วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553

กลุ่มอิเลคทรอนิคส์53

14/01/53
อุตสาหกรรมดาวเด่นปี 53 เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิค
ลุ้นผลประกอบการอีกแล้ว ขณะที่ราคาหุ้นทั่วโลกต่างปรับตัวขึ้นรับข่าวล่วงหน้า หากจะมีการขาย Take Profit บ้างเป็นระยะๆ ก็ไม่เห็นแปลก แต่ที่ต้องมองคือแนวโน้มต่อจากนี้ไป มีธุรกิจอะไรบ้างที่เป็นดาวเด่น อย่างบ้านเรามีหลายอุตสาหกรรมที่หากมองในเชิงพื้นฐานแล้วน่าสนใจทีเดียวเริ่มจากอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิค ซึ่งมีสัดส่วนต่อมูลค่าการส่งออกรวมถึง 10.2 และ 17.6% ตามลำดับ ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 52 คาดตัวเลขส่งออกมีแนวโน้มเติบโตสูงในปี 53 จากการคาดการของศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดอาจโตถึง 10.4% ต่อปีในปีนี้ ดีขึ้นจากปีก่อนที่คาดว่าจะหดตัวร้อยละ -14.0 ต่อปี น้อยกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากผลของข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียนที่จะช่วยให้ตลาดขยายตัว ประกอบกับอุปสงค์ภายนอกที่เริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะจากประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับ 3 ของเครื่องใช้ไฟฟ้า อีกธุรกิจที่น่าสนใจคือธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ที่ดูเหมือนเมื่อปีที่แล้วมีตัวเลขรายงานออกมาน่าสนใจ จากการเปิดเผยของกระทรวงการท่องเที่ยวออกมาระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างชาติมาไทยปี 52 มีจำนวน 14.09 ล้านคน เพิ่มมากขึ้นจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 14 ล้านคน ส่งผลให้สามารถทำรายได้เข้าประเทศ 527,000 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ผลจากงบในโครงการไทยเข้มแข็งมาทำให้สามารถรุกตลาดกลุ่มเป้าหมายให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ และจีน อีกกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มสดใสในปีนี้คืออุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งจะได้รับผลดีจากการเปิดการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) เต็มๆ เนื่องจากไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ โดยมีต้นทุนการผลิตต่ำที่สุดในภูมิภาค ทำให้การผลิตของยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ในปี 53 มีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากปี 52 ที่มีการหดตัวมา 3 ไตรมาสติดต่อกันและจะทำให้การจ้างงานมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น และทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นข้ามมาฝั่งสหรัฐ นักลงทุนไม่ต่างจากบ้านเรา หลังราคาหุ้นสะท้อนตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญไปแล้ว ตอนนี้อยู่ในช่วงแกว่งตัวแคบๆรอข่าวผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว ว่าจะส่งต่อมายังปีนี้อย่างไร แต่ที่ถูกกดดันหนักคือค่าเงินสกุลดอลลาร์ที่ดิ่งลงไปแล้วถึง 4.2% ในปีที่แล้วเมื่อเทียบ 6 สกุลเงินหลักในตะกร้าสกุลเงิน เนื่องจากเฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0-0.25% ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบมีการปรับทิศไปบ้าง หลังจากที่มีความกังวลว่าอุณหภูมิที่อบอุ่นขึ้นในสหรัฐอาจทำให้ดีมานด์พลังงานลดน้อยลง นอกจากนี้สำนักงานสภาพอากาศแห่งชาติของสหรัฐ (NWS) คาดการณ์ว่า ดีมานด์น้ำมันฮีทติ้งออยล์ในสหรัฐอาจอยู่ในระดับปกติในสัปดาห์นี้ หลังจากพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงกว่าปกติ 12% ในสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ตาม จากการที่จีนรายงานว่า ยอดส่งออกเดือนธ.ค.ที่พุ่งขึ้น 17.7% ทำสถิติเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 14 เดือน และยอดนำเข้าพุ่งขึ้น 55.9% โดยยอดส่งออกและนำเข้าที่พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งของจีนจะเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่ายอดนำเข้าน้ำมันดิบของจีนในเดือนธ.