วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

ข่าวกลุ่มพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ 1

29/12/52
น้ำมันดีเซล53ไม่เกิน30บ.
พลังงานมองปีหน้าน้ำมันยืน 70-80 ดอลล์ เชื่อราคาน้ำดีเซลไม่เกิน 30 บาท/ลิตร ฝากผู้บริหาร PTT ประเสริฐ บุญยสัมพันธ์Ž มองปีหน้าค่าการกลั่นต่ำ 1-2 ดอลล์ เหตุอุตสาหกรรมโรงกลั่นถึงรอบขาลง หลังเศรษฐกิจฟื้นตัว เอื้อธุรกิจได้ ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันคาดแกว่งตัว 70-80 ดอลล์
นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าว่า ในปี 2553 ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะเฉลี่ยอยู่ที่ 70-80 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศปี 2553 เฉลี่ยอยู่ที่ไม่เกินลิตรละ 30 บาท
ทั้งนี้ภายใต้สมมุติฐานหากเศรษฐกิจของไทยขยายตัวอยู่ที่ 3-4% คาดการณ์ความต้องการใช้พลังงานจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีนี้ 3.8%, น้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 1.7%, ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 5.1%, ถ่านหินเพิ่มขึ้น 2.9%, ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 4%
สำหรับผลงานในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ การประกาศตรึงราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ไปจนถึงเดือนสิงหาคม 2553, การตรึงราคาค่าไฟฟ้าผันแปร (เอฟที) และการตรึงราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับการขนส่ง (เอ็นจีวี) ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงานพิจารณาเรื่องราคาที่เหมาะสมหลังครบกำหนด
ส่วนการจ่ายหนี้ชดเชยจากการตรึงราคาก๊าซแอลพีจีและเอ็นจีวีให้กับ บมจ.ปตท.(PTT) ที่ยังค้างอยู่จำนวน 3 พันล้านบาทนั้น กระทรวงพลังงานพยายามที่จะชำระหนี้ให้ครบภายในปี 2553 ส่วนหนี้ที่เกิดในปี 52 จำนวน 2 พันล้านบาทได้ทยอยชำระหนี้ไปตามจริง
สำหรับปริมาณการใช้พลังงานของประเทศในปี 2552 อยู่ที่ 1.65 ล้านบาร์เรล/วัน (เทียบเท่าน้ำมันดิบ) ซึ่งเพิ่มขึ้น 2.1% จากปี 2551 หรือคิดเป็นเงินทั้งสิ้น 1.54 ล้านล้านบาท ลดลง 7.5% จากปี 2551 ส่วนการใช้แอลพีจีอยู่ที่ 5.15 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 7.2% จากปี 2551
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท.(PTT) ประเมินว่า ค่าการกลั่นในปี 2553 จะอยู่ในระดับต่ำที่ประมาณ 1-2 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นไปตามแนวโน้มอุตสาหกรรมโรงกลั่นที่อยู่นช่วงขาลง ประกอบกับจะมีโรงกลั่นขนาดใหญ่เพิ่มเข้ามาทั้งที่อินเดียและจีน แม้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวและทำให้ความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น
ค่าการกลั่นต่ำกว่า 2 เหรียญ ธุรกิจโรงกลั่นก็เจ๊งแล้ว ได้แต่หวังว่าถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัว ความต้องการใช้น้ำมันจะเพิ่มขึ้น โรงกลั่นก็อาจจะไม่แย่มากอย่างที่คิดไว้Žนายประเสริฐ กล่าว
ทั้งนี้ ในปีหน้าธุรกิจโรงกลั่นของไทยค่อนข้างลำบาก เนื่องจากต้องแข่งขันกับสิงคโปร์ที่มีต้นทุนการขนส่งและต้นทุนน้ำมันดิบต่ำกว่าไทย รวมทั้ง ภาระภาษีก็ต่ำกว่าด้วย ดังนั้น โอกาสการแข่งขันของไทยที่จะสู้กับสิงคโปร์คงยังเป็นเรื่องยาก
สำหรับปี 2553 คาดว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะอยู่ที่ระดับ 70-80 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งสูงกว่าปีนี้ที่อยู่ในระดับ 60-70 เหรียญ/บาร์เรล แต่ปีหน้าเชื่อว่ากำลังการผลิตน้ำมันในประเทศจะสูงถึง 9 แสน ถึง 1 ล้านบาร์เรล/วัน แบ่งเป็นการใช้ในประเทศ 7 แสนบาร์เรล/วัน ใช้ในธุรกิจปิโตรเคมี 1 แสนบาร์เรล/วัน และส่งออกประมาณ 1-2 แสนบาร์เรล/วัน
www.thunhoon.com**********
28/12/52
ยักษ์โรงกลั่นน้ำมันญี่ปุ่นเดินหน้าลดกำลังการผลิต

ในยามที่ราคาน้ำมันยังเป็นปัจจัยท้าทายของเศรษฐกิจโลกในปีหน้า ก็มีรายงานมาจากทางฝั่งบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ในญี่ปุ่น อย่าง Nippon Oil และ Nippon Mining Holdings ที่มีแผนจะควบรวมกันในเดือนเมษายนหน้านี้ว่า บริษัทจะหยุดการผลิตในโรงกลั่นน้ำมัน 3 แห่ง รวมถึงลดกำลังการผลิตลงอีก 1 แห่ง ภายในเดือนมีนาคมปี 2554 ตามสภาวะความต้องการพลังงานในประเทศที่ยังอ่อนแออยู่ในขณะนี้

ในแถลงการณ์ระบุว่า Nippon Oil จะปิดสายการผลิตน้ำมันดิบที่โรงงาน 3 แห่งในญี่ปุ่น ที่มีกำลังการผลิตรวม 204,000 บาร์เรลต่อวัน ขณะ Nippon Mining จะปรับลดกำลังการผลิตที่โรงงานในเมืองคาชิม่า ใกล้ๆ กับกรุงโตเกียว

การปรับลดครั้งนี้คิดเป็นสัดส่วนราว 20% ของกำลังการผลิตทั้งหมด ซึ่งทั้งสองบริษัทมีเป้าที่จะหั่นกำลังการผลิตลงให้ได้ถึง 600,000 บาร์เรลต่อวัน หรือประมาณ 1 ใน 3 ของกำลังการผลิตทั้งหมดภายในเดือนมีนาคม ปี 2558 เพื่อหวังประหยัดเงินให้ได้ 100,000 ล้านเยน หรือประมาณ 1,100 ล้านเหรียญต่อปี

