วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

กลุ่มปิโตรเคมี

14/12/52
‘พลังงาน’หาช่องเยียวยาปิโตรเคมี
พลังงานเรียกหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง ถกผลกระทบมาบตาพุด หาทางเยียวยาอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

นายพรชัย รุจิประภา รองปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือถึงผลกระทบกรณี คำสั่งศาลปกครองสูงสุดสั่งระงับกิจการ 65 กิจการในวันนี้ รวมถึงอาจพิจารณามาตรการเยียวยาอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และโรงแยกก๊าซที่ 6 เนื่องจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีส่วนสำคัญ ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า
นายสุริยน วันเพ็ญ เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เอกชนเป็นห่วงว่า หากโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 6 ของปตท. ไม่สามารถเดินเครื่องผลิตตามแผนที่วางไว้จะกระทบต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยเฉพาะขั้นปลาย เนื่องจากการนำเข้ามีราคาแพงกว่า

ขณะเดียวกันรัฐบาลก็จะต้องนำเข้าก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) จากต่างประเทศ เพิ่มขึ้น สูญเสียเงินตราต่างประเทศอย่างน่าเสียดาย ซึ่งจะกระทบต่อฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะเข้ามาดูแลเรื่องนี้

สำหรับจุดยืนของภาคเอกชนยังยืนยันว่าไม่ได้ขาดความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน โดยยินดีทำทุกอย่าง ขอเพียงให้รัฐบาลกำหนดกฎหมายให้เป็นไปตามมาตรา 67 วรรค 2 แห่งรัฐธรรมนูญปี 2550 และจะต้องร่างระเบียบออกมาให้ชัดเจนถึงแนวทางปฏิบัติ โดยต้องมีความเหมาะสมในเรื่องระยะเวลาชัดเจนหาก ไม่ชัดเจนธุรกิจก็จะไม่สามารถเดินหน้า ได้แล้ว ไทยจะใช้ธุรกิจส่วนใดขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

นายสุริยน กล่าวต่อว่า เมื่อธุรกิจถูกระงับจนก่อให้เกิดความเสียหาย จำเป็นที่รัฐบาลจะต้องหามาตรการเยียวยาต่อภาคลงทุนไทย โดยเฉพาะหากเกิดความ เสียหายก็จำเป็นจะต้องชดเชยในเรื่อง ค่าเสียหายให้ได้ เพราะการทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับทุกส่วนทั้งระบบสถาบันการเงิน ผู้รับเหมา และลูกค้า

ด้านเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก จ.ระยอง ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันแก้ปัญหาพิษภัยในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดอย่างจริงจัง โดยตั้งข้อสงสัยถึงเหตุการณ์ก๊าซรั่วใกล้โรงไฟฟ้าโกลว์ ถนนไอ 5 ในนิคมฯ และเหตุการณ์บริษัท ไออาร์พีซี ปล่อยควันดำและส่งกลิ่นเหม็น ทำให้เกิดควันดำปกคลุมท้องฟ้า ทั้งสองเหตุการณ์มีเบื้องหลังแอบแฝงหรือไม่

นอกจากนั้น ในแถลงการณ์ได้ทวงถามผลการดำเนินการของผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ในการแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อชุมชนด้วย

ขณะที่นายพีระวัฒน์ รุ่งเรืองศรี ผู้อำนวยการกนอ. พร้อมเจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษ นำเครื่องมือตรวจวัดก๊าซ ดีเทคเตอร์ เข้าไปตรวจภายในโรงไฟฟ้าโกลว์ แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด

จากนั้นทีมงานได้เข้าไปตรวจภายในโรงกลั่นน้ำมัน สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (sprc) ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติเช่นกัน ซึ่งในวันนี้จะมีเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางของกนอ. และเจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษ เดินทางมาร่วมพิสูจน์หาต้นตอการปล่อยกลิ่นก๊าซ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้สั่งผู้เกี่ยวข้องทำรายงานอย่างละเอียดมาเสนออีกครั้งหนึ่ง เพราะรายงานครั้งแรกไม่ค่อยตรงกันว่าสาเหตุนั้นมาจากอะไร
posttoday***********
19/11/52
กาตาร์ปิโตรเลียมทุ่ม 9.8 พันล้านดอลลาร์ ลงทุนในจีนและเวียดนาม

