงด้านการก่อสร้างและการดำเนินการในขั้นสุดท้าย ตามข้อตกลงนั้น ดิสนีย์และรัฐบาลเซี่ยงไฮ้เสนอให้มีการสร้างสวนสนุกในเดือนม.ค.ปีหน้า

ขณะที่ดิสนีย์ตั้งความหวังกับตลาดจีนไว้มาก เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก และบริษัทก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่ดีนักเมื่อกำไรไตรมาส 3 จากกิจการสวนสนุกร่วงลง 19% และยอดขายก็ลดลงไป 9%

โรเบิร์ต เอ ไอเกอร์ ประธานของวอลท์ ดิสนีย์ กล่าวว่า จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจที่น่าตื่นเต้น และเป็นประเทศที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก การอนุมัติให้มีการก่อสร้างครั้งนี้ถือเป็นความคืบหน้าครั้งสำคัญสำหรับดิสนีย์

สวนสนุกแห่งใหม่นี้จะตั้งอยู่ที่เขตพูตงของเซี่ยงไฮ้ ภายในจะมีทั้งสวนสนุกในสไตล์เมจิค คิงดอม ซึ่งจะมีการปรับคุณสมบัติและลักษณะให้เข้ากับภูมิประเทศของเซี่ยงไฮ้ อย่างไรก็ดี ดิสนีย์ไม่ได้เปิดเผยเรื่องต้นทุนในการดำเนินโครงการ

ดิสนีย์ได้เปิดให้บริการสวนสนุกที่ฮ่องกงเมื่อเดือนก.ย. 2548 ซึ่งมีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการถึง 17 ล้านคันนับตั้งแต่เปิดให้บริการ

ทางด้านแอนดรูว์ คัม กรรมการผู้จัดการของฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 10 ก.ค.ว่า ดิสนีย์จะใช้งบประมาณ 3,500 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง เพื่อเพิ่มเครื่องเล่น อาทิ Toy Story Land และ Grizzly Trail และรัฐบาลจะเปลี่ยนเงินกู้ของรัฐที่ให้กับสวนสนุกให้อยู่ในรูปของหุ้น
money news update
***********
05/11/52
IMF คาดหวังประเทศ G-20 สร้างสมดุลทางเศรษฐกิจ

นายโดมินิค สเตราส์-คาห์น ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดหวังว่า รัฐมนตรีคลังจากกลุ่มประเทศ G-20 จะกำหนดกรอบเวลาและจัดเตรียมแผนการหารือเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกครั้งต่อไปจะมีความสมดุลมากขึ้น

เจ้าหน้าที่อาจลงมติเห็นชอบเกี่ยวกับรายละเอียดเรื่องกรอบการทำงานของ IMF ในการวิเคราะห์ผลกระทบด้านนโยบายของแต่ละประเทศในการประชุมที่เมืองเซนต์แอนดรูส์ สกอตแลนด์ วันที่ 6-7 พฤศจิกายนนี้

พร้อมเสนอแนวทางสำหรับการประชุมครั้งต่อไปในเดือน มิ.ย. 2553 ขณะที่มีข้อมูลบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น หลังจากที่รัฐบาลทั่วโลกใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

นายอลิสแตร์ ดาร์ลิ่ง รัฐมนตรีคลังอังกฤษกล่าวว่า ในขณะที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังดำเนินต่อไป ก็ยังจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น และ เศรษฐกิจทั่วโลกต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน"

นอกจากนี้ นายสเตราส์-คาห์น กล่าวเพิ่มเติมว่า การให้ความร่วมมือที่ชาติต่างๆแสดงออกมาในระหว่างที่เกิดวิกฤตนั้นจะไม่ลดระดับลง และเชื่อมั่นว่า หลายฝ่ายมีเจตนารมย์ทางการเมืองในการให้ความร่วมมือกัน

บลูมเบิร์กรายงานว่า เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายกำลังหาทางสร้างความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจจะสามารถกลับมาขยายตัวได้อย่างสมดุลในปีหน้า หลังจากที่ทั่วโลกสามารถแก้ปัญหาช่องว่างระหว่างการออม การใช้จ่าย การลงทุน และการปล่อยสินเชื่อในช่วงที่เกิดวิกฤตการเงิน