ค.2552 พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 21.26 ล้านตัน ส่งผลให้ยอดนำเข้าน้ำมันดิบรายปีอยู่ที่ 203.8 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 13.9% ถือเป็นดีมานต์ความต้องการใช้ที่มีนัยยะสำคัญทีเดียว สำหรับการเคลื่อนตัวของตลาดหุ้นสหรัฐต้องจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติมทั้งเรื่องของยอดค้าปลีก ขอรับสวัสดิการว่างงาน ดัชนีราคาสินค้านำเข้าส่งออก และวันศุกร์รายงานผลประกอบการของเจพีมอร์แกน พร้อมด้วยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค และดัชนีความเชื่อมันผู้บริโภค ส่วนคืนนี้ลุ้นเรื่องของสต๊อกน้ำมัน และตัวเลขการขอสินเชื่อบ้าน มาถึงอีกเรื่องที่ฟันธงมาเนียเกาะติดกระแสมาโดยตลอด คือเรื่องของจีนที่มีนักวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ในตลาดวอลล์สตรีท นายเจมส์ ชาโน้ต ออกมาประเมินว่าจีนจะเจอปัญหาเศรษฐกิจ “Crash หรือ ล่มสลาย” จากปัญหาการปล่อยสินเชื่อล้นเกินตัว จนอาจจะเผชิญกับปัญหา NPL ตามมา ผมว่าแรงไปหน่อย สวนทางกับที่เมื่อวานผมได้นำความเห็นของนายมาร์ค โบเมียส ที่มีมุมองที่เป็นบวกต่อจีน เมื่อผนวกของทั้ง 2 แนวคิดเชื่อว่าจีนน่าจะมีมาตรการในการเข้ามาควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพ สุดท้ายแล้วต้องมาดูข้อเท็จจริงขั้นพื้นฐาน มีการคาดการณ์จากดอยช์แบงค์ เกรทเตอร์ ระบุว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 9% ในปี 2553 เพราะได้แรงหนุนจากยอดส่งออกที่ขยายตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราการลงทุนภายในประเทศจะหดตัวลงสู่ระดับ 50% ในปี 2553 จากระดับ 80% ในปี 2552 และคาดว่าอัตราการอุปโภคบริโภคภายในประเทศจะยังคงทรงตัว นอกจากนี้จีนถือว่าแซงหน้าทั้งสหรัฐและเยอรมันขึ้นมาเป็นผู้ผลิตและครองตลาดรถยนต์อันดับหนึ่งของโลกในปีที่แล้ว สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ของจีน (CAAM) รายงานว่า ยอดขายรถยนต์ของจีนในปี 2552 พุ่งขึ้น 46.15% ต่อปี แตะที่ 13.64 ล้านคันและผลผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้น 48.3%แตะที่ 13.79 ล้านคัน เท่านั้นไม่พอ จีนได้เตรียมแผนแม่บท ภายใต้ชื่อ "Rising of the Central China" นำร่องเพื่อการพัฒนาภูมิภาคตอนกลางของจีนในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ฉะนั้นใครจะพูดยังไงก็พูดได้ แต่จากข้อมูลคงพอจะสรุปได้ว่าใครจะกลายเป็นผู้นำโลกรายต่อไป นั่นคือเหตุผลที่ทำไมฟันธงมาเนีย จึงให้พื้นที่ในการวิเคราะห์เรื่องของจีนมากขนาดนี้ เพราะเชื่ออีกไม่นานประเทศที่จะ Dominate ตลาดหุ้นโลกจะกลายเป็นการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจีนแทนตลาดหุ้นนิวยอร์ค ที่แน่ๆ ถ้าส่งออกของจีนดี หุ้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์ในเชิงบวกน่าจะเป็นกลุ่มเดินเรือ เหล็ก และปิโตรเคมี สอยเล่นสั้น DELTA ดักเก็บก่อนจะรายงานผลประกอบการไตรมาส 4/52 คาดว่ากำไรสูงสุดของปี จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมในช่วงไตรมาส 3 และฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 53 จากเศรษฐกิจโลก ดังนั้น ณ ราคาปิดที่ 18.70 บาทซื้อบางส่วน และซื้อเพิ่มที่ 18.50 บาท โดยมีแนวต้านที่ 19.10 บาท และหากผ่านไปได้จะเกิดสัญญาณซื้อที่มีเป้าหมาย 20 บาท

Disclaimer จัดทำโดยพิจารณาจากข้อมูลเท่าที่ผู้จัดทำมีอยู่และเห็นว่าเชื่อถือได้ ทั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักลงทุนใช้ เป็นข้อมูล ประกอบการตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์ ข้อความหรือทัศนะที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้ไม่ว่ากรณีใดๆ ไม่ถือว่าเป็นการยืนยันข้อเท็จจริง หรือรับรองความถูกต้องแท้จริงของข้อมูล หรือเป็นการชักชวน ชี้นำให้นักลงทุนทำการซื้อขายหลักทรัพย์ ที่กล่าวในรายงาน
thunhoon

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น