Posted on Thursday, November 19, 2009
นายอัล-เจดาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กาต้าร์ปิโตรเลียมอินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจน้ำมันประเทศกาต้าร์ บอกว่า บริษัทเตรียมลงทุนก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมี 2 แห่งในจีนและเวียดนาม มูลค่ารวม 9,800 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2558 เพื่อรองรับความต้องการที่จะเพิ่มขึ้นอนาคต

กาต้าร์ปิโตรเลียมจะเป็นหุ้นส่วนกับซีนุคของจีนในการสร้างโรงงานปิโตรเคมีในมณฑลไหหนาน ประเทศจีน
มูลค่าโครงการ 5,800 ล้านดอลลาร์ และจะร่วมลงทุนสร้างโรงงานผลิตก๊าซแอลพีจีในเวียดนามมูลค่าการลงทุน 4 พันล้านดอลลาร์

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กาต้าร์ปิโตรเลียมอินเตอร์เนชั่นแนล บอกด้วยว่า ประเทศในเอเชียถือว่ามีศักยภาพอย่างสูงในการลงทุน เนื่องจากมีเศรษฐกิจที่เติบโตค่อนข้างมาก โดยเฉพาะประเทศจีน ที่มีความต้องการปิโตรเคมีค่อนข้างสูง

money news update************
09/09/52
กลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี: "มากกว่าตลาด"
- บล.เอเซีย พลัส
Source - บมจ.หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส (Th) Wednesday, September 09, 2009 09:08 22897 XTHAI XECON XCORP XFINSEC XFINMKT PTTAR V%COMMENT P%ASP
กลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี - มากกว่าตลาด IRPC, PTTAR และ TOP ยังโดดเด่นภายใต้การควบรวมเป็นคู่
* ควบรวมกิจการในกลุ่มฯ...จะได้ข้อสรุป ต.ค. 2552
* 2 แนวทางหลักในการควบรวม...จับคู่ หรือจัดตั้งบ.โฮลดิ้งฯ

* IRPC ต้องการพันธมิตร จับคู่ TOP หรือ PTTAR เป็นไปได้มากที่สุด

ควบรวมกิจการในกลุ่มฯ...จะได้ข้อสรุป ต.ค. 2552

แนวคิดเรื่องการควบรวมกิจการของบริษัทในกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีในกลุ่ม PTT เริ่มมีความคืบหน้าและชัดเจนมากขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมในการย่างเข้าสู่ช่วงทิศทางขาลงของอุตสาหกรรม โดยมีวัตถุประสงค์ต้องการให้ธุรกิจในกลุ่ม PTT สามารถอยู่รอดได้ในระยะยาวด้วยการเพิ่มขนาดของธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งทัดเทียมระดับสากล (World scale operation) รวมถึงจะก่อให้เกิดการประหยัดจากขนาดและเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันในระดับภูมิภาคและโลกโดยในช่วงที่ผ่านมากลุ่ม PTT ได้ดำเนินการการศึกษามาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วคาดว่าจะได้ข้อสรุปแนวทางการควบรวมกิจการแน่นอนภายในเดือน ต.ค. 2552

2 แนวทางหลักในการควบรวม...จับคู่ หรือจัดตั้งบ.โฮลดิ้งฯ

แนวทางการควบรวมกิจการของบริษัทต่างๆ ในกลุ่ม PTT ได้แก่ TOP, PTTAR, IRPC และ PTTCH ที่มีความเป็นไปได้ตามแนวคิดและประโยชน์ทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นจากการควบรวมกิจการสามารถแบ่งได้เป็น 2 แนวทาง คือ 1) ควบรวมกิจการเป็นคู่ - อ้างอิงจากวิธี Amalgamation (A+B = C) ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่ใช้ในการควบรวมกิจการของบริษัทในกลุ่ม PTT ในช่วงที่ผ่านมา และ 2) จัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งฯ – แบ่งการควบรวมเป็น 3 บริษัท หรือทั้ง 4 บริษัท

