วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ข่าวต่างประเทศ53

14/01/53
เฟดทำกำไรพุ่งทำสถิติในปี 2552

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานผลกำไร 5.21 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2552 ซึ่งพุ่งขึ้น 47% จากปีก่อน ซึ่งกำไรจำนวนมากดังกล่าวเปิดทางให้เฟดสามารถจ่ายเงินให้กับ

กระทรวงการคลังได้ 4.61 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นจำนวนเงินมากที่สุดที่เฟดจ่ายให้กับกระทรวงการคลังนับตั้งแต่ก่อตั้งธนาคารในปีพ.ศ.2457 โดยตัวเลขที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์นี้มีสาเหตุหลักมาจากความพยายามของเฟดที่จะให้การสนับสนุนระบบการเงินตลอดช่วงวิกฤตการเงิน

ทั้งนี้ เฟดหารายได้ด้วยตัวเองจากการดำเนินงานต่างๆ และคืนกำไรกลับไปให้แก่กระทรวงการคลัง

นอกจากนี้ กำไรบางส่วนของเฟดยังมาจากดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลและหลักทรัพย์ที่อิงกับสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งรวมถึงหลักทรัพย์ของแฟนนีเม และ เฟรดดีแมค

รายงานระบุด้วยว่า โครงการเงินกู้ฉุกเฉินต่างๆซึ่งริเริ่มจัดตั้งโดยธนาคารกลางในช่วงวิกฤตการเงินเมื่อปีที่แล้ว มีส่วนช่วยเพิ่มงบดุลบัญชีให้เฟดได้มากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์

*******
มูดีส์ เตือนญี่ปุ่น หลังตั้ง รองนายกฯควบตำแหน่งรมว.คลัง

มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส เตือนว่า การที่รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจแต่งตั้งนายนาโอโตะ คัง เป็นรัฐมนตรีคลังคนใหม่แทนนายฮิโรฮิสะ ฟูจิอิ อาจทำให้เกิดกระแสความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นเรื่องความน่าเชื่อถือในเรื่องวินัยด้านการคลัง รวมถึงการควบคุมตัวเลขหนี้สาธารณะ โดยขณะนี้หนี้สินสาธารณะของญี่ปุ่นติดอันดับสูงสุดของโลก

ความคิดเห็นของมูดีส์ สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนลีย์ ที่กล่าวว่า นายคังไม่มีเป้าหมายชัดเจนที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาในภาคการเงินของญี่ปุ่น ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจนในการพยุงเศรษฐกิจและควบคุมหนี้สาธารณะ

อย่างไรก็ดีแนวโน้มความน่าเชื่อถือระยะกลางของญี่ปุ่นขึ้นอยู่กับว่าอัตราการขยายตัว และขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถลดยอดขาดดุลและลดหนี้สาธารณะได้มากน้อยแค่ไหน

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า ตัวเลขหนี้สาธารณะของญี่ปุ่นจะพุ่งขึ้นเป็น 246% ของตัวเลข GDP ในปี 2557 เมื่อเทียบกับสหรัฐที่ระดับ 108% และเยอรมนีที่ระดับ 89%
money wake up**********
14/01/53
ตัวเลขเศรษฐกิจหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุนทั่วโลกพุ่งต่อ

ผลสำรวจความเชื่อมั่นนักลงทุนทั่วโลกที่จัดทำโดยสำนักข่าว Bloomberg ปรับตัวดีขึ้นในเดือนนี้ หลังจากที่เห็นสถานการณ์ที่ดีขึ้นทั้งในภาคการผลิตและบริการ ทำให้หลายคนมั่นใจมากขึ้นสำหรับทิศทางเศรษฐกิจต่อจากนี้

The Bloomberg Professional Global Confidence Index ขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 66.6 ในเดือนมกราคม เพิ่มจาก 58.9 ในเดือนธันวาคม และทำสถิติเป็นตัวเลขที่สูงสุดนับตั้งแต่มีการจัดทำดัชนีนี้ขึ้นมาเมื่อสองปีก่อน

ตัวเลขตลอด 6 เดือนล่าสุดโชว์มุมมองว่าเศรษฐกิจกำลังขยายตัว ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่มีรายงานทางเศรษฐกิจสำคัญๆ ทยอยประกาศออกมา และถ้าไล่เลียงกันไปตามภูมิภาคแล้ว เริ่มจากที่สหรัฐฯ สภาวะการจ้างงานเดือนพฤศจิกายนก็เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสองปี ขณะภาคการผลิตก็แสดงทิศทางการขยายตัวในเดือนธันวาคม ด้วยอัตราการเพิ่มที่สูงสุดในรอบกว่าสามปี แม้ว่าอัตราการว่างงานจะยังยืนอยู่ที่แถวๆ 10% แต่ก็ยังไม่ปิดโอกาสที่ตัวเลขจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น

ส่วนที่ยุโรป ผู้ตอบแบบสำรวจรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเป็นเดือนที่สองแล้วว่า เศรษฐกิจจะฟื้นตัวต่อ ซึ่งสามารถสะท้อนได้จากดัชนีภาคการผลิตและบริการที่ยังขยับดีขึ้นต่อเนื่อง แถมทางธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังได้แสดงท่าทีที่จะถอนมาตรการอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างกำลังไปในทิศทางบวก

ปิดท้ายที่เอเชีย ที่ดัชนีความเชื่อมั่นปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 76.2 มาเป็น 79.8 ซึ่งก็ไม่เป็นที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด ถ้าดูจากอัตราการเติบโตของผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และความแข็งแกร่งของการใช้จ่ายบริโภคในประเทศในช่วงที่ผ่านมา

และกับคำถามที่ว่าเศรษฐกิจเอเชียดีหรือไม่ดีจริงนั้น ก็น่าจะชัดเจนมากขึ้น เมื่อล่าสุดธนาคารกลางจีนได้สั่งให้ธนาคารในประเทศปรับเพิ่มระดับเงินสำรองไปเมื่อวันก่อน เพื่อหวังชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจ หลังจากปรากฏการณ์สินเชื่อที่บูมสุดขีดได้สร้างความกังวลในเรื่องแนวโน้มเงินเฟ้อ และฟองสบู่ในตลาดสินทรัพย์ ขณะที่ดัชนีชี้สภาวะการผลิตล่าสุด ที่รวบรวมโดย HSBC Holdings และ Markit Economics ขยายตัวแรงที่สุดในรอบ 5 ปี
money wake up*********
13/01/53
ผลสำรวจ RICS ชี้ราคาบ้านอังกฤษร่วงผิดคาดในเดือนธ.ค.

ขณะที่นักลงทุนกำลังรอดูตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนในช่วงต่อไป แต่หลายคนก็ยังไม่ลืมที่จะหันกลับมามองที่ตลาดบ้าน ในฐานะตัวแปรสำคัญอย่างหนึ่งที่จะกำหนดแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต

ล่าสุด ผลสำรวจราคาบ้านที่อังกฤษสะท้อนถึงการแผ่วลงของดีมานด์ในเดือนธันวาคม เมื่อข้อมูลในส่วนที่แสดงถึงความต้องการหาซื้อบ้านใหม่ออกมาลดลง

ผลสำรวจของ Royal Institution of Chartered Surveyors (RICS) ชี้ว่า สัดส่วนของจำนวนเอเยนต์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่บอกว่าราคาเพิ่มขึ้น มีมากกว่าจำนวนคนที่บอกว่าราคาลดลงอยู่ 30% ซึ่งน้อยลงจาก 35% ในเดือนพฤศจิกายน ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่า สัดส่วนดังกล่าวจะอยู่ที่ 37%

รายงานนี้อาจถูกมองว่า ตลาดบ้านในอังกฤษที่เคยเป็นนความหวังสำหรับการฟื้นตัว กำลังกลับมาอ่อนแรงลงอีกครั้ง หลังจากที่ในช่วงวิกฤติมูลค่าบ้านได้ร่วงลงไปถึง 20% นอกจากนี้ รายงานล่าสุดก็ยังสอดคล้องกับมุมมองของบริษัท Halifax ที่เป็นสาขาธุรกิจของ Lloyds Banking Group ที่คาดว่า แนวโน้มราคาบ้านของอังกฤษในปีนี้น่าจะยังยืนอยู่ที่ระดับเดิมต่อไป

และที่สำคัญสำหรับการจับตาดูราคาบ้านจากนี้ ก็คือ การเร่งทำคะแนนของนายกรัฐมนตรี Gordon Brown ก่อนหน้าที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมิถุนายนที่จะถึง ซึ่งทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับนโยบายทั้งหลายว่าจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมาได้มากขนาดไหน

นักเศรษฐศาสตร์ของ BNP Paribas พูดถึงรายงานตลาดบ้านล่าสุดด้วยว่า ผลของความต้องการที่อั้นมาในช่วงวิกฤติและมาช่วยผลักดันให้ราคาขยับเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้ กำลังเริ่มหมดแรงลงแล้ว และนี่คือสัญญาณเตือนภัยอันแรกๆ ที่กำลังจะบอกว่า ตลาดบ้านมีโอกาสที่จะร่วงลงอีกครั้ง

ความกังวลดังกล่าวยังไปเหมือนกับมุมมองของผู้บริหารธนาคารกลาง ที่ก่อนหน้านี้มีคนของ BOE เคยแสดงความรู้สึกแปลกใจในตัวเลขราคาบ้านที่ฟื้นขึ้น ขณะที่บริษัทวิจัย Hometrack ในลอนดอนคาดการณ์ว่า ราคาบ้านในอังกฤษมีแนวโน้มที่จะลดลงในปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามสภาวะการว่างงานที่เพิ่มขึ้นและความกังวลที่รัฐบาลจะจำกัดการใช้จ่าย และยิ่งไปกดดันความต้องการในตลาดลงอีก
**********
12/01/53
เกาหลีใต้ยกเลิกแผนย้ายหน่วยงานราชการไป “เซจอง”

รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศยกเลิกแผนย้ายกระทรวงและหน่วยงานราชการบางส่วนไปยังเมืองเซจอง ในจังหวัดชงชองใต้ ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโซลราว 150 กิโลเมตร และตัดสินใจว่าจะพัฒนาเมืองดังกล่าวให้เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจและวิทยาศาสตร์แทน

แผนย้ายหน่วยงานราชการไปยังเมืองเซจองเป็นความคิดของอดีตประธานาธิบดีโรห์ มู ฮยอน เนื่องจากเขาต้องการให้การพัฒนาภูมิภาคต่างๆ เป็นไปอย่างสมดุล หลังจากที่มีการวิพากย์วิจารณ์ว่าการพัฒนาเศรษฐกิจไปรวมอยู่ที่กรุงโซลเพียงแห่งเดียว

อย่างไรก็ตาม นายลี เมียง บัค ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน แสดงความไม่เห็นด้วยกับแผนดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าการย้ายหน่วยงานราชการจะทำให้การบริหารไร้ประสิทธิภาพ พร้อมสั่งให้มีการร่างแผนขึ้นมาใหม่

แผนการใหม่ตั้งเป้าว่าจะพัฒนาเมืองเซจองให้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การศึกษา และวิทยาศาสตร์ ด้วยจำนวนประชากร 500,000 คน และการลงทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชนมูลค่ารวม 16.5 ล้านล้านวอน (1.46 หมื่นล้านดอลลาร์)

อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ว่ารัฐสภาจะอนุมัติแผนที่ร่างขึ้นใหม่หรือไม่ เนื่องจากมีสมาชิกสภานิติบัญญัติประมาณ 60 คนที่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกแผนเดิม

ทั้งนี้ หลังการประกาศยกเลิกแผนเดิม พรรคฝ่ายค้านเกาหลีใต้ออกมาขู่ว่าจะทำการประท้วงอย่างรุนแรงต่อการตัดสินใจของรัฐบาล

********
12/01/53
ประกอบการธุรกิจการเงินของอังกฤษหวั่นรายได้ Q1 ร่วง

เพียงแค่สัปดาห์ที่สองของปีก็มีรายงานทางเศรษฐกิจที่เป็นสัญญาณบวกทยอยออกมาเรื่อยๆ แม้ในบางครั้งอาจต้องเจอกับแรงสะดุดได้บ้าง ล่าสุดต้องจับตาดูที่ยุโรป เมื่อมีรายงานผลสำรวจที่บ่งชี้ถึงความมั่นใจของผู้ประกอบการในธุรกิจการเงินออกมาแย่ลงกว่าเดิม อย่างน้อยเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเหตุผลหลักคงหนีไม่พ้นการเปลี่ยนแปลงมุมมองในเรื่องการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

สหพันธ์อุตสาหกรรมแห่งสหราชอาณาจักร (Confederation of British Industry) ในฐานะกลุ่ม lobbyist รายใหญ่ที่สุดของประเทศ เผยผลสำรวจออกมาว่า ผู้ให้บริการทางการเงินที่คาดว่าธุรกิจจะหดตัวลงในไตรมาสแรก มีจำนวนที่มากกว่าผู้ที่บอกว่าจะดีขึ้นอยู่ถึง 13% ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ของ CBI ยังได้ตอกย้ำถึงมุมมองในแง่ลบนี้อีกว่า ไม่มีสัญญาณใดๆ ที่บ่งบอกถึงการขยับขึ้นของความสามารถในการทำกำไรในช่วง 3 เดือนข้างหน้านี้

ทั้งหมดก็สอดคล้องกับ ความเห็นของผู้บริหารธนาคารกลางอังกฤษ ที่ก่อนหน้านี้ระบุว่า ประเทศอังกฤษกำลังเผชิญกับเส้นทางที่มุ่งหน้าออกจากความถดถอย ในแบบที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและความไม่คงเส้นคงวาอยู่มาก

