วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

แหนมเนืองไครซีส

30/12/52
เวียดนามคาดทำสถิติส่งออกข้าวสูงสุดในปีนี้

สมาคมอาหารของเวียดนามคาดการณ์ว่า เวียดนามจะส่งออกข้าวสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 6 ล้านตันในปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 28% จากปีก่อน และสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 5 ล้านตัน

สมาคมฯกล่าวว่า รายได้จากการส่งออกข้าวในปีนี้ น่าจะอยู่ที่ราว 2.4 พันล้านดอลลาร์ โดยในเดือนธ.ค. เวียดนามได้ส่งออกข้าวทั้งสิ้น 202,451 ตัน คิดเป็นมูลค่า 82.65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับตลาดส่งออกหลักของเวียดนาม ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ คิวบา และอิรัก

ทั้งนี้ ในปี 2551 เวียดนามทำรายได้ 2.66 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการส่งออกข้าว 4.67 ล้านตัน สำนักข่าวซินหัวรายงาน

***********
25/12/52
นายกเวียดนามวอน 7 บริษัทยักษ์เทขายเงินสกุลตปท.

นายกรัฐมนตรีเวียดนามเรียกร้องบริษัทรัฐบาลรายใหญ่ 7 แห่งขายเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศทั้งหมดให้ธนาคารทันที ตามความพยายามผ่อนคลายแรงกดดันต่อค่าเงินด่อง

วอลล์สตรีต เจอร์นัลอ้างแถลงการณ์ของรัฐบาลเวียดนามว่า ปิโตรเวียดนาม วินาโคมิน วินาฟู้ด 1 วินาฟู้ด 2 ลิลามา วินาเคม และเซาท์เทิร์น แอร์พอร์ต คอร์ป จะต้องขายเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศให้แก่ธนาคาร และซื้อสกุลเงินต่างประเทศเมื่อจำเป็นเท่านั้น โดยไม่มีรายละเอียดใดๆ เพิ่มเติม

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อลดการสะสมเงินดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการสั่งสมความมั่งคั่งสำหรับเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเงินเฟ้ออย่างเวียดนาม และท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเงินด่อง

การขาดดุลงบประมาณและขาดดุลการค้า ผนวกกับสัญญาณเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นลดความเชื่อมั่นต่อค่าเงินด่อง ซึ่งรัฐบาลควบคุมอย่างเข้มงวด และเป็นแรงกดดันให้เวียดนามลดค่าเงินเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 2 ปีในเดือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ความแตกต่างของอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดมืดและอัตราที่กำหนดของรัฐบาลอาจลดลงในช่วงไม่กี่วันข้างหน้า หากบริษัทของรัฐบาลปฏิบัติตามคำร้องขอของนายกรัฐมนตรี ปัจจุบันบริษัทของรัฐบาลรายหลักๆ ถือครองเงินฝากรวมกัน 1.9 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคาดว่ามากกว่าความต้องการของผู้นำเข้าเวียดนาม ไปจนถึงช่วงวันหยุดตรุษจีนในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์

การขาดแคลนสกุลเงินที่มีค่าสูงของธนาคารเวียดนามเป็นสิ่งที่น่าปวดหัวสำหรับผู้นำเข้าเวียดนาม ซึ่งต้องการเงินดอลลาร์เพื่อซื้อสินค้าต่างชาติ และการกระตุ้นให้บริษัทของรัฐปล่อยดอลลาร์ออกมานั้น รัฐบาลมีเป้าหมายให้อัตราแลกเปลี่ยนเป็นไปตามอัตราของทางการมากขึ้น

ผู้บริหารของเวียดคอมแบงก์รายหนึ่ง ซึ่งเป็นเทรดเดอร์สกุลเงินต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดของประเทศ แสดงความคิดเห็นว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุดของรัฐบาลจะช่วยสร้างเสถียรภาพให้แก่อัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารและตลาดเสรี เพราะบริษัทเหล่านั้นมีบทบาทสำคัญในหลายภาคธุรกิจและเป็นตัวป้อนดอลลาร์ปริมาณมหาศาลสู่ตลาดท้องถิ่น พร้อมอธิบายว่า หากทางการดำเนินการ 2 ประการ คือ เพิ่มการดูแลเพื่อกำจัดการเก็งกำไรในตลาดเสรี และอัดฉีดดอลลาร์เข้าธนาคารมากขึ้น ก็จะทำให้ตลาดมีเสถียรภาพมากขึ้น

นอกจากนี้มีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะต้องลดค่าเงินด่องอีกในเร็วๆ นี้ เนื่องจากมีเงินทุนไหลเข้า เช่น เงินที่ชาวเวียดนามต่างแดนส่งกลับบ้าน และการช่วยเหลือจากต่างชาติที่ยังคงอยู่ในระดับสูง