ก่อนหน้านี้ ทางด้านกระทรวงการค้าของญี่ปุ่นเปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างประชากรของประเทศ ที่กำลังเผชิญจำนวนผู้สูงอายุที่มากขึ้น รวมถึงกระแสการอนุรักษ์พลังงาน ส่งผลให้ระดับความต้องการพลังงานในประเทศลดน้อยลง ขณะเดียวกัน ก็ทำให้เกิดกำลังการกลั่นน้ำมันส่วนเกินถึงกว่า 1 ใน 3 เลยทีเดียว

หันไปดูความเคลื่อนไหวที่อาจกระทบต่อราคาน้ำมันจากประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่อันดับ 4 ของกลุ่มโอเปค อย่าง คูเวต โดยล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ได้มีการประกาศปิดโรงกลั่นน้ำมันชูไอบา (Shuaiba) เป็นเวลา 4 วัน เนื่องจากเกิดปัญหาทางเทคนิคเกี่ยวกับระบบไอน้ำแรงดันสูง แม้จะมีการยืนยันว่าเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันในครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้ำมันอย่างแน่นอน

เจ้าหน้าที่ของบริษัท คูเวต เนชั่นแนล ปิโตรเลียม คอมพานี หรือ KNPC ซึ่งเป็นของรัฐบาล ออกมาให้ความมั่นใจว่า การปิดโรงกลั่นที่มีกำลังการผลิต 200,000 บาร์เรลต่อวันในครั้งนี้ ถือเป็นมาตรการทางด้านความปลอดภัย และจะไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้ำมันและลูกค้าของบริษัทแต่อย่างใด
money wake up
***********
24/12/52
ผลสำรวจชี้ดีลควบรวมธุรกิจพลังงาน-การเงินมาแรงปี 2553

แม้แนวโน้มเศรษฐกิจจะดูดีขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าภาคธุรกิจจะฝากความหวังไว้แค่เพียงการรอให้ความต้องการสินค้ากลับมาขยายตัวได้เองอีกครั้ง ดังนั้น หลายๆ บริษัทในตอนนี้จึงพยายามงัดเอากลยุทธ์ต่างๆ เพื่อหวังให้รอดผ่านพ้นปี 2553 ที่กำลังคืบเข้ามาพร้อมกับความท้าทายใหม่ๆ ให้ได้ และหนึ่งในวิธีการที่จะอยู่รอดของผู้ประกอบการก็คือการดิ้นหนีหาพันธมิตร การผนึกกำลังเข้ากับคู่ค้าของตน ไปจนถึงการควบรวมกิจการ

ล่าสุดสำนักข่าว Bloomberg ก็เปิดเผยผลสำรวจที่ระบุว่า บริษัทในกลุ่มธุรกิจพลังงานและการเงินอาจเป็นตัวปลุกกระแส M&A ในอุตสาหกรรมต่างๆ ให้ฟื้นขึ้นมาได้ในปี 2553 หลังจากที่มูลค่าการซื้อกิจการในภาพรวมทั่วโลกปรับตัวลงกว่า 30% ในปีนี้

รายงานฉบับที่เรียกว่า Global M&A Outlook ที่กำลังพูดถึงอยู่นี้ แสดงให้เห็นถึงสัดส่วน 92% ของผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 250 คน ที่มีทั้ง investment banker, นักกฏหมาย และนักลงทุน มีความเห็นว่าแนวโน้มการควบรวมกิจการจะปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มตัวอย่าง 21% เชื่อว่า บริษัทในอุตสาหกรรมพลังงานจะมีความโดดเด่นสำหรับดีล M&A มากที่สุด ขณะมี 17% ที่เห็นว่า ธุรกิจการเงินจะขึ้นมาเป็นผู้นำในการควบรวมกิจการ

ข้อมูลของสำนักข่าวชั้นนำแห่งนี้ยังระบุว่า มูลค่าของการเทคโอเวอร์ในปีนี้ ที่บันทึกได้มาจนถึงกลางเดือนธันวาคม ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 1.6 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งเรียกว่าเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 6 ปี และสาเหตุคงหนีไม่พ้นเรื่องตลาดการเงินที่หดตัวลงและผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจที่กดดันธุรกรรม M&A ให้ร่วงลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง จากตัวเลขที่เคยขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่ 4 ล้านล้านเหรียญ เมื่อปี 2007

ส่วนตำแหน่ง deal of the year หรือ ดีลที่มีมูลค่าสูงสุดประจำปีนี้ ตกเป็นของคู่ยักษ์ใหญ่ในวงการยา นั่นก็คือ บริษัท Pfizer และ Wyeth ที่ฝ่ายแรกซื้อฝ่ายหลังไปด้วยมูลค่าถึง 68,000 ล้านเหรียญ และกลุ่มที่ตกเป็นเป้าในการควบรวมมากที่สุดในปีนี้ ก็คือ กลุ่มการเงิน ที่การเทคโอเวอร์ครั้งใหญ่ๆ ได้รวมถึง การที่รัฐบาลอังกฤษเข้าครอบครองกิจการของ Royal Bank of Scotland Group และบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำ อย่าง Blackrock ที่ไปเข้าซื้อธุรกิจบริหารกองทุนมาจาก Barclays

และที่น่าจับตา ก็คือ ดีลล่าสุดในอุตสาหกรรมพลังงานที่มาจาก Exxon Mobil ตกลงใจเข้าซื้อบริษัท XTO Energy ในเดือนนี้ และกำลังปลุกกระแสการควบรวมของบรรดาผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซทั่วโลกให้ตื่นตัวกันมากขึ้น


ประธานโอเปคชี้ราคาน้ำมันควรอยู่ที่ 80 ดอลลาร์

เจอร์มานิโค พินโต รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติของเอกวาดอร์และประธานคนใหม่ของกลุ่มโอเปค กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่เหมาะสมควรอยู่ที่ราว 80 ดอลลาร์/บาร์เรล

นายพินโตรับตำแหน่งประธานแบบหมุนเวียนคนใหม่ของโอเปคต่อจาก โบเทลโฮ เดอ วาสคอนเซลอส รัฐมนตรีน้ำมันของแองโกล่า ในการประชุมรัฐมนตรีกลุ่มโอเปคครั้งที่ 155 ที่เมืองลูอันดา ประเทศแองโกล่า

นายพินโตกล่าวกับผู้สื่อข่าวนอกการประชุมว่า หากราคาน้ำมันทะยานสู่ระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรล จะเป็นการรับประกันว่าประเทศสมาชิกกลุ่มโอเปคจะมีรายได้แน่นอน

แหล่งข่าวรายงานว่าสมาชิกกลุ่มโอเปคตัดสินใจตรึงกำลังการผลิตน้ำมันไว้ที่ 24.84 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นระดับเดียวกับที่ตั้งไว้ในการประชุมครั้งที่แล้วที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย และคาดว่าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อสิ้นสุดการประชุม

