วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

ข่าวอุตสาหกรรมก่อสร้าง,วัสดุและอสังหาริมทรัพย์ 1

07/12/52
อุตฯสีปีหน้าฉลุย อานิสงส์อสังหาฯ
อุตสาหกรรมสีกว่า 1.1 หมื่นล้านปี 53 รับอานิสงส์โครงการใหม่อสังหาฯ และงบไทยเข้มแข็ง คาดดันตลาดเติบโต 10% หลังตลาดวัสดุก่อสร้างส่งสัญญาณบวก "เบเยอร์" เตรียมส่งทีมขายตรงเจาะทุกโปรเจ็กต์ทั้งรัฐ-เอกชน พร้อมเทงบกว่า 100 ล้านทำยอด

นายวรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เบเยอร์ จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงทิศทางของอุตสาหกรรมสีในปีหน้าว่า มีทิศทางการเติบโตในอัตรา 10% จากมูลค่ากว่า 11,000 ล้านบาทในปีนี้ โดยจะเป็นการเติบโตตามการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ปัจจุบันมีทิศทางเป็นบวกนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา ซึ่งผู้ประกอบการได้มีการเปิดตัวโครงการใหม่สำหรับปีหน้าจำนวนมาก ส่วนในปีนี้คาดว่าตลาดรวมจะเติบโตติดลบ 5%
"ปัจจุบันสินค้าวัสดุก่อสร้างประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก ปูนซีเมนต์ กำลังการผลิตในโรงงานแต่ละแห่งเริ่มมีมากขึ้นบางแห่งต้องทำงานล่วงเวลา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทิศทางตลาดเริ่มกลับมาฟื้นตัว ประกอบกับกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มีการเปิดโครงการใหม่ปลายปีจำนวนมาก และจะมีการก่อสร้างที่ชัดเจนตั้งแต่ไตรมาสแรก และไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า ตลาดสีก็น่าจะเติบโตตามไปด้วย"
นอกจากนี้ จากการที่รัฐบาลมีโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งจะมีการก่อสร้างจำนวนมากในปีหน้านั้น เชื่อว่าจะมีส่วนช่วยให้อุตสาหกรรมสีได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย แต่คงจะเกิดความชัดเจนหลังจากที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณแล้วในช่วงไตรมาสที่ 3 และไตรมาสสุดท้ายของปีหน้า ซึ่งอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างที่จะได้รับผลดีจากโครงการดังกล่าวก่อน จะเป็นวัสดุก่อสร้างประเภทงานโครงสร้าง เหล็กและปูนซีเมนต์ ในส่วนอุตสาหกรรมสีที่จะได้รับผลดีอย่างชัดเจนน่าจะเป็นในปี 2554 ที่มีการก่อสร้างแล้วเสร็จ

นายวรวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติม ส่วนแนวโน้มด้านราคาของสีในปีหน้านั้น คงจะไม่มีการปรับราคาขึ้น แม้ว่าจะมีความต้องการที่จะเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจัยด้านราคาจะเป็นเรื่องของต้นทุนสินค้า ซึ่งจะมาจากปัญหาราคาน้ำมันโดยตรง หากราคาน้ำมันไม่ปรับเพิ่มขึ้น ราคาสีก็จะไม่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสำคัญในเรื่องของค่าเงินบาท หากค่าเงินไม่แข็งค่ามากขึ้นกว่าปัจจุบันราคาสีก็จะไม่น่าปรับเพิ่มขึ้นด้วย
"ความกังวลใจสำคัญในปีหน้า คงเป็นเรื่องของปัญหาทางการเมืองเป็นหลัก เพราะเป็นตัวแปรสำคัญของความมั่นใจในการลงทุนของนักลงทุนต่างๆ และด้านอารมณ์ของผู้บริโภคในการจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าด้วย ซึ่งหากการเมืองไม่แน่นอน ย่อมมีโอกาสที่จะทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมชะลอตัวได้" นายวรวัฒน์ กล่าวในตอนท้าย
นายวรวัฒน์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของเบเยอร์นั้น มีการจัดตั้งทีมขายตรงเข้าไปยังโครงการทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งโครงการภายใต้งบประมาณไทยเข้มแข็งนั้น ทางบริษัทมีความสนใจเข้าร่วมประมูลงานในทุกโครงการ โดยจะร่วมกับพันธมิตรที่เป็นผู้รับเหมาในการเข้าดำเนินงานภาครัฐ ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้ในกลุ่มงานโครงการภาครัฐและเอกชนประมาณ 15% ส่วนที่เหลือเป็นยอดขายผ่านช่องทางค้าปลีกและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศกว่า 2,000 ราย
สำหรับแผนงานของบริษัทในปีหน้า บริษัทเตรียมงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีนี้ประมาณ 10% เพื่อทำการตลาดและกิจกรรมส่งเสริมการขายแบบครบวงจร ภายใต้คอนเซ็ปต์ Eco Smart ซึ่งเป็นการชูนวัตกรรมสินค้าที่ประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งจะมีการเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่ ที่สามารถออกแบบสีกับสถานที่ได้โดยตรง ขณะเดียวกันในส่วนของสินค้าใหม่บริษัทก็จะมีออกมาอย่างต่อเนื่องด้วย
ด้านผลประกอบการบริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตในปีหน้าไว้มากกว่า 10% จากปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตในอัตรา 5% ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในรอบ 8 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อกำลังซื้อและความมั่นใจของผู้ประกอบการ ทำให้บริษัทปรับเป้าหมายการเติบโตจากปกติที่มากกว่า 10%
สำหรับสินค้าของบริษัท แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มสีงานไม้ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 35% กลุ่มสีทาอาคาร สัดส่วน 60% และกลุ่มสีอุตสาหกรรม ประมาณ 5% ซึ่งตลาดสีโดยรวมมีมูลค่าประมาณ 11,000 ล้านบาทนั้น แบ่งเป็นกลุ่มสีทาไม้ประมาณ 30% และกลุ่มสีทาอาคารประมาณ 70% เบเยอร์มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 35% ในกลุ่มสีทาไม้ ซึ่งถือเป็นผู้นำตลาดในปัจจุบัน ส่วนตลาดสีทาอาคารมีส่วนแบ่งการตลาดกว่า 20%

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

**********
07/12/52
แห่ซื้อคอนโดฯเพื่อลงทุน

นายสมศักดิ์ มุนีพีระกุล นายกสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผย "ประชา ชาติธุรกิจ" ว่า อสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยที่ได้รับความสนใจเข้ามาลงทุนสูงสุดคือ 1) คอนโดมิเนียม 2) ทาวน์เฮาส์ และ 3) บ้านเดี่ยว ซึ่งแตกต่างจากหลายปีก่อนที่ทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยวได้รับความนิยมสูงสุด โดยเฉพาะคอนโดฯ เกาะแนวรถไฟฟ้าหรืออยู่ในทำเลใจกลางเมือง เหตุผลมาจากรูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป หันมาอยู่อาศัยคอนโดฯมากขึ้น และเป็นที่สังเกตว่าปัจจุบันกลุ่มคนทำงานที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปี ก็เริ่มหันมาพักอาศัยคอนโดฯที่ตั้งอยู่ใกล้ที่ทำงานเช่นเดียวกัน

กรณีซื้อคอนโดฯเพื่อขายต่อทำกำไร หากเป็นทำเลที่ได้รับความนิยม อาทิ ซอยสวนพลู (สาทร) หากซื้อไว้เป็นระยะเวลา 1 ปี และขายต่อมีโอกาสจะได้รับผลตอบแทนสูงสุดถึง 20-30% และกรณีซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่าจะมีผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 7-8% และบางทำเลอาจสูงถึง 10% ส่วนทาวน์เฮาส์หากเป็นทำเลสุขุมวิท กรณีซื้อเพื่อขายทำกำไรก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 15%

"นอกจากคอนโดฯ ทาวน์เฮาส์ และบ้านเดี่ยว การซื้อขายโครงการอพาร์ตเมนต์ที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ก็ได้รับความสนใจ มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากค่าเช่าประมาณ 8-9% ต่อปี ส่วนแนวโน้มในปีหน้าวิเคราะห์ว่า อสังหาฯยังคงเป็นธุรกิจที่น่าลงทุนเพราะมีอัตราผลตอบแทนจูงใจกว่า เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก โดยเฉพาะถ้ารัฐบาลประกาศต่ออายุมาตรการกระตุ้นอสังหาฯในแง่การลดหย่อนภาษีและค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง"

ขณะที่ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รายงานดัชนีราคาที่อยู่อาศัยประจำไตรมาส 3/2552 ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 3 จังหวัด คือ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ว่าดัชนีราคาที่ดินประจำไตรมาส 3/2552 เท่ากับ 178.9 ปรับตัวลดลง 3% จาก 184.4 ในไตรมาส 2/2552 และเมื่อเทียบกับ ไตรมาสเดียวกันปี 2551 ที่ดัชนีอยู่ที่ 181 ลดลง 1.3% จาก ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวพร้อมที่ดินอยู่ที่ 150.2 ลดลง 6.2% จาก 160.2 ในไตรมาส 2/2552 และลดลง 6.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2551 อยู่ที่ 161.3 ส่วนดัชนีราคาทาวน์เฮาส์พร้อมที่ดินเท่ากับ 151 ลดลง 2.3% จาก 154.6 ในไตรมาส 2/2552 และลดลง 3% เมื่อ เทียบกับไตรมาส 3/2551 ซึ่งดัชนีอยู่ที่ 155.6
prachachart*********
07/12/52
ธปท.การันตีอสังหาฯไร้สัญญาณฟองสบู่
ธปท.ยืนยันเศรษฐกิจไทยไร้ฟองสบู่จากภาคอสังหาริมทรัพย์ แม้จะกระตุ้นต่อเนื่อง

นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากการติดตามดูภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้ ยังไม่ พบสัญญาณการเกิดปัญหาฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ เหมือนที่เริ่มเกิดขึ้นในกลุ่มประเทศเอเชียบางประเทศ เช่น จีน ที่อสังหาริมรัพย์เริ่มมีราคาสูงขึ้นมาก จนหลายฝ่ายเริ่มกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เนื่องจากจีนมีเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามามาก และกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านงบประมาณของรัฐบาล แต่จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
“เศรษฐกิจไทยยังไม่เห็นสัญญาณว่าต้องกังวลกับฟองสบู่ แม้ว่าจะมีคอนโดมิเนียมราคาสูงเกิดขึ้นเยอะ บ้านเดี่ยวมากขึ้น มีการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการภาครัฐอย่างต่อเนื่อง และถ้าดูจากทิศทางการขยายตัวของสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ก็ไม่ได้โตมาก เพราะสถาบันการเงินระมัดระวังในการปล่อยกู้” นายไพบูลย์ กล่าว

รายงานภาวะเศรษฐกิจล่าสุดในเดือนต.ค.ที่ผ่านมาของธปท. พบว่าภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มดีขึ้นตามเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น อัตราดอกเบี้ยต่ำ และมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล อุปทานโดยรวมปรับดีขึ้น จำนวนที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในเดือนต.ค. เพิ่มเป็น 5,192 หน่วย จาก 4,294 หน่วย ในเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะในทำเลที่ใกล้กับรถไฟฟ้าและทางด่วน

สำหรับพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อนสร้างที่อยู่อาศัยในเขตเทศบาลทั่วประเทศที่เพิ่มเป็น 1,049 หน่วย ขยายตัวลบ 6.2% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ยอดคงค้างสินเชื่อที่ธนาคารพาณิชย์ให้ปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการขยายตัวลดลง มียอดสินเชื่อทั้งสิ้น 3.93 แสนล้านบาท ขยายตัวติดลบ 2% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน
posttoday*********
03/12/52
อสังหาฯ53สดใสดีมานด์สูง
ตลาดอสังหาฯ ปี 53 แนวโน้มสดใสเติบโต 5% จากมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาทในปีนี้ บิ๊กดีเวลอปเปอร์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ แห่เข็นโปรเจ็กต์รายละไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้าน "เอพี" เตรียมเข็น 10-20 โครงการ มูลค่า 20,000 ล้าน "ศุภาลัย" วางเบื้องต้น 10 โครงการ กว่า 10,000 ล้าน ขณะที่แอล.พี.เอ็น. เล็งทำเลเก่า-ใหม่ ขึ้นอีกนับ 10 โครงการกว่า15,000 ล้าน เช่นกัน
นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้าว่ายังมีแนวโน้มที่ดี จากความเชื่อมั่น กำลังซื้อของผู้บริโภคยังมีสูง และความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีอยู่มาก แต่ขณะเดียวกันปริมาณสินค้าที่จะออกสู่ตลาดก็จะมากตามมาด้วย เพราะผู้ประกอบการหลายรายเตรียมที่จะออกโครงการใหม่ในปีหน้าจำนวนมาก
"ปีหน้าแม้ดีมานด์สูง แต่ซัพพลายก็มากตามมาด้วย ส่งผลให้เกิดการแข่งขันกันอย่างรุนแรงมากๆ ในบริษัทใหญ่ๆ ขณะเดียวกันบริษัทขนาดกลางและเล็กก็จะแทรกซึมเข้ามาทำตลาดด้วยเช่นกัน แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเรื่องการเมืองเป็นหลัก เพราะยังไม่มีใครรู้ว่าความขัดแย้งกันระหว่างกลุ่มการเมืองสองกลุ่มจะยุติลงเมื่อไร และจะเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการเมืองอะไรขึ้นในอนาคตอีกหรือไม่" นายอนุพงษ์ กล่าวและว่า
แม้ว่าซัพพลายของที่อยู่อาศัยจะมีออกมามาก แต่ไม่ถึงกับทำให้เกิดโอเวอร์ซัพพลาย เนื่องจากผู้ประกอบการระมัดระวังตัว ส่วนการแข่งขันจะเห็นทิศทางของการทำตลาดรูปแบบใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ด้านทำเลที่จะได้รับความนิยมนั้น เชื่อว่าจะเป็นในทุกพื้นที่ที่มีระบบคมนาคมขนส่งสะดวก สำหรับแผนงานของบริษัทนั้น วางไว้ว่าจะพัฒนาโครงการใหม่ในปีหน้าอย่างน้อย 10-20 โครงการ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 15,000-20,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำแผนและรายละเอียด
ด้านนายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทคงเปิดโครงการใหม่ในปีหน้าไม่ต่ำกว่า 10 โครงการ มูลค่าเป็นหลักหมื่นล้านบาท โดยวางทิศทางการเติบโตของธุรกิจในแต่ละปีไว้ไม่ต่ำกว่า 20% ซึ่งปีนี้คาดว่าจะมียอดขายเกินกว่า 10,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน ส่วนแผนงานในปีหน้านั้นอยู่ระหว่างการดำเนินการ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการบริษัทในช่วงต้นเดือนมกราคม 2553
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนสำหรับปีหน้าในเบื้องต้น อาทิ การลงทุนพัฒนาโครงการใน จ.เชียงใหม่ เนื้อที่โครงการ 60 ไร่ ราคากว่า 2 ล้านบาท การเปิดตัวคอนโดมิเนียมสูง 39 ชั้น ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บนเนื้อที่ 14 ไร่ ถนนเจริญนคร กว่า 900 ยูนิต ราคา 2 ล้านบาทเศษ มูลค่า 4,000 ล้านบาท และทั้งปีได้กำหนดแผนเปิดตัวโครงการใหม่กว่า 10 โครงการ ทั้งคอนโดมิเนียม บีโอไอ ย่านถนนบางนา และทาวน์เฮาส์ บีโอไอ ย่านรังสิต ราคาประมาณ 1.2 ล้านบาท เป็นต้น
ขณะที่นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แผนธุรกิจในเบื้องต้นของบริษัทสำหรับปีหน้า วางไว้ว่าจะเปิดตัวโครงการใหม่ 8-10 โครงการ มูลค่า 13,000-15,000 ล้านบาท โดยยังคงยึดพื้นที่ทำเลที่ตั้งเดิมของโครงการที่เปิดตัวในปีนี้ เพื่อพัฒนาโครงการต่อเนื่อง อาทิ บางแค, พระราม 9 จำนวน 2 โครงการที่จะเปิดตัวในช่วงเดือนมกราคม เป็นต้น ขณะเดียวกันก็จะมีการหาทำเลใหม่เพื่อพัฒนาโครงการด้วย เช่น ถนนแจ้งวัฒนะ
"ปีหน้าบริษัทคงเปิดตัวโครงการใหม่ช่วงต้นปีจำนวนมาก เพราะมีเรื่องของมาตรการด้านการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอน และบริษัทก็มีแผนที่จะพัฒนาโครงการบ้านบีโอไอด้วย ซึ่งขณะนี้กำลังคิดโมเดลของโครงการอยู่ เชื่อว่าตลาดคอนโดมิเนียมปีหน้าจะคึกคักมากขึ้น เพราะมีผู้ประกอบการหลายรายที่จะเข้ามาทำ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเอพี แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ศุภาลัย เป็นต้น ซึ่งกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่จะเข้ามาเยอะขึ้น ปีหน้าตลาดคอนโดมิเนียมระดับราคา 1-3 ล้านบาทจะมีความต้องการสูง" นายโอภาส กล่าว
นายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้าเชื่อว่าจะเติบโตอย่างน้อย 5% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีธุรกิจอสังหาฯ จะมีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท หากพิจารณาจากปัจจัยบวกไม่ว่าจะเป็นภาวะการท่องเที่ยวที่เริ่มดีขึ้น คำสั่งซื้อของภาคการส่งออก อัตราการว่างงานที่ไม่มากเท่ากับประเมินไว้ช่วงต้นปีว่าจะมีถึง 2 ล้านคน ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการว่างงานเพียง 4 แสนคนเท่านั้น แต่หากมีปัจจัยปัญหาด้านการเมืองเข้ามา ก็อาจจะทำให้ธุรกิจอสังหาฯ ไม่เติบโตตามที่คาดหมายไว้ได้เช่นเดียวกัน
"ปีหน้าจำนวนหน่วยของโครงการเปิดใหม่จะมีมาก โดยเฉพาะกลุ่มบ้านบีโอไอ และบ้านระดับราคา 1-1.2 ล้านบาท เพราะเริ่มเห็นสัญญาณการเข้ามาลงทุนในตลาดกลุ่มนี้เยอะขึ้น ของผู้ประกอบการรายใหญ่ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของบ้านกานดาเองก็มีแผนจะลงทุนในโครงการต่างๆ อย่างน้อย 1,500 ล้านบาท ทั้งโครงการเดิมขยายเฟสใหม่ 4 โครงการ และโครงการใหม่อีก 3 โครงการด้วย" นายอิสระ กล่าวในตอนท้าย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

***********
02/12/52
3หุ้นรับเหมาพาเหรดเพิ่มทุน
พ.ย.เดือนเดียว 3 ธุรกิจรับเหมาประกาศเพิ่มทุนเฉียด 2,000 ล้าน CK เจ้าเดียวระดม 1,100 ล้าน เตรียมทุนรับงานใหม่ปี 2553

จากการรวบรวมมติที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในช่วงเดือนพ.ย. 2552 พบว่ามีบริษัทที่ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างถึง 3 บริษัท คือ บริษัท ช.การช่าง (CK) บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น (ASCON) และบริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง (PLE) ประกาศจะเพิ่มทุนจดทะเบียน โดยเสนอขายหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นเดิม มีมูลค่าระดมทุนรวมทั้งสิ้น 1,745 ล้านบาท
ล่าสุด CK เพิ่มทุนจาก 1,446.01 ล้านบาท เป็น 1,652.58 ล้านบาท โดยออกหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 206.57 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาท โดยขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 7 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคา 5.34 บาท เป็นเงินรวม 1,103 ล้านบาท

ขณะที่ PLE ขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 546.14 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท เป็นเงิน 546.14 ล้านบาท และ ASCON ขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 33 ล้านบาท ในสัดส่วน 10 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคา 3 บาท เป็นเงินรวม 99 ล้านบาท

นายวรพจน์ อุชุไพบูลย์วงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบัญชีและการเงิน CK เปิดเผยว่า เม็ดเงินที่จะได้จากการขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ 1,103 ล้านบาท บริษัทจะนำไปใช้เป็นเงินทุนในการลงทุนโครงการใหม่ในปี 2553 เช่น โครงการการพัฒนาและก่อสร้างเขื่อนแบบฝายน้ำล้นบนแม่น้ำโขง ณ บริเวณจังหวัดไซยะบุรี สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2553

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวผลิตไฟฟ้า 1,260 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าขนาด 10 กังหัน สามารถผลิตพลังงานรวมทั้งสิ้น 7,400 กิกะวัตต์ต่อปี

นอกจากนี้ ยังเตรียมเงินทุนไว้ประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ ระยะทาง 27 กิโลเมตร ซึ่งคณะรัฐมนตรีเพิ่งมีมติอนุมัติเพิ่มกรอบวงเงินก่อสร้างไปเมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยเป็นวงเงินที่เกี่ยวกับงานโยธา วงเงิน 5.24 หมื่นล้านบาท และคาดว่าจะเปิดประมูลว่าจ้างผู้รับเหมาในปีหน้า และเตรียมเงินไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

วานนี้ ราคาหุ้น CK ปรับตัวขึ้นตามตลาดโดยรวม ปิดที่ 5.95 บาท บวก 0.15 บาท หรือ 2.59% และ PLE ปิดที่ 1.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.03 บาท หรือ 2.19%
posttoday
********
30/11/52
จับตาต้นปียอดขายบ้านทะลัก ตัวแปรรัฐไม่ต่อมาตรการฯ เอกชน-แบงก์อัดแคมเปญกระตุ้น
เรียลตี้เวิลด์ ชี้ ไตรมาสแรกปี 53 ตลาดแข่งดุ ผู้ประกอบการแห่ออกแคมเปญกระตุ้นการขายระบายสต๊อกก่อนหมดมาตรการภาษี เชื่อยอดขายไตรมาสแรกปีหน้าสูงกว่าปลายปีนี้ หลังผู้บริโภคเร่งซื้อ-โอนก่อนสิ้น มี.ค. เพื่อรับประโยชน์จากมาตรการ

นายวิศิษฐ์ คุณาทรกุล ประธานและกรรมการผู้จัดการบริษัท เรียลตี้ เวิลด์ อัลไลแอนซ์ จำกัด กล่าวว่า การปรับตัวของเศรษฐกิจในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้ในช่วงไตรมาส 3 เป็นต้นมา ตลาดอสังหาฯเริ่มมีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยเฉพาะตลาดบ้านใหม่ ซึ่งมีอัตราการฟื้นตัวที่ดีมาก เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากมาตรภาษีจากภาครัฐ อัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ สภาพคล่องในระบบที่มีอยู่จำนวนมากทำให้สถาบันการเงินแข่งขันปล่อยสินเชื่อในภาคธุรกิจมากขึ้น

ทั้งนี้ การเน้นปล่อยสินเชื่อในกลุ่มธุรกิจอสังหาฯของสถาบันการเงิน เนื่องจากเป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำเมื่อเทียบกับสินเชื่อประเภทอื่นๆ ส่งผลให้การฟื้นตัวของภาคอสังหาฯเป็นไปในทิศทางที่ดี ทำให้บ้านใหม่ได้ รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มผู้บริโภค โดยตลาดที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุดของปีนี้ ยังคงเป็นคอนโดมิเนียม และทาวน์เฮาส์

โดยในปีนี้คาดว่ายอดขายรวมของที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดฯจะมีจำนวนสูงถึง 140,000 หน่วย แบ่งเป็นคอนโดฯใหม่ 70,000 หน่วย และเป็นคอนโดฯมือสอง 70,000 หน่วย อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในปีหน้าตลาดคอนโดฯจะยังขยายตัวต่อเนื่อง แต่คอนโดฯที่เกิดใหม่จะมีราคาขยับสูงขึ้นจากปีนี้ สังเกตได้จากในปีที่ผ่านมาโครงการคอนโดฯที่เกิดขึ้นใหม่ มีราคาขายที่สูงขึ้นกว่าโครงการที่มีการเปิดตัวไปก่อนหน้า

“ในปีนี้โครงการคอนโดฯที่เกิดใหม่ ไม่มีโครงการไหนที่มีราคาขายเริ่มต้นที่ 500,000 บาท แต่ส่วนใหญ่โครงการที่เกิดใหม่จะมีราคาว่า 700,000 บาท สะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนว่าโครงการที่พัฒนาใหม่มีราคาขายที่ขยับตัวสูงขึ้น”

นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มตลาดในปี53 คาดว่าจะขยายตัวสูงกว่าในช่วงต้นปีและปลายปี52 นอกจากนี้ อัตราการแข่งขันก็จะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรก ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ประกอบการจะเร่งระบายสินค้าออกให้มากที่สุด เพื่อให้ทันต่อการมอบโอนก่อนหมดสิ้นเดือน มี.ค. 53 ซึ่งมาตรการด้านภาษีจะหมดอายุลง

ทั้งนี้ มั่นใจว่าในช่วงต้นปีหน้ายอดขายที่อยู่อาศัยจะปรับตัวสูงกว่าช่วงปลายปี52 เพราะการสนับสนุนของภาครัฐ ทั้งในด้านภาษีที่จะหมดอายุลง และการสนับสนุนให้สถาบันการเงินปล่อยกู้ในภาคธุรกิจของรัฐบาล นอกจากนี้ ยังเป็นช่วงเริ่มต้นการกระจายเม็ดเงินเข้าสู้โครงการก่อสร้างต่างๆ ในโครงการไทยเข้มแข็งด้วย ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะช่วยสร้างให้เกิดความเชื่อมั่น ทั้งในกลุ่มนักลงทุนในประเทศต่างประเทศ และผู้บริโภค

“ขณะนี้ ยังไม่ชัดเจนเรื่องการต่อมาตรการภาษีภาคอสังหาฯ ซึ่งผู้ประกอบการคาดว่ามาตรการจะไม่ได้รับการต่ออายุ ทำให้ภาคอสังหาฯจะมีการอัดแคมเปญกระตุ้นการขายอย่างพร้อมเพียงกัน และดุเดือดกว่าในปีนี้ นอกจากนี้ ในส่วนของผู้บริโภคเองก็จะเร่งตัดสินใจซื้อและโอนให้ได้ก่อนสิ้นเดือน มี.ค.53 จะมีผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ และการขยายตัวของจีดีพี ซึ่งจะส่งผลต่ออัตราการขยายตัวโดยรวมของจีดีพีในปี 53 ด้วย”
manager online
***************
30/11/52
คาดอสังหาฯไทยไม่ได้รับผลกระทบจากดูไบโดยตรง
เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท คาด การขอพักชำระหนี้ของดูไบเวิร์ลไม่กระทบธุรกิจอสังหาฯไทยโดยตรง เพราะไม่ได้มีผู้เข้าไปลงทุนมากนัก
ประธานกรรมการ ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการขอพักชำระหนี้ของบริษัทดูไบเวิร์ลว่า ได้สร้างความตื่นตระหนก เพราะหนี้จำนวนดังกล่าวมีค่าเท่ากับงบประมาณแผ่นดินไทยทั้งปี บริษัทดังกล่าวมีหนี้รวมกันถึง 2.64 ล้านล้านบาท และเป็นบริษัทของสหรัฐอาหรับเอมิเร็ตที่ดำเนินโครงการเดอะปาล์มและเดอะเวิร์ล ซึ่งเป็นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่หรูเลิศ

