วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ข่าวอุตสาหกรรมก่อสร้าง,วัสดุและอสังหาริมทรัพย์ 2

24/12/52
เจ้าสัว เจริญดึงกลุ่ม ฮ่องกงแลนด์ ร่วมทุนลุยอสังหาฯ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

เจริญ สิริวัฒนภักดีออกโรงคุมทัพธุรกิจอสังหาฯ หลังจัดแถวธุรกิจน้ำเมาอยู่ตัว ล่าสุดเปิดโผอสังหาฯ กว่า 30 รายการให้ฮ่องกงแลนด์ศึกษาก่อนร่วมทุน
กลุ่มทีซีซีแลนด์ บริษัทการลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือทีซีซี ของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าพ่อวงการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สุราแม่โขงและเบียร์ช้าง ผู้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของที่ดินและอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของไทย มีเครือข่ายธุรกิจต่อเนื่องด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ทั้งธุรกิจโรงแรม อาคารสำนักงาน อาคารศูนย์การค้า ตลอดจนโครงการที่พักอาศัยทั้ง คอนโดมิเนียม บ้านจัดสรรระดับหรูหรา และแผนลงทุนที่ยังคงเดินหน้า

นำอสังหาฯ 30 แห่งให้ฮ่องกงแลนด์ศึกษาก่อนร่วมทุน

โดยความเคลื่อนไหวล่าสุดนั้น เจ้าสัวเจริญ ได้ได้เข้ามาดูแลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้ง โรงแรม ค้าปลีกทั้งหมดเอง จากที่ก่อนหน้านี้ได้มอบหมายให้บุตรสาวคนที่สอง “วัลลภา ไตรโสรัส (สิริวัฒนภักดี) generation ใหม่ ของตระกูลให้ก้าวมาเป็นที่รู้จักในวงการธุรกิจมากขึ้นตั้งแต่ปี 2547 ด้วยบทบาทที่ถูกวางให้เป็นผู้ต่อยอดทรัพย์สินทางด้านอสังหาริมทรัพย์ของ ตระกูล

การเข้ามาจัดทัพลุยอสังหาฯ ครั้งนี้ของ เจ้าสัวเจริญเกิดขึ้นเมื่อ 4-5 เดือนก่อนพร้อมๆ กับความเคลื่อนไหวของการหาพันธมิตรใหม่ ฮ่องกง แลนด์ (HKL) เข้ามาร่วมทุน ซึ่งกลุ่มทุนฮ่องกงได้นำทรัพย์สินทั้งที่เป็นที่ดินเปล่า, ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดกว่า 30 รายการรวมมูลค่าเป็นหลายหมื่นล้านบาทมาศึกษาเพื่อประกอบการตัดสินใจที่จะเข้าร่วมทุนซึ่งคาดว่าความเคลื่อนไหวนี้ น่าจะชัดเจนในปี 2553 และคาดว่าจะสร้างความฮือฮาไม่แพ้ครั้งที่ร่วมทุนกับ "แคปปิตอล แลนด์" กลุ่มทุนสิงคโปร์

ก่อนหน้านี้ ฮ่องกงแลนด์ ได้เข้ามาร่วมทุนกับกลุ่มเกษรแลนด์ฯ นอกจากนี้ ยังได้เข้าร่วมประมูลที่ดิน 2 แปลงคือ ที่ดินของสถานทูตอังกฤษ และที่ดินที่เป็นที่ตั้งของโรงเรียนเตรียมทหาร ย่านพระราม 4 โดยที่ดินทั้ง 2 แปลงนั้นกลุ่มเซ็นทรัล เป็นผู้ชนะการประมูล

สำหรับความเคลื่อนไหวดังกล่าว นายโสมพัฒน์ ไตรโสรัส กรรมการรองผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด เปิดเผยว่า มีกลุ่มฮ่องกงแลนด์ เข้ามาพูดคุยกันจริง ส่วนที่จะมีการร่วมทุนกันในที่ดินแปลงไหน หรือรูปแบบการร่วมทุนจะเป็นอย่างไรนั้นยังไม่สามารถเปิดเผยได้ขณะนี้ แต่อย่างไรก็ดี ทีซีซี กรุ๊ปมองว่าภาพรวมในปี 2553 จะเป็นปีที่เศรษฐกิจฟื้นตัวและเป็นปีที่ความเคลื่อนไหวด้านการลงทุนค่อนข้าง คึกคัก

"ธุรกิจอสังหาฯ ของทีซีซี แลนด์ คุณพ่อ (เจริญ สิริวัฒนภักดี) ได้เข้ามาดูแลเองแล้ว ส่วนผมจะดูแลด้านที่อยู่อาศัยที่เป็นโครงการรวมทุนกับแคปปิตอลแลนด์" นายโสมพัฒน์ กล่าวย้ำ พร้อมกับให้เหตผลถึงสาเหตที่เจ้าสัวเจริญเข้ามาดูแลว่า ส่วนหนึ่งเพราะธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) อยู่ตัวเรียบร้อยแล้ว และจากนี้ไปคงต้องโฟกัสไปยังทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่ว่า จะนำเอาแปลงใดขึ้นมาพัฒนาสร้างมูลค่าเพิ่ม และในการพัฒนานั้นจะพิจารณาจากศักยภาพของทำเลนั้นๆ ว่ามีความเหมาะสมว่าจะทำเป็นประเภทไหน ซึ่งคงพิจารณาจากความต้องการของตลาดในทำเลนั้นๆ เป็นหลัก

เท 1 หมื่นล.ลุยศูนย์ ฟู้ด แชนแนล

พร้อมกันนี้ เขายังกล่าวด้วยว่า นอกจากรูปแบบการลงทุนที่ได้ดำเนินไปแล้วในช่วงก่อนหน้า ทีซีซี แลนด์ ยังได้นำที่ดินที่อยู่ในแหล่งชุมชนต่างๆทั้งที่อยู่ในกลางธุรกิจ และทำเลชานเมือง ซึ่งมีทั้งแปลงเล็กและแปลงใหญ่ออกมาพัฒนาภายใต้แนวคิดศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์ เว็นเตอร์ แบรนด์ ฟู้ด แชนแนล ตามแผนที่วางไว้ภายใน 3 ปีจะเปิดให้ได้ 10 สาขา คาดว่าจะมีมูลค่ารวมประมาณ 1 หมื่นล้านบาท

ล่าสุด ได้นำร่องสาขาแรกที่สีลม เนื้อที่ 700 ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 150 ล้านบาท ซึ่งพัฒนาภายใต้แนวคิดให้มีร้านอาหารให้บริการประมาณ 70% ส่วนอีก 30% ธนาคารพานิชย์ ร้านสะดวกซื้อ ร้านทำผมฯลฯ สาขาดังกล่าวมีสัญญาเช่าให้กับลูกค้า 3 ปี และคาดว่าภายใน 6 ปี จะสามารถคืนทุนได้

ด้านแผนในปี 2553 จะเปิดสาขาใหม่เพิ่ม 2 แห่ง ทำเลชานเมือง บนพื้นที่ 5 ไร่ต่อสาขา และใช้เงินลงทุนต่อสาขาประมาณ 1,000 ล้านบาทดดยเป้าหมานที่จะเปิดให้ได้ 10 แห่งใน 3 ปีนั้นน่าจะเป็นไปตามเป้าหมายเพราะ ปัจจุบันบริษัทมีที่ดินเพื่อพัฒนาเป็นศูนย์การค้ารูปแบบดังกล่าวแล้วโดยจะ ทยอยพัฒนาต่อเนื่อง