นักวิเคราะห์กล่าวว่า ราคาน้ำมันทะยานกว่า 60% แล้วในปีนี้เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และการที่โอเปคตัดสินใจตรึงกำลังการผลิตน้ำมันก็เพื่อพยุงราคาน้ำมันให้อยู่เหนือระดับ 70 ดอลลาร์/บาร์เรลต่อไป ซึ่งเป็นระดับที่ทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตพอใจ

นายกรัฐมนตรีเปาโล คอสโซมา ของแองโกล่า กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวจากภาวะถดถอยครั้งรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อทั่วโลก อย่างไรก็ตาม แองโกล่าและประเทศโอเปคเชื่อว่าดีมานด์น้ำมันจะยังซบเซา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องตรึงกำลังการผลิตน้ำมันไว้ที่ระดับดังกล่าวเพื่อให้ราคาน้ำมัน ดีมานด์-ซัพพลายน้ำมัน รวมถึงเศรษฐกิจโลกมีเสถียรภาพ

ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกโอเปคประกอบด้วย แองโกล่า อัลจีเรีย ลิเบีย ไนจีเรีย เวเนซูเอล่า เอกวาดอร์ ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิหร่าน อิรัก คูเวต และกาตาร์
money wake up
*********
22/12/52
ราคาน้ำมันพุ่งหนุนเศรษฐกิจ GCC ปีหน้า / คาดที่ประชุมโอเปคคงกำลังการผลิต

ผลสำรวจซึ่งจัดทำโดยเอมิเรตส์ บิสิเนส ระบุว่า เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับ (GCC) จะขยายตัวอย่างรวดเร็วในปีหน้า เพราะราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น

จากการสำรวจความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ 25 บริษัทในยูเออีพบว่า เจ้าหน้าที่มีมุมมองที่เป็นบวกเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และเชื่อว่าการที่เศรษฐกิจ GCC จะชะลอตัวลงได้นั้นมีเพียงเหตุผลเดียวคือราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง

ก่อนหน้านี้ สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) ของสหรัฐ คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมัน West Texas ในตลาดสปอตจะลดลงแตะระดับ 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในเดือนก.พ.นี้ และจากนั้นจะดีดตัวขึ้นแตะระดับ 82 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงปลายปีหน้า

ราคาน้ำมันดิบ WTI โดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 78 ดอลลาร์/บาร์เรลในเดือนพ.ย. มากกว่าระดับเฉลี่ยในเดือนต.ค.ราว 2 ดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเทรดเดอร์มีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโลกและดีมานด์พลังงานทั่วโลกจะฟื้นตัวขึ้น

ขณะที่ Economist Intelligence Unit ของอังกฤษคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันโดยเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้น 21% แตะที่ 75 ดอลลาร์ในปีหน้า จากระดับ 62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปีนี้

นายจีแยส โคห์เคนท์ หัวหน้านักวิเคราะห์จากเนชั่นแนล แบงค์ ออฟ อาบูดาบี คาดว่าราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มพุ่งขึ้นอีกในปีหน้าเมื่อเทียบกับปีนี้ ซึ่งหมายความว่าตัวเลขจีดีพีของทุกประเทศในกลุ่ม GCC จะขยายตัวขึ้นในปีหน้า

กลุ่ม GCC ก่อตั้งขึ้นในปี 2524 ซึ่งประกอบไปด้วย บาห์เรน คูเวต โอมาน กาตาร์ ซาอุดิอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยกลุ่ม GCC มีแหล่งสำรองน้ำมันถึง 45% ของแหล่งสำรองน้ำมันทั่วโลก

ส่วนการประชุมโอเปคในวันนี้ หลายฝ่ายออกมาส่งสัญญาณคงการผลิต เริ่มที่ นายชาคิบ เคลิล รัฐมนตรีพลังงานแอลจีเรียคาดว่า โอเปคอาจประกาศตรึงเพดานการผลิตน้ำมันต่อวันไว้ที่ระดับเดิมในการประชุมที่ประเทศแองโกล่าวันนี้

นอกจากนี้ เคลิลยังกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า โอเปคจะไม่ปรับขึ้นเพดานการผลิตน้ำมันจนถึงปี 2555 โดยให้เหตุผลว่า การผลิตน้ำมันมากเกินความต้องการของตลาดอาจทำให้เกิดภาวะไร้เสถียรภาพในตลาดน้ำมัน

ขณะที่ อับดุลลา ซาเลม เอล-บาดรี เลขาธิการกลุ่มโอเปค เผยว่า ประเทศสมาชิกมีมติเป็นเอกฉันท์ที่จะไม่เปลี่ยนแปลงเป้าหมายการผลิตน้ำมันในการประชุมวันนี้ อย่างไรก็ตาม เลขาฯโอเปคปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มการผลิตน้ำมันในปีหน้า

ส่วนนายอาลี อัล ไนยมี รมว.พลังงานซาอุดิอาระเบียกล่าวแสดงความคิดเห็นว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปัจจุบันอยู่ในระดับที่น่าพอใจ พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นว่าตลาดน้ำมันโลกมีเสถียรภาพ

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า รัฐมนตรีน้ำมันจากอิหร่านและคูเวตจะไม่เข้าร่วมการประชุมในวันอังคารนี้ แต่จะส่งตัวแทนเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวแทน
money wake up********
21/12/52
มาบตาพุดยังฉุดกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี
รายงานโดย :เจียรนัย อุตะมะ: วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

แม้ว่ารัฐบาลได้พยายามที่จะแก้ไขปัญหามาบตาพุด แต่สถานการณ์ที่กดดันรอบด้านและไร้วี่แววว่าจะจบลงได้โดยง่าย

ได้เป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีให้ปรับตัวขึ้นน้อยกว่าหุ้นกลุ่มอื่น แม้ความเลวร้ายได้สะท้อนในราคาไปแล้ว แต่นักลงทุนยังไม่วางใจในหุ้นเหล่านี้ มีการปรับลดกำไรหุ้นพลังงานและปิโตรเคมีลงถึงกรณีเลวร้ายสุด การผลิตล่าช้าไป 1 ปี และสมการควบรวมกิจการในเครือปตท.ได้มีการเปลี่ยนแปลง

หลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งแก้ไขคำสั่งศาลปกครองกลางให้เพิกถอนการระงับกิจการลงทุน 11 โครงการ และให้ยังคงระงับกิจการที่เหลืออีก 65 โครงการ เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นนั้น ในขณะนี้อยู่ที่กระบวนการของภาครัฐ ในการกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

ในขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการขอความชัดเจนจากศาลปกครองว่าบางโครงการจะเดินหน้าได้หรือไม่ อาทิ โครงการที่ได้รับใบอนุญาตการลงทุนก่อนรัฐธรรมนูญปี 2550 โครงการที่ผ่านการทำประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) ไปแล้วจะดำเนินการก่อสร้างต่อ และขอทำประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ (HIA) ภายหลังจากที่รัฐบาลกำหนดแนวทางการทำ HIA ที่ชัดเจน

ภาคเอกชนโดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายสูงอย่าง กลุ่มบริษัท ปตท. (PTT) และกลุ่มบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ได้เตรียมประเมินความเสียหายในครั้งนี้เช่นกัน

“กานต์ ตระกูลฮุน” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท SCC จะนำเสนอแผนธุรกิจปี 2553 เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในสัปดาห์นี้ ซึ่งในแผนธุรกิจนั้นจะนำเสนอถึงผลกระทบจากการระงับการดำเนินโครงการ 18 โครงการที่อยู่ในพื้นที่มาบตาพุดตามคำสั่งของศาลปกครองกลางสูงสุด ที่จะกระทบต่อรายได้ของบริษัทในปีหน้าด้วย เพราะโครงการส่วนใหญ่ที่ถูกระงับการดำเนินแล้วเสร็จตามแผนจะสามารถรับรู้รายได้ในปี 2553

ทั้งนี้ 18 โครงการซึ่งถูกศาลปกครองสั่งระงับนั้นมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 5.75 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่ก่อสร้างเกือบแล้วเสร็จ มีเพียงโครงการผลิตเหล็กรูปพรรณสยามยามาโตะ ซึ่งก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่สามารถผลิตได้ตามคำสั่งของศาล

“การหยุดกิจกรรมชั่วคราวนี้ ก่อให้เกิดผลกระทบทางการเงินซึ่งประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายผู้รับเหมาก่อสร้างออกจากโครงการ ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เพื่อรักษาสภาพงานก่อสร้างให้มีความปลอดภัยและสามารถใช้งานได้โดยไม่เสียหาย ค่าใช้จ่ายจากการยกเลิกสัญญา ดอกเบี้ย ค่าจ้าง พนักงาน และค่าสูญเสียโอกาสในการประกอบธุรกิจ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความล่าช้าของแต่ละโครงการ”

ทั้งนี้ SCC ได้หยุดดำเนินการตามคำสั่งศาลแล้ว ขณะที่กลุ่ม PTT เตรียมที่จะยื่นขอต่อศาลเพื่อขอก่อสร้างโครงการที่ได้รับ EIA ก่อนปี 2550

ในส่วนของ SCC นั้น มีโครงการที่เข้าข่ายลักษณะดังกล่าว 1 โครงการ จึงมีแนวคิดจะขอความกรุณาต่อศาลให้ดำเนินการก่อสร้างต่อให้แล้วเสร็จเช่นกัน โดยเห็นว่าไม่ได้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะไม่ได้ดำเนินการทางด้านโรงงานแต่อย่างใด ซึ่งต้องรอให้กฎหมายใหม่เกี่ยวกับ HIA ออกมาก่อนอยู่แล้ว

ด้านนักวิเคราะห์ทยอยปรับลดกำไรล่าสุดของกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี จากกรณีนี้โดยสมมติฐานกรณีเลวร้ายที่สุด โครงการล่าช้ากว่ากำหนด 1 ปี

“นลินรัตน์ กิตติกำพลรัตน์” นักวิเคราะห์ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส ปรับลดกำไร 2553 ของกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีลง 3.76% ภายใต้กรณีเลวร้ายสุดจากความคืบหน้าดังกล่าว จะเห็นว่ายังไม่มีข้อสรุปใดออกมาเป็นรูปธรรมที่สามารถปฏิบัติได้ตามอย่างชัดเจน ถึงแม้ทางคณะกรรมการ 4 ฝ่ายเพื่อแก้ไขปัญหามาบตาพุด โดย “อานันท์ ปันยารชุน” เป็นประธาน จะพยายามเร่งให้ได้ข้อสรุปสำหรับการกำหนดกระบวนการจัดทำ EIA, HIA รับฟังความเห็นประชาชน และการจัดตั้งองค์กรอิสระภายในเดือนธ.ค. 2552 นี้

แต่สำหรับขั้นตอนการดำเนินงานนั้น ในเบื้องต้นคาดว่าจะต้องใช้ระยะเวลาหนึ่ง เนื่องจากหลักเกณฑ์การจัดทำ EIA, HIA ต้องมีการออกประกาศกฎกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก่อน รวมถึงประเด็นการจัดตั้งองค์กรอิสระ อาจพิจารณาจัดทำโดยใช้เป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีช่วงแรก ก่อนจัดทำเป็นพระราชบัญญัติเพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ทำให้กระบวนการพิจารณาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมีความชัดเจน ซึ่งจะเห็นได้ว่าขั้นตอนแก้ไขปัญหาดังกล่าวต้องใช้เวลา

ฉุดกำไร 4%

ฝ่ายวิจัยบล.เอเชีย พลัส ได้ทำการปรับลดประมาณการเพื่อสะท้อนปัจจัยลบดังกล่าว ภายใต้สมมติฐานกรณีเลวร้ายสุดหากโครงการต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจะต้องเลื่อนการผลิตออกไปเป็นระยะเวลา 1 ปี จะพบว่ากำไรกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีปรับตัวลดลง 3.76% จากประมาณการเดิม

ทั้งนี้ บริษัท ปตท.เคมิคอล (PTTCH) จะได้รับผลกระทบมากที่สุดทั้งโดยตรง (อยู่ใน 65 โครงการที่ศาลมีคำสั่ง) จำนวน 2 โครงการคือส่วนขยายกำลังการผลิตโพลิเอทิลีนของ BPE และ Debottleneck I1 และโดยอ้อม เนื่องจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 6 ของบริษัท ปตท. (PTT) ซึ่งอยู่ใน 65 โครงการที่ถูกศาลสั่งระงับ จะต้องจัดหาวัตถุดิบให้กับส่วนขยายอีเทนแครกเกอร์ 1 ล้านตัน ซึ่งมีแผนแล้วเสร็จในปลายเดือนธ.ค. 2552 ดังนั้นจึงทำให้ส่วนขยายดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ตามแผน

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัส คาด ราคาหุ้นผ่านจุดเลวร้ายแล้วภายใต้ประมาณการ และมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2553 ใหม่ ซึ่งสะท้อนกรณีเลวร้ายสุดไปแล้ว พบว่าหุ้นหลายบริษัทยังมี โอกาสปรับเพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ PTT บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) และบริษัท โกลว์พลังงาน (GLOW)