IRPC ต้องการพันธมิตร จับคู่ TOP หรือ PTTAR เป็นไปได้มากที่สุด

จากผลการศึกษาแนวทางควบรวมกิจการ ฝ่ายวิจัยมีความเห็นว่า IRPC เป็นบริษัทที่จำเป็นต้องมีพันธมิตรที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาศักยภาพของธุรกิจให้มีประสิทธิภาพทัดเทียมสากลมากขึ้น ดังนั้นจึงมีความเห็นว่าพันธมิตรที่เหมาะสมควรจะต้องมีธุรกิจโรงกลั่นที่แข็งแกร่ง ได้แก่ TOP หรือ PTTAR ซึ่งหากพิจารณาจากราคาหุ้นปัจจุบันพบว่ายังมีส่วนลดจากมูลค่าที่ควรจะเป็นของทั้ง 2 แนวทางการควบรวม คือ TOP + IRPC = Merged Co. และ PTTAR + IRPC =Merged Co. ฝ่ายวิจัยแนะนำซื้อหุ้นทั้ง 3 บริษัท ได้แก่ IRPC (FV 5.01 บาทต่อหุ้น), PTTAR (ฝ่ายวิจัยได้ปรับเพิ่ม FV เพื่อสะท้อนมูลค่าที่ควรจะเป็นภายใต้การควบรวมกิจการเป็น 29.96 บาทต่อหุ้น และปรับเพิ่มคำแนะนำเป็นซื้อ จากเดิมถือ) และ TOP (FV 50.01 บาทต่อหุ้น) เนื่องจากราคาหุ้นปัจจุบันยังมีส่วนลดจากมูลค่าพื้นฐาน และมูลค่าที่ควรจะเป็นภายใต้กการควบรวมกิจการ

นักวิเคราะห์: นลินรัตน์ กิตติกำพลรัตน์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 018350 e-mail: nalinrat@asiaplus.co.th