สำหรับปัจจัยที่ขัดแข้งขัดขาการก้าวออกจากสภาวะธุรกิจตกต่ำ ก็รวมไปถึงความไม่แน่ใจถึงแนวโน้มความต้องการสินค้า ภาวะการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นทุกขณะ และรวมถึงการคุมเข้มผ่านกฏหมายที่เพิ่มระดับการกำกับดูแลขึ้น

อย่างไรก็ดี มีข้อดีอย่างน้อยหนึ่งข้อ ที่ผลสำรวจนี้ระบุไว้ ก็คือ บริษัทส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่าตลาดการเงินจะไม่ย่ำแย่ลงไปมากกว่านี้อีกแล้ว

ผลสำรวจของ CBI พบว่า เทรดเดอร์ของบริษัทหลักทรัพย์คาดแนวโน้มการหดตัวลงมากในส่วนของกำไรในไตรมาสแรกของปี 2553 นี้ เนื่องจากการซื้อขายหุ้นในพอร์ทของตนเริ่มทำรายได้ให้น้อยลง ซึ่งตรงนี้ก็สอดคล้องกับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มองว่า ไตรมาสที่กำลังจะถึงน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากในการทำเงิน แม้ในระยะกลางทุกอย่างน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น ก่อนที่สถานการณ์เลวร้ายต่างๆ จะหมดไปในที่สุด

ความหนักใจของบรรดาเทรดเดอร์หลักทรัพย์สะท้อนได้จากผลสำรวจที่แสดงให้เห็นว่า จำนวนเทรดเดอร์ที่คาดว่ารายได้จากการลงทุนและซื้อขายหลักทรัพย์จะลดลงในไตรมาสนี้ ปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเป็นเหมือนกับความกังวลที่ตลาดหุ้นอาจจะไม่ได้ดีดังหวัง ยังมีความเป็นไปได้สูง


ไฮเนเกนซื้อกิจการเบียร์จาก Femsa

ไฮเนเกนบริษัทผู้ผลิตเบียร์สัญชาติเนเธอร์แลนด์ ตัดสินใจซื้อกิจการเบียร์ของโฟเมนโต เอโคโนมีโค เม็กซิกาโน เอสเอบี หรือเฟมซา (Femsa) เพื่อช่วยในการขยายตลาดเข้าไปในตลาดลาตินอเมริกาได้มากขึ้น

ไฮเนเกนจะซื้อกิจการของเฟมซาผ่านทางการซื้อขายหุ้นมูลค่า 5,300 ล้านยูโร หรือ 7,700 ล้านดอลลาร์ โดยเฟมซาผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่อันดับ 2 ของเม็กซิโกจะได้ถือหุ้นในไฮเนเกน 20% จากการซื้อหุ้นครั้งนี้

ทั้งนี้ เฟมซามียอดขายในปี 2008 ที่ 2,880 ล้านดอลลาร์ โดยยอดขายประมาณ 2,160 ล้านดอลลาร์มาจากตลาดเม็กซิโก ส่วนที่เหลือเป็นยอดขายในตลาดบราซิล

ส่วนยอดขายทั่วโลกของเฟมซาในปี 2552 คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์ และ ประมาณ 3,600 ล้านดอลลาร์มาจากผลิตภัณฑ์เบียร์

ข่าวดังกล่าวก็ส่งผลให้ราคาหุ้นของไฮเนเกนปรับขึ้นทันที 6.2% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา

การซื้อกิจการในครั้งนี้จะทำให้ไฮเนเกนสามารถเจาะเข้าไปในตลาดเบียร์เม็กซิโกซึ่งมีขนาดใหญ่และเป็นตลาดที่สามารถสร้างกำไรได้เป็นอันดับสี่ของโลกและทำให้ไฮเนเกนลดการพึ่งพิงตลาดยุโรปลงได้

ไฮเนเกนคาดว่าการซื้อกิจการครั้งนี้ จะทำให้บริษัทประสบความสำเร็จด้านกลยุทธ์ภายในปี 2556 และยังจะช่วยเพิ่มกำไรต่อหุ้นให้กับบริษัทหลังจากระยะเวลา 2 ปีผ่านไป
money wake up
***********
11/01/53
ประธานาธิบดีอาร์เจนตินาสั่งปลดประธานธนาคารกลาง

ประธานาธิบดีคริสตินา เฟอร์นานเดซ ของอาร์เจนตินามีคำสั่งปลดนายมาร์ติน เรดราโด ประธานธนาคารกลางอาร์เจนตินาออกจากตำแหน่ง โดยอ้างเหตุผลด้านการประพฤติผิดระเบียบและละเว้นการปฎิบัติหน้าที่

หลังจากที่นายเรดราโดประธานธนาคารกลาง ปฏิเสธที่จะโอนเงินในทุนสำรองระหว่างประเทศ 6,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐเข้าสู่กองทุนชำระหนี้ต่างประเทศของรัฐบาล

ด้านโฆษกของนายเรดราโด กล่าวว่า ประธานธนาคารกลางยอมที่จะทำตามคำสั่งของประธานาธิบดีก็ได้ แต่จะไม่ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งความเคลื่อนไหวครั้งนี้ได้จุดชนวนให้เกิดการต่อสู้ทางกฎหมายขึ้น

ขณะเดียวกัน ทนายความหลายรายกล่าวว่า คำสั่งดังกล่าวของประธานาธิบดีอาร์เจนตินาอาจเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือกฎหมาย

เนื่องจากจริงๆ แล้ว สภาคองเกรสเป็นผู้เดียวที่มีอำนาจตามกฎหมายในการสั่งปลดประธานธนาคารกลางออกจากตำแหน่ง

ทั้งนี้ อาร์เจนตินามีหนี้ต่างประเทศที่ครบกำหนดชำระคืนจำนวน 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ ขณะที่ดุลบัญชีงบประมาณยังขาดดุลอยู่ 2-7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่า การสั่งปลดนายเรดราโด แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งเรื่องการจัดสรรเงินทุนชำระหนี้ระหว่างธนาคารกลางกับรัฐบาลอาร์เจนตินา ซึ่งนับเป็นสัญญาณบ่งชี้ที่เลวร้ายในการกระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศมากขึ้น


เวเนซุเอลาลดค่าเงินในรอบ 5 ปี

ประธานาธิบดีฮิวโก ชาเวซ ของเวเนซุเอลา สั่งลดค่าเงินโบลิวาร์เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เมื่อปี 2548 เป็นต้นมา โดยใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา 2 ระบบ

ระบบดังกล่าว จะดีต่อต่อภาคธุรกิจที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ โดยภาคสาธารณสุขนำเข้าอาหาร เครื่องจักรกล หนังสือ เทคโนโลยี รวมทั้งการนำเข้าภาครัฐและการส่งเงินกลับประเทศจะได้ประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนที่สูงขึ้นจะใช้กับสินค้าประเภทอุตสาหกรรมรถยนต์ โทรคมนาคม ยาสูบ เครื่องดื่ม เคมีภัณฑ์ ปิโตรเคมี และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

ภายใต้อัตราแลกเปลี่ยนใหม่ 1 ดอลลาร์สหรัฐ จะเท่ากับ 2.6 โบลิวาร์ ลดลงจากเดิมซึ่ง 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 2.1 โบลิวาร์ ส่วนสินค้านำเข้าที่ไม่จำเป็นจะใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 4.3 โบลิวาร์

เวเนซุเอลาดำดิ่งสู่ภาวะถดถอยเมื่อปีที่แล้วนับเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี เนื่องจากราคาน้ำมันและการผลิตร่วงลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงถึงร้อยละ 25


JAL เตรียมยื่นล้มละลาย 19 ม.ค.

สายการบินเจแปน แอร์ไลนส์ เตรียมยื่นเรื่องขอล้มละลายในวันที่ 19 ม.ค.นี้ ภายใต้แผนปรับโครงสร้างที่รัฐบาลสนับสนุน เช่น การลดตำแหน่งงาน 13,000 ตำแหน่ง

รัฐบาลญี่ปุ่นเห็นชอบทางเลือกให้ เจแปน แอร์ไลนส์ ยื่นขอล้มละลายต่อศาล ซึ่งเป็นข้อเสนอของหน่วยงานกำกับดูแลการฟื้นฟูกิจการของ JAL ที่รัฐให้การสนับสนุน ภายใต้แผนปรับโครงสร้าง JAL จะลดตำแหน่งงาน 13,000 ตำแหน่ง ในช่วง 3 ปีข้างหน้า และจะยกเลิกเส้นทางการบินเกือบ 50 เส้นทางทั้งใน และต่างประเทศ

นอกจากนี้ หน่วยงานกำกับดูแลการฟื้นฟูกิจการของ JAL จะขอให้ธนาคารยกหนี้ 350,000 ล้านเยน (ราว 126,000 ล้านบาท) เพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้สินของเจเอแอล

JAL มีภาระหนี้สินสูงถึง 4,290 ล้านเยน หรือ (4,600 ล้านดอลลาร์) ที่ผูกพันอยู่กันเจ้าหนี้รายใหญ่ในกลุ่มแบงก์ญี่ปุ่น 4 ราย ซึ่งของยอดการขาดทุนมหาศาลเกิดมาจากสภาพธุรกิจการบินที่ย่ำแย่ทั่วโลก และต้นทุนเงินสนับสนุนให้กับผู้เกษียณอายุจำนานมาก ก่อนหน้านี้ทาง JAL ได้ยื่นข้อเสนอให้ ผู้เกษียณอายุกว่า 9,000 คนยอมรับการปรับลดเงินช่วยเหลือลง 30% ซึ่งในวันอังคารที่จะถึงนี้ จะเป็นวันสุดท้ายของการให้คำตอบ
money wake up*********
11/01/53
การว่างงานสหรัฐฯ – ยุโรปยังวิกฤติ

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่าอัตราว่างงานเดือนธันวาคมยังอยู่ที่ระดับ 10% ซึ่งยังคงใกล้เคียงกับระดับของเดือนตุลาคมที่ 10.1% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2526

ขณะที่ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรร่วงหนักเกินคาดถึง 85,000 อัตรา จากที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะทรงตัวหรือลดลงเพียงเล็กน้อย โดยภาคส่วนที่มีการปลดพนักงานมากที่สุดคือภาคการก่อสร้าง การผลิต และการค้าส่ง

สำหรับทั้งปี 2552 อัตราจ้างงานในสหรัฐร่วงลงถึง 4.16 ล้านอัตรา ซึ่งถือว่ามากที่สุดในรอบ 65 ปี ขณะที่อัตราว่างงานรายเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 9.3% ซึ่งถือว่าสูงสุดในรอบ 27 ปี

อัตราว่างงานใน 16 ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร ปรับตัวสูงขึ้นแตะ 10% ในเดือนพ.ย.2552 ถือเป็นสถิติที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2541 หรือก่อนที่จะมีการใช้เงินยูโรเป็นครั้งแรกในปี 2542

สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) รายงานว่า อัตราว่างงานเดือนพ.ย.ไต่ขึ้นมา 0.1% จากเดือนต.ค. โดยในบรรดาประเทศสมาชิกยูโรโซนนั้น สเปนมีอัตราว่างงานสูงที่สุดที่ระดับ 19.4% ส่วนอัตราว่างงานต่ำสุดในยูโรโซนอยู่ที่เนเธอร์แลนด์ที่ระดับ 3.9%

ขณะที่อัตราว่างงานในกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปทั้ง 27 ประเทศ หรือนับรวมถึงประเทศที่ไม่ใช้เงินยูโร อาทิ อังกฤษ และ สวีเดน ขยับขึ้น 0.1% เช่นกัน มาอยู่ที่ 9.5% ในเดือนพ.ย.
money wake up
**********
08/01/53
นิวเอดจ์ คาดราคายางโลกพุ่งสูงสุดในรอบ 30 ปี

บริษัท นิวเอดจ์ เจแปน อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ของญี่ปุ่น คาดการณ์ว่า ราคายางในตลาดโลกจะพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 30 ปีภายในเดือนมี.ค.นี้ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวขึ้นซึ่งทำให้ความต้องการ หรือ ดีมานด์ในสินค้าโภคภัณฑ์จำพวกยางเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และคาดว่าดีมานด์ที่เพิ่มจะส่งผลให้ซัพพลายหดตัวลง ซึ่งจะยิ่งหนุนราคายางทะยานขึ้น

นักวิเคราะห์ของนิวเอดจ์ เจแปนคาดว่า สัญญายางล่วงหน้าที่ตลาด TOCOM มีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดที่เคยทำไว้เมื่อปี 2552 ที่ระดับ 356.9 เยน/ก.ก. (3,868 ดอลลาร์/เมตริกตัน) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 30 ปี

ส่วนในปี 2552 สัญญายางในตลาดโลกทะยานขึ้นกว่า 2 เท่า ซึ่งต่างจากปี 2551 ที่ราคายางดิ่งลงไปรุนแรงถึง 56% โดยดัชนี Reuters/Jefferies CRB Index ทะยานขึ้น 23% ในปี 2552 ทำสถิติพุ่งขึ้นแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2522

เนื่องจากดีมานด์วัตถุดิบในประเทศจีนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ คาดว่าการพุ่งขึ้นของราคายางในตลาดโลกจะเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มผู้ผลิตยางในประเทศไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย แต่จะทำให้ต้นทุนบริษัทผลิตยางรถยนต์พุ่งสูงขึ้น รวมถึงบริษัท บริดจ์สโตน คอร์ป

นักวิเคราะห์คาดว่า ยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นในประเทศจีนจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่หนุนราคายางพุ่งสูงขึ้น โดยสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ของจีนรายงานว่า ยอดขายรถยนต์โดยสารเดือนพ.ย.ของจีนทะยานขึ้น 98% แตะที่ 1.04 ล้านคัน ซึ่งเป็นสถิติที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งที่สุดในรอบ 5 ปี นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดว่ายอดขายรถยนต์ปี 2552 ของจีนจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 13 ล้านดอลลาร์