ทั้งนี้ ประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ อย่างสหรัฐ จีน และเอเชียมีความมุ่งมั่นที่ต่อสู้กับปัญหาเรื่องความสมดุลทางการค้า ด้วยเห็นว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของทุกฝ่าย
money news update
*************
05/11/52
ดาวโจนส์ปิดบวก หลัง FED ระบุเศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัว

Posted on Thursday, November 05, 2009
บรู๊ซ แมคเคน หัวหน้านักวิเคราะห์จากคีย์ไพรเวท แบงค์ ในเมืองคลีฟแลนด์ กล่าวกับเอพีว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นแข็งแกร่งในช่วงเช้า หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยและประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัวขึ้น พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่แรงบวกในตลาดลดน้อยลงเนื่องจากนักลงทุนเริ่มวิตกกังวลต่อตัวเลขจ้างงานเดือนต.ค.ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐฯจะเปิดเผยในวันศุกร์นี้

คณะกรรมการกำหนดนโยบายของ (FOMC) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0-0.25% โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้น โดย FED ระบุว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ตลาดการเงินค่อนข้างทรงตัว แต่ภาคอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวได้ดี ส่วนการใช้จ่ายภาคครัวเรือนปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่อัตราว่างงานภายในประเทศยังคงพุ่งสูงขึ้น รวมทั้งการขยายตัวด้านรายได้ค่อนข้างต่ำ

ในแถลงการณ์ครั้งล่าสุด FED แสดงความเชื่อมั่นว่าอัตราเงินเฟ้อในประเทศยังคงอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ พร้อมกับประกาศว่าจะลดวงเงินในการเข้าซื้อหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกันของหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ให้เหลือเพียง 1.75 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมที่ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

หุ้นกลุ่มการเงินร่วงลงอย่างหนัก หลังจากสภาคองเกรสสหรัฐฯ มีมติให้ใช้นโยบายควบคุมบริษัทบัตรเครดิต รวมถึงการควบคุมการเรียกเก็บดอกเบี้ยของบริษัทที่ออกบัตรเครดิต ซึ่งการร่วงลงของหุ้นกลุ่มการเงินส่งผลให้ตลาดหุ้นนิวยอร์กอ่อนตัวลงด้วย โดยหุ้นเจพีมอร์แกนร่วงลง 1.2% หุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ปิดร่วง 3.1% และหุ้นซิตี้กรุ๊ปปิดลบ 1.7%

ส่วนหุ้นวอลท์ ดิสนีย์ ปิดพุ่ง 1.5% หลังจากบริษัทได้รับอนุมัติจากรัฐบาลจีนให้สร้างสวนสนุกดิสนีย์ในเมืองเซี่ยงไฮ้

นักลงทุนจับตารายงานเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐฯจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และ FED จะเปิดเผยข้อมูลประสิทธิภาพการผลิตและต้นทุนแรงงานต่อหน่วยขั้นต้นประจำไตรมาส 3 ส่วนวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ จะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนต.ค. และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ จะเปิดเผยข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนก.ย.

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานประจำเดือนต.ค.ของสหรัฐฯ จะร่วงลงอีก 175,000 ตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นสถิติที่ร่วงลงรุนแรงสุดนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนต.ค.จะพุ่งขึ้นแตะ 9.9% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 26 ปี

money news update**********
04/11/52
กำไร “โซซิเอเต เจเนอราล เอสเอ” พุ่ง 2 เท่าตัว

Posted on Wednesday, November 04, 2009
โซซิเอเต เจเนอราล เอสเอ (ซอคเจน) ธนาคารยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของฝรั่งเศส ระบุว่า ธนาคารมีรายได้สุทธิไตรมาส 3/52 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า มาอยู่ที่ 426 ล้านยูโร หรือ 627 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 183 ล้านยูโรในปีก่อนหน้านี้ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ในระดับ 399 ล้านยูโร หลังจากที่แผนกวาณิชธนกิจของธนาคารพลิกกลับมาทำกำไรได้ในช่วงเวลาดังกล่าว