แนะสะสม

ดังนั้นจึงแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นในหุ้น 4 บริษัทนี้ เนื่องจากเชื่อว่าราคาหุ้นในปัจจุบันสะท้อนปัจจัยลบดังกล่าวไปมากแล้ว ซึ่งการแก้ไขปัญหานับจากนี้ น่าจะเริ่มมีแต่ปัจจัยบวกเข้ามาถึงแม้จะต้อง ใช้ระยะเวลาหนึ่งก็ตาม และแนะนำถือสำหรับหุ้น PTTCH,บริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) และบริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ (TPC) เนื่องจากราคาหุ้นปัจจุบันค่อนข้างเต็ม มูลค่าแล้ว

นอกจากนี้ สำหรับในกลุ่ม PTT นอกจากจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากประเด็นปัญหามาบตาพุดดังกล่าวแล้ว คาดการประกาศแผนควบรวมกิจการภายในกลุ่มที่มุ่งเน้นสายปิโตรเคมี (PTTCH, PTTAR และบริษัท ไออาร์พีซี (IRPC) อาจถูกเลื่อนออกไปเป็นช่วงต้นปี 2553 แทน

เจ๊ากัน

นักวิเคราะห์บล.ไทยพาณิชย์ เชื่อว่าความกังวลเกี่ยวกับมาบตาพุดจะไปหักลบกับผลกระทบด้านบวกจากราคาพลังงานที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นในปี 2553 หุ้นส่วนใหญ่ในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีจะปรับตัวขึ้นน้อยกว่าหุ้นกลุ่มเดียวกันในตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องไปจนกว่าประเด็นมาบตาพุดจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน

สมการควบรวมเปลี่ยน

อย่างไรก็ตามผลจากโครงการมาบตาพุดทำให้บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เชื่อว่า IRPC และ PTTAR เป็นทางเลือกที่มีโอกาสสูงสุดสำหรับการควบรวมกิจการในช่วงแรก เนื่องจาก

ประการแรก มูลค่าเพิ่มที่คาดว่าจะได้ในระดับสูงจากการลงทุนในกิจการร่วมค้าสำหรับโครงการ EURO IV

ประการที่ 2 ที่ตั้งที่เหมาะสมของโรงงานทั้งสองบริษัท

และประการที่ 3 ผลกระทบที่อยู่ในระดับต่ำจากปัญหาสภาวะแวดล้อมที่มาบตาพุด ในแง่ของมูลค่าที่คาดว่าจะได้จากการควบรวมกิจการ

“เราเชื่อว่าหากบริษัทดังกล่าวควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน นอกจากมูลค่าเพิ่มที่จะได้จากการประหยัดต้นทุนในโครงการปัจจุบัน รวมถึงการลงทุนในอนาคตแล้ว บริษัทจะสามารถประหยัดงบลงทุนจำนวนมหาศาลจากการยกระดับผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมให้ได้มาตรฐาน EURO IV ด้วยโรงงานเพียงแห่งเดียว ซึ่งจะทำให้บริษัท สามารถประหยัดเงินได้ถึง 360 ล้านเหรียญสหรัฐ” นักวิเคราะห์บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวให้ความเห็น

บริษัททั้งสองไม่ได้รับผลกระทบจากการสั่งหยุดดำเนินการ 65 โครงการของศาลปกครองสูงสุด ในขณะที่ PTTCH ยังติดอยู่กับการขาดแคลนวัตถุดิบและโรงงานของบริษัท ไทยออยล์ (TOP) ก็ตั้งอยู่ไกลออกไป

ดังนั้น บริษัททั้งสองจึงควรเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ในกรณีที่บริษัทแม่ต้องการจะทำการควบรวมกิจการให้สำเร็จโดยเร็ว ในกรณีนี้ประเมินว่าอัตราส่วนการแลกหุ้นจะเป็นประโยชน์ต่อ PTTAR เนื่องจากมูลค่าพื้นฐานที่มีสูงกว่า

ล่าสุดส่วนต่างราคา PX-Naphtha ได้ปรับตัวเพิ่ม 7 อาทิตย์ติดต่อกันจากจุดต่ำสุดในช่วงต้นไตรมาสเป็น 455 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือเพิ่มขึ้น 84.3% ในขณะที่ส่วนต่าง Benzene-Naphtha เพิ่ม 104% เป็น 248 เหรียญสหรัฐต่อตัน แม้ว่าส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้นในระหว่างไตรมาสจะไม่มากพอที่จะเพิ่มส่วนต่างเฉลี่ยในไตรมาส 4/2552 ให้เพิ่มขึ้น จากไตรมาส 3 แต่จะเป็นผลดีต่อกำไรในไตรมาส 1/2553 ให้หุ้นในกลุ่มนี้

จากสมมติฐานปี 2553 ในปัจจุบันของเราสำหรับส่วนต่างราคา PX ที่ 380 เหรียญสหรัฐต่อตัน และสำหรับส่วนต่างราคาเบนซินที่ 100 เหรียญสหรัฐต่อตัน ให้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลสูงที่สุดในครึ่งหลังของปี 2552

“เราคาดว่า PTTAR จะจ่ายเงินปันผลในปี 2552 ที่ 1.0 บาทต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่ 4.3% ต่อปี ต่างจากบริษัทอื่นในกลุ่ม ซึ่งจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว โดย PTTAR จะประกาศจ่ายเงินปันผลเต็มปีหลังประกาศกำไรปี 2552 ในกลางเดือนก.พ. ซึ่งอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่ากลุ่ม ซึ่งจ่ายอยู่ระหว่าง 1.6–3.5% ถือปัจจัยบวกต่อการลงทุนใน PTTAR ดังนั้นจึงคงแนะนำ ‘ซื้อ’ โดยมีราคาเป้าหมายที่ 28.40 บาท”

กำไรไตรมาส 4 ดี

ด้านผลประกอบการไตรมาส 4/2552 ของ 4 บริษัทในกลุ่มปิโตรเคมีนักวิเคราะห์บล.ยูโอบี เคย์เฮียน คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 7,796 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 205% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 26% จากไตรมาส 3 โดยปัจจัยหลักที่ผลการดำเนินงานฟื้นตัวขึ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากจะไม่มีขาดทุนจากสต๊อกผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจำนวนมาก ดังเช่นไตรมาส 4/2551 ของ PTTCH และ SCC ในขณะที่ผลการดำเนินงานที่ลดลงในไตรมาส 4/2552 มาจากผลการดำเนินงานของ SCC และ PTTCH ที่จะลดลงตามส่วนต่างผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ลดลงจากไตรมาส 3/2552

สำหรับปัจจัยบวกของกลุ่มปิโตรเคมีคือ

ประการแรก ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในไตรมาส 4/2552 เพิ่มขึ้นจะช่วยหนุนราคาเม็ดพลาสติกให้สูงขึ้น ส่งผลดีต่อ PTTCH

ประการที่สอง เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ช่วยหนุนการส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี

ประการที่สาม โรงงานปิโตรเคมีใหม่มีความล่าช้าออกไป โดยเลื่อนการผลิตออกไปจากเดิมประมาณ 6 เดือน

nปัจจัยลบ มีดังนี้

ประการแรก ราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลกดดันต่อส่วนต่างผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี โดยเฉพาะผู้ผลิตในสายน้ำมัน เช่น SCC และบริษัท อินโดรามาโพลลีเมอร์ส (IRP)

ประการที่สอง ส่วนต่างผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในสายอะโรเมติกส์และโอเลฟินส์ลดลง 25% และ 17% จากไตรมาส 3 ตามลำดับ จากภาวะการผลิตส่วนเกิน

ประการที่สาม ความไม่ชัดเจนจากกรณีโครงการลงทุนในพื้นที่มาบตาพุด ส่งผลให้มีการเลื่อนการผลิตของโครงการต่างๆ โดยเฉพาะ SCC และ PTTCH

ประการที่สี่ การควบรวมบริษัทในกลุ่ม PTT ต้องล่าช้าออกไป เนื่องจากความไม่ชัดเจนในกรณี มาบตาพุด

บล.ยูโอบี เคย์เฮียน ประมาณการแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/2552 จำแนกรายบริษัทดังนี้

IRP : ผลการดำเนินงานของ IRP จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น จากการเปิดโรงงานใหม่ในสหรัฐ ในขณะที่ส่วนต่างผลิตภัณฑ์ในไตรมาส 4/2552 มีแนวโน้มทรงตัวจากไตรมาส 3/2552

PTTCH : ผลการดำเนินงานของ PTTCH คาดว่าจะมีกำไรสุทธิลดลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะลดลง ตามราคา HDPE ที่คาดว่าจะลดลง 4% จากไตรมาส 3 เป็น 1,195 เหรียญสหรัฐต่อตัน ประกอบกับการหยุดผลิตโรงงาน HDPE I1 กำลังการผลิต 2.5 แสนตัน เป็นเวลา 46 วัน

SCC : ผลการดำเนินงานของ SCC ในไตรมาส 4/2552 คาดว่าจะลดลงจากไตรมาส 3/2552 เนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ในธุรกิจปิโตรเคมีลดลง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ HDPE–Naphtha คาดว่าส่วนต่างผลิตภัณฑ์จะลดลง 17% จากไตรมาส 3 อยู่ที่ 545 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่วนผลการดำเนินงานของธุรกิจปูนซีเมนต์คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้น จากงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่วนธุรกิจกระดาษคาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

แม้ว่าแนวโน้มราคาพลังงานปีหน้าจะสูงขึ้นมากพอที่จะชดเชยผลผลิตของโครงการที่ล่าช้าเพราะมาบตาพุด แต่ความเสี่ยงจากโครงการดังกล่าว นับว่ามหาศาล จนนักลงทุนมิอาจทำใจเข้าซื้อหุ้นเหล่านี้ได้...

เรียกได้ว่า High Risk High Return ของจริง...
posttoday********
21/12/52
ลุ้นตัวเลขตลาดบ้านสหรัฐฯ ทำสถิติสูงสุด ขณะปัจจัยอิหร่านกดดันน้ำมัน

นักลงทุนกำลังรอดูตัวเลขเศรษฐกิจที่กำลังจะทยอยประกาศออกมาในสัปดาห์นี้ เริ่มกันตั้งแต่ยอดการใช้จ่ายภาคครัวเรือน ที่ผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ของสำนักข่าว Bloomberg คาดว่า จะปรับเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ขณะเดียวกัน อีกหนึ่งรายงานก็มีความเป็นไปได้ที่ตัวเลขรวมของยอดขายบ้าน ทั้งบ้านใหม่และที่สร้างเสร็จแล้ว อาจจะออกมาทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่กลางปี 2550 อีกด้วย

สำหรับตัวเลขคำสั่งซื้อสินค้าคงทนที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ จะประกาศตามออกมาในวันพฤหัสฯ นักเศรษฐศาสตร์ก็คาดว่าจะกลับมาขยายตัวอีกครั้งในเดือนที่แล้ว หลังจากที่ลดลงไป 0.6% ในเดือนตุลาคม

ทางด้านความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเมื่อสัปดาห์แล้วที่แม้ว่าตลาดฝั่งยุโรปจะกลับมาฟื้นขึ้นได้ แต่ของสหรัฐฯ กลับติดตรงที่หลายปัจจัย จนทำให้นักลงทุนต่างเทขายหุ้นกันออกมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Citigroup ขายหุ้นในราคาที่ต่ำ หรือจะเป็นในส่วนมุมมองของธุรกิจยักษ์ใหญ่ในสองวงการ อย่างบริษัท Best Buy และ FedEx ที่ออกมาคาดการณ์ถึงโอกาสในการทำกำไรที่น่าจะลดลง แม้ว่าตลาดจะรับข่าวดีของผู้ผลิตซอฟท์แวร์ บริษัท Oracle ที่รายงานผลประกอบการสูงกว่าคาด จนสามารถช่วยดันตลาดโดยรวมบวกขึ้นได้เมื่อวันศุกร์ รวมทั้งมุมมองทางด้านบวกของผู้ผลิตโทรศัพท์ BlackBerry ซึ่งก็คือ บริษัท Research In Motion ที่หนุนให้บรรยากาศการลงทุนกลับมาดีขึ้นในช่วงส่งท้ายสัปดาห์

ดัชนี S&P 500 เริ่มติดลบตั้งแต่กลางสัปดาห์ที่แล้ว สวนกับตลาดพันธบัตรที่พุ่งขึ้น หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศยืนดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม คือที่ 0 - 0.25% พร้อมกับมีการเก็งกันว่าเฟดกำลังเตรียมที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในปีหน้า ซึ่งที่ประชุมกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ได้ลงความเห็นว่า มาตรการอัดฉีดสินเชื่อทั้งหลายของเฟดจะสิ้นสุดลงในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ด้วยเหตุผลที่กลไกตลาดการเงินสามารถฟื้นตัวดีขึ้นได้แล้ว

ในส่วนความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน สัปดาห์นี้คงต้องติดตามดูกันต่อ หลังจากปัจจัยการเมืองที่กองทัพอิหร่านเคลื่อนกำลังพลเข้ามายังเขตอิรักกำลังผลักดันให้ราคาน้ำมันทะยานขึ้นอีกครั้ง
*********
19/12/52
โอเปกคงโควต้าการผลิตน้ำมัน
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

โอเปกคาดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงโควต้าการผลิตน้ำมันในการประชุมครั้งต่อไปที่อังโกลา
รัฐมนตรีน้ำมันของอังโกลา ซึ่งเป็นประธานโอเปกคนปัจจุบัน ยืนยันเมื่อวานนี้ ก่อนหน้าการประชุมครั้งต่อไปในวันอังคารหน้า ว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออกหรือโอเปก คาดว่าจะคงโควต้าการผลิตน้ำมันในการประชุมครั้งต่อไปที่ประเทศอังโกลา ในสัปดาห์หน้า