ทั้งนี้ สหรัฐอาหรับเอมิเร็ตมีขนาดที่ดินประมาณ 1 ใน 6 ของไทย แต่มีประชากรเพียง 4.8 ล้านคน มีรายได้ประชาชาติประมาณ 6.9 ล้านล้านบาท ในขณะที่ไทยมีรายได้ประชาชาติประมาณ 18.1 ล้านล้านบาท หรือมีขนาดเศรษฐกิจประมาณหนึ่งในสามของไทย แต่หากพิจารณารายได้ต่อหัว ถือว่าประเทศนี้มีรายได้ต่อหัวสูงมาก ประเทศนี้มีหนี้ถึง 40.7% of ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ

การเติบโตของดูไบมีมาตั้งแต่ปี 2546 โดยในช่วงนั้นคาดว่าจะมีความต้องการที่อยู่อาศัยถึง 85,000 หน่วย แต่ ณ ปี 2552 กลับพบว่าได้สร้างที่อยู่อาศัยเกินไปถึงเกือบ 40,000 หน่วย หรือถ้าในกรณีเลวร้ายสุดขีด อุปทานส่วนเกินอาจสูงถึง 90,000 หน่วย ในปี 2546 ยังมีการประมาณว่าความต้องการห้องพักโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวจะมีถึง 75,000 ห้อง เทียบกับการคาดการณ์เดิมในช่วงแรกที่ 15,000 ห้อง แต่ปรากฏว่าขณะนี้ห้องพักในโรงแรมต่าง ๆ ลดต่ำลงเหลือประมาณครึ่งหนึ่งถึงหนี่งในสามของค่าห้องพักในปี 2550 อาจกล่าวได้ว่าในช่วงแรกของการบูมนั้น อะไรต่าง ๆ ก็ดูดีไปหมด เนื่องจากราคาค่าเช่าหรือราคาขายต่ำกว่าความเป็นจริง มีการส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ ตลอดจนมีนักลงทุนนำเงินมา “เสี่ยงโชค” ปั่นราคากันมหาศาล

จากข้อมูลล่าสุด ในเดือนพฤศจิกายน 2552 มีโครงการที่หยุดหรือชะลอการก่อสร้างไปถึง 400 โครงการ รวมมูลค่าถึง 9.9 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 5 เท่าของงบประมาณแผ่นดินไทยเลยทีเดียว ราคาอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ก็ทยอยตกต่ำลงมาตั้งแต่ปลายปี 2551 แล้ว แต่ในประเทศไทย แม้จะได้ข่าว แต่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกอะไรมาก จนกระทั่งมีข่าวการพักชำระหนี้ดังกล่าว เครื่องชี้ภาวะความเสื่อมทรุดอีกอย่างหนึ่งก็คือคนที่ไปเดินดูงานนิทรรศการอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ในเดือนตุลาคม 2552 กลับลงลงไปกว่าการครึ่งจากที่ได้เดินทางไปดูงาน ณ ปีก่อนหน้า

ดร.โสภณ ได้กล่าวเพิ่มเตมิว่า อันที่จริงวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ในตะวันออกกลาง ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในดูไบ แต่เกิดขึ้นในนครอื่นๆทั่วภูมิภาคนี้เช่นกัน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคนี้ยังมีอายุการพัฒนาน้อย และไม่มีการคุ้มครองผู้ซื้อเท่าที่ควร การลงทุนอาศัยกระแสการปั่นและการเพิ่มขึ้นของราคาอย่างค่อนข้างไร้เหตุผลและปัจจัยพื้นฐานรองรับ ซึ่งเป็นที่รับรู้ทั่วไปมาตั้งแต่แรก แต่ก็มีคนสนใจลงทุนกันมากมาย

ผลของการนี้ ทำให้โครงการที่ก่อสร้างอยู่หยุดไป และคงกลายเป็นเมืองที่มีอาคารค้างคาไว้เต็มไปหมด และโดยที่งานน้อยลง อาคารที่สร้างเสร็จ ก็อาจไม่ค่อยมีผู้เข้าอยู่อาศัย และกลายสภาพเป็น “เมืองผีสิง” ที่มีแต่อาคารว่างเปล่า ระบบขนส่งมวลชนจำนวนมากก็คงยังไม่สำเร็จ ทำให้การคมนาคมขนส่งยิ่งเป็นปัญหา และโดยที่อาคารและโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ไม่มีผู้เข้าอยู่อาศัยเท่าที่ควร การดูแลสาธารณูปโภคจะยิ่งทำได้ยาก คาดว่าอาคารอีกจำนวนมากที่จะต้องร้างเพิ่มขึ้น สาธารณูปโภคที่ขาดการดูแล จะยิ่งทำให้ราคาทรัพย์สินตกต่ำลงอย่างขนานใหญ่และต่อเนื่อง คาดว่าราคาอสังหาริมทรัพย์จะตกต่ำลงอย่างหนักและยาวนาน คล้ายกับกรณีญี่ปุ่นที่ตกต่ำลงตั้งแต่ปี 2533 – 2549 รวมระยะเวลาถึง 16 ปีอย่างต่อเนื่อง หรืออาจตกต่ำลงมากกว่าญี่ปุ่นเสียอีก

การล้มลงของดูไบ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการดึงเงินกลับของประเทศในภูมิภาคอื่นที่มาลงทุนและขาดทุนที่บ้านเกิด ขณะนี้จึงอยู่ในภาวะที่เกิด “พายุ” การแห่ขาย ไม่ใช่การแห่ซื้อเช่นแต่ก่อน และเมื่อรัฐบาลและภาคเอกชนในดูไบไม่สามารถพัฒนาต่อไป ทรัพย์สินก็จะด้อยคุณภาพลง มูลค่าทรัพย์สินจะยิ่งเสื่อมทรุดลงอย่างหนัก ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ราคาทรัพย์สินลดลงไปแล้วถึง 50% ซึ่งเป็นการลดลงต่ำกว่าในสหรัฐอเมริกาเสียอีก และมีความเป็นไปได้ที่ราคาทรัพย์สินอาจลดลงเหลือเพียง 20% ของราคาที่เคยขี้นสูงสุดก็เป็นได้ และยิ่งกว่านั้นสถานการณ์จะยิ่งเป็นเหมือนลูกโซ่ ที่เมื่อดูไบประสบปัญหาจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก ก็ยิ่งทำให้ผู้ลงทุนในดูไบขาดทุนหนักมากยิ่งขึ้น ประเทศที่ยิ่งไปลงทุนหนัก ก็ยิ่งสูญเสียมาก ทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้าลงไปอีก

สำหรับประเทศไทยคาดว่าคงไม่ได้รับผลกระทบโตยตรง เพราะคงไม่ได้มีผู้เข้าไปลงทุนมากนัก ยกเว้นกลุ่มผู้รับเหมา หรือกลุ่มนักวิชาชีพต่าง ๆ ผลกระทบของไทยคงเกิดในทางอ้อมมากกว่า เพราะเมื่อเศรษฐกิจของโครงการได้รับผลกระทบจากกรณีดูไบ ก็ทำให้กำลังซื้อที่จะมายังประเทศไทยน้อยลง แต่โดยที่ไทยได้รับความกดดันจากวิกฤติการเมืองภายในประเทศ ทำให้โอกาสการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยต่ำกว่าที่ควรอยู่แล้ว ผลกระทบเลวร้ายจึงไม่ค่อยปรากฏให้เห็น

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทยขณะนี้เน้นเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัย กลุ่มอื่น ๆ เช่น สำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม แทบไม่ได้เกิดใหม่อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีผลกระทบ ในส่วนของอาคารชุดอาศัยราคาแพง หรืออสังหาริมทรัพย์ตากอากาศ อาจมองผลกระทบเป็น 2 สมมติฐาน คือในสมมติฐานแรก อาจมีคนมาซื้อในประเทศไทยมากขึ้น เพราะดูไบเกิดปัญหาขึ้น แต่ในอีกสมมติฐานหนึ่งที่พึงมองก็คือ วิกฤติดูไบส่งผลทางลบต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม ดังนั้นกำลังซื้อที่จะมายังประเทศไทยจึงแผ่วเบาลงด้วย ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส เห็นว่าน่าจะเป็นไปตามสมมติฐานหลังมากกว่า
krungthepturakij
*************
27/11/52
สินเชื่อบ้านบูมส่งท้ายปี มาตรการลดภาษีใกล้จบ
ทันหุ้น – แบงก์เตรียมโกยสินเชื่อบ้าน เชื่อไตรมาส 4 ลูกค้าแห่ขอสินเชื่อแน่น เหตุใกล้หมดมาตรการกระตุ้น จากการนำเงินต้นไปลดภาษี SCB โว 10 เดือนยอดปล่อยกูบ้านโต 4 หมื่นล้านบาท ด้าน KBANK เผย 10 เดือน กวาดสินเชื่อ 2.6 หมื่นล้านบาท คุยอีก 2 เดือนคว้าอีก 6 พันล้านบาท
นายรุ่งเรือง สุขเกิดกิจพิบูล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) SCB เปิดเผยว่า
มาตราการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์โดยให้ผู้กู้ซื้อที่อยู่อาศัยนำเงินต้น3แสนบาทมาลดหย่อนภาษีที่จะหมดอายุภายในปีนี้นั้น ส่วนตัวมองว่าในช่วงที่แหลือของปีนี้จะเริ่มมีกลุ่มลูกค้าเริ่มทยอยกู้ซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้นซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้สินเชื่อของธนาคารเป็นไปตามเป้ามากขึ้นด้วย ส่วนในกรณีมาตรการเว้นค่าโอนที่อยู่อาศัยที่จะหมดอายุภายในเดือน มีนาคม 2553 นั้นส่วนตัวยังไม่สามารถประเมินได้เพราะเป็นการประมาณการที่ไกลเกินไปอย่างไรก็ตามคาดว่ารัฐบาลจะไม่ต่ออายุมาตราการดังกล่าวแต่จะหามาตราการอื่นมาใช้แทน
โดย ช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารเพิ่มมาที่ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าสิ้นปีจะสามารถปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยอยู่ที่ 5.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2551 ที่ปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ 5.4 หมื่นล้านบาท ขณะที่สินเชื่อคงค้างปีนี้อยู่ที่ 2.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่อยู่ 2 แสนล้านบาท หรือเติบโต 5-10% ส่วนสินเชื่อใหม่ที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยนั้นเนื่องจากในช่วงต้นปีเป็นช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว
นายชาติชาย สุนทรเกียรติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) KBANKกล่าวว่ามาตราการภาษีว่า รัฐบาลจะไม่ต่ออายุภาษีเงินต้น 3 แสนล้านบาทที่จะหมดอายุภายในปีนี้ เพราะฉะนั้นในช่วงท้ายปีจะเริ่มมีกลุ่มลูกค้าโอนที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันเชื่อว่าทางรัฐบาลจะต่ออายุมาตรการเว้นค่าโอนที่จะหมดอายุในเดือนมีนาคม 2553 เพื่อเป็นการกระตุ้นความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น
สำหรับการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 2.5-2.6 หมื่นล้านบาทและในช่วง 2 เดือนที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อเพิ่มได้อีกอย่างน้อย 6 พันล้านบาท เนื่องจากการที่เศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้นส่งผลให้ความต้องการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยทรงตัวอยู่ในระดับต่ำส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น
โดยปีนี้คาดว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่อยู่ที่ 3.1-3.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งสินเชื่อจะเติบโตสุทธิอยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านบาทหรือเติบโตอยู่ที่ 10% ขณะที่สินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 1.25 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีสินเชื่อคงค้างอยู่ที่1.13แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเป้าที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปีที่สินเชื่อเติบโตเพียง 5% ขณะที่สินเชื่อที่อยู่อาศัยในระบบคาดเติบโตเพียง 6-7%เท่านั้น
ซึ่งสินเชื่อใหม่ที่เริ่มเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมานั้น ครึ่งหนึ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการของผู้ประกอบการที่เป็นพันธมิตรกับทางธนาคารและอีกครึ่งหนึ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อให้กับรายย่อยทั่วไป ซึ่งปัจจุบันธนาคารมีพันธมิตรที่เป็นผู้ประกอบการมากกว่า 100 บริษัท ซึ่งแบ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) 30 บริษัท
ทั้งนี้คาดว่าในปี 2553 ธนาคารจะมีพันธมิตรที่เป็นผู้ประกอบการมากขึ้นซึ่งเป็นทั้งผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดและไม่ได้จดทะเบียนในตลาดซึ่งคาดว่าจะมีพันธมิตรไม่น้อยกว่า 200 บริษัท เพราะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มขยายตัวดีขึ้น เพราะฉะนั้นมั่นใจว่าในปี 2553 สินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารจะเติบโตมากกว่า 10%อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกันในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นในปี 2553 และสภาพคล่องในระบบยังทรงตัวสูงนั้น ส่วนตัวเชื่อว่าจะยังไม่เห็นการเข้า “เก็งกำไร” ที่อยู่อาศัยเนื่องจากหลังจากการเข้าสำรวจพบว่าดัชนีราคาที่อยู่อาศัยไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงเร็ว ซึ่งเฉลี่ยแล้วราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นเพียง 4-5%ต่อปีเท่านั้น เพราะฉะนั้นการซื้อที่อยู่อาศัยในปัจจัยจะเป็นการซื้อเพื่ออยู่ไม่ใช่ซื้อเพื่อ “เก็งกำไร”
thunhoon.com
***********
27/11/52
รัฐเข้มคุม 1 ปี สกัด แร่ใยหินผลิตสินค้า
ธุรกิจ กระเบื้องมุงหลังคา-ไม้ฝา -ผ้าเบรก คลัตช์ อ่วมหลังผู้แทนองค์กรผู้บริโภคทั่วประเทศ เห็นพ้องให้ยกเลิกนำแร่ใยหินมาเป็นวัตถุดิบผลิตสินค้า
ธุรกิจ กระเบื้องมุงหลังคา-ไม้ฝา -ผ้าเบรก คลัตช์ อ่วมหลังผู้แทนองค์กรผู้บริโภคทั่วประเทศ เห็นพ้องให้ยกเลิกนำแร่ใยหินมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้า หวั่นเป็นผลร้ายต่อสุขภาพผู้บริโภค พร้อมชงเรื่องลงในประกาศเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลากที่ล่าสุดรอประกาศในราชกิจจานุเษกษา

วานนี้ (26 พ.ย. 2552) ผู้แทนจากองค์กรผู้บริโภคทั่วประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประชุมพร้อม ให้ความเห็นต่อกรณีประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2552 เรื่องให้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก ซึ่งขณะนี้รอลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ที่ประชุมมีความเห็นที่ตรงกัน ว่า เมื่อผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบหรือนำเอาวัตถุดิบดังกล่าวมาใช้ในกระบวนการ ผลิตนั้นมีผลร้ายแรงต่อสุขภาพ ดังนี้ 1.ห้ามนำเข้าวัตถุดิบประเภทแร่ใยหิน 2.ไม่ให้มีสินค้าที่ผลิตและมีส่วนประกอบของแร่ใยหินภายใน 1 ปี 3.ลดภาษีนำเข้าวัสดุหรือวัตถุดิบที่ใช้ทดแทนแร่ใยหินให้เหลือ 0% จากปัจจุบันผู้นำเข้าต้องเสียภาษีนำเข้าอยู่ประมาณ 30% และต้องระบุว่า วัตถุดิบที่นำมาทดแทนนั้นจะต้องไม่มีผลร้ายต่อสุขภาพ

4.และเสนอให้หน่วยงานของภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขนั้นจะต้องผลักดันหรือนำเสนอต่อองค์การอนามันโลก (WHO) ในการผลักดันการคุ้มครองผู้บริโภคจากผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินให้เป็นมาตรฐานสากล

และ 5.จะต้องมีการทำประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องผ่านช่องทางสื่อสารต่างๆ ที่จะสื่อให้ข้อมูลหรือความรู้แก่ประชาชน ถึงอันตรายหรือผลกระทบที่จะเกิดจากผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหิน เป็นต้น โดยแนวทางหรือข้อเสนอต่างๆ ดังกล่าว จะมีการรวบรวมและนำเสนอเพื่อประกาศลงในราชกิจจานุเษกษาด้วย

นางชื่นสุข เมธากุลวัฒน์ ผู้อำนวยการกองคุ้มครองผู้บริโภคด้านฉลากสำนักงานนคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยว่า ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2552 เรื่องให้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินเป็นสินค้าที่ที่ควบคุมฉลาก ได้ส่งเรื่องไปประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาแล้วและขณะนี้รอประกาศ โดยหลังลงประกาศในราชกิจจานุเษกษาจะต้องรออีก 120 วัน ประกาศดังกล่าวถึงจะมีผลบังคับใช้

สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหิน เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับเป็นสารเสียดทาน เช่น ผ้าเบรก และผ้าคลัตช์ และผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมก่อสร้างประเภทกระเบื้องมุงหลังคา กระเบื้องยาง ไม้ฝา ท่อน้ำ ซึ่งขณะนี้ยังพบว่ามีการนำแร่ใยหินมาใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ ทั้ง นี้ เมื่อประกาศดังกล่าวมีผลบังคับใช้ ผู้ประกอบการ ระบุข้อความคำเตือน ,คำแนะนำ และภาพตราสัญลักษณ์ ที่เป็นมาตรฐานที่ระบุไว้ในประกาศเพื่อแจ้งให้ผู้บริโภครับทราบด้วย

แหล่งข่าวจากผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องมุงหลังคา กล่าวว่า การที่มีการออกประกาศเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลากนั้น ยอมรับว่ากระทบต่อผู้ผลิตและจำหน่ายในหลายด้าน และขณะนี้ก็มีผู้ผลิต 3 ราย คือ กระเบื้องโอฬาร, ตราเพชร และมหพันธ์ ได้ร่วมกันและอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลหรือรายละเอียดต่างเพื่อเสนอต่อ หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ประกอบในการพิจารณาก่อนที่จะประกาศลงในราชกิจจานุเษกษา ทางด้านผู้ประกอบการผ้าเบรกแหล่งข่าวระบุ ว่า มีผู้ผลิตรายย่อยเท่านั้น ที่ยังใช้ส่วนผสมของแร่ใยหิน ส่วนผู้ผลิตรายใหญ่ได้ปรับไปใช้ส่วนผสมทดแทนแล้ว

ปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าแร่ใยหินเป็นอันดับ 4 ของโลกเฉลี่ยต่อปีอยู่ประมาณ 1 แสนตัน ซึ่งลดลงจากช่วงก่อนหน้านี้ที่นำเข้าไม่น้อยกว่า 2 แสนตัน/ปี เหตที่นำเข้าลดลงนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ผลิตรายใหญ่เครือซิเมนต์ไทยได้ยก เลิกการนำเอาแร่ใยหินมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ และแร่ใยหินที่นำเข้ามานั้น 90-95% นำมาใช้กับภาคผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการก่อสร้าง
krungthepturakij
*********
26/11/52
อสังหาฯหวั่นซัพพลายล้น หากลงทุนรถไฟฟ้ารัฐยืดเยื้อ
การฟื้นตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ หลังจากที่ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมส่งสัญญาณในทางบวก

เมื่อตัวเลขการขยายตัวติดลบลดลง และคาดหมายกันว่าจะกลายเป็นบวกได้ในไตรมาสสุดท้ายของปีไปจนถึงปีหน้า แม้ว่าปัญหาการเมืองจะเป็นประเด็นที่ยังน่าหวั่นวิตก แต่เมื่อไม่สามารถสลัดให้หลุดพ้นไปได้ ที่สุดแล้วก็ต้องทำใจอยู่กับปัจจัยลบความเสี่ยงธุรกิจดังกล่าวอย่างระมัดระวัง

ในช่วงครึ่งปีหลังของปี จึงได้เห็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ขยับลงทุนเปิดโครงการใหม่กันอย่างคึกคัก หลังจากที่ชะลอการลงทุนเอาไว้ในช่วงต้นปี และหลายๆ โครงการ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับกลาง ก็ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้ซื้อด้วยยอดขายที่ถล่มทลาย และคาดว่าเศรษฐกิจที่กำลัง อยู่ในช่วงของการพลิกฟื้นเชื่อกันว่าพ้นจากจุด ต่ำสุดแล้ว จะเป็นแรงส่งให้เกิดการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นอีกมากมายในปีหน้า

แต่ในขณะที่ทุกฝ่ายกำลังตื่นเต้นกับการลงทุนใหม่ตามจังหวะเศรษฐกิจช่วงขาขึ้นนั้น อาจจะเป็นการสร้างกับดักใหม่ให้กับตัวเองอย่างไม่รู้ตัว

เมื่อสัญญาณบางอย่างบ่งชี้ว่าสินค้าบางประเภท บางพื้นที่ อาจจะเกิดปัญหาโอเวอร์ซัพพลายขึ้นได้ในอนาคต รวมไปถึงภาวะการเก็งกำไร การลงทุนระยะสั้นในตลาดคอนโดมิเนียม เริ่มก่อหวอดขึ้นมาอีกครั้งและอาจจะลุกลามกลายเป็นการเกิดฟองสบู่ขึ้นมาได้อีกคำรบ แม้จะไม่รุนแรงเท่ากับฟองสบู่ในยุควิกฤตเศรษฐกิจปี 2540

จากผลสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่เปิดขายอยู่ในช่วงครึ่งแรกปี 2552 พบว่ามีโครงการทั้งแนวราบ และคอนโดมิเนียมที่ยังมีจำนวนหน่วยขายเกินกว่า 6 หน่วย รวมกันทั้งสิ้น 1,190 โครงการ คิดเป็น 2.9 แสนหน่วย มูลค่าโครงการรวม 9.1 แสนล้านบาท ปัจจุบันโครงการเหล่านี้มียอดขายแล้ว 1.8 แสนหน่วย ยังเหลือหน่วยรอขายอีก 1.1 แสนหน่วย และเมื่อรวมกับโครงการที่เปิดตัวใหม่ในครึ่งปีหลังอีก 2.3 หมื่นหน่วย ทำให้หน่วยรอขายที่ส่วนใหญ่จะตกค้างไปยังปีหน้าและปีต่อๆ ไป อีก 1.3 แสนหน่วย

จำนวนบ้านรอการขาย 1.3 แสนหน่วย แม้ว่าจะยังห่างไกลจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่มีกว่า 3 แสนหน่วย แต่เมื่อไปรวมกับโครงการลงทุนใหม่ๆ ที่ได้ทยอยเปิดตัวกันคึกคักรับกับสภาพเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวในปีหน้าแล้ว ถือว่าจำนวนซัพพลายในตลาดจะยังคงมีอยู่อีกจำนวนไม่น้อย หากกำลังซื้อใหม่ยังไม่สามารถฟื้นตัวรับได้ทันอาการชอร์ตก็ อาจเกิดขึ้นได้ไม่ยากนัก

อย่างไรก็ตาม นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ยังเชื่อว่า ตลาดบ้านในปี 2553 น่าจะขยายตัวดีขึ้นกว่าปี 2552 แต่พอปี 2554 อาจจะมีปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้ตลาดบ้านชะลอตัวลง นั่นคือความไม่แน่นอนของโครงการรถไฟฟ้าที่รัฐบาลเดินหน้าลงทุนอยู่ในขณะนี้ หากการเมืองพลิกผัน แผนการต่างๆ อาจจะล่าช้าหรือปรับเปลี่ยนใหม่ได้

โครงการบ้านที่เปิดตัวรับกับแนวรถไฟฟ้าจำนวนมาก อาจมีปัญหาในด้านกำลังซื้อที่ชะลอตัวลงหากโครงการรถไฟฟ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยที่จะเริ่มขยับตัวในปีหน้าอาจจะทำให้การขายเริ่มฝืดลงในช่วงครึ่งปีหลังได้เช่นกัน เมื่อกำลังซื้ออาจจะหดตัวลง ในขณะที่มีการเปิดตัวใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายในปี 2553-2554 ก็อาจจะ เกิดปัญหาโอเวอร์ซัพพลายในตลาดได้ในระยะ 2 ปีข้างหน้า

ขณะที่การเก็งกำไรในตลาดคอนโดมิเนียมก็มีโอกาสที่จะขยายวงกว้างมากขึ้นได้เช่นกัน เมื่อตลาดทุนในภูมิภาคเอเชียกำลังเฟื่องฟูและเงินส่วนหนึ่งจะไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ผนวกกับนักลงทุนในประเทศที่ถอนเงินออมมาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ยังรู้สึกเพลิดเพลินกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เห็นได้จากการเปิดตัวคอนโดมิเนียมบางทำเลขายหมดเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่รูปแบบการซื้อจะเปลี่ยนจากการเก็งกำไรระยะสั้น ไปสู่การซื้อเพื่อลงทุนในระยะยาวขึ้น

อย่างไรก็ตาม หากความนิยมคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้าขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ดินในเขตเมืองเหลือน้อยลงเต็มที โอกาสที่ราคาคอนโดมิเนียมจะขยับสูงขึ้นทำให้ช่องทางที่นักลงทุนจะหันกลับมาเก็งกำไรระยะสั้นก็เปิดกว้างขึ้นด้วยเช่นกัน เมื่อผลตอบแทนที่ได้เป็นกอบเป็นกำ และรวดเร็วกว่าการปล่อยเช่าแน่นอน

ประเด็นการเก็งกำไร และการปั่นราคาคอนโดมิเนียม จนอาจเกิดปัญหาฟองสบู่ขึ้นในตลาดคอนโดมิเนียมในอนาคต จึงยังไม่สามารถตัดทิ้งได้อย่างเด็ดขาด แม้ว่าผู้ประกอบการคอนโดมิเนียมจะยืนยันหนักแน่นว่าสภาวะการเก็งกำไรในตลาดคอนโดมิเนียม แม้จะมีอยู่แต่ยังไม่มีนัยที่จะทำให้เกิดปัญหากับตลาดได้ก็ตาม

แม้ว่าวันนี้ปัญหาโอเวอร์ซัพพลายและการปั่นฟองสบู่ในตลาดคอนโดมิเนียม จะเป็นเพียงสัญญาณที่บางเบาในคลื่นความถี่ต่ำ แต่ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้เช่นกันว่าจะไม่มีทางเกิดขึ้น ตราบใดที่ธุรกิจยังเป็นเรื่องของการลงทุนที่ควรจะได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด โอกาสที่จะเกิดขึ้นจึงยังคงมีอยู่แน่นอน
krungthepturakij
***********
25/11/52
เอกชนวอนรัฐต่ออายุมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ

Posted on Wednesday, November 25, 2009
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ ประธานกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) บอกว่า แม้ขณะนี้ผู้ประกอบการจะยังคงมี
สต๊อกที่อยู่อาศัยเหลืออยู่จำนวนมาก แต่ความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชนก็ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม เนื่องจากมาตรการภาษีกระตุ้นอสังหาฯของรัฐ และอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้นแล้ว และในปีหน้าเชื่อว่า ยอดขายอสังหาฯ จะเพิ่มมากขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการสร้างอุปทานให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว

ด้านนายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร บอกว่า ภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะขยายตัวได้เฉลี่ย 4-5 % เพราะได้รับอานิสงส์จากการต่ออายุมาตรการภาษี ทั้งภาษีธุรกิจเฉพาะ ค่าจดจำนอง และค่าธรรมเนียมการโอน แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศจะไม่ดีนัก แต่ตัวแปรสำคัญที่จะบอกถึงทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้า จะอยู่ที่ปัจจัยการเมือง หากไม่มีปัญหาเชื่อว่าสัญญาณทางเศรษฐกิจที่ปรับขึ้นหลายตัว เช่น ท่องเที่ยว ส่งออก การจ้างงานในประเทศ จะมีส่วนเกื้อหนุนกำลังซื้อในภาคอสังหาริมทรัพย์ให้กลับมาฟื้นตัวชัดเจน และหากมีการต่ออายุมาตรการภาษี ที่จะหมดอายุในเดือนมีนาคมปีหน้า ก็จะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจอสังหาฯ อย่างมาก และหากทั้งสองปัจจัยผ่านไปด้วยดี เชื่อว่าภาคธุรกิจอสังหาฯ ปีหน้าจะโตได้มากกว่า 5 %

ขณะที่นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท บอกว่า ตลาดอสังหาฯของไทยมีสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะโครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม ซึ่งปีหน้าทางบริษัทจะออกโครงการใหม่ทั้งบ้าน ทาวเฮ้าส์ และคอนโดมิเนียม โดยมุ่งเจาะตลาดระดับกลางและล่าง เช่น อาคารชุดราคา 1-3 ล้าน และทาวเฮ้าส์ราคา 7-8 แสน รวมทั้งคอนโดมิเนียม ร่วมกับโครงการของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ราคา 1 ล้านบาท ที่จะดำเนินการปีหน้า ส่วนแนวโน้มที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้นในปีหน้า เชื่อว่าอาจจะไม่กระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนมากนัก เพราะยังมีมาตรการลดภาษีของภาครัฐเป็นตัวหนุน
money news update
**********
25/11/52
ทาวน์เฮ้าส์มาแรงแซงบ้านเดี่ยวรับกำลังซื้อหด
ศูนย์ข้อมูลฯ ระบุผลสำรวจอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบแนวโน้มความต้องการทาวน์เฮ้าส์ ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทมาแรงต่อเนื่องรับกำลังซื้อที่ลดลง
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยผลสำรวจข้อมูลโครงการที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลในครึ่งปีแรก 2552 ว่า ตลาดอสังหาฯ ครึ่งปีแรกที่ผ่านมาสถานการณ์ต่อเนื่องจากช่วงปลายปีก่อนหน้านี้ โดยตลาดทาวน์เฮ้าส์ยังคงได้รับความสนใจจากตลาดและมีอัตราการเติบโตที่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะระดับราคา 1 – 2.99 ล้านบาทมียอดขายสูงเป็นอันดับหนึ่ง อยู่ที่ 7,549 หน่วย จากยอดขายทาวน์เฮ้าส์ทั้งหมดที่ 12,242 หน่วย คิดเป็นอัตราการดูดซับอยู่ที่ 15% สูงกว่าตลาดบ้านเดี่ยว ที่มียอดขายรวมทั้งหมดอยู่ที่ 9,962 หน่วย ระดับราคาที่ได้รับความนิยมสูงสุดอยู่ที่ 3 - 4.99 ล้านบาท คิดเป็นอัตราดูดซับอยู่ที่ 12%

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนได้ว่า ผู้ประกอบการผลิตบ้านออกมาเพื่อตอบรับกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง โดยเฉพาะหากดูตัวเลขตลาดบ้านแฝดประกอบด้วยจะยิ่งเห็นชัดว่า ผู้ประกอบการพยายามหาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ในเรื่องกำลังซื้อของผู้บริโภคมากขึ้น โดยตลาดบ้านแฝดครึ่งปีแรก มียอดขายอยู่ที่ 2,180 หน่วย มีอัตราดูดซับอยู่ที่ 14% ราคาที่ขายดี คือ 1 – 2.99 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับทาวน์เฮ้าส์

“หากวิเคราะห์ตามกฎหมายก่อสร้างแล้วจะเห็นว่าบ้านแฝดมีต้นทุนที่ต่ำกว่าบ้านเดี่ยว แต่ที่ผ่านมาไม่เป็นที่นิยม เพราะเป็นบ้านที่ติดกัน แต่เมื่อราคาที่ดินและต้นทุนก่อสร้างสูงขึ้น ผู้ประกอบการจึงอาศัยเทคนิคด้านการออกแบบให้บ้านแฝดมีหน้าตาเหมือนบ้านเดี่ยว แต่มีราคาที่ถูกกว่า ทำให้ได้รับการยอมรับมากขึ้น”

*********
25/11/52
นายกฯบ้านจัดสรรฯ ชี้ ธุรกิจอสังหาฯฟื้นแน่แต่ต้องQ3 ปีหน้า
นายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวภายในงานสัมมนาผลสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปี 2552 ว่า ธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาสที่ 3/2552 เป็นต้นมา โดยเฉพาะโครงการอาคารชุดมียอดขายที่สูงขึ้นในรอบ 11ปี จากผลสำรวจในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ดังนั้นคาดว่าทั้งปี 2552 ยอดขายโดยรวมของภาคอสังหาฯ ทั้งหมดจะใกล้เคียงกับปีที่แล้วหรือเท่าเดิม แต่ยอมรับว่าเป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากในเบื้องต้นประเมินว่าช่วงต้นปีภาคอสังหาฯจะมียอดขายที่ตกต่ำตามภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยการเมืองที่ไม่แน่นอน

อย่างไรก็ตาม ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการของรัฐบาล โดยเฉพาะการปรับลดภาษีการจดจำนองการโอน โดยจะสิ้นสุดในเดือนมี.ค.2553 ประกอบกับผู้ประกอบการมีความระมัดระวังจากการผลิตสินค้าทำให้ไม่มีสินค้าเหลืออยู่ในตลาด

สำหรับแนวโน้มภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 2553 เชื่อว่าจะมีสัญญาณที่ดีขึ้นและจะไม่เกินวิกฤตฟองสบู่ในภาคอสังหาฯ อย่างแน่นอน เพราะจากผลสำรวจมีผู้บริโภคมากขึ้นจากช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับภาคอสังหาฯ ยังเป็นตัวแปรตามที่จะฟื้นตัวไปในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจภายในประเทศด้วย อย่างไรก็ตามยังคงมีความกังวลกับการเมืองภายในประเทศที่ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งหวังว่ารัฐบาลควรจะควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เกิดบานปลายเกิดขึ้น ทั้งนี้คาดว่าธุรกิจ
ภาคอสังหาฯ ปี 53 จะขยายตัวดีขึ้นประมาณ 4-5%

อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 1% ซึ่งจะส่งผลโดยตรงจากภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะเพิ่มภาระในด้านต้นทุนทางอ้อม ซึ่งจะเป็นตัวแปรที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจช่วงปีหน้า

สำหรับผลสำรวจตั้งแต่ 1 ต.ค.-4 ต.ค.ที่ผ่านมา ผู้บริโภคมีความต้องการที่อยู่อาศัยราคาประมาณ 1-2 ล้านบาท คิดเป็น 40% ส่วนราคา 2-3 ล้านบาทคิดเป็น 10% และราคา 1-3 ล้านบาท มีผู้บริโภคมากที่สุดโดยคิดเป็น 80%
stock wave***********
23/11/52
สำรวจทำเลทองศูนย์ราชการ พุ่ง ตรว.ละ 1.5 แสน บูมแบบสุดๆ เปิดขายแล้ว 27 โครงการ 6,000 ยูนิต

บูมแบบสุด ๆ สำรวจทำเลทอง 4.8 แสนตรม. ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ ประกาศขายแล้ว ตารางวาละ 150,000 บาท ที่ดินในซอยและตามหมู่บ้านจัดสรรมีราคาประเมินระหว่าง 20,000-40,000 บาท เผยมีโครงการเปิดขายแล้ว 27 โครงการ 6,000 หน่วย บ้านเดี่ยวร้อยละ 34 อาคารชุดร้อยละ 33 ทาวน์เฮาส์ร้อยละ 31 บ้านแฝดร้อยละ 2

... ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งจะเปิดใช้งานเต็มรูปแบบในเดือนธันวาคม 2552 นี้ เป็นศูนย์รวมหน่วยงานราชการที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีพื้นที่ใช้สอยสำหรับหน่วยงานราชการมากกว่า 30 หน่วยงาน รวมประมาณ 484,000 ตารางเมตร โดยจะมีข้าราชการและประชาชนที่มาติดต่องานหลายหมื่นคนต่อวัน

ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จึงให้ความสนใจเปิดโครงการในย่านแจ้งวัฒนะ เนื่องจากอุปสงค์ที่อยู่อาศัยซึ่งจะเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก ทั้งโครงการที่อยู่อาศัย และโครงการเชิงพาณิชย์ต่างๆ ที่มีให้เลือกหลากหลายประเภทและระดับราคา ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ และอาคารชุด
นอกจากศูนย์ราชการแล้ว ทำเลย่านแจ้งวัฒนะยังมีศักยภาพในการพัฒนา เนื่องจากสามารถเดินทางเข้าเมืองได้สะดวกจากถนนหลักหลายสาย ทางด่วนขั้นที่สองและดอนเมืองโทลเวย์ อีกทั้งมีสะพานพระราม 4 ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาและสะพานอื่นๆใกล้เคียง มีสภาพแวดล้อมที่ดี ศูนย์การค้า ร้านอาหาร สนามกอล์ฟ และโรงเรียนที่มีชื่อเสียง ทั้งโรงเรียนไทยและโรงเรียนนานาชาติ
ผู้ซื้อบ้านในย่านนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงเป็นหลัก ไม่ใช่ซื้อเพื่อการลงทุนหรือเก็งกำไรราคาประเมินที่ดินถนนแจ้งวัฒนะ ของสำนักประเมินราคาเมื่อปี 2551 อยู่ที่ 100,000 บาทต่อตารางวา
แต่มีผู้ประกาศซื้อขายในราคาสูงกว่านั้น โดยเฉพาะที่ดินริมถนนแจ้งวัฒนะใกล้ศูนย์ราชการ มีผู้ประกาศขายในราคาตารางวาละ 150,000 บาท ส่วนที่ดินในซอยและตามหมู่บ้านจัดสรรมีราคาประเมินระหว่าง 20,000-40,000 บาทเป็นส่วนใหญ่ ขึ้นอยู่กับระยะห่างจากถนนใหญ่

จากการสำรวจของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์พบว่า โครงการที่กำลังเปิดขายอยู่ในขณะนี้ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา มีทั้งสิ้น 27 โครงการ แต่บางโครงการมีที่อยู่อาศัย 2 หรือ 3 ประเภทในโครงการเดียวกัน เช่น โครงการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่รายหนึ่งมีทั้ง บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านแฝด และอีกโครงการหนึ่งของผู้ประกอบการนอกตลาดมีทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์รวมกันจำนวนหน่วยของทุกโครงการรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 6,000 หน่วย คิดเป็นบ้านเดี่ยวร้อยละ 34 อาคารชุดร้อยละ 33 ทาวน์เฮาส์ร้อยละ 31 และบ้านแฝดร้อยละ 2
ในจำนวนนี้เป็นโครงการที่เปิดตัวใหม่ในปี 2552 ทั้งสิ้น 6 โครงการ โดยเป็นโครงการจากผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ 4 โครงการ จำนวนหน่วยของบริษัทจดทะเบียนมีมากกว่าร้อยละ 90 ของจำนวนหน่วยทั้งหมดที่เปิดตัวในปีนี้ โดยผู้ประกอบการรายใหญ่มักตั้งราคาขายที่สูงกว่าโดยอาศัยการตอบรับด้านชื่อเสียงเป็นจุดขาย
โครงการอาคารชุดมี 7 โครงการ รวมประมาณ 2,000 หน่วย โดยร้อยละ 83 เป็นอาคารชุดสร้างเสร็จพร้อมโอน และจะสร้างเสร็จทั้งหมดในปี 2554 ขณะนี้มีหน่วยเหลือขายประมาณ 380 หน่วย หรือร้อยละ 19 โครงการเหล่านี้มีทั้งโครงการที่สร้างใหม่และโครงการเก่าที่นำมาขายใหม่ ราคาขายอยู่ในช่วง 4 แสนบาทจนถึง 8 ล้านบาทต้นๆ ต่อหน่วย หรือประมาณ 27,000 บาทต่อตารางเมตรในโครงการเก่า ไปจนถึงประมาณ 67,000 บาทต่อตารางเมตรในโครงการใหม่ระดับบน
โครงการบ้านเดี่ยวมี 8 โครงการ รวมทั้งสิ้นประมาณ 2,050 หน่วย มีหน่วยเหลือขายอยู่ที่ประมาณ 1,050 หน่วย หรือร้อยละ 51 ราคาขายอยู่ในช่วง 3 ล้านบาทขึ้นไปถึง 15 ล้านบาทต่อหน่วย โครงการที่ได้รับความนิยมจะเป็นโครงการที่ขายบ้านราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทลงมา
โครงการทาวน์เฮาส์มี 13 โครงการ รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,850 หน่วย โดยมีหน่วยเหลือขายประมาณ 650 หรือร้อยละ 35 และมีราคาขายอยู่ที่ 1.5 – 7.9 ล้านบาทต่อหน่วย โครงการที่ได้รับความนิยมจะเป็นโครงการที่มีราคาต่ำกว่า 3.5 ล้านบาท
บ้านแฝดมีเพียง 2 โครงการ รวมประมาณ 110 หน่วย และมีหน่วยคงเหลือประมาณ 100 หน่วย หรือร้อยละ 90 ผู้ประกอบการนิยมเพิ่มบ้านแฝดเพื่อเป็นทางเลือกให้กับที่อยู่อาศัย รูปแบบของบ้านแฝดที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันจะคล้ายบ้านเดี่ยวขนาดเล็ก โดยมีส่วนของระแนงไม้หรือผนังห้องครัวเชื่อมติดกับบ้านข้างๆเท่านั้น ไม่ได้เป็นผนังบ้านติดกันอย่างบ้านแฝดสมัยก่อน จึงทำให้บ้านแฝดเป็นทางเลือกของผู้ที่ต้องการบ้านที่มีบริเวณแต่ไม่มีงบประมาณพอจะซื้อบ้านเดี่ยว
ถนนสามัคคีซึ่งเชื่อมต่อกับถนนประชาชื่นและอยู่ทางทิศใต้ของถนนแจ้งวัฒนะ เป็นพื้นที่หนึ่งที่มีโครงการที่อยู่อาศัยจำนวนมาก เนื่องจากมีโครงการยุคก่อนทั้งบ้านราคาปานกลางและสูงอยู่ก่อนแล้ว อีกทั้งยังอยู่ใกล้สปอร์ตคลับ ร้านค้า และร้านอาหารในละแวกประชาชื่น และโรงเรียนนานาชาติ จึงมีผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ 3 บริษัท พากันเปิดโครงการต่างๆในซอยสามัคคี โดยโครงการบ้านเดี่ยวจะมีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 5.45 ล้านบาท และโครงการทาวน์เฮาส์ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 3.4 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นระดับราคาที่สูงกว่าพื้นที่อื่นๆในย่านแจ้งวัฒนะ นอกจากถนนสามัคคีแล้วยังมีถนนเลี่ยงเมืองจากติวานนท์ข้ามถนนแจ้งวัฒนะและทะลุไปออกซอยสามัคคีได้ ซึ่งมีโครงการจำนวนหนึ่งเช่นกัน
โครงการสาธารณูปโภคในย่านแจ้งวัฒนะกำลังพัฒนามากขึ้น แม้ในปัจจุบันถนนที่มีสภาวะรถติดขัดตลอดทั้งวันมากที่สุดจุดหนึ่งในเขตปริมณฑล เพราะการก่อสร้างเพื่อขยายเลนถนนยังไม่แล้วเสร็จ และเริ่มมีคนเข้าออกทำงานและมาติดต่อหน่วยงานราชการต่างๆ มากมาย แต่โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่คาดว่าจะเปิดดำเนินการในปี 2557-2558 และโครงการรถเมล์ BRT ของกรุงเทพมหานครที่จะเชื่อมต่อจากหมอชิตมาศูนย์ราชการและอาจต่อขยายไปถึงเมืองทองธานี น่าจะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรในอนาคต และทำให้ย่านแจ้งวัฒนะเป็นทำเลที่มีศักยภาพในการพัฒนาต่อเนื่องได้ในอนาคต
โดยภาพรวม ยังมีอุปสงค์ด้านที่อยู่อาศัยต่อเนื่อง ในย่านแจ้งวัฒนะต่อเนื่องไปถึงย่านงามวงศ์วานตามแนวถนนประชาชื่น ซึ่งส่งผลมาจากการเปิดตัวของศูนย์ราชการ การเปิดห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และบริษัทร้านค้าต่างๆ ถึงแม้จะไม่มีการเปิดตัวโครงการหรือการขายที่หวือหวามากนัก แต่โครงการที่อยู่อาศัยย่านแจ้งวัฒนะเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจของผู้ที่กำลังหาซื้อบ้าน
ปัจจุบัน ในย่านแจ้งวัฒนะยังมีธุรกิจรับสร้างบ้านเปิดสำนักงานขายและบริการจำนวนมาก เพราะมีเจ้าของบ้านในโครงการจัดสรรเก่าต้องการปลูกสร้างต่อเติมบ้านใหม่ทดแทนบ้านเดิมที่สภาพอาจเริ่มชำรุด หรือเจ้าของที่ดินซึ่งเคยซื้อที่ดินไว้ในราคาถูก โดยในกรณีของการสร้างบ้านโดยใช้บริษัทรับสร้างบ้านนั้น ในปัจจุบันนิยมปลูกสร้างเป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้นเพื่อการใช้ประโยชน์เต็มพื้นที่

( ข้อมูล ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ )
posttoday**********
18/11/52
ทาวน์เฮ้าส์ต่ำกว่า 2 ล้านครองแชมป์เดือนต.ค. 52
AREA เผยผลสำรวจตลาดอสังหาฯ เดือนตุลาคม 2552 ทาวน์เฮ้าส์ระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท เปิดตัวสูงสุด
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการ ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) เปิดเผยว่า ในเดือนตุลาคม 2552 มีจำนวนโครงการเกิดใหม่รวมทั้งสิ้นจำนวน 31 โครงการ เป็นที่อยู่อาศัยทั้งหมด มีจำนวนหน่วยรวมทั้งสิ้น 5,192 หน่วย มีมูลค่าโครงการรวม 23,549 ล้านบาท

จำนวนอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นใหม่ในเดือนนี้มีทั้งหมดรวมจำนวน 5,192 หน่วย ประเภทที่มีการพัฒนามากที่สุดอันดับ 1 คือ ทาวน์เฮ้าส์มีจำนวน 2,221 หน่วย หรือประมาณ 42.8% รองลงมาคือ บ้านเดี่ยวมีจำนวน 1,591 หน่วย หรือประมาณ 30.6% ส่วนอันดับ 3 คืออาคารชุด จำนวน 1,103 หน่วย หรือประมาณ 21.2% ของจำนวนหน่วยขายที่เปิดขายใหม่ทั้งหมด

ลักษณะการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเดือนนี้ที่อยู่อาศัยแนวราบกลับมามีการ พัฒนามากที่สุดอีกครั้ง โดยเฉพาะประเภททาวน์เฮ้าส์ที่มีจำนวนหน่วยมากเป็นอันดับ 1 โดยเฉพาะกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่รอบนอก หรือบริเวณเขตเมืองชั้นกลาง ส่วนที่อยู่อาศัยประเภทอื่นๆ ก็ยังมีการพัฒนาในสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย

มูลค่ารวมของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดใหม่ในเดือนตุลาคม 2552 นี้มีจำนวนทั้งสิ้น 23,549 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเดือนที่ผ่านมา 2,858 ล้านบาท (เดือนกันยายน 2552 มีมูลค่า 20,691 ล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 14% ซึ่งในเดือนนี้ลักษณะการพัฒนาจะเน้นพัฒนาในกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับราคา ปานกลางเป็นสำคัญ คือที่ระดับราคา 1-2 ล้านบาท มีจำนวน 1,379 หน่วย (26.6%) และที่ระดับราคา 2-3 ล้านบาท มีจำนวน 1,407 หน่วย (27.1%) และระดับราคาปานกลางค่อนข้างสูง ที่ระดับราคา 3-5 ล้านบาท มีจำนวน 1,236 หน่วย หรือประมาณ 23.8% ของจำนวนหน่วยขายทั้งหมด

นอกจากนี้ ในเดือนนี้ยังมีลักษณะการพัฒนาที่น่าสนใจ คือ มีการพัฒนาสินค้าระดับบนที่มีราคาสูงเกิน 20 ล้านบาทมีจำนวนหน่วยขายมากถึง 253 หน่วย หรือประมาณ 4.9% ของจำนวนหน่วยขายทั้งหมด แต่มีมูลค่าการพัฒนามากถึง 11,836 ล้านบาท (50.3%) หรือประมาณ 1 ใน 2 ของมูลค่าการพัฒนาทั้งหมดในเดือนนี้

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงมูลค่าโครงการโดยรวมจะสูงกว่าเดือนที่ผ่านมา ประมาณ 14% แต่มีราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยต่ำกว่าเล็กน้อย เนื่องจากการพัฒนาในเดือนนี้มีจำนวนหน่วยขายมากกว่าเดือนที่ผ่านมาจำนวน 878 หน่วย (เดือนกันยายน 2552 มีจำนวนหน่วยขาย 4,314 หน่วย) แต่ในเดือนนี้ราคาขายส่วนใหญ่ประมาณ 69.9% จะมีระดับราคาไม่เกิน 3.000 ล้านบาท จึงทำให้ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยโดยรวมลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อน ซึ่งราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยของเดือนนี้มีราคาขายเฉลี่ยที่ประมาณ 4.536 ล้านบาทต่อหน่วย (ซึ่งเดือนที่ผ่านมามีราคาขายเฉลี่ยที่ 4.796 ล้านบาทต่อหน่วย) ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มการพัฒนาที่เน้นระดับราคาปานกลางเป็นสำคัญ และมีการพัฒนาสินค้าระดับบนอยู่จำนวนหนึ่งไว้สำหรับลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่ต้อง การสินค้าราคาแพง หรูหรา และตั้งอยู่ใน Prime Area

เมื่อพิจารณาถึงผู้ประกอบการที่เปิดตัวโครงการใหม่ในเดือนนี้ พบว่าเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์มีจำนวน 8 บริษัท คือ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) จำนวน 4 โครงการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) จำนวน 1 โครงการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 1 โครงการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 1 โครงการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) จำนวน 1 โครงการ บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) จำนวน 1 โครงการ บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จำนวน 1 โครงการ และ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 1 โครงการ นอกจากนี้ก็ยังมีบริษัทที่อยู่ในเครือทั่วไปที่ไม่ใช่บริษัทมหาชนในตลาดหลัก ทรัพย์อีกจำนวนหนึ่ง
krungthepturakij*************
18/11/52
บิ๊กจัดสรรชี้สินเชื่อบ้านปี 53 พุ่ง แบงก์หวังขายพ่วง
ผู้ประกอบการอสังหาฯ ยิ้มรับแบงก์ส่งสัญญาณเร่งปล่อยกู้สินเชื่อบ้าน พร้อมงัดกลยุทธ์ปล่อยสินเชื่อบ้าน หวังขายพ่วงสินค้าการเงินประเภทอื่นเพียบ
บรรยากาศการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นมาก หลังจากในช่วงปีที่ผ่านมาต่อเนื่องจนถึงครึ่งปีแรกของปี 2552 ที่บรรดาผู้ประกอบการต่างกังวลกับการที่ลูกค้าถูกปฏิเสธสินเชื่อในสัดส่วนที่สูงจนเรียกได้ว่า “แบงก์เข้ม” และ “เขี้ยว” ในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมาก เพราะแบงก์หวั่นซ้ำรอยฟองสบู่ปี 2540 กับการปล่อยกู้อสังหาฯ มากจนกลายเป็นเอ็นพีแอล และเอ็นพีเอในที่สุด

แต่ขณะนี้เรียกได้ว่า ผ่านพ้นช่วงสถานการณ์ตึงเครียดทางการเงินในระดับหนึ่งแล้ว หลายแบงก์ส่งสัญญาณการรุกปล่อยสินเชื่อบ้านอย่างเห็นได้ชัด หลายแบงก์เริ่ม “ใจกล้า” เล่นแคมเปญอัตรา “ดอกเบี้ย 0%” ในระยะเวลาที่นานขึ้น 6 เดือน 12 เดือน ไม่ใช่เพียง 3 เดือนเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ โดยหากย้อนกลับไปสักราวเดือนตุลาคม 2552 ที่มีงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 21 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ บรรดาแบงก์ยังกล้าๆ กลัวๆ กับการปล่อยสินเชื่อ แคมเปญต่างๆ จึงไม่ดุเดือดเท่าไรนัก

จนล่าสุด ไทยพาณิชย์ ลุกขึ้นมาจัดงานมหกรรมสินเชื่อบ้าน SCB Home Loan Expo 2009 ที่ดึงผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยชั้นนำมาร่วมออกบูธที่สำนักงานใหญ่อาคารเอซีบี ปาร์ค รัชโยธิน เพื่อนำเสนอสินเชื่อที่อยู่อาศัยของไทยพาณิชย์ในอัตราดอกเบี้ย 0% ระยะเวลา 12 เดือน ซึ่งถือว่าเป็นแคมเปญดอกเบี้ย 0% ที่มีระยะเวลานานที่สุดแล้ว และเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เห็นแคมเปญลักษณะดังกล่าวกลับมากระตุ้นตลาดอีกครั้ง

การที่ไทยพาณิชย์ลุกขึ้นมาอัดแคมเปญโปรโมชั่น ดอกเบี้ย 0% สร้างสีสันให้กับตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย สะท้อนความเป็นไปของตลาดได้ไม่น้อย โดยเฉพาะความมั่นใจของแบงก์ที่มีต่อในกำลังซื้อของผู้บริโภค และเศรษฐกิจ ประกอบการกับการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีความเสี่ยงต่ำกว่าการปล่อยสินเชื่อประเภทอื่น เนื่องจากมีหลักทรัพย์ที่ชัดเจน ทำให้แบงก์เริ่มลุกขึ้นมาจัดแคมเปญทางการเงินจูงใจผู้ซื้อบ้านใหม่ และผู้ต้องการรีไฟแนนซ์