สำหรับผลประกอบการของ ซอคเจน ออกมาในทิศทางเดียวกับธนาคารดอยช์แบงก์ของเยอรมนี และเครดิตสวิสของสวิตเซอร์แลนด์ที่เปิดเผยไปในก่อนหน้านี้ เพราะได้รับอานิสงส์จากความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นที่คึกคัก และการปรับลดดอกเบี้ยสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ของธนาคารกลางต่างๆ ที่ช่วยกระตุ้นรายได้จากธุรกิจด้านหลักทรัพย์และตราสารการเงินที่ให้ผลตอบแทนคงที่

ทั้งนี้ ผลกำไรจากแผนกวาณิชธนกิจของซอคเจนมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 133 ล้านยูโร เมื่อเทียบกับที่ขาดทุน 240 ล้านยูโรในปีก่อนหน้านี้ ขณะที่รายได้จากธุรกิจตราสารที่ให้ผลตอบแทนคงที่ รวมถึงแผนกปริวรรตเงินตรา และสินค้าโภคภัณฑ์ไต่ระดับขึ้นแตะ 656 ล้านยูโรจากที่เคยขาดทุน 372 ล้านยูโร นอกจากนี้ รายได้ในธุรกิจหลักทรัพย์ยังทะยานขึ้น 52% แตะระดับ 786 ล้านยูโร
money news update
**************
04/11/52
ธนาคารโลกเตือนจีนป้องกันฟองสบู่ในหุ้น-อสังหาฯ

Posted on Wednesday, November 04, 2009
ธนาคารโลกแนะนำรัฐบาลจีนให้ดำเนินการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ หลังจากทางการจีนเปิดทางให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยวงเงินกู้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 1.27 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้

หลุยส์ เข่อจีหัวหน้านักวิเคราะห์ของธนาคารโลก บอกว่า ธนาคารกลางจีนควรควบคุมการปล่อยสินเชื่อ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่าจีนจะไม่เผชิญกับภาวะฟองสบู่ด้านสินทรัพย์ โดยในปีนี้ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนพุ่งขึ้นไปแล้ว 72% หลังจากรัฐบาลจีนประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 5.86 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งลดการสำรองสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ และลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงสู่ระดับระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี ดังนั้น จีนควรปรับเศรษฐกิจให้มีความสมดุล โดยเน้นการปรับสมดุลด้านการอุปโภคบริโภคและธุรกิจบริการ และจีนควรชะลอการลงทุนและการขยายภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากจีนกำลังเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะฟองสบู่ด้านสินทรัพย์ที่มีราคาสูงเกินไป
money news update
*********
04/11/52
เศรษฐกิจญี่ปุ่น มีแนวโน้มดีขึ้น

Posted on Wednesday, November 04, 2009
นายมาซาอากิ ชิรากาว่า ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่นระบุว่า ความเสี่ยงช่วงขาลงในระบบเศรษฐกิจญี่ปุ่นได้ลดน้อยลงและปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ยังเปลี่ยนมาอยู่ในสภาพที่สมดุลมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา โดยเมื่อพิจารณาจากเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และประเทศผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ จะเห็นว่ามีแนวโน้มที่เศรษฐกิจจะขยายตัวต่อไปในระดับสูง

นายชิรากาว่า บอกว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นได้เผชิญกับปัจจัยเสี่ยงช่วงขาลงหลายครั้ง เช่น ผลจากการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศที่อ่อนตัวลง อัตราจ้างงานและรายได้ที่ชะลอตัว รวมถึงการฟื้นตัวที่อยู่ในระดับปานกลางของเศรษฐกิจโลก แต่ปัจจัยเสี่ยงทั้งหลายก็สามารถผ่อนปรนลงมาได้ หากการขยายตัวของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และประเทศที่มีทรัพยากรสมบูร์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ผู้ว่าการ BOJ บอกด้วยว่า สิ่งที่สร้างความกังวลมากที่สุดก็คือ ผลกระทบจากการปรับดุลงบประมาณในสหรัฐฯและยุโรป รวมทั้งสถานการณ์ในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ และเศรษฐกิจประเทศผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ และแม้ว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มสดใสขึ้น แต่ BOJ ก็ยังคงสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจผ่านทางนโยบายการเงินแบบผ่อนปรน เพื่อให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวอย่างยั่งยืน และเสถียรภาพด้านราคา ด้วยการรักษาปัจจัยแวดล้อมทางการเงินให้อยู่ในสภาพที่เอื้อต่อการฟื้นตัว