ค้าปลีกหนุนหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวก หลังยอดขายปลายปีดีเกินคาด

ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ ปิดบวกและสามารถยืนอยู่แถวระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือนต่อไปได้ แม้ในช่วงต้นของการซื้อขายจะปรับตัวลงตามตลาดอื่นๆ จากการที่ธนาคารกลางจีนออกขายพันธบัตรระยะสั้นด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 20 สัปดาห์ และบอกเหตุผลว่าต้องการควบคุมไม่ให้สินเชื่อในประเทศขยายตัวในอัตราที่สูงจนเกินไป และอยากจะรักษาระดับราคาสินค้าไม่ให้เร่งตัวขึ้นมากในปีนี้

ขณะเดียวกัน นักลงทุนก็กำลังจับตาความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางต่างๆ อย่างใกล้ชิด หลังจากในช่วงไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา แบงก์ชาติ อย่างเช่น ของออสเตรเลีย เวียดนาม นอร์เวย์ และอิสราเอล ปรับขึ้นดอกเบี้ยไปเรียบร้อยแล้ว และมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะทำตามในปีนี้

และถ้าดูจากสัญญาในตลาดฟิวเจอร์ส จะพบว่า นักลงทุนคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยเฟดจะปรับเพิ่มขึ้นในการประชุมเดือนกันยายน

ล่าสุด หน่วยงานกำกับดูแล ที่รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็ออกมาเตือนธนาคารต่างๆ ในประเทศว่า ให้เตรียมรับมือกับสภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น รวมทั้งให้ดำเนินการเพิ่มทุนหากจำเป็น

อย่างไรก็ดี เมื่อคืนนี้บรรยากาศการลงทุนกลับได้แรงหนุนจากข่าวดีสำหรับยอดขายของธุรกิจค้าปลีกในช่วงปลายปี นำโดย Sears Holding ที่รายงานยอดขาย รวมทั้งออกคาดการณ์กำไรที่เหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์ จนราคาหุ้นของเชนดีพารท์เมนท์สโตร์เจ้าใหญ่ที่สุดของอเมริกาแห่งนี้ พุ่งแตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2551

ส่วนหนึ่งของยอดขายของ Sears ที่พุ่งขึ้นในเดือนธันวาคมมาจาก Kmart ในส่วนแผนกของเล่น เสื้อผ้า และของใช้เกี่ยวกับบ้าน ส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่เบอร์สอง อย่างห้าง Macy’s ก็รายงานยอดขายที่เพิ่มขึ้น 1% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เล็กน้อย ขณะที่บริษัทบอกว่า กำไรในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว อาจจะทำได้สูงถึง 1.18 เหรียญต่อหุ้น หากไม่รวมต้นทุนการปรับโครงสร้างธุรกิจ เมื่อเทียบกับตัวเลขที่เคยคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ราว 1 เหรียญ


ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจยุโรปพุ่งแตะจุดสูงสุดในยุคหลัง Lehman

ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปพุ่งสูงขึ้นในเดือนธันวาคม จนแตะระดับสูงสุดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่เกิดเหตุสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ อย่าง Lehman Brothers Holdings ต้องเหลือเพียงแค่ชื่อทิ้งไว้เป็นตำนาน

ตัวเลขล่าสุดถือเป็นสัญญาณที่สร้างความมั่นใจให้เพิ่มมากขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งว่า เศรษฐกิจจะค่อยๆ สะสมความแข็งแกร่งในปีนี้

คณะกรรมาธิการยุโรป หรือ European Commission เปิดเผย sentiment index ที่สำรวจจากบรรดาผู้บริหารและผู้บริโภคใน 16 ประเทศสมาชิก โดยตัวเลขขยับขึ้นมาที่ระดับ 91.3 จาก 88.8 ในเดือนพฤศจิกายน และยังมากกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ นอกจากจะทำลายสถิติสูงสุดที่เคยทำไว้เมื่อครั้ง Lehman Brothers ประกาศล้มละลาย

ตัวเลขความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นยังตอกย้ำถึงมุมมองในเรื่องเศรษฐกิจ ที่หลายคนยังต้องลุ้นให้มีการเร่งสะสมแรงเอาไว้ก่อนที่จะมีอะไรทำให้เกิดความพลิกผัน จนเศรษฐกิจอาจกลับมาร่วงลงสู่จุดตกต่ำอีกครั้งในอนาคต

นักลงทุนได้รับข่าวดีในแบบเดียวกัน เมื่อมีรายงานที่เกี่ยวข้องกับ real sector ในส่วนของดัชนีชี้วัดอุตสาหกรรมการผลิตและบริการในเดือนธันวาคม ที่ขยายตัวได้เป็นเดือนที่ 5 ซึ่งก็สอดคล้องกับอีกหนึ่งเครื่องชี้ที่แสดงถึงการปรับเพิ่มขึ้นของความเชื่อมั่นนักลงทุน และถ้าเจาะลงไปดูเฉพาะที่ประเทศเยอรมนีแล้ว จะพบว่าความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนธันวาคม ก็ปรับตัวขึ้นไปยืนอยู่ ณ ระดับสูงสุดในรอบ 17 เดือนเลยทีเดียว

สำหรับสถานการณ์ตลาดบ้านที่ประเทศอังกฤษ ผู้ประกอบการของที่นี่ก็คงจะโล่งใจขึ้นได้บ้าง เมื่อบริษัทที่เป็นธุรกิจลูกของ Lloyds Banking Group อย่าง Halifax เปิดเผยดัชนีราคาบ้านที่เพิ่มขึ้นในเดือนธันวาคม และถือเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 6 แล้ว ด้วยสาเหตุที่มีผู้มองว่าเป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำช่วยกระตุ้นความต้องการในตลาดให้เพิ่มขึ้น ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ของ Halifax เองก็มีมุมมองราคาบ้านในปีนี้ ว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงจากปีที่แล้วมากนัก ซึ่งแนวโน้มตลาดก็จะขึ้นอยู่กับว่าสภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร และจำนวนซัพพลายที่ปล่อยออกมาขายมีมากน้อยแค่ไหน


ผู้ว่าแบงก์ชาติทั่วโลกเตรียมประชุมที่สวิตเซอร์แลนด์

ผู้ว่าการธนาคารกลางทั่วโลกเตรียมเข้าร่วมประชุมกับตัวแทนสถาบันการเงินที่กรุงบาเซิล สวิตเซอร์แลนด์ ในสัปดาห์นี้ เพื่อหารือถึงการกำหนดมาตรการกำกับดูแล ในที่ประชุมคณะกรรมาธิการกำกับดูแลด้านการธนาคารของธนาคารเพื่อการชำระบัญชีระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements หรือ BIS)

รัฐมนตรีคลังและธนาคารกลางทั่วโลกได้ส่งสัญญาณถึงความต้องการลดการทำธุรกรรมที่มีความเสี่ยงของกลุ่มสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ในปีที่ผ่านมา ซึ่งผู้นำจากกลุ่มประเทศ G-20 และกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วได้ให้คำมั่นในระหว่างการประชุมเมื่อเดือนก.ย.ว่าจะปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆให้ดีขึ้นภายในปีนี้ เพื่อให้ธนาคารได้บริหารจัดการเม็ดเงินทุนที่มีคุณภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ ผู้ว่าการธนาคารกลางได้ประชุม BIS กันปีละ 6 ครั้ง ซึ่งต่างฝ่ายต่างเรียกร้องให้ธนาคารกลางถือครองทุนสำรองในฐานะที่เป็นสมาชิกและเป็นผู้ดำเนินการวิจัย

หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์สรายงานว่า BIS ได้เชิญให้ธนาคารต่างๆเข้าร่วมประชุมโดยอ้างถึงความวิตกกังวลว่า สถาบันการเงินเริ่มกลับมาดำเนินธุรกิจที่มีความเสี่ยง เหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นก่อนช่วงวิกฤตการเงินทั่วโลกในปี 2550

ทั้งนี้ ผู้ว่าการธนาคารกลางอิตาลี ซึ่งเป็นผู้นำคณะกรรมาธิการกำหนดเสถียรภาพด้านการเงินเตรียมที่จะรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการเพิ่มความเข้มงวดด้านการกำกับดูแลก่อนที่การประชุมจี-20 ครั้งต่อไปจะเปิดฉากขึ้นในเดือนมิ.ย.
money wake up
**********
07/01/53
เกาหลีใต้กระตุ้นเอกชนลงทุนฟื้นเศรษฐกิจ

Posted on Thursday, January 07, 2010
ประธานาธิบดีลี เมียง บัค ของเกาหลีใต้ได้เรียกร้องให้ภาคเอกชนเพิ่มการลงทุนให้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากช่วงผ่านมาภาคเอกชนหลายแห่งยังไม่ได้เริ่มลงทุนในโครงการใหญ่ๆ ซึ่งการแสดงความเห็นของประธานาธิบดีมีขึ้น หลังจากที่รัฐบาลได้ออกรายงานการประชุมเศรษฐกิจเร่งด่วนในปีที่ผ่านมา โดยได้ให้คำมั่นว่าจะขยายนโยบายการเงินและใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรูปแบบอื่นๆต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อรักษาระดับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีลี เมียง บัค บอกว่า เกาหลีใต้ยังคงอยู่ในข่ายที่ต้องได้รับการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2554 และคาดว่าจะมีการจัดประชุม เพื่อกำหนดทางออกของปัญหารวมถึงการสร้างงานมากขึ้น

เศรษฐกิจเกาหลีใต้เผชิญกับมรสุมจากวิกฤตการเงินโลกอย่างหนักในปีที่ผ่านมา เนื่องจากเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกขาดปัจจัยกระตุ้นการขยายตัว แต่เมื่อเร็วๆนี้ เกาหลีใต้เริ่มมีความหวังว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็วเกินคาดเมื่อพิจารณาจากปัจจัยชี้นำเศรษฐกิจที่เคลื่อนไหวในเชิงบวก
money news update
***********
07/01/53
สิงคโปร์เตรียมปรับมาตรฐานพัฒนาตลาดทุน

Posted on Thursday, January 07, 2010
ตลาดหุ้นสิงคโปร์เตรียมปรับมาตรฐานการคัดเลือกบริษัทที่เข้าจดทะเบียนซื้อขายในกระดานหลัก และปรับมาตรการการซื้อขายหุ้น ซึ่งรวมถึงการขึ้นราคาขั้นต่ำสำหรับการเสนอขายหุ้นครั้งแรก (IPO) โดยจะนำมาบังคับใช้ในไตรมาส 4/52 เพื่อให้เกิดความแตกต่างของหุ้นระหว่างบริษัทขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนซื้อขายในกระดานหลัก กับบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายในกระดานรอง โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาสถานะของสิงคโปร์ ในฐานะที่เป็นตัวเลือกด้านตลาดทุนและเสนอแนวทางที่ชัดเจนด้านการซื้อขายหุ้นให้กับบริษัทต่างๆ

ทั้งนี้ บริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายบนกระดานหลักในตลาดหุ้นสิงคโปร์จะมีข้อได้เปรียบในระยะยาว มากกว่าบริษัทที่ซื้อขายในกระดานรอง ขณะที่บนกระดานรองจะมีบริษัทที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ภายใต้มาตรการกำกับดูแลของผู้ให้การสนับสนุน

สำหรับข้อเสนอครั้งนี้มีขึ้น หลังจากที่ตลาดหุ้นสิงคโปร์ได้ประเมินเกณฑ์มาตรฐานการซื้อขายหุ้นที่ใช้กับกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งพบว่าบริษัทต่างๆที่จดทะเบียน ซื้อขายในตลาดหุ้นเหล่านี้อยู่ในข่ายที่เหนือเกณฑ์มาตรฐาน
money news update
**********
07/01/53
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอังกฤษร่วงหนักสุดในรอบกว่า 1 ปี

เนชั่นไวด์ บิลดิ้ง โซไซตี้ เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอังกฤษเดือนธ.ค. 2552 ร่วงหนักสุดในรอบกว่า 1 ปี โดยลดลง 5 จุด มาอยู่ที่ 69 จุด เนื่องจากมีการคาดการณ์เรื่องเศรษฐกิจถดถอย

มาร์ติน กาบาวเออร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเนชั่นไวด์ กล่าวว่า ผู้บริโภคอาจจะระมัดระวัง และคงจะมีการลดการคาดการณ์เรื่องแนวโน้มของผู้บริโภคในปีนี้ เนื่องจากมีการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆลง

ตัวเลขความเชื่อมั่นดังกล่าวอาจจะเป็นสัญญาณของการจับจ่ายใช้สอยที่ลดลง เนื่องจากผู้บริโภคเตรียมพร้อมรับมือกับการจ่ายภาษีที่สูงขึ้น เนื่องจากรัฐบาลต้องการควบคุมภาวะขาดดุลงบประมาณที่สูงเป็นประวัติการณ์

ทางด้านนายกอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษก็กำลังพยายามที่จะฟื้นเศรษฐกิจ และดึงคะแนนเสียงสนับสนุนในกลุ่มประชาชนก่อนที่จะถึงศึกเลือกตั้งในเดือนมิ.ย.นี้


GMAC หวั่นปี 52 จะขาดทุนกว่าหมื่นล้านเหรียญ

จีแมค อิงค์ (GMAC Inc.) บริษัทปล่อยสินเชื่อรถยนต์และอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของสหรัฐส่อเค้าขาดทุนกว่าหมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2552

หลังผู้กู้เงินจำนองบ้านผิดนัดชำระหนี้เพิ่มมากขึ้น โดยล่าสุดบริษัทคาดว่าตัวเลขขาดทุนในไตรมาส 4 ของปีที่แล้วจะอยู่ที่ 5 พันล้านดอลลาร์ โดยบริษัทอาจมีตัวเลขขาดทุนรายปีและรายไตรมาสหนักสุดเป็นประวัติการณ์ในฐานะที่บริษัทเป็นผู้ปล่อยกู้หลักของเจนเนอรัล มอเตอร์ และไครสเลอร์ กรุ๊ป