เวียดนามปรับเพิ่มอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์ 5.4% เป็น 17,961 ด่องต่อ 1 ดอลลาร์ ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมา ทั้งนี้สเตท แบงก์ ออฟ เวียดนาม ยังคงระดับอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์/ด่องไว้ที่ 17,941 ด่องต่อดอลลาร์ ขณะที่ ณ เวลา 05.00 ตามเวลา GMT อัตราแลกเปลี่ยนในตลาดมืดอยู่ที่ 19,350 ด่องต่อ 1 ดอลลาร์ ลดลงจากระดับของวันพุธที่ 19,480 ด่องต่อ 1 ดอลลาร์
prachachat
*********
24/12/52
เวียดนาม
- ธนาคารกลางเวียดนามจะควบคุมการขยายสินเชื่อของสถาบันการเงินในปี 2553 ให้อยู่ที่ประมาณ 25% หลังจากที่ในปี 2552 อัตราการขยายตัวของสินเชื่อของสถาบันการเงินในเวียดนามมีแนวโน้มจะสูงเกิน 37.7% ขณะที่ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้อของเวียดนามได้เร่งตัวขึ้นไปสูงถึง 4.4% ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลของการที่รัฐบาลเวียดนามสนับสนุนการให้สินเชื่อและลดภาษีเพื่อที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นในปี 2553 ธนาคารกลางเวียดนามจึงมีแนวโน้มจะดูแลการขยายสินเชื่อในภาคการเงินอย่างระมัดระวังมากขึ้น

โดย สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ประจำวันที่ 24 ธันวาคม 2552

*********
22/12/52
เวียดนามปิดโรงงานเหล็กก่อมลพิษ

Posted on Tuesday, December 22, 2009
เจ้าหน้าที่ของทางการเวียดนาม ได้สั่งให้โรงงานผลิตเหล็กหลายแห่งในเมืองท่าไฮฟองระงับการผลิตชั่วคราว หลังจากครูและนักเรียน 90 คนในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียง ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยอาการซึ่งคาดว่าเกิดจากควันพิษ

ผลการตรวจสอบในโรงงานผลิตเหล็ก 7 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับโรงเรียนแห่งหนึ่ง พบการนำน้ำมันใช้แล้วกลับมาใช้อีกครั้ง เพื่อเป็นเชื้อเพลิง และระบบกรองควันไร้ประสิทธิภาพ ทำให้ก๊าซซัลเฟอร์-ไดออกไซด์ ซึ่งถูกปล่อยออกมาใกล้กับโรงเรียนดังกล่าว สูงกว่าระดับที่ได้รับอนุญาต 2-3 เท่า แต่ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าโรงงานแห่งใด จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพดังกล่าว

รองผู้บริหารเมืองท่าไฮฟอง บอกว่า คณะจากหน่วยงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะควบคุมการตรวจสอบโรงงานเหล่านั้นอย่างละเอียดในสัปดาห์นี้ แต่ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่า โรงงานผลิตเหล็กดังกล่าวจะถูกปิดเป็นระยะเวลานานเท่าใด
money news update
*********
เตือนระวัง"แหนมเนืองไครซิส" "โกร่ง"ชี้มีสิทธิ์กระทบอาเซียน

"ดร.โกร่ง" หวั่นวิกฤตแหนมเนืองลามทั่วอาเซียน ชี้เวียดนามต้องลดค่าเงินถึง 20% ถึงจะคุมปัญหาเศรษฐกิจได้ ด้านผู้ประกอบการไทยที่ลงทุนในเวียดนาม ส้มหล่นกลุ่มสิ่งทอรับเต็ม ๆ ส่วนการลงทุนโดยตรงปีนี้ตัวเลขวูบ

นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจภายในเวียดนามประกาศลดค่าเงินด่องส่งสัญญาณน่าเป็นห่วง เพราะอาจจะกลายเป็นวิกฤตการณ์แหนมเนือง ลุกลามขยายผลไปถึงเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศอินโดจีน ลาว กัมพูชา พม่า และบานปลายมาถึงกลุ่มประเทศอาเซียน เนื่องจากโครง สร้างปัญหามีลักษณะใกล้เคียงกับต้มยำกุ้งของไทยเมื่อปี 2540 ตอนลอยตัวค่าเงินบาท ไม่มีผู้ใดคาดการณ์ถึงมาก่อนว่าปัญหาภายในซึ่งเกิดกับประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดไม่ใหญ่มากแต่กลับส่งผลรุนแรงลามต่ออย่างรวดเร็วเข้าไปยังมาเลเซีย สิงคโปร์ ข้ามทวีปต่อถึงรัสเซีย