**********
04/11/52
จีนเผยแผนควบรวมบริษัทเหล็กในประเทศ หวังเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน

Posted on Wednesday, November 04, 2009
กระทรวงอุตสาหกรรมและข้อมูลข่าวสารจีน ระบุว่า รัฐบาลมีนโยบายลดจำนวนผู้ผลิตเหล็กอย่างต่อเนื่อง โดยจะควบรวมบริษัทเหล็กหลายรายในประเทศให้กลายเป็นบริษัทเหล็กรายใหญ่ รวมกำลังการผลิต 100 ล้านตันต่อปีในปี 2558เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และลดอุปทานส่วนเกิน

กระทรวงอุตสาหกรรมจีนระบุอีกว่า อุตสาหกรรมเหล็กจีนควรมีผู้ผลิตเหล็กขนาดใหญ่เพียง 10 รายเท่านั้น และควรมีกำลังการผลิตคิดเป็น 65% ของกำลังการผลิตรวมทั้งประเทศในปี 2015 ก่อนเพิ่มเป็น 75% ในปี 2563

สำหรับราคาเหล็กในตลาดโลกปัจจุบันได้ร่วงลงมาค่อนข้างมาก ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากผู้ผลิตเหล็กในจีน มีกำลังผลิตส่วนเกินในประเทศ ภายหลังที่กลุ่มผู้ผลิตเหล็กที่เคยหยุดผลิตหรือปิดตัวในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโลกได้หันกลับมาผลิตอีกครั้ง
money news update
**************
04/11/52
ยอดค้าปลีกออสเตรเลียเดือนก.ย. ร่วง 0.2%

Posted on Wednesday, November 04, 2009
สำนักงานสถิติแห่งชาติออสเตรเลีย แถลงวันนี้ว่า ยอดค้าปลีกออสเตรเลียเดือนกันยายนลดลง 0.2% หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งสวนทางกับนักวิเคราะห์ที่ประมาณการไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.5% โดยยอดค้าปลีกที่ห้างสรรพสินค้าลดลง 2.9% ส่วนยอดค้าปลีกเครื่องนุ่งห่มลดลง 0.9% ขณะที่ยอดขายอาหารเพิ่มขึ้น 1%

ทั้งนี้การรายงานยอดค้าปลีกของออสเตรเลียที่ลดลง แสดงให้เห็นว่าการบริโภคของออสเตรเลียได้ชะลอตัวลง และ
ส่งผลให้ค่าเงินออสเตรเลียอ่อนค่าลง เนื่องจากผู้ค้าเงินคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางออสเตรเลียอาจหยุดการขึ้นดอกเบี้ยหลังจากที่ได้มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันใน 1 เดือน ไปเมื่อวานนี้ ส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายของออสเตรเลียปัจจุบันอยู่ที่ 3.50%
money news update
************
04/11/52
EU ยกคาดการณ์เศรษฐกิจยุโรปปี 2553

สหภาพยุโรป (EU) ได้ยกระดับการคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของยุโรปว่าจะดีดตัวขึ้น 0.7% ในปี 2553 จากเดิมที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนพ.ค.ว่าจะหดตัวลง 0.1% โดยชี้ว่า เศรษฐกิจจะดีดตัวดีเกินคาดในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ก่อนที่จะขยายตัวในระดับที่ชะลอตัวลงในช่วงต้นปีหน้า

EU คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของสมาชิก EU ทั้ง 27 ประเทศ จะขยายตัว 0.7% ในปี 2553 และจะขยายตัว 1.6% ในปี 2554 หลังจากที่หดตัว 4.1% ในปี 2552 ขณะที่ในกลุ่มยูโรโซน หรือประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร 16 ประเทศ จะขยายตัว 0.7% เช่นกันในปีหน้า และขยายตัว 1.5% ในปี 2554 หลังจากที่หดตัว 4.0% ในปีนี้