การที่ทางกลุ่มได้ขยายการพัฒนาโครงการค้าปลีกรูปแบบต่างๆ เป็นหลัก นายโสมพัฒน์ กล่าวว่า เป็นการสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจด้านการสร้างรายได้ระยะยาว ประกอบกับทำเลที่ตั้งต่างนั้นเหมาะที่จะพัฒนาในรูปแบบดังกล่าว เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายกำลังซื้อในประเทศ ที่พบว่ามีดีมานด์ยังคงเดิม การใช้จ่ายในชีวิตประจำวันไม่ลดลงมากนัก ซึ่งจะต่างจากธุรกิจอื่นที่พึ่งพิงดีมานด์จากต่างชาติ เช่น การลงทุนด้านธุรกิจท่องเที่ยว และอสังหาริมทรัพย์ได้ชะลอตัวไปเมื่อต้นปี ซึ่งยอมรับว่าตลาดที่เป็นกลุ่มลูกค้าต่างชาตินั้นลดลง

จับมือแคปปิตอลแลนด์ผุดคอนโดใหม่ปี 53

ส่วนแผนการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายใต้บริษัท ทีซีซี แคปปิตอล แลนด์ซึ่งเป็นบริษัทที่ร่วมทุนกับแคปปิตอลแลนด์ กลุ่มทุนสิงคโปร์นั้น นายโสมพัฒน์ กล่าวว่า ยังคงดำเนินการต่อและแคปปิตอลแลนด์ ก็ไม่ได้ถอนหุ้นออกไปแต่อย่างใด โดยในปี 2553 จะมีการพัฒนาคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ 2-3 โครงการ ต่อโครงการมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ทำเลที่เน้นยังคงเกาะแนวรถไฟฟ้าแต่เป็นส่วนต่อขยายเพื่อให้สอดคล้องกำลังซื้อราคาขายอยู่ที่ 70,000-80,000 บาทต่อตารางเมตร จากเดิมอยู่ที่ 90,000-120,000 บาทต่อตารางเมตร

ทั้งนี้ ภายในสิ้นปี 2552 คาดว่าทีซีซี แคปปิตอลฯ จะมีการรับรู้รายได้ราว 6,000 ล้านบาท โดยรายได้ต่างๆดังกล่าวจะมาจากโครงการที่ได้ลงทุนไปเมื่อ 4-5ปีก่อน โดยจะเริ่มทยอยโอนคอนโดมิเนียมโครงการต่างๆให้ลูกค้าปลายปีนี้ต่อเนื่องถึง ปี 2553 และขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการในรายละเอียดเพื่อแบ่งแยกโฉนดห้องชุดให้กับลูกค้า

สำหรับความคืบหน้าแผนการลงทุนในโครงการมาสเตอร์แพลน 3 แห่ง ประกอบด้วย โครงการพัฒนาที่ดินย่านเกษตร- นวมินทร์ จำนวน 320 ไร่ โครงการที่หัวหินที่จะพัฒนาเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และโครงการที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวมมูลค่า 20,000 ล้านบาท ขณะนี้ได้เริ่มออกแบบแล้ว หลังจากได้ชะลอแผนการพัฒนาโครงการเมื่อต้นปีร ส่วนธุรกิจโรงแรมปีหน้า จะทำการเปิดโรงแรมใหม่ อาทิ บันยันทรี สมุย, เดอะ ลักซ์ชัวร์รี่ คอลเล็คชัน สมุย

พร้อมกันนี้ นายโสมพัฒน์ กล่าวย้ำในตอนท้ายว่าปี 2553 บริษัทกลับมาลงทุนในเชิงรุกอีกครั้ง และมีการพัฒนาโครงการใหม่ๆเพิ่มขึ้นกว่าปีนี้ เพราะมองแนวโน้มเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น ทั้งไทยและภูมิภาคเอเชีย ซึ่งได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจค่อนข้างน้อยกว่าประเทศตะวันตก ประกอบกับเราเคยเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 มาแล้ว ทำให้ระบบธนาคารพานิชย์มีความเข้มแข็งมากขึ้น ส่วนปัจจัยที่ยังกงวลคือสถานการณ์ทางการเมือง

ทั้งนี้ ทรัพย์สินของกลุ่มทีซีซี แลนด์ที่ทางฮ่องกงแลนด์ได้นำไปศึกษา

@ เสนา มาสเตอร์ แพลน กว่า 277 ไร่

@ ที่ดินที่นอร์ท ปาร์ค 300 ไร่

@ ที่ดินที่ ชะอำ 5,460 ไร่

@ ที่ดินที่บางไทร อยุธยากว่า 1,401 ไร่

@ที่ดินริมน้ำเจ้าพระยา ย่านเจริญนครกว่า 28 ไร่

@ อาคารเอ็มไพร์ เนื้อที่กว่า 3 ไร่

@ ที่ดินย่านเอกมัยกว่า 3 ไร่

@ ที่ดินย่านรัชดาภิเษก กว่า 9 ไร่

@ ที่ดินย่านแจ้งวัฒนะกว่า 5 ไร่

@ ที่ดินที่พัทยากว่า 60 ไร่
krungthep********
23/12/52
ผู้นำเข้ากระเบื้องจีนต้านกำแพงภาษี
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ผู้นำเข้ากระเบื้องจีนลุกโต้กลุ่มผู้ผลิตเซรามิกไทย ชี้สินค้าจีนมีหลายเกรด ไม่เห็นด้วยกระทรวงพาณิชย์ตั้งกำแพงภาษีสูงลิบปิดกั้นสินค้าจากจีน
สืบเนื่องจากวานนี้ (22 ธ.ค. 52) สมาชิกกลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดแถลงข่าวการลงมติเห็นชอบร่วมกันกับการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti – Dumping) กระเบื้องเซรามิกจากจีน หลังจากพบว่า มีสัดส่วนการนำเข้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี และขายในราคาต่ำ และล่าสุดได้มีการออกพระราชกิจจานุเบกษาว่าด้วยการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด พร้อมกับเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียชี้แจงข้อมูลภายใน 67 วันนับจากเดือนมกราคม 2553 ก่อนที่จะประกาศใช้อย่างเป็นทางการ

นายเอี่ยมหลี โฆษิตเจริญกุล ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์สุขภัณฑ์ จำกัด กล่าวให้ความคิดเห็นว่า สินค้าจีนมีหลายเกรด ส่วนที่มีคุณภาพก็มี ขึ้นอยู่กับผู้นำเข้าว่าจะเลือกสินค้าเกรดใดเข้ามาทำตลาด และในกรณีที่มีการขายราคาต่ำ นั้นมีปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างน้อย 2-3 ประเด็น คือ เรื่องค่าเงินบาท กรอบการเสียภาษีตามข้อตกลงอาเซียน-จีนที่รัฐบาลไทยได้ไปลงนาม และการแข่งขันของตลาด ซึ่งหากจะมองว่าใช้เกณฑ์ดังกล่าวมาตั้งกำแพงภาษีกีดกัน ส่วนตัวมองว่า ไม่น่าจะเกิดความยุติธรรมในธุรกิจภายใต้กรอบการค้าเสรี

ขณะที่แหล่งข่าวจากผู้นำเข้ากระเบื้องจากต่างประเทศ ให้ความคิดเห็นว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการนำเสนอกระทรวงพาณิชย์ให้ให้มีการไต่สวนเรื่องต่างๆ ดังกล่าว คือ ผู้ผลิตรายใหญ่ในประเทศ และปัจจุบันก็เป็นผู้นำเข้าสินค้าจากจีนเป็นอันดับ 2 รองจากกลุ่มบุญถาวร โดยมีการเสนอให้ตั้งกำแพงภาษีสูงถึงเกือบ 98% ซึ่งถือว่าสูงมากจากอัตราภาษีปัจจุบันอยู่ที่ 30% สำหรับกระเบื้องเคลือบ และ 5% สำหรับกระเบื้องประเภทแกรนิโต้