นอกจากนี้ ผู้บริหารไทยพาณิชย์ยังกล่าวถึงทิศทางการปล่อยสินเชื่อในปี 2553 ว่า ไทยพาณิชย์จะมุ่งเป้าการปล่อยสินเชื่อไปที่รถยนต์ บ้าน และเอสเอ็มอีเป็นหลัก ซึ่ง 3 ประเภทธุรกิจจะเป็นตัวขับเคลื่อนยอดสินเชื่อในปีหน้าให้เติบโต สะท้อนให้เห็นว่า สินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในหัวจักรสำคัญที่จะผลักดันให้ยอดสินเชื่อของสถาบันการเงินต่างๆ ในปีหน้าเติบโตได้ดี

แบงก์คลายกฎเหล็ก เร่งปล่อยกู้บ้าน

นายวิษณุ สุชาติล้ำพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (AP) กล่าวว่า แบงก์เริ่มส่งสัญญาณการเร่งปล่อยสินเชื่อบ้านมากขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ด้วยหลายปัจจัยบวกจากสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่ถือว่าผ่านช่วงจุดต่ำสุดมาแล้ว พร้อมจะเป็นกราฟที่ขยับขึ้น ซึ่งเป็นไปตามทิศทางของเศรษฐกิจระดับโลกที่หลายประเทศทางฝั่งเอเชียฟื้นตัวแล้ว และเชื่อว่าในปี 2553 เศรษฐกิจฝั่งเอเชียจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก เพราะเศรษฐกิจทางฝั่งยุโรปและอเมริกายังไม่ฟื้นตัว

นอกจากนี้ กฎเกณฑ์ใหม่ของสถาบันการเงินกับการกันเงินสำรองให้กับสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง ยังเป็นปัจจัยที่เอื้อให้แบงก์หันมาสนใจปล่อยสินเชื่อภาคอสังหาฯ มากขึ้น เพราะการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคอสังหาฯ ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ มีทรัพย์สินค้ำประกันที่ชัดเจน ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมายอดเอ็นพีเอ และเอ็นพีแอลของแบงก์ปรับลดลงมาก จึงทำให้แบงก์มีความมั่นใจมากขึ้น

“มีความเป็นไปได้ที่แบงก์จะคลายกฎเกณฑ์ต่างๆ ลง เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการปล่อยกู้มากขึ้น” นายวิษณุ กล่าว

แบงก์เล็งขายแพ็คเกจการเงินพ่วงปล่อยกู้บ้าน

นายวิษณุ อธิบายต่อว่า ผู้กู้ที่เคยมีประวัติการค้างชำระ แม้จะชำระไปแล้ว แต่ในรายงานของเครดิตบูโรที่รายงานข้อมูลย้อนหลัง 3 ปีให้สถาบันการเงินต่างๆ จะยังเห็นประวัติดังกล่าวอยู่ หากเป็นช่วงก่อนหน้านี้ แบงก์อาจจะปฏิเสธการขอสินเชื่อบ้านทันที แต่ขณะนี้ หลายแบงก์เริ่มพิจารณามากขึ้นว่า เป็นประวัติย้อนหลังไปประมาณ 1-2 ปีที่ลูกค้าได้ชำระเรียบร้อยแล้ว แบงก์ก็เปิดโอกาสปล่อยสินเชื่อให้อีกครั้ง

นั่นหมายถึง แบงก์เริ่มคลายความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อลง และในบางโครงการของเอพีฯ เอง แบงก์ก็เสนอเงื่อนไขถ้าส่งลูกค้าให้ทั้งโครงการ ก็จะอนุมัติสินเชื่อยกโครงการ ซึ่งยอดการปฏิเสธสินเชื่อในช่วงนี้ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากเดิมที่ยอดปฏิเสธสินเชื่อเคยสูงถึง 15-20% ของการยื่นขอกู้ทั้งหมด เหลือเพียง 10% ในปัจจุบัน และคาดว่าจะปรับลดลงอีก

“การที่แบงก์เสนอเงื่อนไขอนุมัติสินเชื่อยกโครงการ เพราะเขามองว่า เขาไม่ได้ขายสินเชื่อบ้านอย่างเดียว แต่เขาจะขายสินค้าทางการเงินประเภทอื่นๆ ให้ลูกค้ากู้บ้านด้วย เช่น สินค้าบัตรเครดิต แอลทีเอฟ แพ็คเกจการลงทุนส่วนบุคคล เป็นต้น”

จากภาพที่กล่าวถึง ในวันนี้ แบงก์ไม่ได้หวังขายสินเชื่อบ้านอย่างเดียวแล้วจบ แต่มองที่จะขายสินค้าแบบแพ็คเกจพ่วง ดึงลูกค้าที่มีความสามารถทางการเงินเข้าพอร์ตและขายสินค้ารองต่อเนื่อง

ยอดรีเจคลด ส่งสัญญาณปี 53 เป็นบวก

คำกล่าวของผู้บริหาร เอพี สอดคล้องกับผู้บริหารกลุ่มพฤกษาฯ โดยนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อบ้านจะปรับตัวดีขึ้น เพราะแบงก์มีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจมากขึ้น โดยจะเห็นได้ว่าแคมเปญดอกเบี้ย 0% นาน 12 เดือนเริ่มกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้เห็นแคมเปญลักษณะดังกล่าวมานานแล้ว สะท้อนให้เห็นว่าแบงก์เริ่มรุกตลาดสินเชื่อบ้านมากขึ้น

แบงก์ส่วนใหญ่มีมุมมองต่อสินเชื่อที่อยู่อาศัยว่ามีความเสี่ยงต่ำ และมีหลักประกันชัดเจน เป็นเหตุผลอันดับต้นๆ ที่จะทำให้แบงก์พาณิชย์หันมาให้ความสำคัญกับสินเชื่อบ้านมากขึ้น โดยสัดส่วนของการปฏิเสธสินเชื่อก็เริ่มลดลง วิเคราะห์จากพฤกษาฯ เอง จากเดิมสูงถึง 28% ของการยื่นขอกู้ทั้งหมด ปัจจุบันเริ่มขยับลงมาเหลือ 26% และมีแนวโน้มที่จะลดลงอีก
krungthepturakij
*************
16/11/52
อสังหาฯเชื่อรัฐไม่ต่อมาตรการ จัดสรรแข่งขันดุเดือด

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 พฤศจิกายน 2552 05:35 น.

เอ็น.ซี.ฯ เชื่อรัฐบาลไม่ต่อมาตรการภาษีอสังหาฯ ส่งผลให้อุณหภูมิการแข่งขันดุเดือด จัดสรรต่างๆ โหมทำแคมเปญกระตุ้นยอดขาย ระบายสตอก ขณะที่ผู้บริโภคเร่งตัดสินใจซื้อ หวั่นต้องซื้อบ้านราคาแพง

นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.เอ็ส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากผลตอบรับของลูกค้าต่อแคมเปญ Amazing NC ที่จัดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มฟื้นตัวกลับมาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังไตรมาส3 ทิศทางของตลาดเริ่มชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะการตัดสินใจซื้อของลูกค้าเร็วขึ้นกว่าในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ส่วนในไตรมาสที่ 4 นี้ ผู้บริโภคในตลาดจะเร่งตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยเร็วกว่าในช่วงอื่นๆ ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการต่างๆ จะเร่งทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างเต็มที่ เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงปลายปีต่อเนื่องไปถึงต้นปี 53 โดยหวังปิดยอดขายและระบายบ้านและคอนโดฯ(สต๊อก)ที่ตกค้าอยู่ออกไปให้มากที่สุด ในขณะที่ลูกค้าเองก็จะตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยเร็วขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่หวังผลประโยชน์จากมาตรการภาษีของรัฐบาล ก่อนที่จะสิ้นสุดในปลายปีนี้

นอกจากนี้ แนวโน้มและทิศทางของอัตราดอกเบี้ย น้ำมัน และราคาวัสดุก่อสร้าง ที่มีสัญญาณปรับตัวสูงขึ้นในปีหน้า ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่อต้นทุนในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ยิ่งผลักดันให้ผู้บริโภคเร่งตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงปลายปีนี้ เนื่องจากเกรงว่าจะต้องซื้อบ้านใหม่ในราคาที่สูงขึ้นกว่าปัจจุบัน

“ เชื่อว่าในปี 53 แม้ว่าตลาดโดยรวมยังมีปัจจัยลบ จากราคาน้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอัตราดอกเบี้ย แต่ความ เชื่อมั่นของผู้บริโภคในตลาดต่อเศรษฐกิจของประเทศที่กลับมาฟื้นตัว รวมถึงงบไทยเข้มแข็งที่จะกระตุ้นให้เกิดการลงทุน จะช่วยให้บรรยากาศของตลาดอสังหาฯยังขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงปลายปีนี้ แม้จะไม่ใช่การขยายตัว อย่างโดดเด่นเหมือนช่วงปี2547-48 ก็ตาม”

ดังนั้น ในปีหน้าผู้ประกอบการจึงต้องพัฒนาสินค้าที่ตรงความต้องการของลูกค้าให้มากขึ้น เพราะเมื่อต้นทุนปรับขึ้นแล้วผู้ประกอบการปรับราคาที่อยู่อาศัยตาม จะทำให้ผู้บริโภคเลือกสินค้าที่ตรงความต้องการมากขึ้น ส่วนการแข่งขันในตลาดอสังหาฯนั้น คาดว่าจะยังคงมีการแข่งขันสูงอยู่ เพราะผู้ประกอบการที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาด และผู้ประกอบการอยู่ในตลาด จะต้องวางเป้าขายที่มีอัตราการเติบโตสูงขึ้นในทุกปี จึงทำให้กาแข่งขันในตลาดยังมีอยู่ต่อเนื่อง

นายสมนึกกล่าวว่า สำหรับผลตอบรับจากแคม Amazing NC ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ สามารถช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าได้ดีมาก โดยบริษัทมียอดขายจากแคมเปญดังกล่าวแล้ว 150 ล้านบาท หรือประมาณ 50% ของเป้ายอดขายรวมที่วางไว้ 300 ล้านบาท และคาดว่าในช่วงที่เหลือจากนี้อีก 1 เดือนจะสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าที่วางไว้

ทั้งนี้ ประเภทที่อยู่อาศัยที่ผู้บริโภคมีความต้องการ คือ กลุ่มทาวน์เฮาส์และบ้านแฝด ส่วนบ้านเดี่ยวระดับบนค่อนข้างขายออกยาก อย่างไรก็ตาม ในระหว่างเดือนพ.ย.-ธ.ค.นี้ บริษัทยังจัดแคมเปญดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยในระหว่างวันที่ 22-28 พ.ย.นี้ จะมีการจัดกิจกรรมตลาดกระตุ้นการขายในโครงการต่างๆ ในแต่ละทำเล คาดว่าจะสามารถทำให้บริษัทมียอดขายเพิ่มเข้ามาต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมา เอ็น.ซี.ฯ สามารถปิดการขายโครงการอาคารชุดคอนโดมิเนียมในจังหวัดขอนแก่น ที่ลงทุนพัฒนาตั้งแต่ในช่วงปี2549 ซึ่งโครงการดังกล่าวก่อเสร็จในช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยเอ็น.ซี.ฯจะโอนทั้งหมดในปีนี้ เพื่อให้ทันกับมาตรการภาษีของรัฐบาล

“ก่อนหน้านั้นบริษัทมียอดขายคอนโดฯต่อเดือน10-15 ยูนิตแต่หลังจากจัดแคมเปญAmazing NC ทำให้สามารถทำยอดขายเฉพาะเดือน พ.ย.นี้ 30 ยูนิต ทำให้สามารถปิดการขายโครงการได้ทั้งหมด ทั้งนี้ คาดว่าในปีนี้ผลประกอบการ และอัตราการการเติบโตของกำไรเบื้องต้นบริษัทน่าจะปรับตัวขึ้นมา เนื่องจากการปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียม ในจังหวีดขอนแก่น และปิดการขายเฟสต่อเนื่องในโครงการต่างๆที่ยังเหลือยูนิตตกค้างได้จำนวนหนึ่ง ทำให้ต้นทุนที่บริษัทต้องแบกไว้หมดไป”
manager.co.th***********
16/11/52
ดาวเด่นอสังหาฯชูธงลุยตลาดปี"53 "พฤกษา-LPN-ศุภาลัย"ขยายพอร์ตลงทุนโตพรวด

"พฤกษาฯ-แอล.พี.เอ็น.-ศุภาลัย-แสนสิริ" สวมบทหัวหอกอสังหาฯ ชูธงลุยสมรภูมิตลาดบ้าน-คอนโดฯปีหน้าแต่หัววัน ประกาศขยายพอร์ตลงทุนเต็มพิกัดทั้งแนวราบ-แนวสูง หวังปั้นยอดขายโตก้าวกระโดด ค่ายพัฒนาที่ดินน้องใหม่ ในตลาดหุ้น "เสนาดีเวลลอปเม้นท์" ไม่น้อยหน้า ขยับรุกไต่อันดับเรตติ้ง

เศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้นส่งผลด้านบวกต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชัดเจน เห็นได้จาก ผลประกอบการของบริษัทพัฒนาที่ดินเกือบทุกรายมีแนวโน้มดีขึ้น จากที่เคยตั้งรับหลายบริษัทหันมาเน้นนโยบายในเชิงรุกมากขึ้น ด้วยการลงทุนเปิดตัวโครงการใหม่ช่วงไตรมาส 3-4 ปีนี้ต่อเนื่องถึงตลอดปีหน้า อย่างไรก็ตามมีจำนวนไม่น้อยที่ยังรอดูจังหวะทิศทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดถึงช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน บริษัทพัฒนาที่ดินที่ประกาศแผนดำเนินธุรกิจโดยเน้นนโยบายเชิงรุกขยายการลงทุนเพิ่ม อาทิ พฤกษา เรียลเอสเตท ซึ่งทำสถิติสร้างรายได้ปีนี้ เพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดถึง 1.8 หมื่นล้านบาท จากปี 2551 มียอดรับรู้รายได้ 1.4 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันก็สร้างสถิติ ยอดขายทั้งปีในปีนี้ 1.8 หมื่นล้านบาท เพื่อไต่บันไดดาวสู่เป้าหมายที่วางไว้ 1 แสนล้านบาท ในปี 2556 หรืออีก 8 ปีข้างหน้า

ก่อนหน้านี้ นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ประกาศแผนธุรกิจในปี 2553 ว่า หลังจากศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายการลงทุนในหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัดแล้ว ปีหน้าการดำเนินการจะเป็นรูปธรรม โดยเน้นลงทุนในเมืองท่องเที่ยว แหล่งงาน ส่วนในกรุงเทพฯและปริมณฑลจะขยายการลงทุนทั้งในทำเลเดิมและทำเลใหม่ ตั้งเป้ารายได้ในปีหน้าแตะ 1 หมื่นล้านบาท เตรียมงบฯซื้อที่ดินไว้ 1.5-2 พันล้านบาท รองรับโครงการใหม่ 8-10 โครงการ

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จะเปิดตัวโครงการใหม่ 10 โครงการ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ คอนโดฯ ตั้งเป้ายอดขาย 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่ยอดขายน่าจะอยู่ที่ 8 พันล้านบาท ด้านศุภาลัย นอกจากจะเปิดตัวโครงการใหม่ช่วงครึ่ง ปีหลัง 5-6 โครงการแล้ว ได้ทุ่มงบฯ 1.1 หมื่นล้านบาท ซื้อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการถึง 11 แปลง และอยู่ระหว่างการเจรจาซื้ออีกหลายแปลง

ขณะที่แสนสิริ ก็เตรียมขยับรุกธุรกิจอสังหาฯในปี 2553 เต็มสูบเช่นเดียวกัน โดยนายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บมจ.แสนสิริ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า บริษัทมีแผนจะเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทอีกเท่าตัว เพื่อขยายพอร์ตลงทุนอสังหาฯทั้งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล หัวเมืองหลักใน ต่างจังหวัด และต่างประเทศ สำหรับการขยายพอร์ตการลงทุนนั้นจะเริ่มตั้งแต่ปลายปีนี้และปีหน้าเป็นต้นไป

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แผนธุรกิจในปี 2553 เบื้องต้นคาดว่าจะเปิดตัวโครงการใหม่ 48 โครงการ จำนวนเกือบ 2 หมื่นยูนิต รวมมูลค่าโครงการประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท โดยจะเป็นครั้งแรกที่พฤกษาแตกทำเลออกสู่ต่างจังหวัด โดยอยู่ระหว่างศึกษาตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดชลบุรี ขอนแก่น และภูเก็ต รวมถึงอยู่ระหว่างการเจรจากับหน่วยงานที่กำกับดูแลด้านที่อยู่อาศัยของสาธารณรัฐมัลดีฟส์ เพื่อก่อสร้างคอนโดมิเนียม พักอาศัยความสูง 4-5 ชั้น เนื่องจากทราบว่ามัลดีฟส์มีความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดฯเฉลี่ยปีละ 1,000 ยูนิต

ด้านบริษัทพัฒนาที่ดินน้องใหม่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เสนาดีเวล ลอปเม้นท์ ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการและกรรมการบริหาร บมจ.เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดเผยว่า ไตรมาส 1/53 บริษัทเตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อเดอะ แคช 2 โครงการ ในทำเลรังสิตและแจ้งวัฒนะ เพื่อตอบสนองความต้องการกลุ่มลูกค้าที่ไม่มีกำลังซื้อบ้านเดี่ยว แต่มีแหล่งงานอยู่ในทำเลนั้น ๆ จากก่อนหน้านี้บริษัทได้เปิดตัวโครงการแรกย่านรังสิต คลอง 2 มีขนาดพื้นที่ใช้สอย 28 ตร.ม. ราคาขายเริ่มต้นที่ 5-6 แสนบาท/ยูนิต จำนวน 8 อาคาร และขณะนี้อยู่ระหว่างการเปิดขายตึกที่ 4

"เดอะ แคชที่จะเปิดในปีหน้า จะเป็นโครงการที่ขอรับการสนับสนุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ทั้งโครงการ จับตลาดคอนโดฯโซนรอบนอกโดยเฉพาะ ส่วนแบรนด์ "เดอะ นิช" จะเป็นโปรดักต์ที่ตอบสนองคนรุ่นใหม่ที่ชอบชีวิตในเมือง" ดร.เกษรากล่าวและว่า

ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวคอนโดฯตกแต่งพร้อมอยู่ แบรนด์เดอะ นิช ซิตี้ ลาดพร้าว 130 บนเนื้อที่กว่า 10 ไร่ ที่ประมูลซื้อมาจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) เมื่อปี 2551 ประกอบด้วย ทาวน์โฮม 18 หลัง และอาคารชุดสไตล์รีสอร์ต สูง 8 ชั้น 4 อาคาร 806 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ย 33,700 บ./ตร.ม. มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท โดยช่วงแรกได้นำห้องชุด 100 ยูนิต มาเปิดขายพรีเซลให้กับผู้สนใจ ปรากฏว่าแค่ 2 วันมียอดจองเข้ามาแล้วกว่า 150 ยูนิต คาดว่าจะเปิดการขายทั้งโครงการได้ภายในปี 2554
ประมาณการยอดขายทั้งปีของบริษัทคาดว่าจะแตะที่ 1,200 ล้านบาท และในปี 2553 จะปรับเพิ่มเป็น 1,500 ล้านบาท
prachachart**********
16/11/52
อสังหาโชว์กำไร 9 เดือนเ พิ่มขึ้น 20%
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โชว์กำไรงวด 9 เดือนปี 2552 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเกือบ 20% จากมีรายได้จากการขายปรับตัวเพิ่มขึ้น
จากการรวบรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 ก.ย.2552 ของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จำนวน 12 บริษัท ปรากฏว่า มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 19.94% โดยสามารถทำกำไรสุทธิรวมกันได้ถึง 11,033.86 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำกำไรสุทธิได้เพียง 9,199.58 ล้านบาท

ทั้งนี้ บมจ.รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ มีกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นมากถึง 619.24% จากเดิม ขาดทุน 8.52 ล้านบาท เป็นกำไร 44.24 ล้านบาท ขณะที่ บมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ กำไรลดลง 292.94% จากเดิมปี 2551 ทำกำไรสุทธิได้ 31.45 ล้านบาท แต่งวด 9 เดือนปีนี้มีผลขาดทุน 60.65 ล้านบาท

ส่วนงวดไตรมาส 3 ปีนี้ สามารถทำกำไรเพิ่มขึ้น 10.94% โดยมีกำไรสุทธิรวมกัน 4,074.91 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำกำไรสุทธิได้ 3,672.97 ล้านบาท

แลนด์แอนด์เฮ้าส์กำไรพุ่ง 34.7%

นายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการ บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2552 สิ้นสุด 30 ก.ย.2552 ว่า บริษัทและบริษัทมีกำไรสุทธิ 1,159.48 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อน บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 860.69 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 298.79 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 34.72%

สาเหตุจากยอดขายเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1,456.83 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจาก 3,566.61 ล้านบาท เป็น 5,023.44 ล้านบาท เพราะไตรมาส 3 ปีนี้ มีการโอนคอนโดมิเนียมจำนวน 1,162 ล้านบาท รวมทั้งยอดขายทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้นจาก 149 ล้านบาท เป็น 492 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายบ้านเดี่ยวค่อนข้างทรงตัว

เอเชี่ยนฯ กำไรหด 24%

นายพิเชษฐ วิภวศุภกร กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ของบริษัทและบริษัทย่อยว่า กำไรสุทธิไตรมาส 3 ปีนี้ จำนวน 341.1 ล้านบาท ลดลง 24.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิ 452.5 ล้านบาท เพราะกำไรขั้นต้นลดลงจาก 34.3% ในไตรมาส 3 ปี 2551 เป็น 32.6% เนื่องจากการรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมมีสัดส่วนลดลงจาก 50% ของรายได้รวม เป็น 43% ซึ่งโครงการคอนโดมิเนียม มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์

ส่วนค่าใช้จ่ายการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 26.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 358.7 ล้านบาท เพราะค่าโฆษณาเพิ่มขึ้นจากการเปิดโครงการคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่ารวม 10,500 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2552 โดยไตรมาส 3 บริษัททำยอดขาย 4 โครงการนี้ ได้ทั้งสิ้น 6,700 ล้านบาท

จากสาเหตุดังกล่าว บริษัทจึงมีกำไรสุทธิลดลงจาก 452.5 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2551 เป็น 341.1 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2552 นี้ แม้งบรวมบริษัทจะมีผลกำไรลดลง แต่งบเดี่ยวของบริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้น 134.92% โดยมีกำไรสุทธิ 887.056 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 337.603 ล้านบาท

ลลิลรายได้ขายเพิ่ม 16.7%

ส่วน บมจ.บริษัท ลลิลพร็อพเพอร์ตี้ โชว์กำไรไตรมาส 3 มีกำไรเพิ่มขึ้น 27.17 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 89.80 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 43.38% เพราะมีรายได้จากการขาย 391.447 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 56.053 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 16.71% นอกจากนี้บริษัทยังสามารถลดค่าใช้จ่ายการขายและบริหารลง 5.63 ล้านบาท จากเดิมมีค่าใช้จ่าย 43.89 ล้านบาทเหลือ 38.26 ล้านบาท หรือ 12.83%

ควอลิตี้ เฮ้าส์ รายได้เพิ่มขึ้น 1%

ด้าน บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ กล่าวถึงผลการดำเนินงานของบริษัท และบริษัทย่อยว่า บริษัทมีรายได้รวมงวด 9 เดือน 8,430 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 8,345 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1% ส่วนรายได้รวมสำหรับไตรมาส 3 ของปี 2552 ทำได้ 3,200 ล้านบาท ส่วนงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 3,024 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 176 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6%

นอกจากนี้ในไตรมาส 3 ปีนี้ บริษัทยังมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม 118 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21 ล้าน หรือ 22% ส่วนยอดสะสม 9 เดือนปีนี้ มีกำไร 321 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23%

"ยอดโอนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากไตรมาส 3 ปีนี้ สภาพตลาดการขายอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง จึงส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น นอกจากนี้การชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศจากผลกระทบของวิกฤติเศรษฐกิจโลกเริ่มมีการปรับตัวดีขึ้น"

อีสเทอร์น สตาร์ กำไรลดลง 31 ล.