EU ชี้ว่า ในระยะใกล้นี้ เศรษฐกิจจะดีดตัวขึ้นเพราะปัจจัยแวดล้อมภายนอกและสถานการณ์ทางการเงินดีขึ้น รวมถึงผลพวงจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและนโยบายการเงิน

อย่างไรก็ดี ตลาดแรงงานจะยังคงอ่อนตัว และคาดว่าอัตราว่างงานในกลุ่ม EU จะอยู่ที่ 10.25% ส่วนหนี้สาธารณะ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7.5% ของ GDP ปีหน้า ก่อนที่จะอ่อนตัวลงในปี 2554 เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวและทั่วโลกยกเลิกการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

โจอาควิน อัลมูเนีย คณะกรรมาธิการกิจการเศรษฐกิจและการเงิน EU กล่าวว่า เศรษฐกิจกลุ่ม EU กำลังจะหลุดพ้นจากภาวะถดถอย เนื่องจากการใช้มาตรการสนับสนุนของรัฐบาล และ ธนาคารกลาง ซึ่ง EU ไม่เพียงแต่จะใช้มาตรการป้องกันภาวะวิกฤตอีกระลอกอย่างเป็นระบบเท่านั้น แต่ยังช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอีกด้วย

อย่างไรก็ดี หนทางข้างหน้ายังมีความท้าทาย การใช้มาตรการอย่างเต็มที่และการช่วยเหลือธุรกิจการธนาคารเป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะจะช่วยสนับสนุนให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างยั่งยืน


RBS รับเงินช่วยเหลือจากรัฐฯ มากที่สุดในโลกแซงหน้าซิตี้กรุ๊ป

รอยัลแบงค์ ออฟ สก็อตแลนด์ (RBS) ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ของอังกฤษ กลายเป็นสถาบันการเงินที่ต้องขอรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลมากที่สุดในโลก แซงหน้าแชมป์เก่าอย่างซิตี้กรุ๊ป หลังจากรัฐบาลอังกฤษวางแผนอัดฉีดเงินให้ RBSอีก 25,500 ล้านปอนด์ หรือ 42,000 ล้านดอลลร์สหรัฐ

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่า นายกอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษจะประกาศอัดฉีดเงินเพิ่มอีก 25,500 ล้านปอนด์ให้ RBS และ 5,600 ปอนด์ให้ธนาคารลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป สองธนาคารรายใหญ่สุดของอังกฤษ ซึ่งจะทำให้จำนวนเงินที่ RBSรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลเพิ่มขึ้นเป็น 45,500 ล้านปอนด์ มากกว่าที่รัฐบาลสหรัฐให้ความช่วยเหลือซิตี้กรุ๊ปและแบงค์ ออฟ อเมริกา รวมกัน 45,000 ล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ รัฐบาลอังกฤษยังคงให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ธนาคารในประเทศ แม้ธนาคารกลางอังกฤษมองว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยใกล้จะสิ้นสุดลงแล้วก็ตาม

ขณะที่ลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป ซึ่งเป็นธนาคารปล่อยกู้เพื่อการซื้อบ้านรายใหญ่สุดของอังกฤษ วางแผนระดมทุนมูลค่า 21,000 ล้านปอนด์ หรือ 3,400 ล้านดอลลาร์ และปฏิเสธที่จะขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลเพราะไม่ต้องการให้รัฐเข้ามาควบคุมกิจการ

ลอยด์ แบงกิ้ง จะระดมทุนผ่านการขายหุ้นมูลค่า 13,500 ล้านปอนด์ และที่เหลืออีก 7,500 ล้านปอนด์จะระดมผ่านข้อเสนอการแลกเปลี่ยน ซึ่งลอยด์ แบงกิ้ง จะขายหุ้นในราคา 15 เพนซ์ต่อหุ้น