พร้อมคาดว่าอัตราการผิดนัดชำระหนี้จะพุ่งขึ้นสูงสุดในปีหน้า และราคาบ้านอาจเคลื่อนไหวลงสู่จุดต่ำสุดและพร้อมจะดีดตัวขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2554

ทั้งนี้ บริษัทได้รับเงินช่วยเหลือจากกระทรวงคลังสหรัฐจำนวน 3,790 ล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยการอัดฉีดเงินทุนระลอก 2 ของสหรัฐ ทำให้วงเงินที่รัฐบาลสหรัฐช่วยเหลือจีแมคเพิ่มขึ้นเป็น 13,500 ล้านดอลลาร์และยังส่งผลให้รัฐบาลกลายเป็นผู้ถือหุ้นในจีแมค 56%

จากการอัดฉีดเงินช่วยเหลือครั้งล่าสุดทำให้จีแมคมีเงินทุน 2,700 ล้านดอลลาร์สำหรับปล่อยกู้ให้กับบริษัท Residential Capital ซึ่งมีสินทรัพย์จำนองที่พร้อมเสนอขายมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม จีแมคต้องพิจารณาทางเลือกหลายๆด้านสำหรับบริษัทดังกล่าว รวมถึงการยื่นพิทักษ์ทรัพย์ล้มละลาย และคาดว่าอาจต้องขายสินทรัพย์จำนองบางส่วนของ Residential Capital ออกไป

ขณะเดียวกันมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิสมองว่า การอัดฉีดเงินทุนครั้งล่าสุดและการปรับลดโครงสร้างยังไม่เพียงพอที่จะสร้างเสถียรภาพให้กับ Residential Capital รวมถึงไม่สามารถเป็นหลักประกันได้ว่าบริษัทจะสามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้
money wake up**********
07/01/53
แรงซื้อโภคภัณฑ์หนุนดัชนีหุ้น ขณะ IMF แย้มเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจโลก

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปยังถูกพยุงจากแรงซื้อในหุ้นกลุ่มโภคภัณฑ์ ที่ได้รับผลบวกจากราคาพลังงานและวัตถุดิบอุตสาหกรรม ขณะที่รายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในรอบล่าสุด หรือเมื่อกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ระบุว่า มีคณะกรรมการบางคนกำลังพิจารณามาตรการอัดฉีดเพิ่มเติม ซึ่งก็กลายเป็นที่ถกเถียงกันเนื่องจากมีบางคนแสดงความเป็นห่วงว่าการขยายเวลาซื้อสินทรัพย์ รวมถึงการเพิ่มปริมาณการซื้อ อาจจะทำให้เศรษฐกิจยิ่งแย่ลงกว่าเดิม

นอกจากนี้ ในที่ประชุมเฟดยังมีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องแนวโน้มเงินเฟ้อ ว่าจะเร่งตัวหรือกลับมาร่วงลงในช่วงหลังจากนี้ ซึ่งก็เกิดขึ้นเพราะมุมมองที่ไม่เหมือนกันในเรื่องเศรษฐกิจ ระหว่างความเชื่อที่ว่าอัตราการผลิตส่วนเกินจะไปส่งผลกดดันให้สภาวะราคาปรับตัวลง ขณะที่อีกฝ่ายยังเชื่อว่าผลจากการอัดฉีดสภาพคล่องอย่างหนักของเฟดจะทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น

สำหรับแนวโน้มการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกจากระบบนั้น ในรายงานการประชุมของเฟดระบุว่า ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนมีความเห็นตรงกันที่ต้องการให้นโยบายการเงินควรจะต้องตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งในแง่ร้ายหรือดีก็ตาม โดยมองว่าเฟดควรจะต้องสื่อสารออกมาอย่างชัดเจน รวมไปถึงการประกาศเจตนาในการถอนมาตรการกระตุ้นที่ทำผ่านนโยบายการเงินภายในเวลาและสถานการณ์ที่เหมาะสมต่อไป

ราคาหุ้นและ commodity ยังวิ่งในทิศทางบวกต่อเนื่อง สอดคล้องกับข่าวที่ผู้บริหารของกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF ออกมาเปิดเผยว่า อาจจะปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในรายงานฉบับล่าสุดที่จะออกมาภายในเดือนนี้ หลังจากเห็นสถานการณ์ที่ดีขึ้นทั้งในฟากของประเทศที่มีรายได้สูง ลงมาถึงประเทศที่ยากจน

นาย Jonh Lipsky ที่นั่งเป็นเบอร์สองในองค์กรการเงินโลกนี้ บอกว่า เขามองเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งมาจากทางด้านประเทศตลาดเกิดใหม่ ขณะที่เครื่องชี้เศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วก็ได้ให้มุมมองทางด้านบวก แม้ว่าจะต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษก็ตาม


กรีซเผชิญแรงกดดันด้านเครดิต - EU รุดตรวจสถานะการคลัง

รัฐบาลกรีซ ซึ่งกำลังวางแผนลดยอดขาดดุลงบประมาณที่พุ่งขึ้นสูงสุดในในบรรดาชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) กำลังเผชิญกับบททดสอบความน่าเชื่อถือเป็นครั้งแรก เมื่อเจ้าหน้าที่อียูเดินทางมายังกรุงเอเธนส์เพื่อตรวจสอบตัวเลขรายรับจากการจัดเก็บภาษีและงบประมาณการใช้จ่ายของรัฐบาล

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของกรีซร่วงลงอย่างหนักในเดือนธ.ค. เนื่องจากยอดขาดดุลงบประมาณของกรีซที่พุ่งขึ้นรุนแรง ส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า สถานะทางการคลังของกรีซจะย่ำแย่กว่าสเปน ไอร์แลนด์ และประเทศอื่นๆในยุโรป ซึ่งแม้ว่านายจอร์จ ปาปันเดรอู นายกรัฐมนตรีกรีซให้คำมั่นสัญญาว่าจะลดยอดขาดดุลงบประมาณให้ต่ำกว่าเพดาน 3% ของอียูให้ได้ภายในปี 2554 แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ไม่ได้เชื่อเช่นนั้น

นักวิเคราะห์จากฟอร์ติส โกลบอล มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า การปรับลดยอดขาดดุลงบประมาณถือเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับกรีซ เพราะทุกครั้งที่รัฐบาลพยายามลดงบประมาณการใช้จ่ายก็จะเกิดการจลาจลและประชาชนก็แห่กันออกมาชุมนุมประท้วงตามท้องถนน ทำให้รัฐบาลกรีซเดินทางมาถึงทางตันเพราะหากไม่เร่งลดยอดขาดดุลงบประมาณ ก็จะยิ่งทำให้สถานะทางการคลังภายในประเทศย่ำแย่ลง

เอมิเลีย ตอร์เรส โฆษกหญิงของ EU กล่าวว่า คณะกรรมาธิการยุโรปจะยังไม่ออกแถลงการณ์ก่อนที่กรีซจะเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับแผนการลดยอดขาดดุลงบประมาณในปลายเดือนนี้ ส่วนการเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่อียูและกรีซนั้นถือเป็นการเจรจาในระดับเทคนิค

ยอดขาดดุลงบประมาณที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงของกรีซส่งผลให้ S&P ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของกรีซลงหนึ่งขั้น สู่ระดับ BBB+ จากเดิมที่ระดับ A- และเตือนว่าจะลดอันดับเครดิตลงอีกหากรัฐบาลไม่สามารถลดยอดขาดดุลงบประมาณ ขณะที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ ปรับลดอันดับเครดิตของกรีซลงสู่ระดับ BBB+ เช่นกัน ส่วนมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ลดอันดับเครดิตของกรีซลงหนึ่งขั้นสู่ระดับ A2 จากเดิมที่ A1


S&P จ่อลดอันดับความน่าเชื่อถือของไอซ์แลนด์

สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) จัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไอซ์แลนด์ให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่อาจถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงสู่สถานะ "ขยะ"

หลังจากที่เมื่อวันก่อน ประธานาธิบดีโอลาฟูร์ กริมสัน ไม่ยอมลงนามในร่างกฎหมายชดใช้เงินมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการชดใช้เงินให้กับชาวอังกฤษและชาวดัตช์ที่สูญเสียเงินฝากของตนในธนาคารของไอซ์แลนด์ที่ล้มละลาย

S&P ให้เครดิตพินิจ แนวโน้ม "ลบ" แก่ตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศของไอซ์แลนด์ที่ BBB- /A-3 และสกุลเงินในประเทศที่ BBB+/A-2

ทั้งนี้ การประกาศจุดยืนของประธานาธิบดีไอซ์แลนด์เมื่อวานนี้ทำให้ไอซ์แลนด์อาจถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงอีก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งถูก ฟิทช์ เรตติ้งส์ ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือสู่ระดับ BB+ ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับความน่าลงทุนหนึ่งขั้น ขณะที่ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ก็จัดอันดับตราสารหนี้ของไอซ์แลนด์ไว้ที่ Baa3 ซึ่งเหนือกว่าระดับ "ขยะ" เพียงขั้นเดียว
money wake up***********
06/01/53
นักลงทุนหวั่น “สัมพันธ์สหรัฐ-จีน” ฉุดการลงทุนปี 53

ยูเรเซีย กรุ๊ป เผยรายงานปัจจัยเสี่ยงสำหรับนักลงทุนทั่วโลกประจำปี 2553 จำนวน 10 อันดับ ในชื่อ ''Top Risks for 2010'' โดยปัจจัยเสี่ยงอันดับที่ 1 ได้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐ อันดับที่ 2 คือ อิหร่าน อันดับ 3 ได้แก่ ความหลากหลายทางการเงินของยุโรป ขณะที่ญี่ปุ่นติดอันดับที่ 5

รายงานชี้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐติดอันดับ 1 เพราะอัตราว่างงานสหรัฐยังอยู่ในระดับสูงและการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีนจะยิ่งทวีความตึงเครียดในปีนี้ และสำหรับจีนเองนั้น การเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจกับสหรัฐดูเหมือนว่า ความสัมพันธ์ดังกล่าวจะมีความดึงดูดใจน้อยกว่าช่วง 2-3 ปีที่แล้ว

ในขณะที่การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐจะมีขึ้นในเดือนพ.ย. คาดว่า จะมีการใช้การเมืองกดดันนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น

รวมถึงเรื่องความตึงเครียดด้านนโยบายการลงทุนทั้งในสหรัฐและจีน การวิจารณ์อย่างรุนแรงของจีนเมื่อประธานาธิบดีโอบามาผลักดันเรื่องเพดานการค้าเข้าสู่ที่ประชุมวุฒิสภา ความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะเรื่องเหล็ก และประเด็นต่างๆที่เกี่ยวกับความปลอดภัยบนระบบอินเทอร์เน็ต

สำหรับประเด็นเรื่องอิหร่านกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ 2 นั้น เพราะในรายงานระบุว่า อิหร่านดูเหมือนสัตว์ที่ถูกต้อนจนมุมและบาดเจ็บมากขึ้น ปีนี้จึงดูเหมือนว่า จะมีการลงมือทำอะไรสักอย่างออกมา

ขณะที่ยุโรปซึ่งรั้งปัจจัยเสี่ยงอันดับที่ 3 นั้น เนื่องจากยังไม่เห็นว่ามีความชัดเจนในเรื่องความแตกต่างระหว่างตลาดเกิดใหม่และตลาดที่อิ่มตัวแล้วในเขตเศรษฐกิจที่ใช้สกุลเงินยูโรในปีนี้

สำหรับอันดับที่ 5 นั้น รายงานระบุว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ในญี่ปุ่นถือเป็นการปรับโฉมหน้าญี่ปุ่น โดยมีการคาดการณ์ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นภายใต้การนำของนายยูคิโอะ ฮาโตยามะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นจะอยู่ไม่ครบปีในปีนี้

เนื่องจากนโยบายของรัฐที่ไม่ได้เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับความต้องการของธุรกิจขนาดใหญ่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางการเงิน และทำให้เกิดความกังวลว่า ญี่ปุ่นอาจจะต้องเผชิญกับภาวะถดถอยอีกครั้งในปีนี้

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ปัจจัยเสี่ยงที่ติดอันดับอีก 6 อันดับ ได้แก่ กฎระเบียบด้านการเงินของสหรัฐ การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ บราซิล อินเดียและปากีสถาน ยุโรปตะวันออก และตุรกี


เยอรมนีเผยว่างงานลดลง หลังส่งออกฟื้น

สถานการณ์ในตลาดแรงงานของเยอรมนีปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น หลังรัฐบาลใช้มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจซึ่งช่วยหนุนเศรษฐกิจของประเทศให้ฟื้นตัวจากภาวะถดถอย

ขณะที่ยอดส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวสดใส ทำให้ล่าสุดตัวเลขว่างงานของเยอรมนีปรับตัวลดลงเหนือความคาดหมายในเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา

กระทรวงแรงงานของเยอรมนีรายงานว่า จำนวนคนตกงานในเดือนธ.ค.ปรับตัวลดลง 3,000 ราย เหลือ 3.42 ล้านราย ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าอาจจะเพิ่มขึ้นราว 5,000 ราย นอกจากนี้ ตัวเลขผู้ว่างงานยังทำสถิติลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ขณะที่อัตราว่างงานยังทรงตัวที่ระดับ 8.1%

ด้านนักวิเคราะห์ชื่อดังมองว่า ตลาดแรงงานเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรปนั้นเริ่มฟื้นตัวขึ้นแล้ว จากอานิสงส์ของยอดสั่งซื้อสินค้าที่กระเตื้องขึ้นในภาคอุตสาหกรรมการผลิตบางประเภท