ขณะที่ บมจ.อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท แจ้งว่า ไตรมาสที่ 3 ปี 2552 บริษัทมีกำไรสุทธิรวม 3.45 ล้านบาท โดยไตรมาสเดียวกันของปีก่อน บริษัทมีกำไรสุทธิรวม 34.60 ล้านบาท หรือลดลง 31.15 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

สาเหตุหลักเนื่องมาจากรายได้จากการขายและบริการในไตรมาส 3 ปี 2552 ลดลง 105.97 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทรับรู้รายได้จากการขายคอนโดมิเนียมโครงการหนึ่งลดลง 138.29 ล้านบาท ขณะที่.ต้นทุนขายและบริการลดลง 42.56 ล้านบาท เนื่องจากมีการรับรู้รายได้จากการขายและบริการลดลง ส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารปี 2552 เพิ่มขึ้นจากปี 2551 จำนวน 3.25 ล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายการขายลดลงจากปี 2551 จำนวน 12.15 ล้านบาท

ทั้งนี้บริษัทได้โอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดโครงการ เดอะ สตาร์ เอสเตท แอท พระราม 3 ส่วนที่เหลือทั้งหมด จำนวน 26 ห้องชุด มูลค่าสัญญารวม 110.01 ล้านบาท เสร็จสิ้นภายในไตรมาส 3 ปี 2552 นี้

ส่วน บมจ.ลลิลพร็อพเพอร์ตี้ แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2552 ปรากฏว่า มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 89.80 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 27.17 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 43.38% เนื่องจากรายได้จากการขายเท่ากับ 391.447 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนจำนวน 56.053 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 16.71%

ขณะที่ต้นทุนขายเท่ากับ 226.852 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 25.808 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12.84% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นตามรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นมา เมื่อพิจารณาถึงอัตรากำไรขั้นต้น บริษัทยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ดี โดยในไตรมาส 3 ปี 2552 บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น 42.05% ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 40.06% ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 38.260 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 5.631 ล้านบาท หรือลดลง 12.83%
krungthepturakij
***************
11/11/52
บ้าน-คอนโดเหลือขายเฉียดแสนหน่วย
ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ เปิดสต๊อกบ้าน-คอนโดเหลือขายอีก 9หมื่นหน่วย จากจำนวนโครงการที่เปิดขาย 2.8 แสนหน่วย

นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า จากการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยในกทม.และปริมณฑล ถึงสิ้นเดือน มิ.ย. พบว่ามีโครงการที่มีหน่วยเหลือขายเกิน 6 หน่วย รวมทั้งสิ้น 2.8 แสนหน่วย แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 250 โครงการประมาณ 1 แสนหน่วย และเป็นโครงการแนวราบ 940 โครงการประมาณ 1.8 แสนหน่วย
ทั้งนี้ ในจำนวนโครงการที่ เปิดขายทั้งหมด 2.8 แสนหน่วย สามารถขายไปได้แล้ว 1.8 แสนหน่วย แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนว ราบ 1.1 แสนหน่วย และเป็นคอนโดมิเนียม 7.2 หมื่นหน่วย และยังมีโครงการเหลือขายอยู่อีก 9.8 หมื่นหน่วย แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 2.8 หมื่นหน่วย และเป็นโครงการแนวราบอีกประมาณ 7 หมื่นหน่วย

นายสัมมา กล่าวอีกว่า สถานการณ์ในขณะนี้ไปจนถึงปี 2553 ยังไม่เห็นสัญญาณของการเกิดฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ และคาดว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้าจะดีขึ้นกว่าปีนี้ จากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว แต่ตลาดจะไม่ขยายตัวรวดเร็วเหมือนที่ผ่านมา นอกจากนี้จำนวนคอนโดมิเนียมใหม่จะเปิดตัวเพิ่มขึ้นอีกมาก เมื่อดูจากการเริ่มเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมของผู้ประกอบการในไตรมาส 4 ปีนี้

นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลยังได้เก็บตัวเลขการโอนกรรมสิทธิ์โครงการอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทในกทม.และปริมณฑล 3 ไตรมาสแรก พบว่ามีการโอนกรรมสิทธิ์รวมกัน 1.4 แสนหน่วยลดลง 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนดังกล่าวเป็นการโอนกรรมสิทธิ์บ้านใหม่และบ้านมือสองรวมกันประมาณ 1 แสนหน่วย ซึ่งลดลง 2% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

สำหรับที่อยู่อาศัยที่โอนกรรมสิทธิ์ใน 3 ไตรมาสแรก ประกอบด้วยคอนโดมิเนียม 3.8 หมื่นหน่วย คิดเป็น 36% ของการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทุกประเภทรวมกัน เป็นบ้านเดี่ยว 2.2 หมื่นหน่วย หรือคิดเป็น 21% ทาวน์เฮาส์ 3.2 หมื่นหน่วย คิดเป็น 31% อาคารพาณิชย์ 1 หมื่นหน่วย คิดเป็น 10%

ขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยในเขตกทม.ชั้นในเริ่มอิ่มตัว และต้องขยายออกไปรอบนอกมากขึ้น เส้นทางรอบนอกที่น่าสนใจนอกจากแนวใกล้ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าฝั่งธนบุรีและย่านมักกะสัน-พระราม 9 แล้ว ยังมีทำเลที่น่าสนใจจากการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาอีก 4 แห่ง ที่อยู่ในขั้นตอนของการคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษา จะทำให้ในอนาคตพื้นที่ย่านฝั่งธนบุรีและนนทบุรี เป็นพื้นที่มีความน่าสนใจในการพัฒนาโครงการประเภทที่อยู่อาศัย

อย่างไรก็ตาม พบว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ได้เริ่มขยายการลงทุนออกไปในพื้นที่รอบนอก รวมไปถึงปริมณฑล จังหวัดหัวเมืองใหญ่ๆ และแหล่งท่องเที่ยวกันมากขึ้น บริษัทบางรายได้ประกาศซื้อที่ดินแปลงใหญ่หลายแปลงในจังหวัดดังกล่าว เพื่อวางแผนในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในอนาคต
posttoday***********
10/11/52
หุ้นอสังหา-ก่อสร้างกำไรฟื้น
กำไรหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างไตรมาส 3 ฟื้น STEC ไม่ผิดหวังโชว์กำไรไตรมาส 376.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72.59% ด้าน SC กำไรพุ่ง 28.51%

นายวรพันธ์ ช้อนทอง กรรมการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) เปิดเผยว่า บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 3 ปี 2552 จำนวน 76.39 ล้านบาท มีกำไรต่อหุ้น 0.06 บาท เพิ่มขึ้น 72.59% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 44.26 ล้านบาท มีกำไรต่อหุ้น 0.03 บาท
ขณะที่งวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 166.85 ล้านบาท มีกำไรต่อหุ้น 0.14 บาท เพิ่มขึ้น 73.15% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 96.36 ล้านบาท มีกำไรต่อหุ้น 0.08 บาท

ทั้งนี้ บริษัทและบริษัทย่อยมีอัตรากำไรขั้นต้นสำหรับไตรมาส 3 ในอัตรา 4.18% เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3.73% และงวด 9 เดือน ที่ 3.99% เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 3.44% ขณะที่ค่าใช้จ่ายลดลงโดยไตรมาส 3 ค่าใช้จ่ายลดลง 21.94 ล้านบาทและงวด 9 เดือน ลดลง 57.86 ล้านบาท อีกทั้งยังมีกำไรจากการขายเงินลงทุน 12.44 ล้านบาท

บล.นครหลวงไทย ปรับเพิ่มประมาณกำไรของ STEC ปีนี้เพิ่มขึ้น 32% จากเดิม 190 ล้านบาท เป็น 240 ล้านบาท หลังไตรมาส 3 เติบโตโดดเด่นและยังมีงานที่มีกำไรสูง เช่น โครงการ LNG Plant Module อย่างสม่ำเสมอช่วยหนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นให้เพิ่มขึ้นเป็น 4.29% ต่อปี

สำหรับปี 2553 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 293 ล้านบาท จากการที่มูลค่างานในมือที่อยู่สูงกว่า 2.45 หมื่นล้านบาท และความสามารถในการรับงานได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของภาวการณ์ก่อสร้างในประเทศ แต่แนะขายเพราะราคาหุ้นปัจจุบันสูงกว่าที่เหมาะสมในปีหน้าแล้วซึ่งมองไว้ที่ 5 บาท

นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) กล่าวว่า บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ งวดไตรมาส 3 ปี 2552 จำนวน 247.11 ล้านบาท มีกำไรต่อหุ้น 0.77 บาท เพิ่มขึ้น 28.51% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 192.28 ล้านบาท มีกำไรต่อหุ้น 0.60 บาท ขณะที่ 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 529.11 บาท มีกำไรต่อหุ้น 1.65 บาท เพิ่มขึ้น 12.09% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 472.02 ล้านบาท มีกำไรต่อหุ้น 1.47 บาท

ด้านบริษัท แสนสิริ (SIRI) มีกำไรสุทธิ 502.20 ล้านบาท มีกำไรต่อหุ้น 0.34 บาท ลดลง 1.79% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 511.36 ล้านบาท มีกำไรต่อหุ้น 0.35 บาท ขณะที่งวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 1,007.97 ล้านบาท มีกำไรต่อหุ้น 0.68 บาท เพิ่มขึ้น 131.60% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 436.34 ล้านบาท
posttoday
*********
07/11/52
รับสร้างบ้านฟื้น ปีหน้าขอโต10%
โพสต์ทูเดย์ — ตลาดรับสร้างบ้านปีนี้โตเกินคาด 12% หลังเศรษฐกิจฟื้นตัว คาดปีหน้าโตได้อีก 10%

นายพันธุ์เทพ ทานชิติกุล นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า มูลค่าตลาดรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านในปี 2552 คาดเติบโต จากปี 2551 ประมาณ 12% หรือจาก 9,800 ล้านบาท เป็น 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 1.05 หมื่นล้านบาท 5% โดยในช่วงต้นปีได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองพอสมควร ทำให้ครึ่งปีแรกภาพรวมตลาดอยู่ในภาวะที่ไม่ดีนัก และยอดขายชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปี หลังตลาดรับสร้างบ้านเริ่มกลับ ฟื้นตัวขึ้น โดยเฉพาะการจัดงานรับ สร้างบ้าน 2009 สามารถกระตุ้นยอดขายได้เพิ่มขึ้น โดยมียอดขายรวม 2,400 ล้านบาท ถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มูลค่าตลาดรวมสูงกว่าที่สมาคมประเมินไว้

สำหรับในปี 2553 คาดว่าตลาดรับสร้างบ้านจะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 9-10% ซึ่งสมาคมตั้งเป้าหมายในปี 2553 ไว้ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท เนื่องจากสัญญาณทางด้านเศรษฐกิจเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น ขณะที่ราคาบ้านที่มีการจองปลูกสร้างบ้านภายในงานรับสร้างบ้าน 2009 มีมูลค่าสูงขึ้นกว่าในปี 2550-2551 โดยราคาบ้านที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอยู่ที่ 1-2 ล้านบาท ขณะที่ปี 2552 บ้านที่ได้รับความนิยมมากที่สุดราคา 2-3 ล้านบาท ส่วนปี 2552 ราคาเฉลี่ยของบ้านเพิ่มขึ้นเป็น 4.7 ล้านบาท

“ทิศทางของตลาดรับสร้างบ้านดีขึ้นตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจ อีกทั้ง มีการจัดกิจกรรมตลาดเพิ่มขึ้น ทำ ให้กำลังซื้อที่ชะลอตัวในช่วงครึ่ง ปีแรกกลับเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่ง น่าจะส่งผลดีไปถึงปี 2553 ด้วย” นายพันธุ์เทพ กล่าว
posttoday*************
05/11/52
ตลาดสุขภัณฑ์โค้งสุดท้ายคึกคัก"คอตโต้-โตโต้"ชูสินค้าใหม่อัดโปรโมชั่นเพียบ

ตลาดสุขภัณฑ์ไตรมาสสุดท้ายคึกคัก แบรนด์ "สยามซานิทารีแวร์ อินดัสทรี" เร่งยอดขาย ส่งสินค้าใหม่แบรนด์ "คอตโต้" ประเดิมเปิดตัวงานบ้านและสวนแฟร์ 2009 ส่วนแบรนด์ "โตโต้" ชูนวัตกรรมรุ่น Neorest A เจาะตลาดซูเปอร์ไฮเอนด์ พ่วงจัดกิจกรรม "TOTO DAY" ซื้อครบรับของแถมยาวถึงสิ้นปี

นายสราวุฒิ สำราญทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามซานิทารีแวร์ อินดัสทรี จำกัด ผู้ผลิตสุขภัณฑ์ "คอตโต้" และ "โตโต้" เปิดเผยว่า ได้เปิดตัวสินค้าใหม่ ในงาน "บ้านและสวนแฟร์ 2009" โดยนำเสนอสุขภัณฑ์และก๊อกน้ำกลุ่ม "อีโค คอนเซ็ปต์" เป็นผลิตภัณฑ์รักษาสิ่งแวดล้อมที่บริษัทพัฒนาขึ้น สามารถประหยัดการใช้น้ำได้ตั้งแต่ 20-50% เมื่อเทียบกับสินค้าที่ได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรมฉลากเขียว

ทั้งนี้ ภายในงานคอตโต้ได้นำเสนอ สินค้าใหม่ คือ 1) สุขภัณฑ์พร้อมเฟอร์นิเจอร์ คอลเล็กชั่นใหม่รุ่น Mudular Multi Box ราคา 50,000 บาท 2) ชุดสุขภัณฑ์ อ่างล้างหน้า และก๊อกน้ำรุ่นดิสนีย์คอลเล็กชั่น สำหรับลูกค้าที่ชื่นชอบตัวการ์ตูนมิกกี้เมาส์ โดยดีไซน์ผลิตภัณฑ์เข้าชุดกัน และฝารองนั่งมักกี้-มินนี่ 2 ดีไซน์

3) ตู้อาบน้ำสำเร็จรูปประหยัดน้ำกว่าปกติ 20% โยกย้ายและติดตั้งได้ทันที และ 4) การสาธิตติดตั้งระบบคอตโต้สปีด บาธรูม (บริการเปลี่ยนห้องน้ำเก่าอย่างรวดเร็วแบบไม่ต้องรื้อทุบ)

"ปีหน้าเป้าหมายของบริษัทคือการบุกตลาดอีโคฯ อย่างจริงจัง โดยปรับการผลิตผลิตภัณฑ์เกือบทุกรุ่นให้เข้ากับอีโค คอนเซ็ปต์ จากปัจจุบันมีอยู่ 30%"

นายสราวุฒิกล่าวว่า เป้าหมายยอดขายรวมสุขภัณฑ์และอุปกรณ์ห้องน้ำของคอตโต้ในปีนี้คือ 4,300 ล้านบาท แยกเป็นกลุ่มสุขภัณฑ์ 2,600 ล้านบาท และอุปกรณ์ห้องน้ำ 1,700 ล้านบาท เป็นตลาดในประเทศ 70% ส่งออก 30% ส่วนปี 2553 ตั้งเป้าเติบโต 7% หรือมียอดขายรวม 4,600 ล้านบาท แผนระยะยาว 3-4 ปีข้างหน้าจะขยายตลาดต่างประเทศ เป็น 40% โดยจะบุกตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียนโดยเฉพาะเวียดนาม และถ้ามีคำสั่งซื้อเข้ามามากก็อาจ

สำหรับกลุ่มสินค้าสุขภัณฑ์ ก๊อกน้ำ และอ่างอาบน้ำภายใต้แบรนด์ "โตโต้" วางแผนผลักดันยอดขายไตรมาสสุดท้าย โดยทุ่มงบฯ การตลาดกว่า 5 ล้านบาท จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย "TOTO DAY" ถึงสิ้นปี ที่ร้านผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศกว่า 400 ราย พร้อมทั้งเปิดตัวสินค้าใหม่ระดับซูเปอร์ ไฮเอนด์รุ่น "Neorest A" ที่พัฒนาต่อยอดขายจากโถสุขภัณฑ์รุ่น Neorest เพื่อผลักดันยอดขายทั้งปีให้ได้ตามเป้าที่วางไว้คือ 520 ล้านบาท จาก 9 เดือนแรกมียอดขายแล้ว 480 ล้านบาท เติบโต 2%

TOTO DAY แบ่งจัดแคมเปญเป็น 2 กลุ่มคือ 1)กลุ่มสินค้าใหม่ระดับซูเปอร์ไฮเอนด์ รุ่น "Neorest A" เมื่อซื้อสินค้าจะได้รับโทรศัพท์มือถือแบล็คเบอร์รี่ รุ่น Bold 9000 และ 2)เมื่อซื้อสินค้ารุ่นอื่น ๆ ครบตั้งแต่ 2 หมื่น-2.5 แสนบาท ได้รับของแถม อาทิ ซื้อครบ 2 หมื่นบาท รับเสื้อแจ็กเกตโตโต้, ครบ 2.5 หมื่นบาท รับโทรศัพท์มือถือแบล็คเบอร์รี่รุ่น Bold 9000 ฯลฯ ส่วนการเปิดตัวสินค้าใหม่ระดับซูเปอร์ไฮเอนด์รุ่น Neorest A ถือเป็นการต่อยอดการพัฒนาจากสุขภัณฑ์รุ่น Neorest ที่เปิดตัวในไทยครั้งแรก เมื่อปี 2548

โดยเปิดตัวทั้งหมด 6 รายการ ได้แก่ โถสุขภัณฑ์อัจฉริยะ Neorest A ที่พัฒนา รูปทรงให้สวยงามกะทัดรัดมากขึ้นพร้อม ติดตั้งระบบไฟส่องสว่าง, เทคโนโลยีฝา รองนั่ง Washlet ที่มีระบบฉีดน้ำชำระล้าง, อ่างล้างหน้าพร้อมก๊อกน้ำระบบดิจิทัล, ชุดฝักบัวโครเมียม, อ่างน้ำวน และชุดอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ สินค้าในเซตนี้อ่างน้ำวนมีราคาขายสูงสุดคือประมาณ 6 แสนบาท

ทั้งนี้ ภาพรวมตลาดสุขภัณฑ์ระดับไฮเอนด์ราคาตั้งแต่ชิ้นละ 2 หมื่นบาทในปีนี้คาดว่ามีมูลค่า 780 ล้านบาท หรือ 20% ของมูลค่าตลาดรวมสุขภัณฑ์ทุกระดับ ส่วนแนวโน้มปี 2553 คาดว่าจะเติบโตเล็กน้อย
prachachart
************
05/11/52
แห่ผุด‘คอนโด’หวังปั๊มยอดขายปีนี้
อสังหาฯ หน้าเก่า-ใหม่ โหมผุดคอนโดส่งท้ายปี หวังแย่งแชร์ดันยอดขายให้ทะลุเป้าปีนี้

นายธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเม้นท์ เปิดเผยว่า เดือน พ.ย.นี้ จะมีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายเป็นจำนวนมาก เนื่องจาก ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้ชะลอโครงการมาตั้งแต่ช่วงต้นปี ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและปัญหาการเมือง แต่เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ผู้ประกอบการและผู้บริโภคมีความมั่นใจในการลงทุนและจับจ่าย
“บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 2 โครงการ โดยยังคงนโยบายการพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับกลาง ในแนวรถไฟฟ้า” นายธนพล กล่าว

ขณะที่นายเนรมิต สร้างเอี่ยม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเม้นท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการใหม่ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการยู ดีไลท์ @ ห้วยขวาง สเตชั่น มูลค่าโครงการรวม 1,200 ล้านบาท และโครงการยู ดีไลท์@ จตุจักรสเตชั่น 1,800 ล้านบาท

นายยุทธชัย จรณะจิตต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อมารี เอ็ซเทท ในเครืออมารี เปิดเผยว่า ได้ ตั้งบริษัท อมารี เอ็ซเทท ทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาท เพื่อทำคอนโดมิเนียม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์และโรงแรมในไทย ภายใต้แนวคิดผสานคอนโดมิเนียมกับโรงแรม โฮเต็ล เซอร์วิส คอนโดมิเนียม

สำหรับโครงการที่จะเปิดตัวทั้งในสิ้นปีนี้และปีหน้า จะลงทุนราว 4,000 ล้านบาท ทั้งเรสสิเดนท์ ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

นอกจากทั้งสองบริษัทได้ประกาศลงทุนคอนโดมิเนียมดังกล่าว ยังมีผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เตรียมจะเปิดโครงการใหม่ในเดือนเดียวกันนี้ เช่น บริษัท ศุภาลัย ที่เตรียมจะเปิดขายคอนโดมิเนียม 2 โครงการ บริเวณแยกพระราม 9 และเมเจอร์รัชโยธิน และบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ เตรียมเปิดคอนโดมิเนียมย่านปิ่นเกล้า เป็นโครงการที่ 4 ในทำเลดังกล่าว และย่านโชคชัย 4 อีก 1 โครงการ

ด้านนายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ตามแผนการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายใหม่ทั้ง 5 เส้นทาง จะทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมคึกคักขึ้น สายที่มีความคืบหน้าและเห็นว่าจะเดินหน้าตามแผนงานได้ คือ สายสีเขียวช่วงซอยแบริ่ง-สมุทรปราการ สาย สีม่วงบางใหญ่-บางซื่อ รองลงมา คือ สายสีน้ำเงินบางซื่อ-ท่าพระ-เพชรเกษม และสายสีแดงบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน
************
05/11/52
อสังหาฯเนื้อหอมหลากกลุ่มทุนแห่ทุ่มลงทุน
เซ็นจูรี่ 21ฯ ชี้เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้น ผู้ประกอบการหันลงทุนอสังหาฯ สิ้นปีเปิดอีก 2 โครงการใหม่มูลค่ากว่า 5,000 ล้าน

นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เซ็นจูรี่ 21 เรียลตี้ แอฟฟิลิเอทส์ (ประเทศไทย) ผู้ให้คำปรึกษาการลงทุนและรับจ้างบริหารงานด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในขณะนี้เหมือนภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อปี 2543 ที่เมื่อเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวหลังเกิดวิกฤต ทำให้ผู้ประกอบการหรือนักลงทุนที่มีเงินทุนจากธุรกิจต่างๆ หันลงทุนกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น เนื่องจากกำไรที่จูงใจราว 25–35% ซึ่งสูงกว่านำเงินไปฝากธนาคาร หรือนำเงินไปลงทุนในธุรกิจอื่นที่ ให้ผลตอบแทนน้อยกว่า
ทั้งนี้ ในช่วงสิ้นปีนี้บริษัทมีแผนที่จะเปิดโครงการคอนโดมิเนียมริมทะเลที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยร่วมกับนักลงทุนที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรมมาก่อน มูลค่าโครงการกว่า 1,000 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียมย่านสุขุมวิท-บางนา มูลค่าโครงการกว่า 4,000 ล้านบาท เป็นต้น

“นักลงทุนหน้าใหม่ที่จะเข้ามาลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เข้ามาติดต่อรับคำปรึกษากับทางบริษัท ได้แก่ ผู้ประกอบการธุรกิจสิ่งทอ ผู้ประกอบการธุรกิจนำเข้ายานยนต์หรู เช่น เบนซ์ บีเคเค ผู้ประกอบการจิวเวลรี นันยาง เท็กซ์ไทล์ น้ำมันพืชตราองุ่น และยังมีผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจอพาร์ตเมนต์ โรงแรม รีสอร์ต จะให้ความสนใจทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากที่สุด” นาย กิติศักดิ์ กล่าว

สำหรับโครงการล่าสุดที่เกิดจากกลุ่มทุนรายใหม่ 2 ราย คือ กลุ่มทุนสิ่งทอ บริษัท อพอลโล่ แอสเส็ท และบริษัท เวอร์เท็คซ์ มิลเลนเนียม ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มาก่อน มาร่วมกันพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม โวค ที่มีมูลค่าโครงการ 620 ล้านบาท หรือราคาเริ่มต้นตาราเมตรละ 6.9 หมื่นบาท

อย่างไรก็ตาม คาดว่าจนถึงสิ้น ปีนี้จะสามารถปิดยอดจำหน่ายได้ 60–65% ของโครงการที่มีอยู่ 170 ยูนิต และจะมีผู้ซื้ออยู่จริง 60–65% และซื้อเพื่อลงทุน 10–15%
posttoday
**********
02/11/52
กนง.โล่งอสังหาฯผ่านวิกฤต
กนง.ย้ำราคาอสังหาริมทรัพย์ทรงตัว ไม่พบเก็บกำไรเกินเหตุ แต่เตือนภาวะดอกเบี้ยต่ำนานเกินอาจมีความเสี่ยงต่อปัญหาฟองสบู่

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อเดือนต.ค. 2552 มีการวิเคราะห์ภาคอสังหาริมทรัพย์ พบว่า แม้อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันจะอยู่ในระดับต่ำ แต่คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือกนง. ประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงอยู่ในระดับต่ำ
ทั้งนี้ สะท้อนจากราคาที่อยู่อาศัยเฉลี่ยต่อหน่วยของโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดขายใหม่ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ที่มีเพียงราคาอาคารชุดในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้นที่มีแนวโน้มเร่งขึ้นบ้าง แต่เป็นการปรับราคาที่สอดคล้องกับต้นทุนของราคาที่ดินซึ่งได้ปรับสูงขึ้นไปก่อนหน้า จากการพัฒนาขยายเส้นทางระบบขนส่งมวลชนที่มีความชัดเจนขึ้น

ดังนั้น คณะกรรมการฯ ประเมินว่าอุปสงค์ของที่อยู่อาศัยในปัจจุบันส่วนใหญ่น่าจะมาจากอุปสงค์ที่แท้จริง ขณะที่ความต้องการซื้อเพื่อการเก็งกำไรยังมีน้อย ส่วนหนึ่งเนื่องจากความกังวลของผู้บริโภค ต่อความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ ในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งมาตรฐานการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินที่ เข้มงวดต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการก็มีความระมัดระวังในการลงทุนเช่นกัน เช่นการปรับขนาดโครงการให้เล็กลง การสร้างบ้านพร้อมอยู่ หรือการกำหนดสัดส่วนยอดขายก่อนการสร้างจริง และลดการพึ่งพิงเงินกู้จากภายนอก ทำให้ความต้องการซื้อกับปริมาณที่อยู่อาศัยค่อนข้างสมดุล

“ขณะนี้ถือว่าภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สามารถประคองตัวให้ผ่านพ้นช่วงเศรษฐกิจ ถดถอยได้อย่างน่าพอใจ” รายงานกนง. ระบุ

อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจุบันจะยังไม่พบสัญญาณการเกิดฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ชัดเจน แต่กนง.เห็นถึงความเสี่ยงจากภาวะดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำมากเป็นระยะเวลานาน ซึ่งจะเพิ่มโอกาสของการเกิดภาวะฟองสบู่เมื่อเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ช่วงขาขึ้น ดังนั้น คณะกรรมการ จะติดตามและประเมินความเสี่ยงอย่างใกล้ชิดต่อไป

ปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายของกนง. อยู่ที่ 1.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว โดยตลาดประเมินว่ากนง.อาจมีการปรับดอกเบี้ยขึ้นอีกครั้งในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งอาจเกิดภาวะเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่จะกลับมาเป็นบวกอย่างร้อนแรงอีกครั้ง และราคาน้ำมันที่สูงขึ้นเนื่องจากตลาดโลกที่สูงใกล้ 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้ราคาขายปลีกในประเทศสูงขึ้นด้วย
posttoday
**********
30/10/52
ขอจัดสรรใหม่ปี 52 ยังรุ่ง กทม.-ภูมิภาคสูงต่อเนื่อง

หลายวันก่อน ดัชนีทางเศรษฐกิจหลายสำนัก โชว์สัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างน่าสนใจ ดัชนีภาคอุตสาหกรรมกระเตื้องขึ้น
แนวโน้มส่งออกดีขึ้น ติดลบน้อยลง ภาคการผลิตก็มีแนวโน้มที่ดีเช่นกัน สอดคล้องกับปัญหาที่สะท้อนมุมบวก คือ ภาวะขาดแคลนแรงงาน เริ่มกลับมาเยือนบางธุรกิจอีกครั้ง

สำหรับภาคอสังหาฯ ตลอดปี 2552 ที่ผ่านมา แม้จะมีภาพการทรงตัวของตลาด ให้เห็นจากภาวะการขายที่ไม่สู้ดีนักในช่วงไตรมาสที่ 2 แต่ล่าสุดสถานการณ์เปลี่ยนไป หลายบริษัทโชว์ยอดขายเติบโตขึ้น มาพร้อมกิจกรรมส่งเสริมการตลาดที่ค่อนข้างคึกคัก สะท้อนว่าภาคอสังหาฯ ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่หลายฝ่ายแสดงความกังวล

เมื่อลงมาดูรายละเอียด ข้อมูลสถิติจากกรมที่ดิน ยิ่งสะท้อนภาพธุรกิจว่ามีแนวโน้มที่ดีไม่ต่างกับปี 2551 และอาจดีกว่าปี 2550 ที่ผ่านมาด้วยซ้ำไป โดยพบว่าสถิติการขออนุญาตจัดสรรที่ดินรายใหม่ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เปรียบเทียบระหว่างปี 2543-2552 พบความเคลื่อนไหวที่ยังคงดีต่อเนื่อง