"ประการสำคัญการลดค่าเงินด่องเพื่อคลี่คลายวิกฤตให้ลุล่วงภายในระยะเวลาอันสั้นนั้นลดเพียง 5% สอดคล้องกับอาการเศรษฐกิจหรือไม่ เพราะนักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่าหากจะลดก็ต้องเกิน 20% ขึ้นไปจึงจะควบคุมสถานการณ์วิกฤตขณะนี้ได้" ดร.วีรพงษ์กล่าว (อ่านรายละเอียด น.34)

นายทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเสริมว่า วิกฤตต้มยำกุ้งของไทยเป็นตัวอย่างที่ดีต่อกรณีที่จะเกิดแหนมเนืองไครซิส เวียดนามอาจจะต้องลดค่าเงินให้มากพอที่จะชะลอปัญหาวิกฤต เพราะยังขาดดุลอยู่เกือบพันล้านเหรียญสหรัฐ จีดีพีเติบโตไม่ปกติ ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวเร่งปัญหาก่อตัวรุนแรงมากยิ่งขึ้น หากไม่รีบตัดสินใจใช้มาตรการเชิงนโยบายอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

"ประชาชาติธุรกิจ" ได้สำรวจความคิดเห็นนักลงทุนต่อมาตรการลดค่าเงินเวียดนาม โดยนายชัยพงศ์ เวชมามณเฑียร ประธานกรรมการลิเบอร์ตี้กรุ๊ป ผู้ผลิตและส่งออกเสื้อผ้ารายใหญ่ ซึ่งได้เข้าไปลงทุนโครงการสิ่งทอครบวงจรในเวียดนามตั้งแต่ปลายปี 2550 ในนามกลุ่มอัลไลแอนซ์ วัน เปิดเผยว่า ส่งผลดีกับผู้ผลิตเครื่องนุ่งห่มไทยในเวียดนาม โดยส่วนใหญ่การค้าจากเวียดนามจะกำหนดราคาเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อนำมาทอนกลับเป็นด่องเพื่อจ่ายเป็นค่าแรงงานก็ได้ประโยชน์มากขึ้น แต่ตอนนี้ในเวียดนามกำลังมีปัญหาดอลลาร์หายาก เพราะในตลาดมืดแลกในอัตราสูงถึง 20,000 ด่อง

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "พฤกษาเวียดนาม" เป็นการร่วมลงทุนระหว่างพฤกษาฯกับบริษัท ฮหวาง ฮุย อินเวสเมนท์ เซอร์วิสเซส จอยท์ สต๊อก คัมปานี จำกัด ยังเดินหน้าตามแผน แม้ขณะนี้เวียดนามจะประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจและมีการประกาศลดค่าเงินด่อง เพราะมองว่าสถานการณ์ยังไม่น่าห่วง และไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนใด ๆ ทั้งสิ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานการลงทุนต่างประเทศ ภายใต้การกำกับของกระทรวงการลงทุนและวางแผน เวียดนาม เผยแพร่สถิติการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (foreign direct investment : FDI) ว่า ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2552 เวียดนามสามารถดึงเม็ดเงินเอฟดีไอเข้าสู่ประเทศได้ทั้งสิ้น 1.97 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลงราว 72% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในจำนวนดังกล่าวประมาณ 1.46 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็นเอฟดีไอที่สนับสนุนโครงการใหม่ที่ผ่านการอนุมัติแล้ว 776 โครงการ ที่เหลือ 5.09 พันล้านดอลลาร์ เป็นเงินทุนเพิ่มเติมโครงการระหว่างก่อสร้าง 213 โครงการ

โดยในระยะเวลาดังกล่าว พบว่า เอฟดีไอที่ไหลเข้าสู่ประเทศ มาจากประเทศและภูมิภาค 45 แห่ง โดยมีสหรัฐเป็นนักลงทุนต่างประเทศรายใหญ่สุดของเวียดนาม ด้วยเงินลงทุนที่จดทะเบียนแล้ว 8.1 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 41.1% ของยอดรวมเอฟดีไอทั้งหมดที่เวียดนามได้รับ

ในด้านทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ระบุว่า ได้ลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ว่าจะต้องไม่ต่ำกว่ามูลค่าการนำเข้า 3 เดือน ส่งผลให้ Moody"s Economy.com ออกรายงานเตือนว่า การลดลงของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ เพิ่มความเสี่ยงที่จะนำไปสู่วิกฤตดุลการชำระเงิน โดยประเมินว่า ปัจจุบันทุนสำรองของเวียดนาม อาจลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.65 หมื่นล้านดอลลาร์

เช่นเดียวกับการส่งออกในเดือนพฤศจิกายน 2552 มีมูลค่า 4.7 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 6.5% จากเดือนตุลาคม ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวม 6.7 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ยอดรวมการส่งออกในช่วง 11 เดือนนับถึงพฤศจิกายนอยู่ที่ 5.13 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ยอดรวมการนำเข้าอยู่ที่ 6.17 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลง 12% และ 18% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
prachachart

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น