ขณะเดียวกัน เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบที่เพิ่มขึ้นอันเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลยังมีส่วนช่วยกระตุ้นตลาดแรงงานด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ เศรษฐกิจเยอรมนีขยายตัว 0.7% ในไตรมาส 3 หลังจากที่สามารถหลุดพ้นจากภาวะถดถอยได้ในไตรมาส 2

ขณะที่ยอดส่งออกของเยอรมนีเริ่มขยายตัวในเดือนต.ค. ท่ามกลางภาวะที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว โดยรัฐบาลทั่วโลกต่างอัดฉีดเงินหลายพันล้านดอลลาร์ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจยุโรปเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปีนี้
money wake up
***********
06/01/53
Dow Jones ติดลบ หลังตลาดบ้านมือสองร่วง ขณะคำสั่งซื้อภาคโรงงานบวก

นักลงทุนตลาดวอลล์สตรีทถือโอกาสขายหุ้นทำกำไร หลังรายงานสภาวะตลาดบ้านสร้างความน่าผิดหวัง โดยในครั้งนี้เป็นการเปิดเผยจำนวนสัญญาจะซื้อจะขายบ้านมือสอง ที่ออกมาร่วงลงมากกว่าตลาดคาดในเดือนพฤศจิกายน ด้วยเหตุผลที่ผู้ซื้ออาจตัดสินใจรอการต่ออายุมาตรการจูงใจทางภาษีจากรัฐสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรกในขณะนั้น จนทำให้จำนวนสัญญาดังกล่าวออกมาร่วงลงถึง 16% หลังจากที่เคยเพิ่มขึ้นเกือบ 4% ในเดือนตุลาคม และถือเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 10 เดือนอีกด้วย

และที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่านั้นก็คือ แนวโน้มจากนี้ที่ตลาดบ้านอาจยังแวดล้อมด้วยความเสี่ยงต่อไป เมื่อมาตรการจูงใจทางภาษีที่ถูกต่ออายุมาแล้วครั้งหนึ่งจะสิ้นสุดลงในปีนี้ ขณะเดียวกับที่อัตราการว่างงานยังอยู่ใกล้เคียงกับระดับสูงสุดในรอบ 26 ปี และยังไม่รวมถึงสถานการณ์ด้านการเงินของผู้บริโภคที่ยังเป็นตัวขัดขวางยอดขายบ้าน หลังจากที่ครั้งหนึ่งเคยมีผู้หวังว่าตลาดบ้านจะเป็นปัจจัยเกื้อหนุนต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในรอบนี้

อย่างไรก็ดี เมื่อคืนที่ผ่านมากลับมีอีกหนึ่งรายงานที่โผล่มาช่วยให้นักลงทุนใจชื้นขึ้นได้บ้าง เมื่อกระทรวงพาณิชย์รายงานยอดคำสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรม ขยับขึ้นมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ ซึ่งเหตุผลหลักๆ ก็มาจากการเพิ่มของออเดอร์สินค้าที่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในภาคธุรกิจ จนทำให้ยอดบุ๊คกิ้งโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 7 ในรอบ 8 เดือนล่าสุด

นอกจากนี้ ภาพรวมของตลาดรถยนต์ในเดือนธันวาคมส่งสัญญาณว่าธุรกิจเริ่มที่จะทรงตัวได้ หลัง Ford Motor, Toyota Motor และ Honda Motor ต่างรายงานยอดขายที่เพิ่มขึ้น และดีกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ สำหรับมุมมองแนวโน้มอุตสาหกรรมรถสหรัฐฯ ในปีนี้ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Center for Automotive Research มองว่า ยอดขายทั้งปี 2010 อาจจะเพิ่มขึ้นถึง 19% มาอยู่ที่ 12.4 ล้านคัน จากความต้องการรถใหม่และสภาวะสินเชื่อผู้บริโภคที่กำลังมีทิศทางดีขึ้น เช่นเดียวกับ มุมมองของผู้ผลิตรถเองที่คิดว่าในปีนี้ยอดขายน่าจะกลับมาสดใส เมื่อดูจากความเห็นของบริษัท Chrysler ที่คาดว่ายอดขายของทั้งอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ 10.8 ล้านคัน ขณะ Ford คาดว่าตัวเลขจะอยู่ที่ 12.3 ล้านคัน

กลับมาดูที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่แม้ว่าจะมีแรงขายหุ้นทำกำไร แต่หุ้นส่วนใหญ่กลับยังบวกขึ้นได้ในช่วงปิดตลาด ส่งผลให้ S&P 500 สามารถยืนหยัดอยู่ได้แถวระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือน นำโดย หุ้นกลุ่มแบงก์ ที่บวกขึ้นมาเป็นวันที่ 9 ไปจนถึงหุ้นกลุ่มพลังงานที่ได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมัน


จับตาหุ้น IPO อาจถ่วงดัชนีหุ้นตลาดเกิดใหม่ร่วงปีนี้

ในขณะที่ทุกอย่างกำลังดูดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจหรือแนวโน้มราคาหุ้น ทางด้านกูรูนักลงทุนชื่อดัง อย่าง Mark Mobius ก็ออกโรงเตือนนักลงทุนในประเทศตลาดเกิดใหม่ว่า หุ้นเข้าเทรดใหม่หรือหุ้น IPO ในกลุ่มประเทศเหล่านี้กำลังจะกลายเป็นตัวดึงดูดเม็ดเงินอย่างมาก แทนที่จะเป็นบริษัทในประเทศอุตสาหกรรมเหมือนอย่างที่เคยเป็น

สถานการณ์นี้ Mobius มองว่า อาจจะทำให้ดัชนีหุ้นของ Emerging markets ร่วงลงได้ถึง 20% เลยทีเดียว

ในอีกด้านหนึ่ง ข้อมูลจากฝ่ายงานที่ดูแลเรื่องหลักทรัพย์ของ Barclays ในนิวยอร์ก ชี้ให้เห็นว่า สภาวะเศรษฐกิจที่เร่งตัวของประเทศจีน อินเดีย และบราซิล ช่วยทำให้ดีล IPO เพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุด ด้วยจำนวนการออกขายหุ้นใหม่ถีบตัวขึ้นถึงเกือบ 2 เท่า มาอยู่ที่ 200,000 ล้านเหรียญ ขณะที่ทางด้านประเทศโปแลนด์เพียงที่เดียวก็มีผู้คาดการณ์ว่า บริษัทที่เป็นรัฐวิสาหกิจอาจจะออกหุ้นขายที่มีมูลค่าสูงกว่า 10,000 ล้านเหรียญ

และนอกจากเรื่องการออกหุ้นใหม่ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแล้ว ปัจจัยกดดันยังอยู่ที่เรื่องมูลค่าหุ้นในตลาดที่ทำการซื้อขายอยู่ ณ ระดับราคาสูงสุด เมื่อเทียบกับผลกำไรของตัวเองหากย้อนหลังไปจนถึงปี 2543 หลังจากที่ดัชนี Emerging market กระโดดขึ้นมาราว 75% นอกจากเรื่องที่บริษัทต่างๆ ในประเทศเหล่านี้ระดมทุนผ่านการออกหุ้นใหม่ที่สูงถึง 77,000 ล้านเหรียญ

ตามข้อมูลของ Bloomberg ที่รวบรวมไว้ แสดงให้เห็นว่า การออกหุ้นใหม่ในประเทศกำลังพัฒนามีมูลค่าที่แซงหน้าประเทศที่พัฒนาแล้วไปถึงกว่า 160% และเป็นครั้งแรกที่ประเทศอุตสาหกรรมดึงดูดเม็ดเงินจากการทำ IPO น้อยกว่า

Mark Mobius ในฐานะผู้บริหารกองทุนยักษ์ใหญ่ Templeton Asset Management บอกว่า ถ้ายิ่งดูขนาดของจำนวนการออกหุ้นใหม่เหล่านี้ ก็ยิ่งน่าเป็นห่วงถึงเรื่องซัพพลายที่กำลังจ่อเข้าตลาดอยู่อย่างมหาศาล แม้ว่าราคาหุ้น IPO บางตัวจะดูสมเหตุสมผลก็ตาม ซึ่งเขาเองก็คาดว่าน่าจะมีปัจจัยที่เป็นอุปสรรคจนฉุดตลาดร่วงลงได้บ้าง

ถ้าดูเฉพาะในส่วนของตลาดจีน ก็มีการประเมินโดยบริษัท Ernst & Young และ Bloomberg ว่า ในปีนี้มูลค่าหุ้น IPO ที่ตลาดเซี่ยงไฮ้อาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า มาอยู่ที่ 380,000 ล้านหยวน หรือราว 56,000 ล้านเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกง ตัวเลขอาจจะอยู่ที่ 370,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือประมาณ 48,000 ล้านเหรียญ ซึ่งถ้าหากรวมกันทั้งสองตลาด ตัวเลขก็จะพุ่งสูงกว่ามูลค่าหุ้น IPO ในสหรัฐฯ ที่มีนักวิเคราะห์ประเมินไว้ว่า น่าจะอยู่แถวๆ 40,000-50,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้
money wake up
*********
05/01/53
เกาหลีใต้สามารถคุมเงินเฟ้อได้ตามเป้าปี 2549 - 2552

ธนาคารกลางเกาหลีใต้เปิดเผยว่า เกาหลีใต้สามารถคุมเงินเฟ้อได้ตามเป้าหมายระยะกลางระหว่างปี 2549 - 2552 แม้ว่าราคาน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยนจะมีความผันผวนก็ตาม

ดัชนีราคาผู้บริโภคของเกาหลีใต้ขยายตัวโดยเฉลี่ย 3.3% ในปี 2549-2552 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายเงินเฟ้อที่กำหนดไว้ที่ 2.5-3.5%

เมื่อเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว ธนาคารกลางเกาหลีใต้ได้ขยายช่วงเป้าหมายเงินเฟ้อปี 2553-2555 ไว้ที่ 2-4% และชี้ว่า จะพยายามความควบคุมภาวะผันผวนทางเศรษฐกิจด้วยวิธีการที่มีความยืดหยุ่น

ด้านนักวิเคราะห์กล่าวว่า เป้าหมายเงินเฟ้อที่มีการขยายออกไปนั้น จะเปิดโอกาสให้ธนาคารกลางสามารถใช้นโยบายที่ยืดหยุ่นได้

*******
05/01/53
GM ตีปีกหลังยอดขายตลาดจีนพุ่ง 67% ในปี 2552

หลังจากรอดพ้นสภาวะล้มละลายมาได้ไม่นาน General Motors ก็ประเดิมบอกข่าวดีด้วยยอดขายรถยนต์ในตลาดจีนของทั้งปี 2009 ว่าทำได้กว่า 1.83 ล้านคัน หรือถีบตัวขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 67% ซึ่งปรากฏการณ์นี้ได้ตอกย้ำถึงความสำคัญของตลาดเอเชียที่มีต่อบริษัท

ผู้ผลิตรถจาก Detroit รายนี้ รายงานด้วยว่า ส่วนแบ่งตลาดของตนในจีนขยับขึ้นมาอีก 1.3% ไปอยู่ที่ 13.4% และรั้งตำแหน่งค่ายรถจากต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดในประเทศที่มีจำนวนประชากรมหาศาลนี้

ภายหลังจากที่ยักษ์ใหญ่แห่งวงการรถสามารถสลัดหลุดออกมาได้จากแผนล้มละลายเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา GM ก็ได้เร่งการลงทุนขนานใหญ่ที่ประเทศจีน ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจของที่นี่กำลังขยายตัวและได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นภาครัฐ จนได้ชื่อว่าเป็นตลาดรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าสหรัฐฯ ไปได้เรียบร้อยแล้ว และในเวลาเดียวกัน ที่ประเทศบ้านเกิด บริษัทที่มีรัฐบาลอเมริกันเข้าไปเป็นผู้ดูแลบริหารงานแทนนั้น ก็ได้ทำการปิดโรงงานไปหลายแห่งเพื่อรับมือกับความต้องการที่หดหายลง ถึงขนาดที่นักวิเคราะห์บางรายพูดออกมาว่า ตลาดรถจีนได้ช่วยชีวิต GM ไว้ แม้อัตราการเติบโตในปีนี้ อาจไม่แรงเทียบเท่ากับปี 2552 แต่ที่แน่ๆ ก็คือดีมานด์ที่แข็งแกร่งในตลาดนี้จะยังคงอยู่

สำหรับบริษัท Shanghai General Motors ที่ GM เป็นหุ้นส่วนอยู่กับบริษัท SAIC Motor เปิดเผยยอดขายรถที่สูงถึง 727,620 คันในปีที่แล้ว หรือเพิ่มขึ้น 63% จากปี 2551 ขณะยอดขายของบริษัท SAIC-GM-Wuling Automobile ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถมินิแวนรายใหญ่ที่สุดของประเทศ ก็รายงานยอดขายที่สูงถึง 1.1 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้นถึง 64% โดยตัวเลขยอดขายในส่วนนี้คิดเป็นสัดส่วนถึงราว 60% สำหรับยอดขายรวมทั้งหมดของ GM ในจีนเลยทีเดียว จากการที่ราคาขายเฉลี่ยต่อคันของรถประเภทนี้เริ่มต้นแค่เพียง 4,000 เหรียญเท่านั้น

ตอนนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าตลาดรถจีนเป็นที่ดึงดูดใจต่อผู้ผลิตจากตะวันตกและเพื่อนบ้านในเอเชียด้วยกันให้เข้ามาขยายการลงทุน นำทีมโดย Ford Motor, Volkswagen และ Hyundai Motor ซึ่งทางด้าน Ford ก็กำลังอัดฉัดเงินทุนกว่า 490 ล้านเหรียญสำหรับโรงงานแห่งที่ 3 ในจีน