เมื่อดูจากจำนวนแปลงจะพบว่า สถิติขออนุญาตจัดสรรใหม่ปี 2552 เพียง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) มียอดรวมที่ 11,473 แปลง ขณะที่ทั้งปี 2551 มียอดรวม 16,415 แปลง ส่วนปี 2550 มีจำนวน 12,149 แปลง แต่ยังต่ำกว่าพอสมควรเมื่อเทียบกับปี 2549 ที่มียอดรวมถึง 18,447 แปลง

รายละเอียดในตัวสินค้าที่ยื่นขอจัดสรรแต่ละประเภท ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแถว (ทาวน์เฮ้าส์) อาคารพาณิชย์ และที่ดินเปล่า มีสถิติในจำนวน และการเติบโตที่ใกล้เคียงกัน

เมื่อดูรายละเอียดการยื่นขอจัดสรรใหม่ในภูมิภาค ยอดรวมการยื่นขอจัดสรรใหม่ 9 เดือนสำหรับปี 2552 มียอดรวมที่ 30,969 แปลง ต่ำกว่ายอดรวมทั้งปี 2551 ที่มียอดรวมที่ 44,520 แปลง ขณะที่ปี 2550 ยอดรวมที่ 45,695 แปลง สะท้อนว่ายอดขอจัดสรรใหม่ในภูมิภาค มีภาวะชะลอตัวมากกว่ายอดขอจัดสรรใหม่ในกรุงเทพฯ ซึ่งกล่าวได้ว่าปี 2552 ภาพรวมธุรกิจจัดสรรจากการยื่นขออนุญาตใหม่ ไม่เลวร้ายไปกว่าปี 2551 มากนัก
กรุงเทพธุรกิจ
**************
23/10/52
ผลสำรวจบ้านสร้างเสร็จจดทะเบียน

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดสถิติตัวเลขบ้านสร้างเสร็จ จดทะเบียนใหม่ในกรุงเทพ มหานคร (กทม.) และ 5 จังหวัดปริมณฑล รอบ 8 เดือนปี 2552 ว่า มีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่รวม 54,029 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 2% แบ่งเป็นแนวราบ 27,515 ยูนิต และ อาคารชุด 23,514 ยูนิต

แยกสัดส่วนที่อยู่อาศัยประเภทต่าง ๆ อาคารชุดมีสัดส่วน 49% บ้านเดี่ยว 36% ทาวน์เฮาส์ 9% อาคารพาณิชย์ 4% และบ้านแฝด 2% โดยกว่า 55% อยู่ใน กทม. รองลงมาคือ นนทบุรี 19% สมุทรปราการ 7% ปทุมธานี 6% สมุทรสาคร 6% และนครปฐม 6%

เทียบกับช่วงเดียวกันปี 2551 บ้านเดี่ยวลดลง 19% จาก 24,259 ยูนิต เป็น 19,604 ยูนิต, ทาวน์เฮาส์และอาคารพาณิชย์ลดลง 27% จาก 9,542 ยูนิต เป็น 7,006 ยูนิต, บ้านแฝดเพิ่มขึ้น 49% จาก 609 ยูนิต เป็น 905 ยูนิต และอาคารชุดเพิ่มขึ้น 42% จาก 18,665 ยูนิต เป็น 26,514 ยูนิต

"ขรรค์ ประจวบเหมาะ" กรรมการผู้จัดการ ธอส. ประเมินว่า โครงการอาคารชุดมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอีก จากการเปิดโครงการระบบขนส่งมวลชนต่าง ๆ และ Airport Link ที่กำลังจะเปิดให้บริการ ซึ่งจะช่วยจุดกระแสความสนใจโครงการ ที่อยู่อาศัยตามพื้นที่ใกล้แนวรถไฟฟ้า สายใหม่ 8 สถานี คือ พญาไท ราชปรารภ มักกะสัน-อโศก รามคำแหง หัวหมาก ทับช้าง ลาดกระบัง สุวรรณภูมิ แต่จะมีผลมากที่สุด คือ 4-5 สถานีชั้นในใกล้เมือง

ดัชนีความเชื่อมั่นสูงสุดในรอบ 2 ปี

"สัมมา คีตะสิน" ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูล เผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยไตรมาส 3/52 ซึ่งผู้ประกอบการตอบแบบสอบถาม 150 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 28 บริษัท และบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ฯ 122 บริษัท โดยการคำนวณดัชนีให้น้ำหนักบริษัททั้ง 2 กลุ่ม กลุ่มละ 50 : 50 เท่ากัน และมีค่ากลางของดัชนีเท่ากับ 50 พบว่าค่าดัชนีความเชื่อมั่นเท่ากับ 55.8 สูงสุดเท่าที่ศูนย์ข้อมูลเคยจัดทำดัชนีนี้มา และเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/52 ซึ่งดัชนีมีค่าเท่ากับ 48.1 ถือว่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นการฟื้นตัว ต่อเนื่องเป็นไตรมาส 3 ติดต่อกัน หลังเคยต่ำสุดที่ 36.3 ในไตรมาส 4/2551

โดยบริษัทจดทะเบียนมีค่าความเชื่อมั่น 61.9 สูงขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมีค่าดัชนี 56.8 ขณะที่บริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนมีค่าดัชนีความเชื่อมั่น 49.6 สูงขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาซึ่งมีค่าดัชนี 39.2 อย่างไรก็ตามแม้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการนอกตลาดจะสูงสุดเท่าที่เคยจัดทำมา แต่ก็ยังต่ำกว่าค่ากลาง สะท้อนว่าความ เชื่อมั่น แม้จะดีขึ้นมากแต่ยังไม่ดีพอ

ส่วนดัชนีความคาดหวังในอีก 6 เดือนข้างหน้า (expectations index) ประจำไตรมาส 3/52 ต่อเนื่องไปถึงไตรมาสแรก ปี 2553 มีค่าเท่ากับ 69.9 สูงขึ้นมากจากไตรมาส 2/52 ที่มีค่าดัชนี 62.2 สูงสุดเท่าที่ศูนย์ข้อมูลได้เคยจัดทำดัชนีนี้มาเช่นกัน

ราคาบ้านแนวโน้มลดลง

ศูนย์ข้อมูลระบุว่า ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยไตรมาส 3 ราคาที่ดิน บ้านเดี่ยว และ ทาวน์เฮาส์ พร้อมที่ดินโดยเฉลี่ยลดลงเป็นไตรมาส 2 ราคาบ้านเดี่ยวพร้อมที่ดินปรับตัวลดลงมาก สาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ซื้อหันมาสนใจอาคารชุดและทาวน์เฮาส์มากขึ้น อีกส่วนหนึ่งมาจากราคาบ้านเดี่ยวในเขตกรุงเทพฯชั้นในปรับตัวสูงขึ้นตามราคาที่ดิน ผู้ซื้อจึงหันไปสนใจบ้านเดี่ยวในเขตกรุงเทพฯรอบนอกและปริมณฑล เนื่องจากมีราคาที่ต่ำกว่า ทำให้ราคาเฉลี่ยของตัวอย่างบ้านเดี่ยวในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลที่นำมาใช้คำนวณค่าดัชนีลดต่ำลง
prachachart
*************
22/10/52
โจนส์แลงฯ เผยอสังหาฯ โลกเริ่มเป็นบวก
โจนส์ แลง ลาซาลล์ระบุตลาดอสังหาริมทรัพย์โลกมีแนวโน้มที่ดีขึ้น หลังเศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัว
นักเศรษฐศาสตร์และภาครัฐฯ ในหลายประเทศทั่วโลก มีความมั่นใจมากขึ้นเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ในขณะเดียวกัน ตลาดอสังหาริมทรัพย์โลกเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในเอเชีย ซึ่งมีสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเร็วกว่าที่คาดไว้ กิจกรรมการลงทุนซื้อขายโครงการอสังหาริมทรัพย์มีมูลค่าปรับตัวเพิ่มขึ้นและได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งภายในและต่างประเทศ ที่หาโอกาสลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในราคาที่น่าสนใจ ตามรายงานที่มีชื่อว่า Global Market Perspective ฉบับเดือนตุลาคม 2552 จากบริษัทบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ โจนส์ แลง ลาซาลล์

รายงานฉบับดังกล่าวระบุว่า ก่อนหน้านี้ ตลาดที่อยู่อาศัยในบางประเทศของเอเชียแปซิฟิก มีการปรับตัวดีขึ้นมาก และขณะนี้ ตลาดอาคารสำนักงานเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้นด้วย โดยพบว่า การปรับตัวลดลงของอัตราค่าเช่าพื้นที่สำนักงานเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส เริ่มชะลอลงในไตรมาสสามที่ผ่าน อาทิ ฮ่องกงค่าเช่าปรับลดลงอีกเพียงเล็กน้อยในไตรมาสที่ผ่านมา คือ 1.5% ในขณะที่ค่าเช่าในซิดนีย์ปรับลดลงเพียง 2.3% ส่วนตลาดอาคารสำนักงานเกรดเอของกรุงเทพฯ ในไตรมาสที่สองปรับลดลง 2.8% และไม่เปลี่ยนแปลงในไตรมาสสาม

อย่างไรก็ดี ดีมานด์หรือความต้องการในตลาดอาคารสำนักงานของภูมิภาคนี้ ยังคงไม่มีการขยายตัว และในระยะสั้นคาดว่าบริษัทต่างๆ ซึ่งเช่าพื้นที่สำนักงานจะยังคงไม่มีการขยายกิจการให้เห็นมากนัก ดังนั้น ในบางเมืองของเอเชียแปซิฟิกที่จะมีซัพพลายหรืออุปทานของอาคารสำนักงานใหม่เพิ่มมากขึ้น มีความเป็นไปได้ว่าค่าเช่าอาจปรับตัวลดลงต่อไปได้อีกในปี 2553 แต่สำหรับเมืองที่มีพื้นที่สำนักงานเหลือเช่าไม่มาก อาจเริ่มเห็นค่าเช่าปรับตัวขึ้นได้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

ในยุโรปโดยรวม กิจกรรมการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานในไตรมาสสามปรับตัวลดลง 5% ส่วนค่าเช่าพื้นที่สำนักงานเกรดเออยู่ในอัตราคงที่ โดยมีการปรับลดลงเพียงเล็กน้อยในตลาดยุโรปตอยกลาง สเปน ไอร์แลนด์และสวีเดน คาดว่า ค่าเช่าในประเทศส่วนใหญ่ของยุโรปจะถึงจุดต่ำสุดในปี 2553 แต่จะยังไม่มีการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญจนกว่าจะถึงปี 2554

ในอเมริกา ตลาดอาคารสำนักงานยังคงอยู่ในช่วงขาลงต่อไปอีกเนื่องจากยังคงมีการปลดพนักงานของบริษัทต่างๆ แต่พบว่า การปรับตัวลดลงของค่าเช่าและการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ว่างเหลือเช่าเริ่มชะลอลง แม้บริษัทผู้เช่าพื้นที่ยังคงมีการลดขนาดลง และเน้นการลดต้นทุนเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ในช่วง 12 เดือนที่ผ่าน ค่าเช่าที่เจ้าของอาคารเสนอเบื้องต้น มีการปรับลดลงเกือบ 10% ในขณะที่ค่าเช่าจริงที่เจ้าของอาคารสามารถปล่อยเช่าพื้นที่ได้ มีการปรับลดลงเฉลี่ย 15% โดยตลาดในเมืองใหญ่ๆ บางเมืองมีค่าเช่าลดลง 30 ถึง 40% เป็นไปได้ว่า ตลาดการเช่าพื้นที่สำนักงานในอเมริกา อาจเริ่มมีกิจกรรมมากขึ้นในต้นปีหน้า แต่การฟื้นตัวของตลาดอย่างเต็มรูปแบบจะยังไม่เกิดขึ้น เพราะพื้นที่ว่างเหลือเช่ามีแนวโน้มที่จะขยับขึ้นต่อไปอีกได้ถึงที่ระดับ 20% ในช่วงปลายปีหน้าหรือต้นปี 2554

บริษัทผู้เช่าพื้นที่อาคารสำนักงานทั่วโลกกำลังดำเนินกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจ อาทิ ในลอนดอนและจีน เริ่มมีบริษัทผู้เช่าเจรจาสัญญาเช่าพื้นที่สำนักงานในช่วงนี้ เนื่องจากคาดว่าในปีหน้า ตลาดน่าจะมีกิจกรรมการเช่ามากขึ้น ตามมาด้วยค่าเช่าที่สูงขึ้น และการเจรจาต่อรองกับเจ้าของอาคารจะเป็นไปได้ยากขึ้น ส่วนในตลาดของประเทศอื่นๆ ที่ยังไม่มีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ บริษัทผู้เช่ายังคงลังเลไม่กล้าผูกมัดกับการเช่าพื้นที่เพิ่ม ในขณะที่กิจกรรมการเช่ายังคงลดลง ในช่วงนี้ เจ้าของอาคารมีการเสนอโปรโมชั่นต่างๆ มากมาย เพื่อจูงใจผู้เช่า แต่ในระยะต่อไป โอกาสที่เจ้าของจะเสนอโปรโมชั่นเหล่านี้จะค่อยๆ หมดไป เมื่อตลาดเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น

กิจกรรมการเช่าส่วนใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงนี้ไปจนถึงปีหน้า จะเป็นการเช่าโดยบริษัทที่มีการควบรวมสถานประกอบการ หรือที่ต้องการย้ายที่ทำการไปยังตึกที่มีคุณภาพดีขึ้น แต่ความต้องการใหม่ที่มาจากการเช่าพื้นที่เพิ่มในกรณีของการขยายกิจการจะมีไม่มาก จนกว่าภาคธุรกิจจะมีการฟื้นตัว ซึ่งในประเด็นนี้ คาดว่า ภาคธุรกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวและกลับมาต้องการใช้พื้นที่สำนักงานเพิ่มขึ้นเป็นกลุ่มแรก คือกลุ่มธุรกิจการเงินการธนาคาร ซึ่งเป็นธุรกิจแรกที่ได้รับผลกระทบจากวิฤตการณ์ทางการเงินโลก ตัวอย่างเช่น กลุ่มโนมูระในลอนดอน และคอมเมอร์ส แบงค์ในแฟรงค์เฟิร์ท ซึ่งมีการขยายกิจการอย่างคึกคักในไตรมาสที่ผ่านมา ส่วนที่นิวยอร์ค แม้สถาบันทางการเงินรายใหญ่หลายรายยังคงมีการปรับลดขนาด แต่ขณะเดียวกันพบว่า บริษัทการเงินขนาดกลางและขนาดเล็กเริ่มมีกิจกรรมมากขึ้น

ตลาดการลงทุนซื้อขายโครงการอสังหาริมทรัพย์มีกิจกรรมเพิ่มขึ้นในยุโรป ทรงตัวในเอเชีย และซบเซาในอเมริกา

กิจกรรมการลงทุนซื้อขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศส่วนใหญ่ของเอเชียในเดือนที่ผ่านมาแทบไม่มีความเคลื่อนไหวเนื่องจากนักลงทุนยังคงรอดูว่า การฟื้นตัวของตลาดที่เริ่มส่งสัญญาณให้เห็นในไตรมาสสองจะมีความต่อเนื่องหรือไม่ ส่วนกิจกรรมการลงทุนที่เกิดขึ้นมากในจีนฮ่องกง ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนซื้อโดยนักลงทุนจากจีน สำหรับในประเทศไทย บริษัทผู้พัฒนาโครงการมีการลงทุนซื้อที่ดินมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมพักอาศัยในกรุงเทพฯ

ในช่วงก่อนหน้าเกิดวิกฤติการเงินโลกขึ้น สถาบันทางการเงิน/ธนาคารต่างประเทศ มีการลงทุนด้วยการเข้าซื้ออาคารสำนักงานในเอเชีย ซึ่งต่อมา ได้ประสบปัญหาหลังเกิดวิกฤติการเงินโลกขึ้น นับเป็นครั้งแรกในรอบปีที่สถาบันการเงินต่างประเทศเหล่านี้เริ่มขยับเพื่อหาทางออกให้กับการลงทุนที่เป็นปัญหานี้ ในขณะเดียวกัน สถาบันการเงินในเอเชียเริ่มยินดีที่จะปล่อยกู้มากขึ้น แต่ยังคงจำกัดความเสี่ยงด้วยการให้วงเงินกู้ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับมูลค่าของหลักทรัพย์ค้ำประกัน

ในอเมริกา กิจกรรมการลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ยังคงซบเซา เนื่องจากนักลงทุนยังขาดความเชื่อมั่นและสถาบันการเงินเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อ ในไตรมาสที่ผ่านมา กิจกรรมการซื้อขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ประเภทอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า อพาร์ทเม้นท์ และโรงงาน/โกดังสินค้า ทั่วอเมริกา มีมูลค่ารวมทั้งสิ้นเพียง 10,500 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาสสอง แต่เมื่อพิจารณามูลค่าการลงทุนซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงตลอดเก้าเดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 29,000 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าช่วงเดียวกันกับปี 2551 ถึง 75% และต่ำกว่าช่วงเดียวกันกับปี 2550 ถึง 91%

ในยุโรป หลังจากตลาดการลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ดิ่งลงถึงจุดสุดในไตรมาสที่หนึ่ง กิจกรรมการลงทุนเริ่มกลับมาอีกครั้งในไตรมาสที่ผ่านมา พร้อมๆ กับความเชื่อมั่นของนักลงทุน กิจกรรมการลงทุนโดยตรงด้วยการซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาสสามมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 18,000 ยูโร เพิ่มขึ้นจากไตรมาสสอง 40% และเป็นการขยายตัวติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สอง คาดว่า มูลค่าโดยรวมของทั้งปีนี้จะขึ้นไปถึง 60,000 ล้านยูโร ตลาดที่มีกิจกรรมการลงทุนซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์สูงสุดคือตลาดอาคารสำนักงานในเขตกรุงลอนดอนชั้นใน ซึ่งมีการซื้อขายอาคารสำนักงานรวมมูลค่า 5,300 ล้านยูโรในช่วงสามไตรมาสแรกของปีนี้ ผู้ซื้อเป็นนักลงทุนประเภทสถาบันจากเยอรมันและสวิตเซอร์แลนด์ นักลงทุนเอกชนจากออสเตรเลีย เยอรมันและรัสเซีย และกองทุนของกษัตริย์จากตะวันออกกลาง

ธุรกิจโรงแรมร่วงสูงสุด 50%

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก คาดว่า มูลค่าของโรงแรมทั่วโลกร่วงลงจากเพดานสูงสุดประมาณ 20-50%

การลงทุนในโรงแรมมีความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ เพราะผลประกอบการขึ้นอยู่กับรายได้ที่ได้จากการให้บริการห้องพักในแต่ละวัน ต่างกับอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ประเภทอื่น เช่น ศูนย์การค้าและอาคารสำนักงาน ซึ่งมีรายได้ที่แน่นอนกว่าจากสัญญาเช่าระยะยาว อย่างไรก็ดี การที่มูลค่าของโรงแรมปรับตัวลดลงมามากแล้ว อาจสะท้อนให้เห็นว่า ตลาดโรงแรมได้ลงถึงจุดต่ำสุดแล้ว นอกจากนี้ จากการที่เศรษฐกิจของประเทศหลักๆ ทั่วโลกเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัว มีความเป็นไปได้ว่า โรงแรมอาจเป็นตลาดอสังหาริมทรัพย์กลุ่มแรกที่จะฟื้นตัว เนื่องจากความต้องการบริการห้องพักของโรงแรมปรับตัวขึ้นลงตามอย่างรวดเร็วตามสภาพเศรษฐกิจ ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้น จึงมีความเป็นไปได้ที่มูลค่าโรงแรมจะกลับมามีผลประกอบการที่ดีขึ้น ตามด้วยมูลค่าที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

กิจกรรมการลงทุนซื้อขายโรงแรมทั่วโลกมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นติดต่อกันในไตรมาสที่สองและสามของปีนี้ โดยในไตรมาสที่ผ่านมามีมูลค่ารวมทั้งสิ้นเกือบ 3,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสสอง 40% ภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา เป็นภูมิภาคที่มีการลงทุนซื้อขายโรงแรมมากที่สุดในไตรมาสที่ผ่านมา โดยมีมูลค่ารวมกว่า 1,200 ล้านดอลลาร์ ตามด้วยเอเชียแปซิฟิก 1,000 ดอลลาร์ และอเมริกากว่า 700 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ยังพบว่า การร่วงลงของค่าบริการห้องพักโรงแรมทั่วโลกเริ่มชะลอตัวลง ส่วนตลาดโรงแรมที่กรุงโรมของอิตาลีและกรุงโซลของเกาหลีใต้ เริ่มมีค่าบริการห้องพักปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
กรุงเทพธุรกิจ
************
22/10/52
Q3 อสังหา บ.กลาง-เล็กเด่นเก็บ PS-SC-SPALI-PRIN
เซียนประเมินตัวเลขกำไรไตรมาส 3/2552 กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ระบุบริษัทขนาดกลางและเล็กสามารถทำกำไรได้ดี โดยกำไรโตโดดเด่นสุดให้ PF พุ่งกว่า 48% SC โต 22% ตามติดด้วย TICON เพิ่ม 24% และ AP ที่ 24% ส่วนราคายังต่ำกว่าพื้นฐานดักสอยเก็บ PS เป้าหมาย 16.27 บาท SC เป้าหมาย 14.78 บาท SPALI เป้าหมาย 8.70 บาทและ PRIN เป้าหมา 2.72 บาท

**********
20/10/52
ปัจจัยในประเทศ & อุตสาหกรรมและหุ้นเด่น
+ อัตราดอกเบี้ยต่ำหนุนหุ้นกลุ่มที่พักอาศัย เราคาดว่ากนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย R/P 1 วันไว้ที่ 1.25% ในการประชุมวันที่ 21 ต.ค.นี้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังไม่ได้เป็นปัจจัยที่ต้องกังวล และสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินยังคงสูง นอกจากนั้นกลุ่มที่พักอาศัยยังได้รับอานิสงค์ทางบวกจากมาตรการลดหย่อนภาษีธุรกิจเฉพาะและค่าธรรมเนียมโอนที่จะหมดอายุปลายเดือนมี.ค.53 รวมถึงการให้นำเงินต้นซื้อบ้านหลังแรกไปหักเป็นค่าลดหย่อนได้ตามจ่ายจริงแต่ไม่เกิน 3 แสนบาท/คน โดยต้องโอนภายในสิ้นปี 52 นี้เท่านั้น ซึ่งส่วนนี้ก็เป็นตัวเร่งการโอนที่พักอาศัยใน 4Q52 สำหรับหุ้น Top Picks ในกลุ่มที่พักอาศัยของ DBSV ประกอบด้วย AP (แนะนำซื้อ ราคาตามพื้นฐาน 8 บาท), PS (แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 16.77 บาท), QH (แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 2.83 บาท), SPALI (แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 7.65 บาท) และ SC (แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 14.08 บาท)
dbsv
**********
16/10/52
อินเดีย มั่นใจความต้องการเหล็กช่วง Q2-Q3 ปีนี้ขยายตัว 5.7%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวบลูมเบิร์กดอทคอมระบุว่า กระทรวงอุตสาหกรรมอินเดียเปิดเผยวันนี้ว่า ความต้องการใช้เหล็กในอินเดียครึ่งช่วงไตรมาส 2-3 ปีนี้ขยายตัว 5.7% หลังความต้องการจากผู้ผลิตยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และผู้ประกอบการในภาคอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น

โดยความต้องการใช้เหล็กในช่วงดังกล่าวอยู่ที่ 26.49 ล้านตัน ขณะที่การผลิตเหล็กเพิ่มขึ้น 2% อยู่ที่ 28.49 ล้านตัน

นายปราโมท รุสโตกีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมอินเดียกล่าวว่า ความต้องการใช้เหล็กจากผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่ ตู้เย็น และเครื่องปรับอากาศเพิ่มขึ้น หลังยอดขายขยายตัวได้ดีจากรายได้ภาคการเกษตรที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น 5.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

ทั้งนี้ นายรุสโตกีเปิดเผยว่า การนำเข้าเหล็กในช่วงดังกล่าวเพิ่มขึ้น 1% อยู่ที่ 3.22 ล้านตัน ขณะที่การส่งออกลดลง 43.6% อยู่ที่ 1.34 ล้านตัน
stock wave
**********
14/10/52
สำรวจธุรกิจอสังหาฯมั่นใจศก.ดัชนีเชื่อมั่นสูงสุดที่ 55.8
ธอส.เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการอสังหาฯ มั่นใจเศรษฐกิจและการเมือง ชี้ดัชนีความเชื่อมั่นในปัจจุบันที่ 55.8 สูงสุดกว่าที่เคยจัดทำ
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย 150 ราย ประจำไตรมาส 3/2552 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นในปัจจุบันเท่ากับ 55.8 สูงที่สุดเท่าที่เคยจัดทำ

หากเทียบกับไตรมาส 2/2552 ที่ดัชนีมีค่าเท่ากับ 48.1 เป็นการฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 หลังจากเคยอยู่ระดับต่ำสุดที่ 36.3 ในไตรมาส 4/2551

โดยบริษัทจดทะเบียนความเชื่อมั่นปรับตัวดีขึ้นมาก ค่าดัชนีเท่ากับ 61.9 ขณะที่บริษัทไม่ได้จดทะเบียนมีค่าดัชนีเท่ากับ 49.6 มีค่าต่ำกว่าค่ากลางที่ 50 แสดงว่าความเชื่อมั่นยังไม่ดีพอ

ส่วนดัชนีความคาดหวังในอีก 6 เดือนข้างหน้า มีค่าเท่ากับ 69.9 สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2550 และปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาส 2 ซึ่งมีค่าอยู่ที่ 62.2

สำหรับสาเหตุที่ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวดีขึ้น แสดงว่าผู้ประกอบการเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและสถานการณ์การเมือง โดยเชื่อว่าผลประกอบการและยอดขายจะดีขึ้น และมีแนวโน้มการลงทุนโครงการใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น และเชื่อว่ามาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จะหมดอายุใน 6 เดือนจะสามารถเร่งยอดขายได้
กรุงเทพธุรกิจ
***********
14/10/52
สมาคมเหล็กโลกมองปีหน้า ความต้องการเหล็กพุ่ง 9.2%

สมาคมเหล็กโลก (World Steel Association) ได้มองทิศทางสถานการณ์เหล็กในการประชุมผู้ประกอบการเหล็กทั่วโลก กว่า 180 แห่ง ณ กรุงปักกิ่ง ในสัปดาห์นี้ โดยคาดการณ์ว่า ภาวะซบเซาในตลาดเหล็กกล้าทั่วโลกได้สิ้นสุดลงแล้ว และคาดว่าความต้องการเหล็กกล้าทั่วโลกในปีหน้า จะเพิ่มขึ้น 9.2% แตะระดับ 1.2 พันล้านตัน จากแรงหนุนจากดีมานด์ในสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่นที่ดีดตัวขึ้น