บลูมเบิร์กรายงานว่า ลอยด์ไม่มีแผนที่จะเข้าร่วมโครงการพิทักษ์ทรัพย์สินของรัฐบาล เพราะลอยด์ไม่ต้องการให้รัฐบาลเข้ามาถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 62% จากปัจจุบันที่ 43% และไม่ต้องการให้ธนาคารมีต้นทุนค่าธรรมเนียมสูงถึง 15,600 ล้านปอนด์ โดยลอยด์จะชำระเงินคืนให้กับรัฐบาลจำนวน 2,500 ล้านปอนด์หลังจากกู้เงินดังกล่าวจากโครงการประเภทหนึ่งของรัฐเมื่อ 8 เดือนที่แล้ว

*************
04/11/52
UBS เผชิญยอดขาดทุนสูงเกินคาด ลูกค้าแห่ถอนเงิน

UBS ธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสวิสเซอร์แลนด์ รายงานผลการดำเนินงานขาดทุน 564 ล้านฟรังก์สวิสในไตรมาส 3 ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ และตัวเลขที่ติดลบนี้ก็รวมผลที่เกิดจากการปรับมูลค่าทางบัญชีจำนวน 1,440 ล้านฟรังก์ ที่สะท้อนถึงต้นทุนที่ธนาคารควรจะซื้อหนี้คืน

ธนาคารที่มีฐานที่มั่นในเมืองซูริครายนี้เปิดเผยว่า ลูกค้าของส่วนงาน Wealth Management ต่างถอนเงินออกจากธนาคารรวมเป็นเงินสุทธิ 26,600 ล้านฟรังก์ เพิ่มขึ้นจาก 22,300 ล้านในไตรมาส 2

นาย Oswald Gruebel ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ UBS ที่เพิ่งมาร่วมงานกับธนาคารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ก็กำลังเจอกับภารกิจหนักที่ต้องหยุดยั้งสภาวะลูกค้าดึงเงินออก ขณะเดียวกัน ก็ต้องเร่งฟื้นฟูกิจการหลังจากต้องประสบกับยอดการขาดทุนและล้างหนี้สูญที่มากกว่า 50,000 ล้านเหรียญ ที่มีต้นตอจากวิกฤติการเงินในรอบนี้

รายได้ของ UBS ในส่วนงาน wealth management และธุรกิจธนาคารในสวิสฯ ที่เป็นตัวหลักในกำไรของ investment bank รายนี้ ปรับตัวลงถึง 52% มาที่ 792 ล้านฟรังก์สวิสในไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ทั้ง Gruebel และประธาน ก็คือนาย Kaspar Villiger บอกว่า พวกเขาไม่ได้คาดหวังที่จะให้ลูกค้านำเงินกลับเข้ามายังธนาคารโดยทันที หลังจากที่เพิ่งจัดการกรณีคดีความที่มีกับรัฐบาลสหรัฐฯ ในเรื่องการหลบเลี่ยงภาษีเมื่อเดือนสิงหาคม และการที่รัฐบาลสวิสขายหุ้นของบริษัทออก

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์กลับให้ความสำคัญของเงินลูกค้า เพราะเท่าที่ผ่านมา ไม่ว่าสถานการณ์ของธนาคารจะเป็นอย่างไร ระดับเงินสดที่สูงที่มาจากฐานลูกค้า wealth management ก็มักจะเป็นตัวช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปด้วยดีทุกครั้ง

การไหลออกของเงินลูกค้าธนาคารเริ่มเร่งตัวขึ้นมาตั้งแต่ไตรมาส 2 ตามการถอนเงินของลูกค้าในเอเชียและสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งยอดการขายเงินลงทุนคืนก็มีสูงรวมกันถึง 182,900 ล้านฟรังก์สวิสในช่วง 18 เดือนมาจนถึงเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ทางด้าน ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงินของ UBS ก็มองว่าสถานการณ์ถอนเงินคืนเช่นนี้ อาจจะดำเนินต่อไป จนกระทั่งธนาคารสามารถกลับมาสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าอีกครั้ง ด้วยการหวนกลับคืนมามีกำไรให้ได้
**************
04/11/52
Warren Buffett จุดกระแส M&A คึก หลังดีลซื้อกิจการรถไฟ