ขณะที่ Volkswagen มีแผนที่จะลงทุน 4,000 ล้านยูโร หรือราว 5,700 ล้านเหรียญในประเทศนี้ภายในปี 2554 ส่วนผู้ผลิตจากกรุงโซล อย่าง Hyundai ก็มีแผนที่จะเปิดตัวโรงงานแห่งที่ 3 ที่บริษัทหวังว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตในประเทศได้ถึง 50% ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 900,000 คันต่อปี ภายในปี 2554


PIMCO ลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐและอังกฤษ

แปซิฟิก อินเวสเมนท์ แมเนจเมนท์ (PIMCO) ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนพันธบัตรรายใหญ่สุดของโลก ลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐและอังกฤษ หลังจากทั้งสองประเทศมีอัตราการกู้ยืมสูงสุดเป็นประวัติการณ์

พอล แมคคัลลีย์ คณะกรรมการบอร์ดและผู้จัดการพอร์ทของพิมโค กล่าวว่า PIMCO เพิ่มความระมัดระวังในการถือครองพันธบัตร โดยได้ตัดสินใจลดการถือพันธบัตรและตราสารที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยรองรับ (MBS) นอกจากนี้ PIMCO ยังลดการถือครองหลักทรัพย์ที่เป็นเครื่องมือการลงทุนหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ

เมอร์ริล ลินช์ คาดการณ์ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรในสหรัฐและอังกฤษจะสูงขึ้นในปีนี้ หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐร่วงลง 3.7% ในปี 2552 ซึ่งเป็นสถิติที่ร่วงลงหนักสุดในรอบกว่า 30 ปี ขณะที่ยอดขายพันบัตรของสรหัฐร่วงลงหนักสุดนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930

กองทุนพิมโค โททัล รีเทิร์น ฟันด์ ของบิล กรอส ได้ลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และสามารถกระตุ้นเงินสดหมุนเวียนได้มากที่สุดนับตั้งแต่การล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์สในปี 2551 โดยกองทุน PIMCO มีผลตอบแทนสูงถึง 13.8% ในปีที่แล้ว ซึ่งสูงมากกว่าคู่แข่งรายอื่นๆถึงครึ่งหนึ่ง ส่งผลให้พิมโค โททัล รีเทิร์น ก้าวขึ้นเป็นกองทุนรายใหญ่สุดในประวัติศาสตร์กองทุนโลก ด้วยทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงถึง 2.025 แสนล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 17 ธ.ค.2552
money wake up
***********
05/01/52
หุ้น-โภคภัณฑ์ร้อน ประเดิมปีเสือดุ

เพียงแค่วันทำการแรกของปี ตลาดหุ้นโลกก็บวกสดใส รวมถึงราคาน้ำมันที่ขึ้นไปยืนอยู่เหนือ 80 เหรียญต่อบาร์เรลเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักได้ส่งผลให้ราคาทองคำบวกขึ้นแรงที่สุดในรอบกว่า 2 เดือน ส่วนราคาทองแดงก็แรลลี่ขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบ 16 เดือนเช่นกัน จากปัจจัยการหยุดงานประท้วงของแรงงานในเหมืองที่ประเทศชิลี

จริงๆ แล้วความร้อนแรงของตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ปะทุขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่เมื่อวานนี้ เมื่อดัชนี MSCI Asia Pacific บวกขึ้นได้กว่า 1% หลังจากเห็นตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ดัชนีชี้สภาวะการผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้นด้วยสถิติสูงสุดหากนับย้อนไปจนถึงเดือนเมษายน ปี 2004 ก่อนที่จะตามมาด้วยตัวเลขทางฝั่งสหรัฐฯ ที่ดัชนีภาคโรงงาน (ISM factory index) ปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบมากกว่า 3 ปี

แรงซื้อที่ตลาดสหรัฐฯ เมื่อคืนนี้มีเข้ายังหุ้นกลุ่มพลังงาน นำโดย Exxon Mobil และ Chevron ขณะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีก็มาแรงไม่แพ้กัน เมื่อมีนักวิเคราะห์ปรับเพิ่มคำแนะนำในหุ้นผู้ผลิตชิพคอมพิวเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลก อย่าง Intel ด้วยการเก็งว่า ความต้องการเครื่อง PC จะเดินหน้าขยายตัวต่อ

ส่วนที่ยุโรป ดัชนี Dow Jones Stoxx 600 ก็บวกได้ 1.5% ในวันทำการแรกของปี 2553 ด้วยคำสั่งซื้อของนักลงทุนที่กระจายเข้ามายังหุ้นทุกกลุ่ม หลังจากปีที่แล้วดัชนีทำสถิติบวกขึ้นมา 28% ซึ่งถือว่าดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2542 โดยหุ้นยักษ์ใหญ่ในวงการเหมือง อย่าง BHP Billiton ปรับตัวขึ้น 3.4% ที่ตลาดหุ้นลอนดอน

หลายคนยังติดตามความเคลื่อนไหวของบริษัททางด้านอุปโภคบริโภครายใหญ่ อย่าง Nestle ที่ราคาหุ้นขยับขึ้นกว่า 1% เมื่อคืนนี้ที่ตลาดหุ้นสวิส เมื่อบริษัท Novartis ตัดสินใจใช้สิทธิ option เพื่อซื้อหุ้นของบริษัท Alcon ที่เป็นผู้ทำผลิตภัณฑ์ดูแลดวงตารายใหญ่ที่สุดของโลก ในส่วนที่ Nestle ถืออยู่ ด้วยมูลค่ารวมเฉียด 40,000 ล้านเหรียญ ในขณะเดียวกัน ผู้ผลิต Nescafe รายนี้ ยังประกาศแผนการซื้อหุ้นคืนในวงเงินรวม 10,000 ล้านฟรังก์สวิส หรือราว 9,650 ล้านเหรียญอีกด้วย
money wake up
**********
04/01/52
"เบอร์นันเก้" แง้มทิศทางดอกเบี้ย

เอเอฟพี รายงานว่า เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ส่งสัญญาณถึงการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยในระยะสั้น ในระหว่างการกล่าวปาฐกถาที่จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์อเมริกันที่เมืองแอตแลนต้า

โดยเขาระบุว่าการดำเนินนโยบายทางการเงินจะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ แต่ธนาคารกลางสหรัฐก็อาจเปิดกว้างต่อแนวทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

เบอร์นันเก้ กล่าวว่า ความพยายามทั้งหมดควรจะเป็นไปเพื่อเสริมระบบด้านกฎระเบียบ เพื่อป้องกันการกลับมาของวิกฤตเศรษฐกิจ และบรรเทาผลกระทบหากเกิดวิกฤตรอบใหม่ แต่หากการปฏิรูปยังไม่เกิดขึ้น หรือยังไม่เพียงพอที่จะป้องกันอันตรายจากความเสี่ยงทางการเงิน เราก็ต้องเปิดกว้างที่จะใช้นโยบายทางการเงิน ในฐานะเครื่องมือเสริมเพื่อจัดการกับความเสี่ยงต่างๆ แต่ก็จะต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ

"การรักษาให้เกิดความยืดหยุ่นและเปิดใจกว้างจะเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้การดำเนินนโยบายประสบความสำเร็จ"

ด้าน "โดนัลด์ คอห์น" รองประธานเฟด กล่าวว่า ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างต้นทุนและความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้นโยบายทางการเงิน เพื่อสู้กับฟองสบู่จากการเก็งกำไร ซึ่งจำเป็นต้องมีการพิจารณาใหม่ ด้วยใจที่เปิดกว้าง

เขาเตือนว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจจะส่งผลต่อกิจกรรมธุรกิจในเซ็กเตอร์ต่างๆ และส่วนใหญ่อาจไม่คุ้นเคยกับเรื่องการเก็งกำไร หากอัตราดอกเบี้ยที่สูงส่งผลให้การผลิตอ่อนแอ โดยไม่ได้บรรเทาการเก็งกำไรให้ลดลง เศรษฐกิจก็อาจจะยิ่งอ่อนแอ เมื่อฟองสบู่จากการเก็งกำไรแตก

********
04/01/53
เกาหลีใต้ตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยว 8.5 ล้านคนในปีนี้

เกาหลีใต้ตั้งเป้าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 8.5 ล้านคนในปีนี้ โดยเฉพาะจากจีนและญี่ปุ่น ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย 7.8 ล้านคนที่ตั้งไว้ในปีที่แล้ว

กระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว ร่วมกับการท่องเที่ยวเกาหลี เปิดเผยว่า ในปี 2552 มีชาวต่างชาติประมาณ 7 ล้านคนเดินทางเยือนเกาหลีใต้ และในปีนี้ รัฐบาลตั้งเป้าหมายว่าจะต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากรัฐบาลได้กำหนดให้ช่วงเวลา 3 ปีนี้เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวเกาหลี หรือ "Visit Korea" โดยเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการส่งเสริมอุตสาหกรรมการบริการของประเทศ

นอกจากนี้ กระทรวงฯและการท่องเที่ยวเกาหลียังเผยว่าอีกด้วยว่า จะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้มากกว่า 10 ล้านคนในปี 2555


ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งญี่ปุ่นปล่อยกู้ JAL 1 แสนล้านเยน

รัฐบาลญี่ปุ่นเผยธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งญี่ปุ่น (Development Bank of Japan: DBJ) จะเพิ่มวงเงินสินเชื่อให้กับสายการบินเจแปน แอร์ไลน์ส (JAL) สูงถึง 2 แสนล้านเยน

ธนาคารได้ข้อสรุปในการขยายวงเงินกู้จำนวนดังกล่าวก่อนที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะเปิดทำการซื้อขายในวันจันทร์นี้ หลังจากที่ปิดทำการเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ โดยการขยายวงเงินกู้ครั้งนี้มีเป้าหมายที่จะยืดเวลาการให้ความช่วยเหลือสายการบิน JAL ที่กำลังประสบปัญหา ขณะที่มูลค่าหุ้นของบริษัทดิ่งลงอย่างหนัก

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ธนาคาร DBJ เห็นชอบกับข้อเรียกร้องของรัฐบาลที่ต้องการขยายวงเงินสินเชื่อตามที่ได้ลงนามไปเมื่อปลายเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่า สายการบิน JAL กำลังยื่นขอพิทักษ์ล้มละลาย

ช่วงที่ผ่านมามีข่าวว่า บริษัท Enterprise Turnaround Initiative Corp. of Japan ซึ่งรัฐบาลได้มอบหมายให้ดูแล JAL ได้เสนอให้มีการยื่นล้มละลาย แต่ทางรมว.คมนาคมญี่ปุ่นก็ได้ออกมาระบุว่า ทางเลือกดังกล่าวเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
money wake up
*********
04/01/53
รัสเซียเชื่อตลาดหุ้นพุ่งต่อในปี 2553

รัฐบาลรัสเซียคาดการณ์ว่า ทิศทางของตลาดหุ้นรัสเซียในปีนี้จะขยายตัวอย่างสดใสต่อเนื่องจากปีที่แล้ว

ขณะที่บรรดานักลงทุนก็เห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกันว่า บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นปีนี้จะเป็นไปอย่างคึกคัก

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนี RTS และ MICEX ตลาดหุ้นรัสเซียในปี 2552 ขยายตัวได้กว่า 120% โดยมีหุ้นกลุ่มธนาคารและการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นแกนนำ หลังจากตลาดหุ้นทั้งสองแห่งเคยดิ่งลงไปกว่า 70% ในปี 2551 จากพิษวิกฤตการเงินโลก

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นรัสเซียขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งในปีที่ผ่านมาคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ได้อัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ภาคธนาคาร

ขณะเดียวกันทางการยังจัดสรรวงเงินค้ำประกันให้กับธนาคารรายใหญ่เพื่อใช้เป็นหลักประกันด้านเสถียรภาพของตลาดและการสร้างความมั่นใจด้านเงินฝากของประชาชน

นอกจากนี้ ธนาคารกลางรัสเซียได้เข้าแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราเพื่อสร้างเสถียรภาพต่อค่าในประเทศ ซึ่งช่วยหนุนให้ตลาดเงินดีดตัวขึ้น


GMAC รับเงินช่วยเหลือจากรัฐฯ 3.79 พันล้านดอลลาร์

จีแมค ไฟแนนเชียล เซอร์วิสเซส (GMAC) ซึ่งเป็นบริษัทปล่อยสินเชื่อรถยนต์และอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของสหรัฐได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐ จำนวน 3,790ล้านดอลลาร์

การให้ความช่วยเหลือครั้งนี้ จะทำให้รัฐบาลสหรัฐถือครองหุ้นในบริษัทมากขึ้น จาก 35.4% เป็น 56.3% ซึ่งจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ GMAC

นาย ไมเคิล คาร์เพนเตอร์ CEO ของ GMAC ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า การได้รับเงินช่วยเหลือรัฐบาลรอบนี้ ซึ่งเป็นรอบที่ 3 ทำให้บริษัท มีเวลามากขึ้นในการตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับหน่วยงานที่ให้บริการด้านสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อว่า Residential Capital (ResCap)

ทั้งนี้ ผลการขาดทุนของ ResCap เป็นตัวกระตุ้นให้ GMAC นั้นต้องพิจารณาถึงกลยุทธ์ทางเลือก เช่น การขายส่วนงานดังกล่าว การปิดส่วนงานดังกล่าว หรือ แม้แต่กระทั่งการล้มละลาย

นักวิเคราะห์ได้ให้ความเห็นว่าทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับ GMAC ก็คือ การขายส่วนงานดังกล่าวให้กับนักลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งบริษัทลงทุน เบิร์กไชร์ แฮทธาเวย์ ของมหาเศรษฐีวอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็แสดงความสนใจที่จะเข้าซื้อเมื่อเดือนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี ResCap เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทแม่อย่าง GMAC ก้าวขึ้นไปเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อบ้านอันดับ 5 ของสหรัฐฯ (จากข้อมูลโดย Inside Mortgage Finance ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 กันยายน)