ขณะเดียวสมาคมเหล็กโลกคาดว่า ความต้องการเหล็กทั่วโลกในปีนี้จะลดลง 8.6% สู่ระดับ 1.104 พันล้านตัน ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะลดลง 14%

ส่วนภาพการประเมินในปีนี้ ทางสมาคมเหล็กโลก มองว่า ความต้องการเหล็กกล้าในอเมริกาอาจร่วงลง 39% ในปีนี้ แต่จะดีดตัวขึ้น 19% สู่ระดับ 72 ล้านตันในปีหน้า

ความต้องการเหล็กกล้าในสหภาพยุโรป (อียู) จะร่วงลง 33% แตะระดับ 122 ล้านตันในปีนี้ แต่จะเพิ่มขึ้น 12.4% ในปีหน้า ส่วนความต้องการเหล็กในญี่ปุ่นคาดว่าจะลดลง 31% ในปีนี้ แต่จะฟื้นตัวขึ้น 16%

ขณะเดียวกันคาดว่าความต้องการเหล็กในจีนจะเพิ่มขึ้น 5% ในปีหน้า และคาดว่าความต้องการเหล็กในอินเดียจะเพิ่มขึ้น 12% ในปีหน้า

นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีนและอินเดียจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าประเทศอื่นๆในกลุ่มองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (ECD) ขณะที่กำลังการผลิตเหล็กของโรงงานในสหรัฐอาจมีอยู่เพียง 45% เนื่องจากดีมานด์หดตัวลง ซึ่งต่างจากจีนมีอุตสาหกรรมเหล็กกล้าที่แข็งแกร่งมากกว่า โดยคาดว่าผลผลิตเหล็กของจีนอาจพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ หลังจากรัฐบาลใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 5.86 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งช่วยหนุนราคาเหล็กเพิ่มขึ้น 20% นับตั้งแต่เดือนพ.ย.เป็นต้นมาก

กลุ่มผู้ผลิตเหล็กกล้าทั้งในจีน สหรัฐ และยุโรป กำลังเริ่มเดินเครื่องการผลิตอีกครั้ง เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น โดยบริษัท อาร์เซลอร์มิทตาล ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลกคาดการณ์ว่า กำไรหลังหักภาษีในไตรมาส 3 จะเพิ่มขึ้น ขณะที่บริษัทเ เป๋าชาน ไอออน แอนด์ สตีล ของจีน คาดว่ากำไรช่วงครึ่งปีหลังจากเพิ่มขึ้นเนื่องจากกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ใช้เหล็กมากขึ้น
money wake up
************
05/10/52
ส.อสังหาฯระบุลดภาษี รัฐบาลไม่เสียรายได้ เหตุยอดขายเพิ่ม-ธุรกิจเกี่ยวเนื่องโต
3 สมาคมอสังหาฯ พร้อมแจงลดภาษีอสังหาฯอย่ามองว่ารัฐสูญเสียรายได้ แต่ให้มองว่าลดแล้วยอดขายเพิ่มธุรกิจเกี่ยวเนื่องโต รัฐเก็นภาษีได้เพิ่มทั้งทางตรงทางอ้อม ส่วนโรดโชว์ต่างประเทศเห็นด้วย แนะทำการบ้านเรื่องกฎหมาย ภาษี ตอบคำถามต่างชาติประสานเสียงเร่งคนพร้อมซื้อบ้านโค้งสุดท้ายปลายปี ยกสารพัดประโยชน์ทั้งราคาต่ำสุด-โปรโมชั่นมากสุด

3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้แก่ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย,สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอาคารชุดไทย ต่างประสานเสียงกระตุ้นที่ประชาชนรีบซื้อบ้านในช่วงโค้งสุดท้ายของปี โดยนายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ในไตรมาส 4 นี้ภาวะตลาดอสังหาฯจะปรับตัวดีตามภาวะเศรษฐกิจขึ้นอย่างแน่นอน อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่ดีของผู้ที่ต้องการซื้อบ้านหรือมีความพร้อมที่จะซื้อบ้าน เพราะปีหน้ายังไม่สามารถมีบุคคลหรือหน่วยงานใดสามารถระบุได้ชัดเจนว่ารัฐบาลจะต่ออายุมาตรการลดภาษีอสังหาฯหรือไม่

ทั้งนี้ประเด็นสำคัญที่ต้องซื้อบ้านในช่วงนี้ คือ หากซื้อบ้านในปีหน้าราคาจะแพงกว่าปัจจุบันอย่างแน่นอน เพราะในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้ผู้ประกอบการยังขายบ้านในต้นทุนเดิม อีกทั้งยังต้องการสร้างยอดขายจึงคงราคาเดิม ลดราคาลงหรือแม้แต่การให้โปรโมชั่นต่างๆ อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งส่วน ฟรี บางโครงการสามารถหิ้วกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลย

“ซื้อบ้านตอนนี้ยังไงก็ถูกกว่าปีหน้าอย่างแน่นอน เราต้องการให้คนที่พร้อมจะซื้อบ้านรีบซื้อภายในปีนี้ เพราะอย่างไรเสียก็ได้ประโยชน์คุ้มค่ามากที่สุดกว่าช่วงอื่นๆ” นายอธิปกล่าว

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันพบว่าราคาวัสดุปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เพราะความต้องการสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นตามอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ และที่เห็นชัดเจนคือ เหล็ก ปูนซิเมนต์ รวมถึงราคาน้ำมันที่เป็นต้นเหตุให้ต้นทุนราคาสินค้าปรับขึ้น ซึ่งเชื่อว่าผู้ประกอบการจะสามารถอั้นราคาได้เพียงสิ้นปีนี้เท่านั้นอีกทั้งยังมีสต๊อกเก่าเหลืออยู่ ส่วนสินค้าที่มีการผลิตใหม่จะต้องให้ต้นทุนใหม่ นอกจากนี้ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าเชื่อว่าจะอยู่ในภาวะขาขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเช่นกัน

ด้านนายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า แม้ว่ามาตรการภาษีไม่ใช่ประเด็นหลักๆที่จะทำให้คนเร่งซื้อบ้านในช่วงนี้ แต่เป็นเรื่องของราคาและโปรโมชันที่ผู้ประกอบการมอบให้ที่ทำให้ประชาชนตัดสินใจซื้อบ้านในช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม สมาคมอสังหาฯ เตรียมที่จะยื่นเสนอต่อรัฐบาล ในการต่ออายุมาตรการภาษี เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมหรือใกล้สิ้นสุดอายุ เพราะถือว่าเป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยตรง เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะนำส่วนลดด้านภาษีมาลดให้แก่ผู้บริโภคหรือจัดเป็นโปรโมชั่นแทน

ส่วนประเด็นที่ว่าการลดภาษีให้แก่ภาคธุรกิจอสังหาฯทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้นั้น เชื่อว่าไม่เป็นความจริง เพราะหากมองว่า หากรัฐบาลยังจัดเก็บภาษีในอัตราเดิมอาจจะมียอดจัดเก็บรายได้น้อยกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะการซื้อ-ขาย มีน้อยประชาชนไม่กล้าใช้เงิน เพราะบ้านถือว่าต้องใช้เงินก้อนใหญ่ เงินเก็บทั้งชีวิตหรือต้องขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินมาซื้อ อีกทั้งยังเป็นสินค้าที่รอได้ หากไม่พร้อมก็เช่าบ้านอยู่หรืออยู่กับครอบครัวไปก่อน แต่เมื่อรัฐบาลกระตุ้นด้วยการลดภาษีก็ทำให้มีการชื้อ-ขายเพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญการซื้อบ้าน 1 หลังจะมีการซื้อสินค้าอื่นที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งรัฐบาลจะได้ภาษีทั้งทางตรงและทางอ้อมจากธุรกิจอสังหาฯอีกจำนวนมาก และอาจจะมากกว่าที่รัฐบาลจัดเก็บภาษีในอัตราเดิม

นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลจะเป็นหัวเรือใหญ่ในการนำโครงการอสัหาริมทรัพย์ของไทยออกไปโรดโชว์ยังต่างประเทศว่า การไปดูงานที่ประเทศสิงคโปร์ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี แม้ว่าเอกชนหลายรายจะเคยนำโครงการไปจัดบูธแสดงสินค้ามาแล้ว แต่หากรัฐบาลไทยจะเป็นผู้นำนักธุรกิจหรือโครงการอสังหาฯของไทยไปโรดโชว์ในต่างประเทศจะเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งอสังหาฯไทยมีราคาถูกว่า ฮ่องกง สิงคโปร์ 4-5 เท่าตัวในขนาดและคุณภาพเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องทำการบ้านในเรื่องของข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการซื้อ-ขายให้ดี เพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากข้อกฎหมายที่ไม่ตรงกันระหว่างของไทยและของต่างชาติ ซึ่งจะต้องตอบคำถามหรืออธิบายให้นักลงทุนต่างชาติเข้าใจได้ รวมไปถึงเรื่องของภาษีควรระบุชัดเจนว่าต้องจ่ายอะไรบ้าง จำนวนเท่าใด และมีส่วนลดหรือไม่ แต่ที่ยังเป็นปัญหาในขณะนี้คือ ธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อในขณะนี้มีน้อยรายมาก

นายธงชัย บุศราพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงที่หลือของปีนี้ ตลาดมีแนวโน้มที่ดีกว่าช่วงต้นปีอย่างมาก เนื่องจากภาวะการเมืองในช่วงต้นปี ทำให้บรรยากาศการซื้อขายชะลอตัวอย่างหนัก โครงการเปิดใหม่ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อการเมืองเริ่มนิ่งภาวะตลาดในช่วง 2-3 เดือนหลังปรับตัวดีขึ้น ซึ่งนักลงทุนต่างมองว่าผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว เป็นเวลาที่เหมาะสมในการกลับมาลงทุนอีกครั้ง

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเรื่องดอกเบี้ยเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินฝากที่เอื้อต่อการลงทุนด้วย โดยดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำให้ผลตอบแทนไม่คุ้มกับเงินเฟ้อทำให้นักลงทุนที่มีเงินเย็นต่างมองหาวิธีการลงทุนใหม่ๆ ที่ทำให้ได้รับผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงิน ปัจจัยดังกล่าวจึงทำให้มีเม็ดเงินส่วนหนึ่งไหลเข้ามาสู่ภาคอสังหาฯ ด้วยการซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อขายต่อหรือปล่อยเช่า

โดยในส่วนของโนเบิลเองที่เพิ่งเปิดให้จองโครงการใหม่ไปเมื่อไม่นานนี้ ภายใต้ชื่อ “โนเบิล รีไฟน์” บนทำเลสุขุมวิท 26 จำนวน 243 คน แต่มีผู้ให้ความสนใจจองเข้ามามากกว่าจำนวนยูนิตหลายเท่า จึงสามารถขายหมดภายในเวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่กลับมา

"อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยลบอีกหลายอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้อีก ซึ่งน่ากังวลว่า การที่ตลาดฟื้นตัวในครั้งนี้ จะกลับมาเร็วเกินไป เข้ามาซื้อแล้วเร่งทำกำไรในช่วงสั้นๆ จนกลายเป็นปัญหาในภายหลังได้ โดยเฉพาะคนที่หวังเก็งกำไร แต่ไม่มีความสามารถในการรับโอน หากถึงเวลาต้องโอน กู้แบงก์ไม่ผ่าน รับโอนไม่ได้ ก็จะกลายเป็นปัญหา"นายธงชัยกล่าว

ทั้งนี้นักลงทุนและผู้ประกอบการต้องมีความระมัดระวัง ควรตั้งเกณฑ์ให้มีการวางเงินจอง เงินดาวน์ในอัตราสูงกว่า 10% เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยคัดกรองผู้ซื้อได้ เพราะหากปล่อยให้ลูกค้าวางเงินจอง- เงินดาวน์เพียง 5-10% ซึ่งถือเป็นต้นทุนที่ต่ำมากและคุ้มหากเข้ามาซื่อเพื่อทำกำไร อย่างไรก็ดีการลงทุนอสังหาฯ เพื่อการปล่อยเช่าหรือทำกำไร ควรมองระยะยาวจะปลอดภัยกว่า เพราะตลาดยังมีปัจจัยเสี่ยง หากมีปัญหาที่กระทบต่อการซื้อขายในตลาด เงินเย็นที่ใช้ลงทุนจะได้ไม่เป็นผลกระทบมากนัก
ผู้จัดการ
**********
02/10/52
กูรูแนะ ลงทุนอสังหาฯ ระยะยาว ดีกว่า ระยะสั้น
3 นักลงทุนจากวงการอสังหาฯ ร่วมถกแนวโน้มอสังหาฯ ไทยจะฟื้นหรือไม่ และเป็นจังหวะที่น่าลงทุนมากน้อยแค่ไหน พบคำตอบได้ที่นี่
รายการ ชาวกรุง จากเนชั่น ชาแนลดึงคนในวงการอสังหาฯ ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตลาดอสังหาฯ ไทยในวันนี้เป็นอย่างไร และมีแนวโน้มเป็นอย่างไร ยังเป็นโอกาสทองของการลงทุนอีกหรือไม่?

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ร่วมเกาะติดการออกอากาศสดของรายการ ชาวกรุง กลางเวทีมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 21 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นำคำตอบมาให้ท่านผู้อ่านได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นไปด้วย

เริ่มจากนายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นจูรี่ 21 เรียลตี้ แอฟฟิลิเอทส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่กล่าวว่า หากจะมองตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทย ขอออกไปมองอสังหาฯ รอบบ้านด้วย โดยมองจากตลาดสิงคโปร์ที่ถือว่าปรับตัวดีขึ้นมากจากช่วงที่ตลาดทรุดตัวลงมาก คาดการณ์ราคาขายเริ่มขยับขึ้นมาประมาณ 30% จากเดิมที่ตลาดเติบโตสูงสุดราคาแตะอยู่ที่ 7-8 แสนบาทต่อตารางเมตร ช่วงที่เกิดวิกฤติราคาหล่นลงมาไปถึง 5 แสนบาทต่อตารางเมตร ขณะนี้ราคาปรับขึ้นมาอยู่ที่ 6. 5-7 แสนบาทต่อตารางเมตร ซึ่งถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดี

นอกจากนี้ คอนโดมิเนียมโครงการใหม่ที่เปิดขายในย่านออร์ชาร์ดเมื่อไม่นานนี้ สามารถปิดการขายได้ในเวลาเพียง 2 วันเท่านั้น สะท้อนให้เห็นถึงดีมานด์ในตลาดที่เริ่มจะกลับคืนมาแล้ว รวมถึง ตลาดฮ่องกงก็มีลักษณะที่คล้ายกัน ส่วนตลาดตะวันออกกลาง อาจจะยังชะลอตัวอยู่ เนื่องจากเคยเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงมากในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อเกิดวิกฤติจึงยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ในเวลาอันรวดเร็ว

“การที่ตลาดจะฟื้นตัวกลับมาได้เร็ว ส่วนหนึ่งต้องมีตลาดเรียล ดีมานด์มาร่วมด้วยอย่างน้อย 70-80% ซึ่งตลาดสิงคโปร์ ฮ่องกง หรือไทยยังมีเรียล ดีมานด์อยู่สูงมาก โอกาสในการฟื้นตัวกลับมาได้เร็วจึงมีสูงกว่าตลาดอื่นๆ ในเอเชีย” นายกิติศักดิ์ กล่าว

ส่วนตลาดต่างชาติที่เข้ามาซื้ออสังหาฯ ในไทยนั้น เขากล่าวว่า ปัจจุบันต้องยอมรับว่า ต่างชาติหายออกจากตลาดในไทยไปพอสมควร จากเดิมที่เคยมีสัดส่วนอยู่สูงถึง 30% เหลือ 5-10% ตลาดอสังหาฯ เมืองท่องเที่ยว ซึ่งส่วนใหญ่อิงลูกค้าจากต่างชาติก็มียอดขายที่ลดลง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะวิกฤติเศรษฐกิจของโลก และอีกปัจจัยหนึ่ง คือ การเมืองไทยยังมีความผันผวน

นายกิติศักดิ์ จึงกล่าวสรุปว่า อสังหาฯ ไทยเริ่มที่จะฟื้นตัวกลับมา แต่เชื่อว่าเป็นเรื่องของทำเลมากกว่า บางทำเลที่มีศักยภาพ มีความต้องการ ภายใต้ราคาที่สมเหตุสมผล ก็ยังคงได้รับความสนใจจากตลาด

ด้านนายธงชัย บุศราพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า ในช่วงเวลาที่เหลืออีกไม่กี่เดือนของปีนี้ ตลาดมีแนวโน้มที่ดีกว่าช่วงต้นปีเป็นอย่างมาก เนื่องจากภาวะการเมืองในช่วงต้นปี ทำให้บรรยากาศการซื้อขายชะลอตัวอย่างหนัก โครงการเปิดใหม่ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่พอหลังการเมืองเริ่มนิ่ง ภาวะตลาดในช่วง 2-3 เดือนก็ปรับตัวดีขึ้น และนักลงทุนทั้งรายเล็ก รายใหญ่ต่างก็มองว่าผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว เป็นเวลาที่เหมาะสมในการกลับมาลงทุนอีกครั้ง

อีกทั้ง ยังมีปัจจัยเรื่องดอกเบี้ยเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินฝากที่เอื้อต่อการลงทุนด้วย โดยดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำให้ผลตอบแทนไม่คุ้มกับเงินเฟ้อทำให้นักลงทุนที่มีเงินเย็นมองหาวิธีการลงทุนใหม่ๆ ที่จะทำให้ได้รับผลตอบแทนจากเงินได้สูงกว่าการฝากเงิน ปัจจัยดังกล่าวจึงทำให้มีเม็ดเงินส่วนหนึ่งไหลเข้ามาสู่ภาคอสังหาฯ เข้ามาลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อขายต่อหรือปล่อยเช่า

โดยในส่วนของโนเบิลเองที่เพิ่งเปิดให้จองโครงการใหม่ไปเมื่อไม่นานนี้ ภายใต้ชื่อ “โนเบิล รีไฟน์” บนทำเลสุขุมวิท 26 จำนวน 243 คน แต่มีผู้ให้ความสนใจจองเข้ามามากกว่าจำนวนยูนิตหลายเท่า จึงสามารถขายหมดภายในเวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่กลับมา

อย่างไรก็ตาม นายธงชัย กล่าวว่า ด้วยหลายปัจจัยลบที่อาจเกิดขึ้นในตลาดได้อีก ทำให้กังวลว่า การที่ตลาดฟื้นตัวกลับมาเร็วมากในครั้งนี้ จะกลับมาเร็วเกินไป จะเข้ามาซื้อแล้วเร่งทำกำไรในช่วงสั้นๆ จนอาจกลายเป็นปัญหาในภายหลัง โดยเฉพาะคนที่หวังเก็งกำไร แต่ไม่มีความสามารถในการรับโอน หากถึงเวลาต้องโอน กู้แบงก์ไม่ผ่าน รับโอนไม่ได้ ก็จะกลายเป็นปัญหา

นักลงทุน ผู้ประกอบการก็ต้องมีความระมัดระวัง ควรตั้งเกณฑ์ให้มีการวางเงินจอง เงินดาวน์ในอัตราที่สูงกว่า 10% ไว้จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยคัดกรองผู้ซื้อได้ เพราะถ้าโครงการปล่อยให้ลูกค้าวางเงินจอง เงินดาวน์เพียง 5-10% ต้นทุนในการเข้ามาจองเพียงหวังทำกำไรต่ำมาก ทำให้นักเก็งกำไรมองว่า คุ้มหากทำกำไรได้เท่าตัว ซึ่งเป็นผลดีต่อโครงการหรือต่อตลาดเลย

การลงทุนอสังหาฯ เพื่อการปล่อยเช่าหรือทำกำไรในจังหวะ ควรมองให้เป็นการระยะยาวจะปลอดภัยกว่า เพราะอย่างที่กล่าวแล้วว่าตลาดยังมีปัจจัยเสี่ยง หากมีปัญหาที่กระทบต่อการซื้อขายในตลาด เงินเย็นที่ใช้ลงทุนจะได้ไม่เป็นผลกระทบมากนัก

ด้านนางสาวกนกรัตน์ วีรานุวัฒน์ รองประธาน บริษัท กนกรัตน์ แอนด์ เฟรนด์ จำกัด ในฐานะผู้ลงทุนรายย่อย กล่าวให้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมาได้ตัดสินใจลงทุนซื้อห้องชุดในคอนโดมิเนียมหลายโครงการด้วยเงินเก็บที่มี และเป็นเงินเก็บส่วนที่แบ่งไว้สำหรับการลงทุน หรือเรียกง่ายๆ ว่ามีเงินเย็นส่วนหนึ่งที่สามารถทิ้งไว้กับการลงทุนซื้ออสังหาฯ ได้ หากมีปัญหาก็สามารถถือเก็บไว้ รอช่วงที่ตลาดฟื้นตัว ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นมากสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่ควรมีเงินเย็นพร้อมลงทุนจริงๆ มากกว่านำเงินที่มีมาลงทุนเพื่อหวังกำไรช่วงสั้น

ขณะที่ก่อนการตัดสินใจลงทุนนั้น ได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโครงการต่างๆ มาเป็นอย่างดี ศึกษาทั้งประวัติของผู้ประกอบการที่ผ่านมาทำโครงการแล้วเป็นอย่างไร หรืออาจจะเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ก็ได้ แต่ก็ต้องดูประวัติในธุรกิจเดิมที่เคยทำมาว่าเป็นอย่างไร วิเคราะห์ทำเล วิเคราะห์โปรดักส์ เพื่อดูว่าเหมาะกับการปล่อยขายหรือปล่อยเช่าในอนาคตหรือไม่

นางสาวกนกรัตน์ ยังกล่าวทิ้งท้ายไว้อีกว่า การลงทุนในช่วงเวลานี้ ที่สำคัญ คือ ต้องใจเย็นๆ วิเคราะห์ข้อมูลให้ละเอียด และไม่โลภมากเกินไป จึงจะเสี่ยงน้อยที่สุด
กรุงเทพธุรกิจ
***********
02/10/52
งานมหกรรมบ้านและคอนโดฯเปิดฉากแล้ว หวังกระตุ้นกำลังซื้อได้ไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาท

Posted on Friday, October 02, 2009
นายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า งานมหกรรมบ้านและคอนโดในครั้งนี้ มีผู้เข้าชมงานอย่างคึกคัก แม้ว่าบรรยากาศจะไม่เป็นใจนัก โดยผู้ประกอบการได้นำรายละเอียดโครงการกว่า 600 โครงการ ตั้งแต่ราคาหลายแสนบาทถึงสิบล้านบาท ในทุกทำเล มานำเสนอ ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ก็จัดแคมเปญอัตราดอกเบี้ย 0% เพื่อเร่งให้สินเชื่อให้ขยายตัวได้ จึงเชื่อว่าจะกระตุ้นการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในงานนี้ได้ไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาท

สำหรับมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลดีต่อกำลังซื้อด้วย จึงเชื่อว่าหากมีการต่ออายุมาตรการดังกล่าว ก็จะกระตุ้นกำลังซื้อให้เพิ่มขึ้น และส่งผลดีต่อธุรกิจโดยรวมได้มาก เพราะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเชื่อมโยงกับธุรกิจอื่น ๆ จำนวนมาก ตั้งแต่การรับเหมาก่อสร้าง ธุรกิจจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงระบบสาธารณูปโภคของประเทศอีกด้วย

นายอิสระกล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ทั้งภาครัฐและเอกชนได้ผ่อนคลายการให้สินเชื่อมากขึ้น ส่งผลให้สินเชื่อยังขยายตัวได้ดี และยอดการก่อสร้างใหม่ก็ยังขยับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงเชื่อว่าสถานการณ์ดีกว่าปี 2540 นอกจากนี้ การที่อัตราดอกเบี้ยและราคาวัสดุก่อสร้างยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาบ้านหลังจากนี้อาจปรับตัวขึ้นอีกได้ จึงน่าเป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นกำลังซื้อในขณะนี้ด้วยเช่นกัน

สำหรับงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ ครั้งที่ 21 จัดขึ้นระหว่าง 1 - 4 ต.ค. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จัดโดย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอาคารชุดไทย
moneyline news
***********
02/10/52
CEMENT Industry Update: ยอดขายซีเมนต์ฟื้นตัว 3 เดือนติดต่อกัน
- ธนชาต Source - บมจ.หลักทรัพย์ ธนชาต (Th) Friday, October 02, 2009 09:05 2416 XTHAI XECON XFINSEC ZSTOCK V%COMMENT P%NSEC CEMENT Industry Update
ยอดขายซีเมนต์ฟื้นตัว 3 เดือนติดต่อกัน ธปท. รายงานปริมาณขายซีเมนต์ในประเทศเดือน ส.ค.09 อยู่ที่ 2.1 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 7.4%m-m และ 1.8%y-y นับเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันนับแล้วที่ ยอดขายซีเมนต์ในประเทศมีการขยายตัวเป็นบวก เราประเมินว่าการขยายตัวของการขายซีเมนต์จะเพิ่มในอัตราเร่งที่ระดับ 13.6% ตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ย.09 เป็นต้นไป โดยมีปัจจัยผลักดันคือ โครงการไทยเข้มแข็ง เรายังชอบกลุ่มซีเมนต์ โดยแนะนำซื้อ SCCC (ราคาพื้นฐาน 290 บาท) เนื่องจากเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมซีเมนต์ สำหรับ SCC แนะนำซื้อ เช่นกัน (ราคาพื้นฐาน 280 บาท) เนื่องจากได้ประโยชน์ทั้งจากการฟื้นตัวของซีเมนต์ในประเทศ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกผ่านอุตสาหกรรมกระดาษและปิโตรเคมี
โดย บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด(มหาชน) ประจำวันที่ 2 ต.ค. 2552
***********
29/09/52
600โครงการถล่มแคมเปญงานมหกรรมบ้าน-คอนโดฯ1-4 ต.ค.ลุ้นรับทองทุกวัน

นับถอยหลัง "มหกรรมบ้านและคอนโดฯ ครั้งที่ 21" ดีเวลอปเปอร์ 150 บริษัทประชันบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ คอนโดฯ 600 โครงการ เชิญชวนผู้บริโภคเลือกช็อปจุใจ ให้ส่วนลดของแถมเพียบ พร้อมสถาบันการเงินสร้างสถิติร่วมออกบูทให้สินเชื่อ 15 แห่ง ชี้โอกาสทองสุดท้ายก่อนมาตรการกระตุ้นอสังหาฯหมดอายุ มี.ค.53

นายภูวิชย์ เอี่ยมพึ่งพร ประธานจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ ครั้งที่ 21 เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้งานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ ซึ่งจะจัดขึ้นบนพื้นที่กว่า 1.1 หมื่น ตร.ม. ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 1-4 ตุลาคม มีความพร้อมเต็มที่แล้ว คาดว่าปีนี้จะได้รับความสนใจจากผู้บริโภคที่ต้องการซื้อบ้านจำนวนมาก ขณะเดียวกัน สมาคมอาคารชุดไทย ซึ่งรับเป็นเจ้าภาพหลัก ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการอสังหาฯจองบูทเข้าร่วมงาน 150 บริษัท กว่า 550 บูท คิดเป็นจำนวนโครงการ 600 โครงการ ทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดฯ ทาวน์เฮาส์ ฯลฯ ทั้งนี้ ตลอด 4 วัน