หากมีการปรับใช้อัตราใหม่ ผู้นำเข้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ กลุ่มผู้ขายเข้าโครงการ และทำให้ต้นทุนการนำเข้าเพิ่มสูงขึ้น อาจมีความเสี่ยงที่จะทำให้ มีการเลี่ยงภาษีนำเข้า

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่มีการออกราชกิจจานุเบกษาและกระทรวงพาณิชย์ได้ส่งหนังสือมายังผู้นำเข้าที่ส่วนใหญ่เป็นผู้แทนจำหน่ายรายใหญ่ ล่าสุด มีผู้นำเข้าผู้นำเข้ากระเบื้อง 8 ราย อาทิ โฮมโปร บุญถาวร แกรนด์โฮมมาร์ท ฯลฯ ได้ร่วมหารือเพื่อยื่นหนังสือถึงกรมการค้าต่างประเทศคัดค้านการตั้งกำแพงภาษีนำเข้ากระเบื้องเซรามิคจากจีน และในวันที่ 23 ธันวาคมผู้ผลิตสินค้าจากจีนจะยื่นหนังสือถึงกรมการค้าต่างประเทศเพื่อคัดค้านเช่นกัน
krungthepturakij
*******
22/12/52
อุตสาหกรรมเด่น
กรณีต่ออายุมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ QH เป็น Top pick : SCRI ได้จัดทำประมาณการกำไรสุทธิในกรณีดีที่สุดเพื่อสะท้อนการต่อมาตรการลดหย่อนออกไปพบว่า (ตัวเลขในวงเล็บเป็นราคาเหมาะสมที่สะท้อนการต่อมาตรการฯ) QH (3.70 บาท) จะมี EPS growth เพิ่มสูงที่สุดจากประมาณการเดิมเป็น 38.8% yoy องลงมาคือ PS (16.20 บาท) ที่ 15.2% yoy และ LPN (8.20 บาท๗ 12.40% นอกจากนี้ SCRI ประเมินว่าหากมีการต่ออายุมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวจริง จะส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ผู้ซื้อที่อยู่อาศัย มีค่าใช้จ่ายที่ลดลงรวมประมาณ 6% ซึ่งยังไม่รวมการลดหย่อนภาษีเงินได้ 3 แสนบาทและดอกเบี้ยเงินกู้ 1 แสนบาท อย่างไรก็ตาม SCRI คาดจะทำให้แนวโน้มของอุปสงค์ใน Q1/53 ไม่โดดเด่นเนื่องจากผู้บริโภคจะเริ่มชะลอการตัดสินใจซื้อออกไป โดยปัจจัยรอบข้าง เช่น แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการปรับราคาขาย คาดจะเป็นประเด็นที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้ดีกว่า SCRI ยังคงน้ำหนักลงทุนที่ QH / PS / SPALI
scib********
22/12/52
PROPERTY : มีความเสี่ยงในแง่ของ upside หากมีการขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษีอสังหาริมทรัพย์
คำแนะนำ ระดับปกติ

ได้รับผลดีถ้ารัฐบาลต่อขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษีอสังหาริมทรัพย์
อิงจากข่าวในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เมื่อวานนี้ (21 ธ.ค. 52) รัฐบาลอาจจะขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษีอสังหาริมทรัพย์จากที่จะสิ้นสุดลงในปลายเดือนธันวาคม 2552F เป็นสิ้นเดือนมีนาคม 2553F เรามองว่าถ้ารัฐบาลอนุมัติขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษีและคาดว่าผู้ประกอบการน่าจะได้รับประโยชน์จากการประหยัดค่าใช้จ่ายการขยายและบริหาร (SG&A) ในปี 2553F (อย่างเช่นที่ได้รับในปี 2552)

คงสมมติฐานอัตราการเติบโตรายได้จากการขายในปี 2553F
แม้ว่าไตรมาสสูงสุดของรายได้จากขายบ้านจะเลื่อนมาเป็น 4Q53F แทนที่จะเป็น 1Q53F แต่ภาพรวมของรายได้จากการขายบ้านสำหรับทั้งปีในปี 2553F ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เราคาดว่ารายได้จากการขายบ้านสำหรับบริษัทส่วนใหญ่ภายใต้การวิเคราะห์ของเราน่าจะเพิ่มขึ้น 14-15% YoY ในปี 2553F รายได้น่าจะเพิ่มขึ้นตามอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ที่ดีขึ้น เนื่องจากมีความสัมพันธ์กันอย่างสูงกับความต้องการบ้าน และจำนวนยอดขายที่รอรับรู้รายได้ (backlog) จากโครงการคอนโดมิเนียมที่จะรับรู้ในปี 2553F อนึ่ง อิงจากบริษัทภายใต้การวิเคราะห์ของเรา มูลค่า backlog ในปัจจุบันรวมคิดเป็น 27% ของรายได้จากการขายในปี 2553F สำหรับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์

คาดอัตราส่วนกำไรขั้นต้นคงตัวหรือลดลงสำหรับปี 2553F
เรายังคงมุมมองของเราที่ว่า อุปทานบ้านใหม่จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก (รวมโครงการคอนโดมิเนียม) ในปี 2553F จะทำให้เป็นการยากที่ผู้ประกอบการจะปรับขึ้นราคาขาย ดังนั้นเราคาดว่าอัตราส่วนกำไรขั้นต้นจะลดลงหรือคงตัว YoY ในปีหน้า

อัตรากำไรจากการดำเนินงานน่าจะลดลง 1.2% จากที่คาดว่าจะลดลง 3.4% ถ้าขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษี
อิงจากการประหยัดภาษีธุรกิจพิเศษของผู้ประกอบการ, ค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมในการจดจำนองเข้าไปในค่าใช้จ่ายการขายและบริการ เราคาดว่ากำไรจากการดำเนินงานของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะลดลง 1.2% เทียบกับที่คาดว่าจะลดลง 3.4% ในสมมติกรณีฐานของเรา (base case) อนึ่งเราคาดว่าอัตราส่วนค่าใช้จ่ายการขายและบริหารต่อยอดขายจะสูงขึ้น 0.7% YoY เพื่อสะท้อนค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขายและโปรโมชั่นสำหรับผู้ประกอบการซึ่งจะเปิดขายจำนวนโครงการใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการคอนโดมิเนียมในปี 2553F อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ที่จะได้รับจากการประหยัดภาษีอสังหาริมทรัพย์ น่าจะไม่มากเกินกว่าต้นทุนค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขายที่คาดว่าจะสูงขึ้น

อัตราการเติบโตผลประกอบการสูงขึ้นประมาณ 12% ในปี 2553F
ถ้ารัฐบาลขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษีอสังหาริมทรัพย์ เราคาดว่าอัตราการเติบโตผลประกอบการจะสูงขึ้นประมาณ 12% YoY ในปี 2553 สำหรับหุ้นภายใต้การวิเคราะห์ของเรา ไม่รวมผู้ประกอบการบางรายที่มีค่าผิดปกติมาก ๆ (Outlier)