โดย บมจ. หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ประจำวันที่ 9 กันยายน 2552
cgs
**************
09/09/52
กลุ่มปิโตรกรี๊ดเสปรดพุ่ง
ทันหุ้น กลุ่มปิดโตรเคมีดี๊ด๋า เปรดผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ดูดี จากต้นทุนนาฟทาที่ต่ำลง ผู้บริหาร วีรศักดิ์ โฆษิตไพศาลŽคาดปีหน้ารายได้ถึง 1 แสนล้าน รับอานิสงส์ราคาสินค้าแพง บวกกำลังผลิตเพิ่ม โบรกชู PTTCH-IRP เด่น คาดปีหน้ากำไร PTTCH พุ่ง 132.8% ส่วน IRP เฉียด 20%
ราคาหุ้น PTTCH วานนี้ (8 ก.ย.) ปิดตลาดที่ระดับ 79.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท หรือ 3.27 % มูลค่าซื้อขายรวม 598.06 ล้านบาท ส่วนหุ้น IRP ปิดตลาดที่ 12.10บาท เพิ่มขึ้น 0.10บาท หรือ 0.83% มูลค่าซื้อขายรวม 94.86 ล้านบาท
นายวีรศักดิ์ โฆษิตไพศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCH กล่าวว่า ในปี 2553 รายได้ของบริษัทจะเติบโตถึง 1 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นปีนี้ที่คาดว่ามีายได้ 8 หมื่นล้านบาท หลังจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น รวมถึงคาดว่าราคาเม็ดพลาสติกจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 1 พันดอลลาร์/ตัน
นอกจากนี้กำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นได้ในปีหน้า จะมาจากโครงการอีเทนแครกเกอร์ 1 ล้านตัน/ปี ผลักดันให้บริษัทมีกำลังการผลิตโอเลฟินส์เพิ่มเป็น 2.9 ล้านตัน/ปี และโครงการผลิตเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีนชนิดความหนาแน่นต่ำเชิงเส้น(LLDPE) 4 แสนตัน/ปี และโครงการผลิตเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน (LDPE) 3 แสนตัน/ปี รวมทั้งมีกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน(HDPE) เป็น 8 แสนตัน/ปี
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า สถานการณ์ Spread ของราคาผลิตภัณฑ์หลักๆ ในกลุ่มปิโตรเคมีส่วนใหญ่ทั้งโอเลฟินส์ (เอทิลีน, เม็ดพลาสติก HPDE) และกลุ่ม PVC ยังค่อนข้างทรงตัวระดับสูง ยกเว้น MEG ที่ยังถูกกดดันด้วย Supply ใหม่ๆ ที่เข้ามาจากประเทศซาอุดิอารเบีย
สำหรับ HDPE ยังมีความต้องการใช้ในภูมิภาคที่เติบโตแข็งแกร่งตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจากจีนที่ยังเป็นปัจจัยผลักดันราคาผลิตภัณฑ์ให้ทรงตัวได้ในระดับสูง โดยเอทิลีนยังทรงตัวสูงเกิน 1 พันเหรียญฯ/ตัน เช่นเดียวกับ HDPE ที่ยังสูงถึง 1.27 พันเหรียญฯ/ตัน
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่อง Cost push ตามราคาแนฟทาวัตถุดิบหลักที่เคลื่อนไหวสอดคล้องกับราคาน้ำมันในตลาดโลก ไปในทิศทางเดียงกับราคาเม็ดพลาสติก PET ที่ยังทรงตัวระดับสูงถึง 1.38 พันเหรียญฯ/ตัน มานานกว่า 9 เดือนแล้ว
ส่วนกลุ่มอะโรเมติกส์ (Px, Bz) นั้น ราคา Px อ่อนตัวลงเพียงเล็กน้อย แต่ยังสูงเกิน 1 พันเหรียญฯ/ตัน ผลจากการที่โรงกลั่นฯ หลายแห่งในภูมิภาคเริ่มกลับมาดำเนินการผลิตมากขึ้นภายหลังจากที่มีการทำการหยุดการเดินเครื่องใรช่วงก่อนหน้า
อีกทั้งราคา Bz ยังอ่อนตัวเพียงเล็กน้อยในช่วงสั้นโดยยังอยู่ที่ระดับสูงเกิน 800 เหรียญฯ/ตัน โดยยังได้รับปัจจัยบวกสนับสนุนจากความต้องการใช้ที่สูงขึ้นของผู้ประกอบการในขั้นปลายที่เกี่ยวเนื่อง กับอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนในรถยนต์ในประเทศจีนที่มีการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลบวกกับกลุ่มผู้ประกอบการในกลุ่มปิโตรเคมีในไตรมาส 3/2552 และส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในงวดนี้คือ PTTCH ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ HPDE เนื่องจาก Spread ของราคาที่ยังสูงขึ้น ขณะที่ IRP คาดว่า Spread เฉลี่ยยังทรงตัวได้ที่ 220 เหรียญฯ/ตัน
ดังนั้นจึงปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็นมากกว่าตลาด จากเดิมเท่ากับตลาดโดยยังเลือก IRP และ PTTCH เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่มปิโตรเคมี ด้วยจุดแข็งของ IRP ในฐานะที่เป็นหุ้นมีการเติบโตที่ดี คาดว่า EPS ปี 2552-2553 เติบโตถึง 55.3% จากปีก่อน และ 19.9% จากปีก่อน ทั้งนี้มี PER ปี 2552 ต่ำเพียง 5.1 เท่า และจะลดลงเหลือเพียง 4.2 เท่า ในปี 2553 และยังให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 4%
ส่วน PTTCH จัดว่าเป็นหุ้นมีการเติบโตอย่างโดดเด่นเช่นกัน โดยคาด EPS ปี 2553 จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ถึง 132.8% จากปีก่อน โดยจะมี PER ปี 2553 ต่ำเพียง 8 เท่า และคาดการณ์ผลตอบแทนจากการจ่ายปัรลผ ไม่ต่ำกว่า 4%
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น PTTCH อยู่ในช่วงขาสขึ้น แต่ระยะสั้นราคาใกล้เขตซื้อมากไป จึงแนะนำ รอซื้อเมื่ออ่อนตัวŽ ให้แนวรับ 75 บาท แนวต้าน 83 บาท ส่วน IRP ราคาเริ่มมีสัญญาฟื้นตัว จึงแนะนำ ซื้อเก็งกำไรŽ ให้แนวรับ 12 บาท แนวต้าน 13.20 บาท
www.thunhoon.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น