GMAC ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลไปแล้ว 13,500 ล้านดอลลาร์ หลังจากที่ธุรกิจบริการสินเชื่อบ้านในเครือขาดทุนอย่างหนัก ซึ่งรวมถึง ResCap และการรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลนั้นทำให้ GMAC สามารถปล่อยสินเชื่อบ้านไปได้ถึง 27,000 ล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ CEO ของ GMAC กล่าวว่า บริษัทยังเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของ General Motors และ Chrysler ที่ล้มละลายไป ดังนั้นการที่รัฐบาลให้ความช่วยเหลือ GMAC ก็ถือว่าเป็นการช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์ด้วย
money wake up
***********
04/01/53
ลุ้นตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ จ่อขยับขึ้น ต้อนรับปีเสือ

ประเดิมสัปดาห์แรกของปีเสือก็จะมีรายงานทางเศรษฐกิจหลายตัวที่จะออกมาสร้างความคึกคักหรือแม้แต่อาจจะสร้างความผิดหวังให้กับตลาด โดยเฉพาะเรื่องสภาวะการจ้างงานที่เป็นปัจจัยกดดันมาตลอดปี 2552

ล่าสุดนักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าตัวเลขของเดือนธันวาคมที่กำลังจะประกาศกันออกมาอาจบ่งชี้ถึงจุดสิ้นสุดของความถดถอยในตลาดแรงงานแล้ว เมื่อดูจากตัวเลขการจ้างงานที่น่าจะลดลงเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน ขณะอัตราการว่างงานอาจยังยืนอยู่แถวระดับ 10% ต่อไปหรือแม้แต่ขยับขึ้นได้เล็กน้อย

ความหวังของนักลงทุนสำหรับปีใหม่ ปี 2553 นี้ สิ่งหนึ่งอยู่ที่เรื่องการฟื้นตัวของความต้องการในตลาดโลกที่เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะทำให้บรรดาบริษัทอเมริกันต่างๆ หันกลับมาจ้างงานเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ต้องปลดพนักงานออกไปมากถึงกว่า 7 ล้านคนนับตั้งแต่เศรษฐกิจตกสู่ภาวะถดถอยในปี 2550

สัญญาณที่ดีน่าจะเริ่มต้นมาจากการผลิตภาคอุตสาหกรรม เมื่อนักวิเคราะห์เห็นการฟื้นตัวของคำสั่งซื้อและยอดขายในตลาดส่งออก รวมถึงระดับสินค้าคงค้างในสต็อกที่ลดลงมาก จนทำให้โบรกเกอร์ อย่าง JPMorgan Chase และ Credit Suisse ล่าสุดปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ของสหรัฐฯ ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีที่ผ่านมา ขึ้นเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงกว่า 4% หลังจากไตรมาส 3 เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวได้ 2.2% ด้วยตัวเลขที่เป็นบวกครั้งแรกในรอบมากกว่า 1 ปี

อย่างไรก็ดี ปี 2553 นี้ยังได้รับคำเตือนจากผู้บริหารธนาคารกลางถึงความเสี่ยงที่คงอยู่ โดยนาย Donald Kohn รองประธานเฟด บอกว่า ภาวะตึงตัวของสินเชื่อภาคธนาคาร บวกกับความระมัดระวังของภาคครัวเรือนและธุรกิจ อาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการใช้จ่าย แม้ว่าตลาดการเงินจะมีอาการดีขึ้นแล้ว ซึ่งทำให้เขาเชื่อว่ากิจกรรมในภาคเศรษฐกิจน่าจะค่อยๆ ฟื้นตัว เช่นเดียวกับอัตราการว่างงานที่น่าจะลดลงไม่เร็วนัก

ผู้บริหารเฟดรายนี้ยังให้ความมั่นใจด้วยว่า ธนาคารกลางไม่มีนโยบายที่จะตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำมากเช่นนี้ต่อไปเพียงเพื่อต้องการช่วยให้รัฐใช้จ่ายได้มากขึ้น แต่เฟดจะมุ่งดูที่การรักษาเสถียรภาพทางราคาและเศรษฐกิจเป็นหลัก ด้วยจุดมุ่งหมายต้องการให้มีการจ้างงานในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง


ชาวอเมริกันใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าน้อยลง

ผลสำรวจจากนิวยอร์กไทม์ส/สำนักข่าวซีบีเอสระบุว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าตามร้านค้าและสั่งซื้อสินค้าผ่านรูปแบบออนไลน์น้อยลง

นิวยอร์กไทม์สได้เปิดเผยผลการสำรวจในเว็บไซต์ซึ่งระบุว่า เกือบครึ่งหนึ่งของชาวอเมริกันใช้เวลาในการซื้อสิ่งของที่ไม่จำเป็นน้อยลง

ขณะที่บางรายมีชั่วโมงการทำงานเพิ่มมากขึ้น และมีชาวอเมริกันจำนวนมากใช้เวลาอยู่กับครอบครัว เพื่อนฝูงมากขึ้น รวมถึงการใช้เวลาในการทำสวน ทำอาหาร อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ และทำงานอดิเรกอื่นๆมากขึ้นด้วย

นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวยังเปิดเผยผลสำรวจการใช้เวลาจากทางกระทรวงแรงงานสหรัฐที่เปรียบเทียบกับข้อมูลในปี 2548 ว่า ในปี 2551 มีชาวอเมริกาใช้เวลาในการซื้อสินค้าน้อยลง และหันไปใช้เวลาในการทำอาหาร หรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมขององค์กรต่างๆ รวมถึงกิจกรรมทางศาสนามากขึ้น ขณะที่ในปีที่ผ่านมามีผู้ออกมาชมภาพยนตร์เพิ่มขึ้น 5%

ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 26 ธ.ค.ร่วงลง 22,000 คน เหลือเพียง 432,000 คน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 1 ปี บ่งชี้ว่าการฟื้นตัวของตลาดแรงงานจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่พยุงเศรษฐกิจสหรัฐให้ขยายตัวได้ดีในปี 2553

นอกจากนี้ ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคซึ่งคิดเป็น 70% ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ มีแนวโน้มสูงขึ้นเนื่องจากอัตราว่างงานปรับตัวลดลง

นักวิเคราะห์คาดว่า การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นนิวยอร์กและรายได้ส่วนบุคคล จะช่วยกระตุ้นชาวอเมริกันให้จับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น และจะช่วยให้ภาคเอกชนเพิ่มปริมาณการซื้อสินค้าเข้าสู่สต็อกเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการในปีหน้า
money wake up
*********
04/01/53
ประธนาคารเฟดยืนยัน ดอกเบี้ยต่ำ ไม่ทำให้เกิดฟองสบู่อสังหาฯ

Posted on Monday, January 04, 2010
นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มั่นใจว่า อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ ไม่ได้ก่อให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน FED กำลังปรับปรุงระบบการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ และใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อปกป้องลูกค้าในตลาดการเงินและตลาดสินเชื่อเพื่อการซื้อบ้าน รวมทั้งได้เพิ่มนโยบายป้องกันความผันผวนในตลาดสินเชื่อเพื่อการซื้อบ้านและพยายามลดตัวเลขการสำรองหนี้สูญ ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้เป็นหนึ่งในแนวทางการสกัดกั้นภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์

เบอร์นันเก้ยังส่งสัญญาณว่า มีความเป็นไปได้ที่ FED จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในระบบการเงิน หากการเปลี่ยนแปลงกฎข้อบังคับใช้ไม่ได้ผล

นอกจากนี้ เบอร์นันเก้ยังตอบโต้กระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่านโยบายอัตราดอกเบี้ยของ FED ได้ก่อให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาฯ ซึ่งนโยบายการเงินของ FED หลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยในปี 2544 นั้น ถือเป็นนโยบายที่มีความเหมาะสมมากที่สุด และจากข้อมูลวิจัยของ FED พบว่า ราคาบ้านที่พุ่งสูงขึ้นแทบจะไม่ส่งผลกระทบต่อนโยบายการเงินหรือระบบเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ
money news update
*********
30/12/52
อิควิตี้ฟันด์ลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่เพิ่มเป็น 3 เท่าในสัปดาห์ที่แล้ว

EPFR Global ซึ่งเป็นองค์กรที่ติดตามความเคลื่อนไหวของกองทุนทั่วโลก เผยว่า กองทุนรวมหุ้น หรือ Equity Funds เข้าลงทุนในตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ หรือ emerging markets ทั้งสิ้น 1,700 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 23 ธ.ค. ซึ่งพุ่งขึ้นเป็น 3 เท่าเมื่อเทียบกับรอบสัปดาห์ก่อนหน้านั้นที่ 571.4 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากอิควิตี้ฟันด์มีความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นเกิดใหม่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศส่งออก

ตัวเลขการลงทุนที่พุ่งขึ้นถึง 3 เท่าในรอบสัปดาห์ที่แล้วทำให้ยอดการลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ในปีนี้พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 80,300 ล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2551 ที่ 48,000 ล้านดอลลาร์ โดยอิควิตี้ฟันด์ลงทุนในตลาดหุ้นจีนทั้งสิ้น 153 ล้านดอลลาร์ในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 23 ธ.ค.

ขณะที่ตัวเลขการลงทุนในกลุ่ม BRIC (บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน) อยู่ที่ 451 ล้านดอลลาร์

ดัชนี MSCI Emerging Markets Index พุ่งขึ้น 73% ในปีนี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นรายปีที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาขยายตัวได้ดีในปีนี้เนื่องจากรัฐบาลในหลายประเทศ รวมถึงจีนและบราซิล ประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

กรรมการผู้จัดการของ EPFR คาดการณ์ว่า นักลงทุนจะอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ตลาดหุ้นเกิดใหม่มากขึ้นในปี 2553 เพราะเชื่อมั่นว่ากลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่จะมียอดส่งออกที่แข็งแกร่งขึ้น


แรงขายทำกำไรฉุด S&P ร่วง ขณะรายงานทางเศรษฐกิจออกมาดีตามคาด

นักลงทุนตลาดวอลล์สตรีทเทขายหุ้นทำกำไรในช่วงท้ายตลาด ขณะดัชนี S&P 500 ยังเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ระดับสูงสุดของปี ซึ่งหลายคนก็ไม่แปลกใจที่ตลาดจะยังไม่ไปไหนไกลนักนับจากจุดนี้ในช่วงส่งท้ายปี 2552

แรงขายมีเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงาน นำโดย Chevron และ Schlumberger แม้ว่าราคาน้ำมันจะขยับเพียงเล็กน้อย ขณะหุ้นในกลุ่มอื่น อย่าง Apple ราคาปรับตัวลง หลังพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ไปเมื่อวันก่อน ส่วนหุ้น Walt Disney และ General Electric กลับมีแรงซื้อสวนเข้ามาเมื่อคืนนี้

ตลาดได้แรงหนุนจากรายงานทางเศรษฐกิจ 2 เรื่อง ก็คือ ดัชนีราคาบ้านและความเชื่อมั่นผู้บริโภค ที่ทั้งคู่ต่างส่งสัญญาณการฟื้นตัว โดยดัชนีราคาบ้าน S&P/Case-Shiller ที่สำรวจใน 20 เมืองใหญ่ของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือนตุลาคมเมื่อเทียบกับเดือนกันยายน และลดลง 7.3% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งนับเป็นอัตราการลดลงที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2550

ข่าวดีในตลาดบ้านยังสอดคล้องกับอีกหนึ่งรายงานทางเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาล่าสุด อย่าง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ the Conference Board โดยดัชนีขยับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 52.9 ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ก่อนหน้านี้

และแม้ผลสำรวจจะชี้ว่าผู้บริโภคยังคงกังวลในเรื่องสถานการณ์ของเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมถึงเรื่องแนวโน้มค่าจ้าง เมื่อดูจากอัตราการว่างงานที่สูงอยู่ในตอนนี้ แต่การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้น รวมถึงราคาบ้าน ได้ช่วยผ่อนคลายความกังวลของคนอเมริกันลงได้บ้าง

รายงานที่รวบรวมโดยสำนักข่าว Bloomberg ที่แสดงถึงแชมป์ค่าธรรมเนียมการขายหุ้น IPO ในปีนี้ ซึ่งตกเป็นของ Goldman Sachs Group ด้วยค่าธรรมเนียมที่คว้าไปได้กว่า 191 ล้านเหรียญ จากทั้งหมด 923 ล้านเหรียญ ขณะที่ยักษ์ใหญ่ อย่าง Citigroup ทำได้แค่เพียง 68 ล้านเหรียญเท่านั้น จนส่งผลให้สถาบันการเงินจากนิวยอร์กรายนี้ร่วงลงหลุดอันดับ Top five ไปเรียบร้อยแล้ว จากรายได้ที่หดหายไปกว่า 50%
money wake up
********
29/12/52
ราคาอสังหาฯ อังกฤษจะลดลงในปี 53

โฮมแทร็ค บริษัทวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ของอังกฤษเปิดเผยว่า ราคาบ้านในอังกฤษจะปรับตัวลดลงในปีหน้า เนื่องจากอัตราว่างงานที่พุ่งสูงและความวิตกกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลจะกดดันให้ดีมานด์หรือความต้องการบ้านลดลง โดยโฮมแทร็คคาดการณ์ว่ามูลค่าบ้านในอังกฤษจะลดลง 1% ในปี 2553

หลังจากที่ราคาบ้านเดือนธันวาคมขยับขึ้น 0.1% จากเดือนที่แล้วแตะที่ 156,900 ปอนด์ (250,000 ดอลลาร์สหรัฐ)

ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้คนอังกฤษตกงานกว่า 600,000 คน และจำนวนผู้ว่างงานก็อาจพุ่งสูงขึ้นอีกในช่วงที่เศรษฐกิจอังกฤษกำลังฟื้นตัว

ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีกอร์ดอน บราวน์ และพรรคอนุรักษ์นิยมซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน ก็กำลังพยายามหาทางควบคุมตัวเลขขาดดุลงบประมาณที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์