หุ้นที่ชอบได้แก่ LPN, AP และ LH
ถ้ารัฐบาลขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษีอสังหาริมทรัพย์ ผู้ประกอบการที่มี backlog ที่แน่นอนในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับรายได้จากการขายบ้าน น่าจะได้ประโยชน์อย่างมาก ได้แก่ LPN, AP และ SPALI อย่างไรก็ตาม อิงจากค่าสหสัมพันธ์ในระดับสูงระหว่างการฟื้นตัวเศรษฐกิจและอัตราการเติบโตความต้องการบ้าน ผู้ประกอบการที่มีส่วนแบ่งตลาดแข็งแกร่ง, แบรนด์ที่ได้รับการยอมรับและเทคนิคการก่อสร้างที่รวดเร็ว เช่น LH, QH และ PS dHอยู่ในสถานะที่ได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นหุ้นที่เราชอบสุด คือ LPN, AP และ LH ปัจจัยเสี่ยงมาจากการขยายตัวเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศ ส่วน upside มาจากความต้องการบ้านที่แข็งแกร่งกว่าคาด ?
tisco
*********
21/12/52
กลุ่มรับเหมาฯ แหล่งข่าวจากวงการรับเหมาก่อสร้าง เปิดเผยถึงสาเหตุที่สำนักงานอัยการสูงสุดยังไม่ส่งผลตรวจร่างสัญญาโครงการ
ก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ สัญญาที่ 2-3 มาที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) อย่างเป็นทางการ
ทั้งที่มีมติเห็นชอบร่างสัญญาไปแล้วตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2552 เนื่องจากติดปัญหาที่ผู้รับงานสัญญาที่ 3 คือกลุ่ม PAR Joint Venture
(บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASCON, บริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PLE และบริษัท รวม
นครก่อสร้าง (ประเทศไทย) จำกัด) โดย PLE มีเครดิตไลน์ (การการันตีเงินกู้จากสถาบันการเงินเพื่ออ้างอิงในการประกวดราคา) ติดลบ
ซึ่ง รฟม.ได้ขอชะลอเรื่องดังกล่าวไว้ เพื่อรอให้ PLE จัดการปัญหาของตนเองให้เสร็จสิ้นก่อนจึงส่งผลให้การตอบกลับจากสำนักงานอัยการ
สูงสุดมีความล่าช้า (บ้านเมือง)
**********
21/12/52
อสังหาฯ แหล่งข่าว ก.คลัง เผยว่าภายในเดือนนี้คลังเตรียมเสนอ ครม. ให้มีการต่อมาตรการภาษีออกไปอีก 1 ปี ซึ่งขณะนี้ รมต. ได้
มอบหมายให้กรมสรรพากรไปดูในรายละเอียด สำหรับมาตรการประกอบด้วย
1. ให้นำเงินจากการซื้อบ้านใหม่ที่จะโอนในปี 53 มาหักค่าลดหย่อยภาษีได้ไม่เกิน 3 แสนบาท
2. ภาษีธุรกิจเฉพาะคงไว้ที่อัตรา 0.1% (จากอัตราปกติ 3.3% ที่ผู้ประกอบการจ่ายให้รัฐ)
3. ค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองคงไว้ที่ 0.01% (จากอัตราปกติ 1% ที่ทั้งผู้ประกอบการและผู้ซื้อจ่ายให้รัฐ) (ข่าวหุ้น)
ความเห็น มาตรการภาษีอสังหา หากมีการต่อออกไปจริง จะทำให้หุ้นในกลุ่มอสังหามีมูลค่าพื้นฐานสูงขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากแต่
เดิมนั้นนักวิเคราะห์จะประมาณการกำไรในปี 53 ของบริษัทอสังหามีอัตราการเติบโตที่ลดลงจากปี 52 ทั้งนี้เราประมาณการ
ว่าในปี 52 บริษัทอสังหามีกำไรสุทธิเติบโตจากปีก่อนหน้า24.8% ขณะที่ปี 53 จะมีกำไรสุทธิเติบโตเพียง 1.2% เนื่องจากต้อง
กลับมาจ่ายภาษีในอัตราปกติ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการดำเนินการเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 4% ดังนั้นหากรัฐยังคงให้มีมาตรการลด
ภาษีดังกล่าว จะทำให้การประมาณการกำไรของบริษัทกลับมาเพิ่มสูงขึ้นโดยในเบื้องต้นเราประมาณว่ากำไรทั้งระบบจะ
กลับมาขยายตัวราว 4.2% ซึ่งจะทำให้มูลค่าพื้นฐานเพิ่มขึ้นเช่นกัน
บริษัท ราคาพื้นฐานเดิม ราคาพื้นฐานใหม่(ประมาณการเบื้องต้น)
AP 6.80********** 7.10
LALIN 2.60 ******2.70
LPN 7.70********* 8.35
NOBLE 5.70 ******5.90
PS 15.04 ********15.50
SC 13.80 ********14.10
SPALI 8.00 ******8.12
*LH 6.2 *********6.40
*QH 2.4 *********2.50
*SIRI 4.7 *******4.85
*PF 5.6 *********5.80
*MK 4.2 *********4.4
* เป็น concensus
จากตารางข้างต้น พบว่ามูลค่าพื้นฐานของแต่ละบริษัทเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้กลับมาน่าสนใจในการเข้าลงทุนอีกครั้งหนึ่ง โดย
เน้นไปที่ LPN, SPALI ที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานมาก แต่หากมาตรการไม่ถูกต่อออกไป นักลงทุนต้องลงทุนอย่าง
ระมัดระวัง เนื่องจากหุ้นหลายบริษัทมีราคาที่สูงเกินไป โดยเรายังคงเน้นการเข้าลงทุนในหุ้น SPALI, NOBLE, SC (หากไม่ต่อ
มาตรการภาษี)
cgs
***********
18/12/52
จับสัญญาณอสังหาฯโลก 2553 ฟื้น 2554 มีสิทธิฟุบ

วิกฤตหนี้ของ ดูไบ เวิลด์ ได้กระตุ้นให้หลายฝ่ายตั้งแต่นักลงทุน จนถึงนักวิเคราะห์ และผู้เชี่ยวชาญ มีมุมมองที่ค่อนข้างระมัดระวังต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์

ยิ่งมีกรณีของตลาดอสังหาริมทรัพย์จีน ที่รัฐบาลปักกิ่งพยายามควบคุมการเก็งกำไร ด้วยการออกมาตรการและทบทวนสิทธิพิเศษในการถือครองที่อยู่อาศัย มุมมองของนักวิเคราะห์ยิ่งทวีความเข้มงวดยิ่งขึ้น

ดังมุมมองของผู้เชี่ยวชาญที่เข้าร่วมงานสัมมนาแนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก ประจำปี 2552 จัดโดยทอมสัน รอยเตอร์ ที่เตือนว่า แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลประเทศต่าง ๆ อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ได้กระตุ้นให้เกิดการฟื้นตัวที่ไม่ปลอดภัยมากนักในตลาดอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่สุดของโลกหลายแห่ง ซึ่งซุกซ่อนหายนะของการลงทุน และบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ของฟองสบู่ลูกต่อไป

รายงานระบุว่า อัตราแลกเปลี่ยนที่อยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ และการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่เป็นการผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณอย่างมหาศาล ได้ส่งผลให้มูลค่าอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ในตลาดหลายแห่ง อาทิ จีน และอังกฤษ พุ่งทะยานขึ้น

โจ วาเลนเต ผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์การลงทุน บริษัทอัลลายแอนซ์ เรียลเอสเตต ตั้งข้อสังเกตถึงการลดลงของการเช่าอสังหาริมทรัพย์ และหนี้อสังหาฯ ว่าเป็นเสมือนระเบิดเวลา เนื่องจากปัจจุบันหลายตลาดได้เลือกที่จะละเลยเหตุการณ์ในอดีต และทำข้อตกลงใหม่ ๆ ซึ่งอาจเป็นเมล็ดพันธุ์ของการแตกสลายของฟองสบู่

"เรากำลังหลุดออกจากกรอบของปัจจัยพื้นฐาน"

ขณะที่ กิรัน ปาเตล ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และการวิจัยทั่วโลก บริษัทแอ็กซา เรียลเอสเตต อินเวสต์เมนต์ แมเนเจอร์ คาดการณ์ว่า การฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในอีก 6-9 เดือนข้างหน้าจะเป็นไปอย่างน่าพอใจ แต่หลังจากนั้นตลาดจะสูญเสียความโดดเด่น เนื่องจากอัตราว่างงานจะคงขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง

"แม้จะเป็นในช่วงที่อัตราว่างงานไม่เพิ่มขึ้นแล้ว และเริ่มปรับลดลง แต่คุณจะยังไม่เห็นการเติบโตของตลาดเช่าอสังหาฯ ในอีก 6 เดือน 9 เดือน หรืออาจจะเป็นในอีก 12 เดือนข้างหน้า โดยมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นอัตราผลตอบแทน 14-15% ในปีหน้า แต่ก็อาจลดลงเหลือ 3-4% ในปี 2554"

ข้อมูลจากซีบี ริชาร์ด เอลลิส ระบุว่าราคาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2.7% ในเดือนพฤศจิกายน เป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 9 ปี

การปรับขึ้นของราคาอสังหาฯ มีขึ้นหลังการปรับฐานของราคาอสังหาฯ ในอังกฤษยุติลงในเดือนสิงหาคมซึ่งเป็นช่วงที่ราคาเริ่มปรับขึ้น หลังทรุดลง 43% ต่อเนื่อง 2 ปี

ทิม เบลล์แมน ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และวิจัย บริษัทไอเอ็นจี เรียลเอสเตต อินเวสต์เมนต์ แมเนจเมนต์ กับ เอลิซาเบธ โทรนิ ผู้อำนวยการฝ่ายอสังหาริมทรัพย์ ทั่วโลก บริษัทยูบีเอส โกลบอล แอสเซต แมเนจเมนต์ เตือนว่า วิกฤตการณ์ในดูไบแสดงให้เห็นถึงอันตรายของการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ก่อนเวลาอันควร

ในส่วนของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจีน หลังจากรัฐบาลปักกิ่งตัดสินใจทบทวนและเปลี่ยนแปลงสิทธิพิเศษในการยกเว้นภาษีการขายที่อยู่อาศัย โดยเปลี่ยนจากที่ต้องถือครองนาน 2 ปี เป็นต้องถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปีนั้น ล่าสุด ฮวน โฮเซ ดาบูบ กรรมการผู้จัดการธนาคารโลก เตือนว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะใด ๆ ก็ตาม มักจะมีความเสี่ยงของการทำอะไรเกินตัวเสมอ แต่เชื่อว่ารัฐบาลจีนตระหนักดีต่อภัยคุกคามของฟองสบู่สินทรัพย์ และจะดำเนินมาตรการซึ่งเชื่อว่าเหมาะสมยิ่งขึ้น

จีนมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจพุ่งเป็น 8.9% ในไตรมาส 3 ของปี 2552 จากการปล่อยสินเชื่อมากเป็นประวัติการณ์ และแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะ 2 ปี วงเงิน 5.86 แสนล้านดอลลาร์ ช่วยให้เอเชียเป็นผู้นำในการฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

ดาบูบให้ความเห็นกรณีของดูไบ เวิลด์ ว่า สถานการณ์ไม่แตกต่างกับช่วงที่เกิดแผ่นดินไหว ซึ่งมักมีแรงสั่นสะเทือนต่อเนื่อง และแรงสะเทือนของอาฟเตอร์ช็อกเหล่านั้นบางครั้งก็มีความรุนแรงอย่างมาก ซึ่งกรณีของดูไบก็เป็นไปในลักษณะนั้น
prachachat
*********
18/12/52
ภาคอสังหาฯ อาจติดบ่วงหลุมดำ ”มาบตาพุด” ต่างชาติขอความชัดเจนก่อนลงทุน

Posted on Thursday, December 17, 2009
กิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า การสั่งชะลอโครงการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เนื่องจากต้องทำการศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพควบคู่ไปกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ยังไม่มีการระบุชัดเจนว่า โครงการอสังหาริมทรัพย์จะต้องปฏิบัติตามกฎนี้ด้วยหรือไม่ โดยกิตติพลมองว่า นักลงทุนต่างชาติและผู้ประกอบการอสังหาฯ ล้วนยินดีที่จะปฏิบัติตาม เพราะการคำนึงถึงกระบวนการผลิตและพื้นที่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนับเป็นจุดขายหนึ่งของโครงการในปัจจุบัน ซึ่งแม้จะทำให้การลงทุนหยุดชะงักไปบ้างในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแล้วน่าจะทำให้ทางการเสียค่าใช้จ่ายน้อยลงในอนาคต

ปัจจุบันผู้ประกอบการอสังหาฯ ต้องศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพรวมอยู่ในการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว แต่หากมีข้อกำหนดที่ลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิม อาจทำให้โครงการต่าง ๆ มีต้นทุนเพิ่ม โดยต้นทุนในที่นี้ไม่ใช่เพียงแค่การจ้างที่ปรึกษา ซึ่งนับเป็นเพียงค่าใช้จ่ายส่วนน้อย แต่ต้นทุนที่แท้จริงคือ ค่าที่ดินที่อาจต้องซื้อเพิ่ม และค่าใช้จ่ายหากโครงการต้องยืดระยะเวลาออกไป โดยจะกระทบกับสภาพคล่องและภาระดอกเบี้ย ซึ่งเป็นต้นทุนที่บุคคลภายนอกมองไม่เห็น และอาจต้องผลักภาระไม่ยังผู้บริโภค หรือทำให้ราคาขายสูงขึ้น จนอาจทำให้โครงการขาดทุนเนื่องจากขาดผู้ซื้อ

กิตติพลยังมองว่า การศึกษาผลกระทบทางด้านสุขภาพกินความหมายค่อนข้างกว้าง เพราะไม่ได้หมายถึงเพียงแค่สุขภาพกาย แต่ยังรวมถึงสุขภาพใจและคุณภาพชีวิต ซึ่งยากต่อการวิเคราะห์ โดยกิตติพลได้แต่หวังว่าหากมีการนำข้อกำหนดด้านสุขภาพมาใช้จริง ควรต้องทำให้ผู้ประกอบการทุกรายได้รับความยุติธรรมในการบังคับใช้อย่างเท่าเทียมกันไม่มีการใช้ Double Standard

สุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจนส์แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติที่เตรียมพร้อมที่จะลงทุนโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยไทย อาทิ กลุ่มที่ซื้อที่ดินไว้แล้ว อาจเกิดความกังวล โดยหากไม่สามารถหาทางออกหรือสร้างความชัดเจนได้อย่างรวดเร็วภายใน 6 เดือน ผลกระทบทางจิตวิทยาระยะสั้น อาจกลายเป็นผลกระทบในระยะยาว ด้วยการหันไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านที่มีต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่า หรือไม่มีข้อกำหนดที่สร้างความลำบากใจให้เหมือนกับในประเทศไทย

ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติจากตะวันตกนิยมลงทุนในตลาดเอเชียแปซิฟิกเป็นหลัก โดย 3 ประเทศที่ได้รับความสนใจสูงสุดคือ ออสเตรเลีย ฮ่องกง และสิงคโปร์ ซึ่งมีระดับราคาอสังหาริมทรัพย์สูงกว่าในประเทศไทย 2-3 เท่าตัว ส่วนตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเริ่มซบเซามาตั้งแต่เกิดวิกฤติสถาบันการเงินในสหรัฐฯและผู้ที่ซื้อหรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศขณะนี้ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนชาวไทย
hard topic
**********
18/12/52
ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ในเขตกรุงเทพฯ - ปริมณฑล BY REIC
ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ในเขตกรุงเทพฯ - ปริมณฑล

3 ไตรมาสแรก ปี 2552

ฝ่ายวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานข้อมูลจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ในรอบ 3 ไตรมาสแรกของปี 2552 ในเขตกรุงเทพฯและ 5 จังหวัดปริมณฑล (นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม) ทั้งแนวราบและห้องชุดคอนโดมิเนียม มีรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 64,300 หน่วย ในจำนวนนี้แบ่งเป็นห้องชุดคอนโดมิเนียมจำนวน 32,800 หน่วย และที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 31,500 หน่วย นับเป็นปีแรกที่จำนวนหน่วยห้องชุดคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่มีมากกว่าที่อยู่อาศัยแนวราบสร้างเสร็จจดทะเบียนในระหว่างงวด

นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ชี้แจงว่าสำหรับที่อยู่อาศัยแนวราบ แบ่งออกได้เป็น บ้านเดี่ยว 22,300 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 34.6 ของหน่วยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ทั้งหมด ทาวน์เฮ้าส์ 6,000 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 9.3 อาคารพาณิชย์ 2,200 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 3.4 และบ้านแฝด 1,000 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 1.5

สัดส่วนที่อยู่อาศัยประเภทต่างๆ 3 ไตรมาสแรก ปี 2552


สำหรับห้องชุดคอนโดมิเนียมจำนวน 32,800 หน่วยนั้น คิดเป็นร้อยละ 51 ของ ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม จำนวนห้องชุดคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จจดทะเบียนดังกล่าว ได้รวมเอาจำนวนหน่วยของโครงการเอื้ออาทรจำนวน 12,000 หน่วยเข้าไปด้วย ดังนั้น หากตัดจำนวนหน่วยห้องชุดในโครงการเอื้ออาทรออกไปจะเหลือจำนวนห้องชุดคอนโดมิเนียมอื่นๆ 20,800 หน่วย

ใน 3 ไตรมาสแรกของปีที่แล้วมีจำนวนหน่วยห้องชุดคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่รวมประมาณ 21,500 หน่วย ในจำนวนนี้รวมห้องชุดคอนโดมิเนียมของโครงการเอื้ออาทรเพียง 3,400 หน่วย และสำหรับทั้งปี 2551 มี

จำนวนหน่วยห้องชุดคอนโดมิเนียมของโครงการเอื้ออาทร 7,700 หน่วย รวมอยู่ในจำนวนหน่วยห้องชุดคอนโดมิเนียมทั้งหมดประมาณ 31,500 หน่วยของปีที่แล้ว

สำหรับจำนวนห้องชุดคอนโดมิเนียมของโครงการบ้านเอื้ออาทรสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ใน 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ มีจำนวนมากถึงประมาณ 12,000 หน่วย เป็นห้องชุดในเขตดอนเมือง จำนวน 748 หน่วย ที่เหลืออยู่ในปริมณฑล ได้แก่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ อำเภอบางพลี อำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอบางบัวทอง อำเภอสามพราน อำเภอเมืองสมุทรสาคร

คาดว่าในไตรมาสสุดท้ายของปีต่อเนื่องถึงปี 2553 จะยังมีหน่วยห้องชุดในโครงการเอื้ออาทรออกมาอีกมาก เพราะยังมีหน่วยที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างเฉพาะในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลอีกประมาณ 38,000 หน่วย อนึ่ง สำหรับในเขตกรุงเทพฯ - ปริมณฑลนั้น จำนวนหน่วยเอื้ออาทรประมาณร้อยละ 90 เป็นห้องชุดคอนโดมิเนียม

หากไม่นับโครงการเอื้ออาทร โครงการอาคารชุดที่สร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ในเขตกรุงเทพฯ มากที่สุด 5 อันดับแรก อยู่ในเขตพระโขนงจำนวนประมาณ 2,300 หน่วย เขตห้วยขวาง 2,100 หน่วย เขตจตุจักร 1,900 หน่วย เขตบางกะปิ 1,500 หน่วย และเขตสาทร 1,000 หน่วย

สำหรับที่อยู่อาศัยแนวราบสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่มีจำนวนหน่วยมากที่สุดในเขตอำเภอบางบัวทองประมาณ 1,700 หน่วย อำเภอเมืองสมุทรปราการ 1,600 หน่วย เขตหนองจอก 1,300 หน่วย อำเภอเมืองปทุมธานี 1,200 หน่วย และเขตสายไหม 1,200 หน่วย ตามลำดับ

เนื่องจากจำนวนหน่วยห้องชุดคอนโดมิเนียมมีแนวโน้มจะสร้างเสร็จอีกมาก ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ จึงได้ปรับประมาณการจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จใหม่ทั้งปีสำหรับปี 2552 เป็นประมาณ 85,000 หน่วย โดยในจำนวนนี้จะเป็นโครงการเอื้ออาทรประมาณ 15,000 หน่วย เทียบกับปี 2551 มีจำนวนหน่วยรวมประมาณ 83,000 หน่วย แต่เป็นจำนวนหน่วยเอื้ออาทรประมาณ 7,700 หน่วยในปีที่แล้ว
stock wave
*********
16/12/52
อสังหาฯหวั่น"หลุมดำ"ฉุดตลาดปีเสือ รายกลาง-เล็กเจอตอถูกกั๊กสินเชื่อ บิ๊กแบรนด์ชี้ตลาดยังไม่ฟื้นตัว!

อสังหาฯปีเสือระวังภาพลวงตา บิ๊กแบรนด์ "แลนด์-เอเชี่ยน-แอล.พี.เอ็น." ดาหน้าฟันธงตลาดไม่ได้ฟื้นตัวอย่างที่คิด ผู้ประกอบการรายกลาง-รายเล็กเจอทางตันแบงก์ไม่ปล่อยสินเชื่อ เปิดตัวเลขสถิติลอนช์โครงการใหม่ 5 ปีย้อนหลัง ตลาดรวมติดลบทุกโปรดักต์ทั้งบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์-คอนโดฯ ตั้งแต่ 20-46% โบรกเกอร์แบข้อมูลหน้าใหม่-มือสมัครเล่นแห่ตุนแลนด์แบงก์หวังชิงเค้ก ด้าน ธอส.ให้ความหวังอัตราดอกเบี้ย 6 เดือนแรกปีหน้ายังไม่ขึ้นแน่นอน

@ คลังอุบไต๋ต่อ-ไม่ต่อมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ

นายสมชาย สกุลสุรรัตน์ ที่ปรึกษา รมช.กระทรวงการคลัง กล่าวในงานสัมมนาภายใต้หัวข้อ "อสังหาริมทรัพย์ฟื้นแล้วจริงหรือ" จัดโดย "พร็อพเพอร์ตี้ แชนเนล" คลื่นข่าวอสังหาฯ-คมนาคม 102 เมกะเฮิรตซ์ ร่วมกับ "โฮมไบเออร์ไกด์" เมื่อวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมาว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์ระลอกใหม่ ขณะนี้ตัวแทนผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ได้มีการหยิบยกเรื่องการต่อหรือไม่ต่ออายุมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและธุรกิจอสังหาฯ ขึ้นหารือกับทางกระทรวงการคลัง ดังนั้นจึงให้คำตอบไม่ได้ว่าจะมีการต่ออายุมาตรการหรือไม่ อย่างไรก็ตามความเห็นส่วนตัวคือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เมื่อได้จัดทำและประเมินแล้วว่ามีผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน ในเชิงนโยบายรัฐบาลควรจะต้องจัดทำต่อไปเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง

ประเด็นของกระทรวงการคลังคือการดูแลปัญหาฟองสบู่จากภาคอสังหาฯ อย่างไรก็ตามประเมินแล้ว ปีหน้าไม่น่าจะเกิดฟองสบู่เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบหลัก 3 ปัจจัย คือ 1.ผู้ประกอบการมีบทเรียนจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ทำให้มีการบริหารความเสี่ยงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก 2.สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อโครงการและสินเชื่อรายย่อย และ 3.ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับราคาตามธรรมชาติเพียง 2-3% ซึ่งไม่ใช่แรงจูงใจทำให้เกิดการเก็งกำไร