กระแสควบรวมกิจการเริ่มตื่นตัวกันอีกรอบ เมื่อมหาเศรษฐีนักลงทุน Warren Buffett ตกลงเข้าซื้อกิจการรถไฟของบริษัท Burlington Northern Santa Fe ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตเครื่องมือช่างชั้นนำ อย่าง Stanley Works ก็บอกว่า จะเข้าเทคโอเวอร์บริษัท Black & Decker

นักลงทุนต่างจับตามองดีลที่ Buffett กำลังทำอยู่ ที่ทำให้ราคาหุ้นของ Burlington Northern กระโดดขึ้นไปเกือบ 30% เมื่อคืนนี้ โดยการเทคโอเวอร์ที่มีมูลค่าสูงสุดเท่าที่บริษัท Berkshire Hathaway ของกูรูนักลงทุนผู้นี้เคยทำมาก่อน คิดเป็นเงินถึง 26,000 ล้านเหรียญ หรือ 100 เหรียญต่อหุ้นทั้งในรูปเงินสดและตัวหุ้น เพื่อแลกกับสัดส่วน 77.4% ในบริษัทที่ทำกิจการรถไฟแห่งนี้ ซึ่ง Buffett เองก็ไม่เคยถือหุ้นของที่นี่มาก่อนด้วย และถ้าหากรวมยอดประเมินการลงทุนและระดับหนี้ที่เกิดขึ้นมาก่อนแล้ว มูลค่าของดีลนี้จะสูงถึง 44,000 ล้านเหรียญเลยทีเดียว

นักวิเคราะห์ประเมินว่า ณ ระดับราคา 100 เหรียญต่อหุ้น นั่นก็หมายความว่า Buffett ต้องควักเงินจ่ายในราคากว่า 18 เท่าของประมาณการกำไรสุทธิที่ Burlington น่าจะทำได้ในปีหน้า ที่ 5.5 เหรียญต่อหุ้น

ขณะที่หุ้นในธุรกิจเดียวกัน อย่างบริษัท Union Pacific และ CSX มีอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรอยู่ที่แถวๆ 13 เท่า และทั้งคู่ก็ถือเป็นกิจการรถไฟที่ใหญ่ที่สุด รองจาก Burlington เมื่อดูที่ยอดขายในปี 2008

ดีลซื้อกิจการของ Warren Buffett นี้ ก็ทำให้หุ้นในหมวดขนส่งใน S&P 500 ปรับตัวบวกสดใสกว่า 5% เมื่อคืนที่ผ่านมา

อีกดีลเทคโอเวอร์ก็เป็นของผู้ผลิตเครื่องมือช่าง Stanley Works ที่เดินหน้าซื้อกิจการของบริษัท Black & Decker ในรูปหุ้นมูลค่า 3,500 ล้านเหรียญ และทำให้ราคาหุ้นของ Black & Decker พุ่งขึ้นกว่า 30% ขณะที่หุ้น Stanley เพิ่มขึ้น 10%

อย่างไรก็ดี แม้ตลาดจะรับข่าวเรื่อง M&A ที่ดูสดใสแล้ว แต่บรรยากาศการลงทุนเมื่อคืนนี้กลับถูกฉุดจาก โบรกเกอร์รายใหญ่ Morgan Stanley ที่ออกมาหั่นมุมมองแนวโน้มหุ้นกลุ่ม Semiconductor ที่รวมถึงการ downgrade หุ้น Intel ลงเหลือระดับปานกลาง หรือ “equal-weight”
money wake up
*************
แบงก์ชาติออสเตรเลียขึ้นดบ. 0.25% เป็น 3.5% วันนี้

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ธนาคารกลางออสเตรเลียประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 3.5% วันนี้ หลังเศรษฐกิจพ้นจากภาวะถดถอยแล้ว ประกอบกับความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น

โดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นไปตามที่นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ หลังจากวิกฤตการเงินโลกได้ผ่านพ้นไป ประกอบกับการปล่อยสินเชื่อกลับมาขยายอีกครั้ง

การขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวทำให้ออสเตรเลียเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วแห่งแรกของโลกที่ขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำรอบ 50 ปีในการประชุมครั้งก่อน
stock wave

ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ 1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น