อาเซียน+3 และฮ่องกงจับมือใช้มาตรการริเริ่มเชียงใหม่

รัฐมนตรีกระทรวงการคลังและผู้ว่าธนาคารกลางอาเซียน+3 ซึ่งประกอบด้วยจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และผู้ว่าการธนาคารกลางฮ่องกงได้ลงนามมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่พหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation: CMIM) โดยจุดประสงค์สำคัญก็เพื่อเป็นการแก้ปัญหาสภาพคล่องทางการเงินในระยะสั้น

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ประเทศดังกล่าวได้บรรลุข้อตกลงกันเมื่อเดือนพ.ค.เรื่องจัดตั้งเครือข่ายสำรองเงินตราในภูมิภาคมูลค่า 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อจัดหาสภาพคล่องฉุกเฉินให้กับประเทศต่างๆในช่วงที่เกิดวิกฤตการเงิน

ธนาคารกลางจีนเปิดเผยว่า เป้าหมายหลักของแผนริเริ่มเชียงใหม่ ก็คือ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องภาวะสมดุลของการชำระเงินและปัญหาสภาพคล่องระยะสั้นในภูมิภาค ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือทางการเงินระหว่างประเทศที่มีอยู่เดิม

จีนและญี่ปุ่นจะจัดหาเงินเข้าร่วมโครงการประเทศละ 38,400 ล้านดอลลาร์ ส่วนเกาหลีใต้จะจัดหางบ 19,200 ล้านดอลลาร์ ขณะที่กลุ่มอาเซียนจะจัดหางบรวม 24,000 ล้านดอลลาร์


จีนชื่นชมฮ่องกงฝ่าฟันวิกฤตเศรษฐกิจโลก

นายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า ของจีน แสดงความหวังว่าฮ่องกงจะสามารถรักษาระดับการขยายตัวของเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่องในปีหน้า พร้อมทั้งกล่าวชื่นชมความพยายามของฮ่องกงในการผลักดันตนเองจนผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจโลกมาได้

นายเหวินกล่าวระหว่างการพบกับ โดนัลด์ ซาง ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกงว่า "ในปีหน้ารัฐบาลเขตปกครองพิเศษฮ่องกงควรมุ่งมั่นทำงานเพื่อรับมือกับวิกตการเงินโลกและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจต่อไป

โดนัลด์ ซางได้เดินทางเยือนกรุงปักกิ่งเพื่อบรรยายสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์ในฮ่องกงและการทำงานของรัฐบาลฮ่องกงในรอบปีที่ผ่านมาให้ผู้นำจีนได้รับทราบ

นายเหวินกล่าวชื่นชมว่า "ในช่วงเวลาที่ยากลำบากฮ่องกงก็ยังสามารถใช้มาตรการต่างๆ จนทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างมีเสถียรภาพและหลุดพ้นจากภาวะถดถอยในที่สุด

นอกจากนั้นนายเหวินยังกระตุ้นให้รัฐบาลฮ่องกงแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ฝังรากลึกมานาน ปรับปรุงยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ วางแผนระยะยาวที่มีความครอบคลุม และพัฒนาจุดเด่นของตนเองเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

"รัฐบาลจีนจะยังคงให้การสนับสนุนฮ่องกงในการพัฒนาตนเองให้เป็นศูนย์กลางการเงินของโลกต่อไป" นายเหวินกล่าวทิ้งท้าย
money wake up
*********
29/12/52
นักวิเคราะห์คาดพันธบัตรเอกชนจ่อคึกรับดอกเบี้ยขาขึ้น

ตราสารหนี้ภาคเอกชนสหรัฐฯ ประเภทที่ให้อัตราผลตอบแทนสูง (Junk Bond) มีแนวโน้มกลับมาคึกคักอีกครั้งตามสภาวะเศรษฐกิจ เมื่อมีข้อมูลระบุว่า การออกตราสารจากภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างน้อยๆ มาอยู่ที่ 1,360 ล้านเหรียญแล้วในตอนนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่นักลงทุนกำลังให้ความสนใจมากขึ้นกับตราสารหนี้ที่มีอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงที่สูงกว่าตราสารประเภท investment grade ทั้งหลาย

ถ้าดูการเปลี่ยนแปลงอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์ประเภท Junk Bonds ในดัชนีที่จัดทำโดย Merrill Lynch จะพบว่า yield ล่าสุดได้ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 9.2% หากเทียบกับ 9.7% เมื่อสิ้นเดือนที่แล้ว ซึ่งก็หมายถึงการที่ราคาพันธบัตรปรับตัวขึ้น ขณะที่อัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์ประเภท investment grade ขยับเพิ่มจาก 4.6% มาเป็น 4.8% หรือหมายถึงภาวะราคาพันธบัตรปรับตัวลง

สาเหตุที่พันธบัตรที่เรียกกันว่า high-yield bond นี้ สามารถสร้างผลกำไรให้แก่นักลงทุนได้มากขึ้น ก็เป็นเพราะสถานการณ์ที่เริ่มสดใสในตลาดสินเชื่อ ที่สะท้อนผ่านแนวโน้มที่ดีขึ้นของตัวเลขการผิดนัดชำระหนี้ และเป็นเวลาเดียวกับที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ

นักวิเคราะห์จาก Bank of America Merrill Lynch ในนิวยอร์กคาดว่า Junk Bond มีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าหลักทรัพย์ประเภท Investment Grade ในปีหน้า นั่นก็เพราะความที่เป็นตราสารที่สามารถสร้างเกราะให้กับนักลงทุนในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ขณะบริษัทผู้ที่ออกตราสารเองก็กำลังเพิ่มเครดิตให้กับตัวเองด้วยการปรับลดระดับหนี้ที่มีอยู่ลงในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเดินออกจากภาวะถดถอย และผลที่ตามมาก็คือ การลดลงของอัตราการผิดนัดชำระหนี้

นอกจากนั้น นักลงทุนเองก็กำลังมองหาตราสารที่ให้อัตราผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจ มากกว่าที่จะดูแต่ในเรื่องความเสี่ยงเพียงอย่างเดียว

นักวิเคราะห์รายเดียวกันยังบอกด้วยว่า high-yield bond หรือ junk bond อาจสร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 10% ในปีหน้า ขณะที่บรรดาหลักทรัพย์ประเภท investment grade อาจทำได้แค่เพียง 2-3% เท่านั้น


หุ้นสหรัฐปิดบวก แม้ถูกกดดันจากแผนก่อการร้าย

ปัจจัยบวกหนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ มาจากกระทรวงการคลังที่ประกาศไว้เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วว่า จะยอมให้สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ภาคอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ อย่าง Freddie Mac และ Fannie Mae ที่รัฐเข้ามาเป็นเจ้าของ ให้สามารถเข้าขอความช่วยเหลือทางด้านเงินทุนได้อย่างไม่จำกัดจำนวนภายในระยะเวลา 3 ปี จากเดิมที่ถูกจำกัดไว้ที่แห่งละ 200,000 ล้านเหรียญ

นักวิเคราะห์รายหนึ่งมองว่า จริงๆ แล้วทั้ง Fannie และ Freddie อาจไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินมากเกินกว่าระดับที่รัฐเคยกำหนดไว้เดิม แม้ในกรณีที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะไม่เป็นใจก็ตาม ซึ่งสาเหตุหลักที่รัฐบาลยอมเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขดังกล่าวก็น่าจะเป็นเพราะ ความต้องการในการช่วยเหลือตลาดบ้านที่จะมีความยืดหยุ่นในการใช้มาตรการที่เข้มข้นมากกว่าเดิม รวมถึงเรื่องการล้างหนี้เสียในระบบ

ข่าวดีดังกล่าวยังเป็นแรงหนุนให้กับหุ้นที่เข้ารับความช่วยเหลือมาจากรัฐราวๆ 180,000 ล้านเหรียญ อย่าง American International Group หรือ AIG ที่เริ่มมีการคาดการณ์ว่า รัฐบาลอาจจะใช้วิธีการเดียวกันกับบริษัท รวมถึงการถอนข้อจำกัดต่างๆ บนบัญชี

นอกจากปัจจัยดังกล่าวแล้ว แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นและตัวเลข GDP ที่แข็งแกร่งของประเทศจีนยังเป็นตัวผลักดันให้หุ้นกลุ่มโภคภัณฑ์ดีดตัวขึ้นแรงเมื่อคืนนี้ โดยเฉพาะสินค้าโลหะและน้ำมัน นำโดยหุ้น Exxon Mobil ที่บวกได้ 0.6% ขณะราคาน้ำมันตลาดนิวยอร์กขยับขึ้นอีกเกือบ 1% ไปอยู่ที่ 78.70 เหรียญต่อบาร์เรล

อย่างไรก็ดี ตลาดยังเจอกับแรงขายในทันทีที่มีข่าวว่ากลุ่ม al-Queda ประกาศยอมรับว่าเป็นผู้วางแผนระเบิดเครื่องบินในวันคริสต์มาส จนทำให้ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ต้องสั่งให้ทบทวนกระบวนการรักษาความปลอดภัยทั้งหมด หลังจากที่พบชายชาวไนจีเรียสามารถผ่านขึ้นไปบนเครื่องของสายการบิน Northwest Flight 253 ที่กรุง Amsterdam มุ่งหน้า Detroit

นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีความกังวลเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศมาตรการถอนสภาพคล่องออกจากระบบธนาคาร ส่งผลให้หุ้นกลุ่มแบงก์ปรับตัวลง นำโดย Fifth Third Bancorp ที่ร่วงลง 2.5% และ Wells Fargo ลดลง 1.3%


ราคาอสังหาฯ อังกฤษจะลดลงในปี 53

โฮมแทร็ค บริษัทวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ของอังกฤษเปิดเผยว่า ราคาบ้านในอังกฤษจะปรับตัวลดลงในปีหน้า เนื่องจากอัตราว่างงานที่พุ่งสูงและความวิตกกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลจะกดดันให้ดีมานด์หรือความต้องการบ้านลดลง โดยโฮมแทร็คคาดการณ์ว่ามูลค่าบ้านในอังกฤษจะลดลง 1% ในปี 2553

หลังจากที่ราคาบ้านเดือนธันวาคมขยับขึ้น 0.1% จากเดือนที่แล้วแตะที่ 156,900 ปอนด์ (250,000 ดอลลาร์สหรัฐ)

ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้คนอังกฤษตกงานกว่า 600,000 คน และจำนวนผู้ว่างงานก็อาจพุ่งสูงขึ้นอีกในช่วงที่เศรษฐกิจอังกฤษกำลังฟื้นตัว

ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีกอร์ดอน บราวน์ และพรรคอนุรักษ์นิยมซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน ก็กำลังพยายามหาทางควบคุมตัวเลขขาดดุลงบประมาณที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์
money wake up
*********
29/12/52
ดาวโจนส์ปิดบวก ขานรับยอดค้าปลีกสหรัฐฯสดใส

Posted on Tuesday, December 29, 2009
นักวิเคราะห์จากบริษัท เฟดเดอเรทเต็ด คัฟเวอร์ อินเวสท์เมนท์ แอ๊ดไวเซอร์ส กล่าวว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นขานรับรายงานของบริษัท สเปนดิงพัลซ์ ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านธุรกิจค้าปลีกในเครือมาสเตอร์การ์ด แอดไวเซอร์ส ที่ระบุว่า บริษัทค้าปลีกในสหรัฐฯทำยอดขายพุ่งขึ้น 3.6% ในช่วงวันหยุดระหว่างวันที่ 1 พ.ย. - 24 ธ.ค. ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยหนุนราคาหุ้นกลุ่มค้าปลีกรายใหญ่พุ่งขึ้น รวมถึงหุ้นเมซีส์ อิงค์พุ่ง ขึ้น 1.1%

ข้อมูลของสเปนดิงพัลซ์สอดคล้องกับที่สมาคมผู้ค้าปลีกแห่งชาติของสหรัฐฯ (NRF) รายงานไว้ก่อนหน้านี้ว่า ยอดค้าปลีกในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เนื่องในวัน วันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ในสหรัฐฯ ดีดตัวขึ้น 0.5% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.12 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จากปีที่แล้วที่ระดับ 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากห้างค้าปลีกปรับลดราคาสินค้าซึ่งช่วยดึงดูดประชาชนให้เข้าซื้อสินค้าอย่างคึกคัก

หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ทะยานขึ้น หลังจากราคาน้ำมันดิบ NYMEX พุ่งขึ้น 72 เซนต์ แตะที่ 78.77 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลง โดยเมื่อวานนี้ดัชนี ICE Futures U.S ร่วงลง 0.1%

ส่วนหุ้นสายการบินร่วงลงและส่งผลให้ตลาดหุ้นนิวยอร์กเคลื่อนตัวผันผวน หลังจากเกิดเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายพยายามจุดระเบิดบนเครื่องบินนอร์ธเวสต์ แอร์ไลน์สในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์หุ้นกลุ่มคมนาคมร่วงลง 0.6% โดยหุ้นเดลค้า แอร์ไลน์ส ซึ่งเป็นเจ้าของสายการบินนอร์ธเวสต์ แอร์ไลน์ส ดิ่งลง 4.1%

นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯในสัปดาห์นี้ โดยวันอังคาร สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์จะเปิดเผยราคาบ้านเดือนต.ค. และสำนักงานคอนเฟอร์เรนซ์ บอร์ด จะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯเดือนธ.ค.

วันพุธ สมาคมผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อแห่งชาติ (NAPM) จะเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโกเดือนธ.ค.และกระทรวงพลังงานจะเปิดเผยรายงานสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ และวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐฯจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่สถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) จะเปิดเผยดัชนีภาวะธุรกิจปัจจุบันในนิวยอร์กเดือนธ.ค.
money news update

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น