"เรามีตัวเลขชี้นำว่าภาคอสังหาฯฟื้นตัวแล้วจากตัวเลขการโอน ภาคการก่อสร้าง สินเชื่อที่อยู่อาศัย ตัวเลขยอดขายวัสดุก่อสร้าง ยืนยันทิศทางการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยมาตรการกระตุ้นของภาครัฐเป็นเพียงหนึ่งในองค์ประกอบที่ทำให้มีการฟื้นตัว เพราะยังมีประเด็นสำคัญในเรื่องความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ ความร่วมมือในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ทิศทางปีหน้าคาดว่าจีดีพีจะเป็นบวกร้อยละ 2.5-3.5 โดยภาคอสังหาฯเป็นกำลังสำคัญที่จะผลักดันให้ภาพรวมฟื้นตัว เพราะเป็นภาคธุรกิจที่มีการจ้างงานอันดับ 3 ประมาณ 3 ล้านคน มีตัวเลขสินเชื่อ 1.5 ล้านล้านบาท จากภาพรวมสินเชื่อประมาณ 7 ล้านล้านบาท" นายสมชายกล่าว

@ AP เปิดตัวเลขตลาดรวมไม่โตอย่างที่คิด

นายวิษณุ สุชาติล้ำพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ AP กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯย้อนหลัง 5 ปี ตลาดรวมไม่ได้โตขึ้น แต่ผลประกอบการจะกระจุกตัวอยู่กับผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ ส่วนรายกลาง-รายเล็กยังมีส่วนแบ่งน้อยมาก โดยสถิติย้อนหลัง 5 ปี (2548-2552) มีโครงการเปิดใหม่ แยกเป็นประเภทบ้านเดี่ยวติดลบเฉลี่ย 20% ต่อปี ทาวน์เฮาส์ก็ลดลง ส่วนคอนโดฯยังติดลบ 30% ขณะที่ตัวเลขโครงการเปิดใหม่ 9 เดือนแรกปีนี้ติดลบ 46% เพราะฉะนั้นแนวโน้มปีหน้ายังเป็นโอกาสของบริษัทใหญ่เหมือนปีนี้

"เอพีเปิดตัวดิแอดเดรส 3 โครงการ เมื่อปี 2551 มูลค่ารวมกันประมาณ 9 พันล้านบาท มียอดขายกว่า 7 พันล้านบาทภายใน 1 เดือน ภาพที่ขายดีในขณะนั้นเพราะเป็นช่วงที่มีการเปิดตัวโครงการไม่เยอะ โดยภาพรวมจะเป็นการเปิดตัวของรายใหญ่และรายเล็ก แต่รายกลางไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่เลย"

สำหรับแนวโน้มตลาดคอนโดฯปีหน้าจากฐานข้อมูลประชากรศาสตร์พบว่า ครึ่งหนึ่งของกลุ่มเป้าหมายจะมีสองกลุ่มหลัก คือ อายุ 15-24 ปี สัดส่วน 23% และอายุ 15-44 ปี สัดส่วน 24% ของตลาดรวม โดยเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ การศึกษาดี แต่งงานช้าลง ครอบครัวเล็กลง ไลฟ์สไตล์อยากใช้ชีวิตอิสระ ทำให้โปรดักต์คอนโดฯตอบโจทย์ได้ แต่ต้องขึ้นกับองค์ประกอบด้านทำเล โปรดักต์ และตอบสนองกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

นายวิษณุมองต่างมุมด้วยว่า รัฐบาลคาดการณ์จีดีพีปีหน้าโต 3% ถึงแม้จะเป็นไปได้จริง แต่ก็ถือว่าโตจากฐานที่ต่ำ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากภายในและภายนอก คือ การเมืองภายใน ปัญหามาบตาพุด ม็อบกีฬาสี ส่วนปัจจัยภายนอกมีปัญหาดูไบเวิลด์ ปัญหาเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ ฯลฯ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโดยตรง

"ไม่ต้องห่วง ถึงแม้จะมีปัญหาต่าง ๆ แต่หนี้สินต่อทุนของผู้ประกอบการรายใหญ่ประมาณอยู่ที่ร้อยละ 1 นั่นคืออาจจะแข่งขันรุนแรง อาจจะขายไม่ได้ตามเป้าแต่ก็อยู่ได้ กรอสมาร์จิ้นลดลงแต่ยังอยู่ได้"

@ LPN ชี้คอนโดฯขายดีแต่เสี่ยงสูง

สอดคล้องกับนายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ หรือ LPN มองตลาดคอนโดฯปีหน้าจะดีกว่าปีนี้ที่ถือว่าเงียบเหงาไปหน่อย ประเมินจากตัวเลขอัตราว่างงานต่ำกว่า 2 ล้านบาท คืออยู่ที่ประมาณ 1.3 ล้านคน ซึ่งถือว่าเป็นภาวะเศรษฐกิจปกติ อย่างไรก็ตามท่ามกลางโอกาสยังมีอันตรายเพราะยังมีปัจจัยเสี่ยงหลายตัวเป็นองค์ประกอบ โดยเฉพาะปัจจัยการเมือง

ภาพที่เห็นคือช่วงครึ่งปีหลัง ยอดขายโครงการคอนโดฯขายดี ทำให้แนวโน้มปีหน้ามีผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ อยากขอแบ่งเค้กด้วย และจะทำให้ภาวะตลาดคอนโดฯคึกคักมากขึ้น บทเรียนของ แอล.พี.เอ็น.ฯเมื่อวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 สร้างช้าเพียง 2 เดือน ทำให้ปิดการขายไม่ได้ ดังนั้นกลยุทธ์ที่ทำคือ "สปีด" โดยเฉพาะด้านก่อสร้างจะเร่งให้เร็วขึ้น โนว์ฮาวของบริษัทคือตึกสูงสามารถสร้างเสร็จภายใน 12 เดือน จากเดิม 18-24 เดือน ที่สำคัญผู้ประกอบการต้องโฟกัสไปที่เรียลดีมานด์ กลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้อง และราคาที่แข่งขันได้


@ บิ๊กแบรนด์กินรวบ-รายเล็กหมดสิทธิ์เกิด

ขณะที่นายอนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า อสังหาฯขณะนี้ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และยังมีปัจจัยเสี่ยงทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายกลาง รายเล็กเวลานี้เหนื่อยมากขึ้นเพราะต้องแข่งกับรายใหญ่ ปีหน้าผู้ประกอบการรายกลาง รายเล็กยิ่งอยู่ลำบาก เพราะมีข้อจำกัดหลายด้าน โดยเฉพาะความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน เห็นได้จากปัจจุบันสถาบันการเงินปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการที่ติดอันดับท็อปเทนในตลาดเป็นหลัก เห็นได้จากหลาย ๆ บริษัทเริ่มนำเงินไปซื้อที่ดินเก็บไว้ในมือ ส่วนรายย่อยแหล่งเงินทุนยังเป็นปัญหาหลัก

@ หน้าใหม่แห่ลงทุนคอนโดฯ
ด้านนายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เซ็นจูรี่ 21 เรียลตี้ แอฟฟิเอทส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทที่ปรึกษาอสังหาฯครบวงจร กล่าวว่า สิ่งที่บ่งบอกว่าอสังหาฯในปีหน้ายังเป็นธุรกิจที่น่าลงทุน เป็นเพราะในรอบปีที่ผ่านมามีผู้ประกอบการหน้าใหม่เข้ามาในธุรกิจนี้เพิ่มขึ้น อาทิ ธุรกิจสิ่งทอ, น้ำมันพืช ฯลฯ สนใจติดต่อซื้อที่ดินผ่านบริษัทเพื่อลงทุนพัฒนาคอนโดฯกลางเมือง เพราะตลาดคอนโดฯยังได้รับการตอบรับดี โดยทำเลสุขุมวิทยังเป็นทำเลยอดนิยม และทำเลห่างสถานีรถไฟฟ้า 700-800 เมตร ก็ยังขายได้
จากข้อมูลพบว่ามีทำเลรถไฟฟ้า 4 เส้นทางที่น่าสนใจ คือ 1.ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าอ่อนนุช-แบริ่ง 2.ส่วนต่อขยายสาทร-วงเวียนใหญ่ 3.แนวรถไฟฟ้าใต้ดิน รัชดาฯ-ลาดพร้าว และ 4.แนวเส้นทางแอร์พอร์ตลิงก์ รวมทั้งทำเลพหลโยธินและซอยอารีย์ เปรียบเสมือนเป็นทองหล่อ 2 เมื่อเร็ว ๆ นี้มีดีเวลอปเปอร์ติดต่อเข้ามาเพื่อซื้อที่ดินในราคา ตร.ม.ละ 5 แสนบาท จะเปิดตัวโครงการเร็ว ๆ นี้