คาดว่าจะมีผู้เข้าเยี่ยมชมงานประมาณ 1 แสนราย เพิ่มขึ้นจากครั้งที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 8 หมื่นราย มียอดขายไม่ต่ำว่า 2.5 พันล้านบาท เนื่องจากเป็นโอกาสสุดท้ายที่ผู้บริโภคจะได้ซื้อบ้านในราคาทุน และมีสิทธิ์รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯที่จะหมดอายุลงปลายเดือนมีนาคม 2553 สำหรับงบโฆษณาประชาสัมพันธ์อยู่ที่ 30 ล้านบาท

โดยแต่ละบริษัทได้เตรียมโปรโมชั่นพิเศษไว้รองรับลูกค้า นอกเหนือจากโปรโมชั่นที่ 3 สมาคมอสังหาฯร่วมกันจัดขึ้นภายในงาน เพื่อให้สอดรับกับคอนเซ็ปต์งานมหกรรมบ้านและคอนโดฯปีนี้ที่ว่า "สี่วันได้บ้านชัวร์ พร้อมกับโปรโมชั่นถึง 4 ต่อ" นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากสถาบันการเงิน 15 แห่งออกบูทให้บริการสินเชื่อซื้อบ้านแก่ผู้ที่ตัดสินใจซื้อบ้านในงาน โดยเสนอแคมเปญสินเชื่อราคาพิเศษเช่นเดียวกัน และครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีสถาบันการเงินเข้าร่วมงานมากที่สุด

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของลูกค้าที่ต้องการยื่นขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน แต่ไม่มีเวลาตรวจสอบข้อเสนอในการยื่นขอสินเชื่อของแต่ละสถาบันการเงินภายในงาน 3 สมาคมอสังหาฯได้จัดบูท Post Finance Center ไว้ให้บริการ เพื่อให้ลูกค้าที่ไม่มีเวลามากนักกรอกข้อมูลเพื่อยื่นขอสินเชื่อผ่านระบบคอมพิวเตอร์ หลังจากนั้น 3 สมาคมอสังหาฯจะนำข้อมูลดังกล่าวส่งต่อให้กับสถาบันการเงินอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพิจารณาว่าผู้ยื่นกู้รายใดเข้าเกณฑ์การขอสินเชื่อ แล้วจะเสนอสิทธิพิเศษต่าง ๆ ให้ทราบภายหลัง

"การจัดงานครั้งนี้ได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการดีมาก เนื่องจากงานนี้ถือเป็นช่องทางหลักสำคัญของการเสนอสินค้าที่อยู่อาศัย และเป็นโอกาสที่ดีที่ผู้ต้องการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยจะได้เลือกซื้อหลากหลายประเภท หลายทำเล และระดับราคา"

นายภูวิชย์กล่าวว่า ผู้ที่ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยภายในงาน นอกจากจะได้รับแคมเปญที่ผู้ประกอบการนำมาให้เลือกจำนวนมากแล้ว 3 สมาคมอสังหาฯได้จัดแคมเปญส่วนกลางเพื่อส่งเสริมการขายและกระตุ้นการตัดสินใจซื้ออีกทางหนึ่ง อาทิ จับสลากรางวัลสำหรับผู้จองซื้อที่อยู่อาศัยภายในงาน เป็นบัตรกำนัลส่วนลด (รางวัลที่ 1 ส่วนลดสูงสุด 400,000 บาท) และเครื่องใช้ไฟฟ้า Panasonic รวมมูลค่าทั้งหมด 1.2 ล้านบาท, จัดให้มีการพัฒนาการลงทะเบียนให้สะดวกรวดเร็วขึ้น โดยใช้ระบบบาร์โค้ด สามารถลงทะเบียนออนไลน์ล่วงหน้าผ่าน www.housecondoshow.com โดยผู้ลงทะเบียนเข้าชมงานจะมีสิทธิ์รับคูปองลุ้นรับสร้อยคอทองคำ วันละ 2 เส้น ทุกวัน

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับแคมเปญต่าง ๆ ที่ผู้ประกอบการนำมาร่วมงาน อาทิ ธารารมย์ จัดโปรโมชั่นบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ ลดเต็ม ๆ 1 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ ลด 5 แสนบาท พร้อมรับสิทธิ์ลุ้นทองคำ Golden Bonus 2 ครั้ง มูลค่ารวม 1.82 ล้านบาท, กรุงกวี ให้ Member golf มูลค่า 3 แสนบาท, โครงการบ้านกฤษณา ให้สิทธิ์จอง 5,000 บาท ฟรีแอร์ 3 เครื่อง วอลเปเปอร์ทั้งหลัง ค่าแรกเข้า ค่าส่วนกลาง ตร.ว.ละ 15 บาท ประตูรีโมต ฯลฯ

นิรันดร์ วิลล์ เสนอเงื่อนไขรับดอกเบี้ยเงินฝากร้อยละ 2 ต่อปีทุกเดือน นาน 24 เดือน ส่วนแพทโก้ แลนด์ นำ 2 โครงการหลักเข้าร่วมงาน คือโครงการวิจิตราธานี โซนฟลอริด้า บีช โฮม บ้านเดี่ยวริมทะเลสาบ ราคาเริ่มต้นที่ 22.8 ล้านบาท 3 ยูนิต โดยผู้สนใจซื้อใจจะได้รับส่วนลด 2 ล้านบาท หรือเลือกอยู่ฟรี 1 ปี, ฟรีสปอร์ตคลับ 5 ปี (4 ท่าน/ครอบครัว) และโซนเฮอริเทจ บ้านเดี่ยวระดับราคา 8 ล้านบาทขึ้นไป ได้รับส่วนลด 2.5 แสนบาท หรือเลือกอยู่ฟรี 1 ปี และโครงการวิคทอเรีย ไพรเวท ซิตี้ ทาวน์เฮาส์ 1.65 ล้านบาท มอบส่วนลด 5 หมื่น-1 แสนบาท, บัตรของขวัญเซ็นทรัล มูลค่า 10,000 บาท บัตรของขวัญเที่ยวทั่วไทย มูลค่า 1.2 หมื่นบาท พร้อมฟรีค่าโอนและจดจำนอง คาดว่าจะมียอดขายรวม 70 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า นอกจากงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯแล้ว ภายในเดือนนี้ ผู้ประกอบการอสังหาฯหลายรายเคลื่อนไหวจัดกิจกรรมหลากหลายรูปแบบอย่างต่อเนื่อง เช่น แสนสิริ จัดงาน "SANSIRI BEST BUY" วันที่ 1-4 ตุลาคม บริเวณ Hall of Fame ชั้น M ศูนย์การค้าสยามพารากอน ตั้งเป้ายอดขายในงานถึง 1,000 ล้านบาท พร้อมนำเสนอที่อยู่อาศัยโครงการต่าง ๆ ของกลุ่มแสนสิริ 29 โครงการ 428 ยูนิต มูลค่าโครงการขายรวม 2,000 ล้านบาท ภายใต้ข้อเสนอ Best of The Best ได้แก่ Best Term ลดเงินดาวน์ 50%, Best Deal ดอกเบี้ย 0% 1 ปี

และข้อเสนอพิเศษจาก SCB, Best offer ฟรีค่าส่วนกลาง 1 ปี/ฟรีค่าโอน, Best Package รับข้อเสนอพิเศษเพิ่ม มูลค่าสูงสุด 300,000 บาท และ Best Chance โอกาสสุดท้ายที่ได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีสูงสุด 400,000 บาท และเอกสิทธิ์พิเศษ เมื่อสมัครบัตรเครดิตไทยพาณิชย์ แสนสิริ แพลทินัม ภายในงานรับ 10,000 คะแนน พร้อมรับทั้ง 3 เอกสิทธิ์สูงสุดได้ทันที สมัครฟรีภายในงาน

บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทบริหารงานขายโครงการอสังหาฯ จับมือกับผู้ประกอบการอสังหาฯ 9 ราย จัดงาน "Test of Living" บริเวณชั้น M สยามพารากอน ระหว่างวันที่ 15-25 ตุลาคมนี้ โดยนำบ้านเดี่ยว คอนโดฯ และวิลล่า ทั้งในกรุงเทพฯและเมืองท่องเที่ยวมาออกบูทขาย ให้ส่วนลด 10-18% ของแถม คาดว่าจะได้ยอดขาย 300-400 ล้านบาท ขณะที่อีกหลาย ๆ ค่ายเคลื่อนไหวเตรียมจัดงานจากช่วงนี้ไปจนถึงปลายปี
ประชาชาติธุรกิจ
************
รับเหมาฯ ชิงงบ ไทยเข้มแข็ง
สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยฯ เปิดศึกชิงงบไทยเข้มแข็ง 8 แสนล้านบาท มั่นใจโครงการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทุกภาคส่วน
สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยฯ ตื่นตัวหาทางช่วยผู้รับเหมาก่อสร้าง ก่อนเปิดศึกชิงงบไทยเข้มแข็ง 8 แสนล้านบาท มั่นใจโครงการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทุกภาคส่วน เตือนผู้รับเหมาอย่าใช้วิธีตัดราคาเสนอ 5 มาตรการเร่งด่วนกระตุ้นเศรษฐกิจ จ้างงานและกระจายรายได้ หวั่นปัจจัยราคาวัสดุก่อสร้าง หลังผู้ผลิต-จำหน่าย ปรับราคาขายสิ้นปีนี้ 10-20% อีกทั้งต้องฝ่ามรสุมแบงก์คุมเข้มสินเชื่อ ทำผู้รับเหมาติดกับดักสัญญาเดิม

หลังจากรัฐบาลผ่านงบกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งงบประมาณมหา ศาลกำลังจะถูกอัดลงไปในงานก่อสร้างปลีกย่อยนับหมื่นโครงการ มูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาท โดยเฉพาะภาคก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ทำให้วงการรับเหมาก่อสร้างกลับมาตื่นตัวอีกครั้ง บริษัทรับเหมาก่อสร้างทั้งรายใหญ่ รายกลาง และรายเล็ก เตรียมพร้อมช่วงชิงงบประมาณดังกล่าว ซึ่งจะเป็นทั้งโอกาสและปัญหาใหม่ ให้กับวงการรับเหมาก่อสร้าง

“กรุงเทพธุรกิจ”สำรวจความเคลื่อนไหวกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างส่วนใหญ่พบว่า ต่างเตรียมพร้อมรับงานก่อสร้างต่างๆ โดยผู้รับเหมารายกลาง-เล็ก ต่างมุ่งเจาะงานรับเหมาช่วงจากผู้รับเหมารายใหญ่ที่คาดว่าโอกาสในการแข่งขัน น่าจะเป็นผู้เล่นรายใหญ่ทั้งที่อยู่นอก-ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่น บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น ที่สนใจเข้าประมูลโครงการไทยเข้มแข็ง พุ่งเป้าที่งานแหล่งน้ำและคมนาคม ก่อสร้างถนนสายต่างๆ และโครงการรถไฟฟ้า ขณะที่ บมจ.อิตาเลียนไทย

ดีเวล๊อปเมนต์ รอดูรายละเอียดโครงการใหญ่ในงบไทยเข้มแข็ง และเตรียมเข้าร่วมประมูลงานอยู่แล้ว

“ผมว่ารับเหมาก่อสร้างที่มีคอนเนคชั่นกับคนการเมือง น่าจะได้ประโยชน์ ตอนนี้ตอบยากเพราะเส้นสายการเมืองที่เกี่ยวข้องกับรับเหมามีทุกส่วนทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ”แหล่งข่าวกล่าว

แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างรายหนึ่ง ให้ความเห็นว่า งานโครงการที่มีมูลค่าสูง โอกาสคงเป็นของผู้รับเหมาใหญ่ ส่วนงานขนาดเล็กไม่กี่สิบล้านบาท โอกาสจะเป็นของรับเหมารายย่อย แต่เนื่องจากการผันงบประมาณผ่านโครงการไทยเข้มแข็ง ยังไม่ชัดเจนในเรื่องโครงการก่อสร้าง จึงยังมีความเสี่ยง หากผู้รับเหมาไม่พิจารณาให้ดี เมื่อมีการจ่ายเงินใดๆ ไม่ว่าจะเป็น 10% หรือ 15% ให้กับใคร ควรต้องมีการลงนามในสัญญาว่าจ้างเป็นลายลักษณ์อักษรก่อน หากดูไม่ดีขาดความรอบคอบในการเข้าเสนองาน อาจเจ็บหนักถึงขั้นต้องปิดกิจการ

แหล่งข่าวยังระบุว่า มีหลายโครงการที่เป็นโครงการขนาดเล็กมูลค่างานไม่เกิน 10-20 ล้านบาทต่อสัญญา ซึ่งมีกำหนดเพียง 6 เดือนหรือ 8 เดือนสร้างเสร็จ แม้เป้าหมายรัฐบาลต้องการให้โครงการเหล่านั้น กระตุ้นเศรษฐกิจให้เห็นผลเร็ว แต่ด้วยข้อจำกัดของเวลา ทำให้เป็นความเสี่ยงต่อผู้รับเหมา

นายพลพัฒ กรรณสูต นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่าหลังต.ค.นี้เป็นต้นไป สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไป ถ้าโครงการไทยเข้มแข็งออกมาจริงภาพการเปลี่ยนแปลงที่เกิด คงไม่ใช่แค่วงการรับเหมาก่อสร้าง แต่จะรวมถึงกลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง ทั้งผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง สถาบันการเงินจะมีความเคลื่อนไหวคึกคักแน่นอน

สิ่งที่ทางสมาคมต้องการในขณะนี้คือให้ภาครัฐ เร่งดำเนินการ เร่งเบิกจ่ายงบประมาณ ตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยเข้มแข็งมูลค่า 8 แสนล้านบาท ในส่วนที่เกี่ยวกับการก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น โครงการถนนปลอดฝุ่น โครงการก่อสร้างระบบชลประทาน ฯลฯ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการก่อสร้าง หลังจากที่ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างในขณะนี้ ถือว่าอยู่ในภาวะชะลอตัวกว่า 30% จากปีก่อน ที่มีมูลค่างานก่อสร้างไม่น้อยกว่า 2.2 แสนล้านบาท

ผู้รับเหมาติดหล่มปัญหา-วัสดุจ่อขึ้น 20%

เนื่องจากแต่ละโครงการ แม้มีมูลค่าไม่มากแต่มีปริมาณสัญญาจำนวนมาก กระจายไปทั่วประเทศ จึงน่าเป็นห่วงว่า หากมีการเปิดประมูลงานพร้อมกันทีเดียวครั้งละหลายสัญญา และจากการรวบรวมข้อมูลล่าสุดจากสมาชิกของสมาคมพบว่า มีปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลายประเด็นคือ 1.ปัญหาการขาดแคลนและการขึ้นราคาวัสดุก่อสร้าง เพราะการใช้งบไทยเข้มแข็งหมายถึงจะมีการประมูลจัดซื้อจัดจ้างเป็นล็อตใหญ่ ถ้าหากรัฐไม่เข้ามาดูแลราคาวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มว่าภายในสิ้นปีนี้ จะปรับขึ้นอีกอย่างน้อย 10-20% และผู้ผลิตภายในประเทศที่มีอยู่ไม่กี่รายก็จะเป็นผู้กำหนดทิศทางทุกอย่าง เพราะตลาดที่ผูกขาดหรือขาดการแข่งขันเสรี

2.ข้อสัญญาระเบียบต่างๆ ที่ไม่เป็นธรรม เห็นควรปรับปรุงเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เช่น กรณีการถูกปรับหากไม่ยื่นเคาะราคาให้ปรับแค่ 10% ของมูลค่างาน การคืนหนังสือค้ำประกันอยากให้คืนโดยเร็วหลังประมูลเสร็จ ซึ่งเดิมต้องรอ 15 วัน และการกำหนดวงเงินค้ำประกันที่ไม่เท่ากันตั้งแต่ 5-10% โดยสมาคมต้องการให้กำหนดวงเงินค้ำประกันไว้ที่ 5% เท่ากันทุกหน่วยงาน รวมทั้งการกำหนดสเปควัสดุก่อสร้าง หรือวัสดุอุปกรณ์ประกอบต่างๆ ควรเปิดกว้าง เพื่อป้องกันการผูกขาดและการขึ้นราคา

3.การกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของงานก่อสร้าง ควรกำหนดเกิน 1 ปีหรือมากกว่านั้น เพื่อให้สอดคล้องกับงาน กล่าวคือหากกำหนดเวลาที่สั้นๆ ทำให้ผู้รับเหมาไม่มีทางเลือกจะต้องซื้อของในราคาที่แพง ส่งผลต่อต้นทุนจะสูงขึ้น 4.การเร่งรัดเบิกจ่ายเงินล่วงหน้าและค่างาน ควรจะให้มีทุกสัญญา และให้ผู้รับเหมาเบิกได้โดยเร็ว จากเดิมที่ไม่มีกำหนดวันหรือระยะเวลาที่แน่นอน

5.การสนับสนุนด้านสินเชื่อจากสถาบันการเงิน เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนสภาพคล่อง โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายกลางและเล็ก ซึ่งพบว่าสถาบันการเงินบางแห่ง ไม่สนับสนุนวงเงินสินเชื่อให้ ด้วยการไม่ยอมออกหนังสือค้ำประกันที่จะนำไปใช้ประกอบการยื่นประมูลงาน 6.ความถูกต้องของราคากลางที่ใช้ประมูล ต้องสะท้อนความเป็นจริง โดยเฉพาะ “ค่า K” และ 7.การกำหนดทีโออาร์ ควรทำให้เหมาะสม

เตือนผู้รับเหมาอย่าแข่งตัดราคาชิงงานประมูล

“การดำเนินโครงการแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 จะช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างดี โดยบริษัทก่อสร้างทุกราย ไม่ว่าจะเป็นรายเล็กหรือรายใหญ่ได้เตรียมความพร้อมในทุกด้าน เพื่อเข้าร่วมประกวดราคางานก่อสร้าง ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานต่างๆ ได้เริ่มประกวดราคางานก่อสร้างไปบ้างแล้ว โดยเฉพาะงานในต่างจังหวัด เช่น โครงการถนนไร้ฝุ่น แต่เป็นโครงการขนาดเล็กที่ใช้วงเงินไม่มากนัก จึงไม่ค่อยมีการแข่งขันที่รุนแรง อีกทั้งบริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่มักจะไม่เข้าร่วมการแข่งขัน และบริษัทที่เข้าประกวดราคาส่วนใหญ่เป็นบริษัทในท้องถิ่น ซึ่งมีความ ชำนาญในพื้นที่มากกว่า” นายพลพัฒ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่บริษัทก่อสร้างต้องให้ความสำคัญคือการเสนอค่าก่อสร้างที่เหมาะสม ไม่ควรใช้วิธีตัดราคาจนต่ำกว่าราคากลาง 25-30% เพื่อจะเป็นผู้ชนะการประกวดราคา โดยบริษัทที่ใช้วิธีนี้เมื่อได้รับงานไปแล้ว จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะความผันผวนของราคาน้ำมันและราคาวัสดุก่อสร้าง สุดท้ายจะกระทบต่อการทำงาน ส่งผลให้งานก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามกำหนด ซึ่งจะกระทบต่อภาพรวมวงการก่อสร้าง

“บริษัทบางรายต้องการงานมากจนถึงขนาดยอมตัดราคาโดยเสนอค่าก่อสร้างต่ำจนเหลือเชื่อ แม้จะเป็นราคาที่ทำแล้วขาดทุน แต่ถือว่าดีกว่าไม่ได้งาน เพราะต้องการให้มีเม็ดเงินเข้ามาหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องในบริษัท และหวังหากำไรจากงานใหม่มาชดเชย แต่ผมเห็นว่าการใช้วิธีตัดราคาเป็นการฆ่าตัวตาย และยังกระทบต่องานก่อสร้างในภาพรวม เพราะอาจมีข้อสังเกตว่าหน่วยงานตั้งราคากลางสูงไป ทั้งที่ราคากลางเหมาะสมอยู่แล้ว” นายพลพัฒ กล่าว

เสนอ 5 มาตรการเร่งด่วนกระตุ้น ศก.

สมาคมเห็นว่ามาตรการเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน และก่อให้เกิดการกระจายรายได้ คือ 1.รัฐบาลต้องเร่งผลักดันให้เกิดโครงการก่อสร้างทุกขนาดทั้งในส่วนกลางและในภูมิภาค 2.ผลักดันโครงการที่มีแบบก่อสร้างมาตรฐานให้เข้าสู่กระบวนการประกวดราคา

3.เสริมสภาพคล่องและลดต้นทุนค่าดำเนินการของบริษัทก่อสร้าง โดยให้กระทรวงการคลังประสานไปยังสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อสนับสนุนจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ปล่อยสินเชื่อภาคการก่อสร้าง ลดค่าธรรมเนียมหรือคิดค่าธรรมเนียมหนังสือค้ำประกันต่างๆ ตามความเสี่ยงที่มีภาระคงค้างอยู่จริง รวมทั้งมีคำสั่งให้หน่วยงานรัฐซึ่งเป็นผู้ว่าจ้าง ให้ออกหนังสือยืนยันจำนวนเงินล่วงหน้าที่ได้หักคืนไว้แล้ว เพื่อลดภาระค่าธรรมเนียมของผู้ประกอบการหรืออนุญาตให้ผู้ประกอบการสามารถแบ่ง ยื่นหนังสือค้ำประกันล่วงหน้าได้หลายฉบับ และผู้ว่าจ้างคืนให้ผู้ประกอบการทีละฉบับ เมื่อได้หักเงินล่วงหน้าคืนเท่ากับหรือมากกว่ามูลค่าการค้ำประกันที่แสดงในหนังสือค้ำประกันที่จะคืนแต่ละฉบับ และให้ผู้ว่าจ้างเร่งจ่ายค่าก่อสร้างตามงวดงาน

4.เร่งให้หน่วยงานเจ้าของโครงการลงนามในสัญญากับบริษัทที่ชนะการประกวดราคาโดยเร็ว และ 5.กำหนดให้ภาคเอกชนที่เป็นคนไทย เป็นผู้ออกแบบและควบคุมงานก่อสร้างภาครัฐ และกำหนดให้ใช้วัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างที่ผลิตได้ในประเทศ

เสนอตัวกลางซื้อวัสดุ-ออกแอลซีช่วย

นายกฤษดา จันทร์จำรัสแสง เลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยฯ กล่าวเสริมว่า หลังจากรัฐได้เริ่มผ่านงบประมาณต่างๆ ลงในโครงการไทยเข้มแข็ง ทำให้เกิดกรณีที่ผู้รับเหมาก่อสร้างแย่งงานกัน และมีการตัดราคาเสนองานก่อสร้างกันขึ้นกว่า 15-20% แต่ล่าสุดจากการที่ธนาคารผู้ให้การสนับสนุน เข้มงวดมากขึ้น ทำให้ปัญหาการตัดราคากันลดลง ซึ่งตนเห็นด้วย เพราะว่าทำให้งานก่อสร้างเสร็จตามสัญญา ผู้รับเหมาที่รับงานมีความเสี่ยงลดลง

สิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นปัญหารุนแรงคือ การขึ้นราคาของวัสดุก่อสร้างหลักทุกประเภท ทั้งปูนซีเมนต์ คอนกรีต รวมถึงผลิตภัณฑ์เหล็ก

“วัสดุบางรายการมีผู้ผลิตน้อย ทำให้เกิดการผูกขาด เกิดกรณีร่วมมือกันปรับราคาขายขึ้น”นายกฤษดากล่าวและว่า ทางสมาคมพร้อมจะช่วยเหลือสมาชิก โดยเฉพาะผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างรายกลางและรายย่อยที่มีอำนาจต่อรองน้อยกว่ารายใหญ่ ที่พบว่ารายใหญ่มีขีดความสามารถต่อรองราคาได้สูง เช่น คอนกรีตผสมเสร็จบางรายได้ส่วนลดสูงถึง 50% ขณะที่รับรายเล็ก รายกลางได้ส่วนลดเพียง 15-20% ซึ่งทางสมาคมพร้อมเป็นตัวกลาง ในการจัดหาวัสดุก่อสร้างหลักๆ ซึ่งที่ผ่านมาได้เข้าหารือกับผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างแล้ว 2-3 ราย

นอกจากนี้ ทางสมาคมพร้อมหาข้อมูลราคาซื้อขายจริง มาให้สมาชิกรับทราบความเคลื่อนไหว รวมถึงการเข้าไปหารือกับทางหน่วยงานหรือเจ้าโครงการ ให้มีการเปิดแอลซี (Letter of Credit) ให้กับผู้รับเหมาด้วย

รื้อระเบียบประมูลสร้างความเป็นธรรม

ปัญหาดังกล่าว นายกฤษดากล่าวว่า ทางสมาคมพร้อมเป็นตัวกลางประสานงานกับหน่วยงานราชการ พร้อมหาทางออกให้สมาชิก โดยประเด็นหลักจะเป็นเรื่องการกำหนดสเปควัสดุ, ค่าเค, เรื่องสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ที่ผู้รับเหมาถูกยึดหนังสือค้ำประกัน ในกรณีที่ไปประมูลงานไม่ทัน หรือคีย์ข้อมูลผ่านกระบวนการประมูลงานแบบอีออคชั่นไม่ทัน หรือผู้รับเหมาที่ซื้อซองประกวดราคาไปจะเสนอราคาสูงกว่าราคากลางไม่ได้ ในประเด็นนี้ทางสมาคมได้ขอให้สมาชิกส่งรายละเอียดมาที่สมาคมเพื่อนำเสนอต่อสำนักงบประมาณ เพื่อนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง จากที่ก่อนหน้านี้สมาคมได้นำข้อร้องเรียนจากสมาชิกผู้รับเหมา 25 รายที่ถูกยึดหนังสือค้ำประกันไปเพื่อขอเงินคืน

การออกหนังสือค้ำประกัน คิดเป็นวงเงินประมาณ 5% ของสัญญาราคากลางในงานแต่ละโครงการ ซึ่งถือว่ามากพอสมควร หากมีการยึดหนังสือค้ำประกันไป จะทำให้ผู้รับเหมาขาดสภาพคล่องได้ ทางสมาคมพร้อมจะออกค่าใช้จ่ายให้ หากมีการฟ้องร้องขึ้นระหว่างผู้รับเหมากับเจ้าของโครงการ ในกรณีที่สมาคมพิจารณาแล้วเห็นว่าสัญญานั้นไม่เป็นธรรมจริงๆ เพื่อให้เป็นกรณีศึกษา

กรุงเทพธุรกิจ

ข่าววัสดุก่อสร้าง,ก่อสร้างและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น