@ ดบ.ยังทรงตัว-ไม่โอเวอร์ซัพพลาย
ส่วนขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า คาดการณ์ว่าปริมาณที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในปีนี้จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา คือกว่า 8 หมื่นยูนิต โดยคอนโดฯมีส่วนแบ่งตลาด 51% สถานการณ์ ณ วันนี้ยังไม่ถือว่าเข้าขั้นโอเวอร์ซัพพลาย และราคาขายก็ยังไม่ได้สูงมากนัก จากข้อมูลพบว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ มีค่าเท่ากับ 58 และได้สำรวจความคาดหวังช่วง 6 เดือนข้างหน้า ปรากฏว่าดัชนีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับ 69 ดังนั้นเชื่อว่าอสังหาฯในปีหน้าจะมีแนวโน้มดีขึ้น

ขณะที่เศรษฐกิจก็มีโอกาสจะฟื้นตัว ส่วนอัตราดอกเบี้ยช่วง 6 เดือนแรกปี 2553 คงยังไม่ปรับขึ้น แต่อาจปรับขึ้นเล็กน้อยช่วง 6 เดือนหลัง โดยสถิติการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งระบบช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ 2.2 แสนล้านบาท คาดว่าทั้งปีจะอยู่ที่ 2.8-3 แสนล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่การปล่อยสินเชื่อทั้งระบบอยู่ที่ 2.6 แสนล้านบาท ปีหน้า ธอส.ยังคงปล่อยสินเชื่อกลุ่มบ้านเอื้ออาทร บ้านมั่นคง โครงการ ธอส.-กบข. และกองทุนประกันสังคมจะโยกเงินมาให้ 1 หมื่นล้านบาท โดย ธอส.จะปล่อยสินเชื่อให้สมาชิกกองทุน อัตราดอกเบี้ย 2.5% คงที่ 5 ปี


@ ลุ้นต่ออายุมาตรการกระตุ้น
ด้านความเคลื่อนไหวของ 3 สมาคมอสังหาฯ นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า 3 สมาคมอสังหาฯมองว่าที่ผ่านมามาตรการกระตุ้นโดยการลดหย่อนภาษี ค่าธรรมเนียม ค่าจดจำนอง ช่วยกระตุ้นตลาดบ้านได้อย่างมาก จึงอยากให้ภาครัฐต่ออายุมาตรการดังกล่าวต่อไปอีกปีหนึ่ง โดยเฉพาะการให้นำค่าซื้อบ้านไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้ไม่เกิน 3 แสนบาท ซึ่งจะสิ้นสุดลงวันที่ 31 ธันวาคมนี้ จูงใจลูกค้าให้ซื้อบ้านในช่วงนี้ได้ไม่ต่ำกว่า 50% ขณะที่การลดค่าโอน ค่าจดจำนอง และภาษีธุรกิจเฉพาะ ที่จะสิ้นสุดวันที่ 28 มีนาคม 2553 รัฐก็ควรจะประกาศให้ชัดเจนว่าจะต่ออายุต่อไปอีกปีหรือไม่
prachachat*********
Analyst Comment:

กลุ่มที่อยู่อาศัย : “จากงานสัมมนาอนาคตอสังหาริมทรัพย์ฟื้นแล้วจริงหรือ”
ประเด็นที่น่าสนใจ : จากข้อมูลการคาดการณ์ในปี 53 โดยรวมจากกลุ่มผู้ประกอบการ เช่น LH AP และ LPN รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ เช่น ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มีความเห็นโดยรวมสำหรับปัจจัยบวกและลบในปี 53 ดังนี้

ปัจจัยบวก
1. คาดแนวโน้มอสังหาฯ มีทิศทางที่เติบโตจากการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ จากประมาณการตัวเลข GDP ในปี52 ที่ –3% โดยคาดในปี53 จะมี GDP ที่ปรับดีขึ้นเป็น 2.5-3.5% ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและความต้องการที่แท้จริงคาดมีแนวโน้มยอดขายและบ้านจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้น
2. การเปลี่ยนแปลงของต้นทุนวัตถุก่อสร้างที่ทรงตัว เช่น ราคาปูนซีเมนต์ และราคาเหล็ก ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนขายได้ดี
3. มองการมี Supply ที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในช่วง 1H52 ที่ผ่านมาส่งผลดีต่อผู้ประกอบการรายใหญ่ พร้อมทั้งการปล่อยสินเชื่อที่เข็มงวด ทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กและกลางประสบปัญหา

ปัจจัยลบ
1. ความมีเสถียรภาพทางการเมืองที่แท้จริง
2. กรณี มาบตาพุด ทำให้ สวล.(EIA) มีความเข้มงวดในกฎเกณฑ์มากขึ้นส่งผลต่อแนวโน้มในอนาคตที่ทางสวล.(EIA) จะหันมาทบทวนระเบียบและกฎเกณฑ์ของอสังหาฯ
3. ความกังวลต่อความต่อเนื่องของมาตรการภาครัฐ
4. การแข่งขันที่รุนแรงกรณีภาวะเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวตามคาด

ความเห็น KKS : คาดแนวโน้มผลประกอบการของกลุ่มที่ดูแลในปี53 มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากยอดขายที่ฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ โดยมีประเด็นที่ต้องติดตามคือความต่อเนื่องของมาตรการภาครัฐที่จะหมดอายุลงใน 1Q53 โดยเราให้น้ำหนักของกลุ่ม เท่ากับตลาด( Neutral) โดยแนะนำ ทยอยซื้อ AP และ LH ที่มี Upside gain 16-29% และซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวสำหรับ MK SPALI และ AP เนื่องจากมีอัตราการจ่ายปันผลที่น่าสนใจ 2H52 ประมาณ 4.3-4.6% และ ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวสำหรับ QH จากประเด็นบวกของผลประกอบการในปี 53 ที่ค่อนข้างโดดเด่น
เกียรตินาคิน
ข่าวอุตสาหกรรมก่อสร้าง,วัสดุและอสังหาริมทรัพย์ 1

1 ความคิดเห็น:

  1. แนะนำเว็บหาคอนโดครับ
    มาดูที่นี่สิถ้าจะมองหาคอนโดเข้าเวปนี้สิครับหาง่ายมากๆเลย
    เว็บไซต์นี่ที่รวบรวมข้อมูลที่ท่านต้องการเช่าคอนโด ต้องการที่จะลงประกาศ ขายคอนโด เว็บนี้ ทุกที่ มีรูป และ แผนที่ ไว้บริการเพื่อความ สะดวกและรวดเร็ว เป็นเว็บที่รวบรวมข้อมูลคอนโดและเช่าคอนโด และขายคอนโด
    ดูรายละเอียดคอนโดอื่นๆ
    ทุกที่ มีรูป และ แผนที่ ไว้บริการเพื่อความ สะดวกและรวดเร็ว เป็นเว็บที่รวบรวมข้อมูลคอนโดและเช่าคอนโด และขายคอนโด
    http://www.thairemap.com

    ตอบลบ