โดยระบุว่าถ้าราคาน้ำมันในตลาดโลกยังมีเสถียรภาพ ที่ระดับ 75 – 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ก็มีแนวโน้มว่าปริมาณการผลิตน้ำมันจะยังคงอยู่ที่ระดับเดิม คือวันละ 26.4 ล้านบาร์เรล ส่วนอังโกลาเข้าเป็นสมาชิกโอเปกในลำดับที่ 12 เมื่อปี 2550
krungthep
*********
18/12/52
"ไทยออยล์"ชี้ดีมานด์เอเชียพุ่ง ปี"53ราคาน้ำมัน80-85เหรียญ

นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันในปี 2553 ว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะมีการเคลื่อนไหวอยู่ที่เฉลี่ย 80-85 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากเศรษฐกิจโลกจะเริ่มดีขึ้น มองว่าราคาน้ำมันจะไม่กลับไปสู่ขาลงอีก อาจจะมีโอกาสขึ้นไปแตะที่ระดับ 200 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หรืออาจจะกลับไปมีราคาที่ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล นั้นมีโอกาสเกิดขึ้นได้แต่ไม่ใช่ช่วงเวลาสั้น ๆ นี้แน่นอน รวมถึงขณะนี้การใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในจีนและอินเดีย โดยเฉพาะจีนมีความต้องการใช้อยู่ที่ 8 ล้านบาร์เรล/วัน และเชื่อมั่นว่าภายในปี 2563 นี้ความต้องการใช้น้ำมันของจีนจะมากกว่าสหรัฐ

"ตอนนี้ดีมานด์แทบจะอยู่ในแถบเอเชียทั้งหมด สำหรับดีมานด์ในสหรัฐคิดเป็น 1 ใน 3 ของปริมาณที่ผลิตได้ รวมทั้งหมดประมาณ 46 ล้านบาร์เรล/วัน ในยุโรปใช้อยู่ที่ 15 ล้านบาร์เรล/วัน ในตะวันออกกลางใช้อยู่ที่ 7 ล้านบาร์เรล/วัน ในขณะที่แถบเอเชีย-แปซิฟิกใช้รวมกันอยู่ที่ 25 ล้านบาร์เรล/วัน ฉะนั้นตอนนี้ราคาน้ำมันจะกระทบจากดีมานด์ในเอเชีย"

สำหรับวิสัยทัศน์ธุรกิจของบริษัทไทยออยล์ ต่อจากนี้จะปรับองค์กรให้เป็น"energy converting company" ปรับธุรกิจตามความต้องการใช้พลังงาน คือมองกระแสของโลกและความต้องการใช้พลังงานของประเทศ ว่าจะไปในทิศทางใด ไทยออยล์จะมุ่งไปในธุรกิจนั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของประเทศด้วยว่าจะเป็นอย่างไร หากว่าเลือกการใช้พลังงานที่มีราคาถูกอาจจะไม่ใช่พลังงานที่สะอาด และหากเป็นพลังงานที่สะอาดกลับมีราคาที่ ค่อนข้างสูง ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกใช้อย่างไร

นอกจากนี้ธุรกิจของไทยออยล์จะมุ่งเน้นให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในทุกโปรดักต์ เช่น เมื่อนำน้ำมันดิบเข้ามาจะต้องแปลงเป็นโปรดักต์ได้หลายอย่าง เช่น ได้ทั้งน้ำมันสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์ในสายปิโตรเคมี รวมไปถึงการมองไปถึงการขยายโรงไฟฟ้า (IPP) ด้วย โดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ให้กรอบของการทำธุรกิจว่า จะต้องผลิตด้วยต้นทุนต่ำที่สุดให้ได้ 50% แต่ยังเดินเครื่องผลิตเต็มศักยภาพ

"ธุรกิจของเราเริ่มแตกแขนงออกมา เช่น เรามีโรงงานผลิตเอทานอล มีโรงงานผลิตพาราไซลีนในบริษัทลูกของเรา ที่ขณะนี้เราขยายตลาดไปสู่จีนตอนใต้แล้ว ยังมีโรงงานผลิตน้ำมันหล่อลื่น ผลิตสารโซลเวนต์ด้วย สำหรับค่าการกลั่น (GRM) ในปี 2553 ไม่ต่ำกว่า 3 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และค่าการกลั่นน้ำมันที่รวมปิโตรเคมี (GIM) จะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล"
prachachat
**********
17/12/52
ไทยออยล์ รายงานสถานการณ์น้ำมัน ประจำวันที่ 17 ธันวาคม 2552
หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์พลังงาน บมจ.ไทยออยล์ รายงานสถานการณ์น้ำมัน ประจำวันที่ 17 ธันวาคม 2552 ปิดตลาดวันที่ 16 ธันวาคม 2552 ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุน (บวก) และกดดัน (ลบ) ราคาให้เคลื่อนไหวเพิ่มสูงขึ้นและลดลงสำคัญ ๆ ดังนี้

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาดนิวยอร์ก ส่งมอบเดือน ม.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 1.97 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปิดที่ 72.66 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจาก
- ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์ สิ้นสุดวันที่ 11 ธ.ค. ปรับลดลงจากเนื่องจากมีการนำเข้าที่ลดลงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังปรับตัวลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้เป็นผลมาจากความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นในสภาพอากาศที่หนาวเย็น ส่วนปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากการที่โรงกลั่นในสหรัฐฯ ลดกำลังการผลิตลง
ปริมาณน้ำมันคงคลัง (ล้านบาร์เรล) สิ้นสุด 11 ธ.ค. คาดการณ์โดยรอยเตอร์
น้ำมันดิบคงคลัง ลดลง 3.7 ลดลง 1.8
น้ำมันเบนซินคงคลัง เพิ่มขึ้น 0.9 เพิ่มขึ้น 1.3
น้ำมันดีเซลคงคลัง ลดลง 2.9 ลดลง 0.6

+ ดัชนีราคาผู้บริโภค ในเดือน พ.ย. ปรับเพิ่มขึ้น 0.4% ซึ่งเป็นไปตามที่คาด เนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น
+ มีความกังวลเกียวกับปัญหาการทดสอบขีปณาวุธพิสัยไกลของอิหร่านซึ่งเป็นผู้ส่งออกใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ในกลุ่มโอเปค ทำให้ชาติตะวันตกอาจพิจารณามาตรการคว่ำบาตรกับอิหร่านใหม่
- การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมที่ 0-0.25% ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปิดตลาดแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับเงินยูโร

ด้านราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ที่ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือน ม.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 1.50เหรียญสหรัฐฯ ปิดที่ 73.55 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่ ราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ตลาดสิงคโปร์ ปรับเพิ่มขึ้น 0.88เหรียญสหรัฐฯ ปิดที่ 72.91เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ส่วนราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์นั้น ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบดูไบ แต่ตลาดก็ยังมีความกังวลต่อความต้องการซื้อจากประเทศในภูมิภาคที่ยังไม่ดีขึ้น และจากการคาดการณ์ว่าปริมาณน้ำมันเบนซินในประเทศจีนที่เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มกำลังการผลิตของโรงกลั่นในจีน ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซล ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังที่ประกาศในสหรัฐฯ ที่ปรับลดลงกว่าที่คาดการณ์ไว้

สำหรับแนวโน้มทิศทางระยะสั้นนั้น คาดว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้ น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 70-75 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จับตาดูจำนวนผู้ขอเข้ารับสิทธิประโยชน์จากการว่างงานประจำสัปดาห์

ทั้งนี้ มีปัจจัยที่น่าจับตาติดตามสำคัญ ๆ ดังต่อไปนี้
ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ได้แก่
วันนี้: ดัชนีภาคการบริการ และจำนวนผู้ขอเข้ารับสิทธิประโยชน์จากการว่างงานประจำสัปดาห์
• ผลสรุปของการประชุมเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนที่โคเปนเฮเกนในวันที่ 7-18 ธ.ค. ซึ่งที่ประชุมจะมีการตัดสินใจร่วมกันถึงแนวทางการแก้ปัญหาโลกร้อน รวมทั้งการกำหนดเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ของประเทศที่พัฒนาแล้ว
• ผลสรุปของการประชุมโอเปคในวันที่ 22 ธ.ค. ทีแองโกลา
thannews**********
16/12/52
โอเปคประเมินปีหน้าโลกต้องการน้ำมันเพิ่ม แต่ยังไม่ขยายกำลังการผลิต

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า โอเปคที่ประกอบด้วยชาติสมาชิก 12 ประเทศ เปิดเผยในรายงานประจำเดือนว่า ในปีหน้าทั่วโลกจะมีความต้องการน้ำมันวันละ 800,000 บาร์เรล เพิ่มขึ้นจากที่เคยคาดไว้ก่อนหน้า 70,000 บาร์เรล อย่างไรก็ตามโอเปคยอมรับว่า วิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ยังคงดำเนินอยู่อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันในปีหน้า

สำหรับรัฐมนตรีน้ำมันของโอเปค มีกำหนดเข้าร่วมการประชุมที่ประเทศแองโกลา ในวันที่ 22 ธันวาคมคาดว่าที่ประชุมจะยังคงเพดานการผลิตน้ำมันไว้ตามเดิม เนื่องจากยังพอใจในราคาน้ำมันที่ระดับ 70-80 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในปัจจุบัน

********
15/12/52
ตลาดหุ้นบวกรับข่าวดูไบได้เงินช่วยเหลือ พร้อมปัจจัยเทคโอเวอร์ของ Exxon

ข่าว Abu Dhabi ยื่นเงินช่วยเหลือให้กับบริษัท Nakheel PJSC ของดูไบ และแผนการเทคโอเวอร์บริษัทพลังงานครั้งใหญ่ของ Exxon Mobil ก็ทำให้มีแรงซื้อเข้ามาที่ตลาดหุ้นอีกครั้ง

ความคืบหน้าของสถานการณ์หนี้ดูไบส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นของประเทศไต่ขึ้นสู่ระดับสูงสุดของเดือน เช่นเดียวกับฝั่งตลาด Abu Dhabi ที่ ADX General Index พุ่งขึ้นเกือบ 8%

หัวหน้านักวิเคราะห์ของ ING Group ในสิงค์โปร์มองว่า เงินที่นำมาช่วยดูไบนี้อาจเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดผลกระทบลูกโซ่ จากการที่สภาพคล่องตึงตัวในภาคธุรกิจและธนาคาร แต่ถ้าในมุมมองของเศรษฐกิจมหภาคแล้ว นี่คือสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ส่วนข่าวใหญ่เมื่อคืนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ Exxon Mobil ตกลงใจที่จะเข้าซื้อบริษัท XTO Energy ที่ทำธุรกิจก๊าซธรรมชาติด้วยเม็ดเงิน 31,000 ล้านเหรียญ ตามการคาดการณ์ของบริษัทว่า กฏเกณฑ์ที่จำกัดการปล่อยมลพิษของประเทศจะนำไปสู่ความต้องการเชื้อเพลิงที่เป็นก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น

ดีลการซื้อกิจการนี้เรียกได้ว่ามีมูลค่าสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2006 และเป็นการเทคโอเวอร์ครั้งใหญ่ที่สุดนับจากที่บริษัท Exxon เข้ามาครอบครองกิจการของ Mobil ในปี 1999 โดยดีลล่าสุดได้ตีมูลค่าหุ้นของ XTO Energy ไว้ที่ 51.69 เหรียญต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดครั้งสุดท้ายของ XTO ถึงกว่า 25%

หลังจากการเทคโอเวอร์สิ้นสุดลง Exxon จะกลายเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในอเมริกา ขณะที่ทางผู้บริหารของบริษัทก็บอกว่า ความต้องการเชื้อเพลิงประเภทนี้จะยิ่งสูงขึ้นภายหลังกฏเกณฑ์ในเรื่องการปล่อยก๊าซคาร์บอนในประเทศสร้างแรงกดดันให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเปลี่ยนเชื้อเพลิงจากถ่านหินมาเป็นก๊าซแทน

ราคาหุ้นของ XTO พุ่งขึ้นไปกว่า 15% ขณะที่ Exxon ร่วงลง 4% หลังข่าวบริษัทประกาศแผนซื้อกิจการ ผู้บริหารของ Exxon คาดว่าดีลนี้น่าจะจบลงได้ภายในไตรมาส 2

ผู้เชี่ยวชาญในวงการมองว่า การตัดสินใจของ Exxon นี้ จะทำให้เกิดดีลในลักษณะเดียวกันสำหรับบริษัทพลังงานรายใหญ่อื่นๆ อย่างเช่น Royal Dutch Shell และบริษัท Total เนื่องจากแรงกดดันในเรื่องการหาทางเพิ่มกำลังการผลิตในขณะนี้ โดยเป้าหมายกิจการหลักๆ ที่จะถูกเทคโอเวอร์ก็จะรวมไปถึงบริษัทขุดเจาะและสำรวจพลังงานอิสระรายอื่นๆ
money news update************
08/12/52
ซาอุฯ ส่งสัญญาณคงโควตาการผลิตในการประชุม 22 ธ.ค. นี้

นายอาลี อัล ไนยมี รมว.พลังงานซาอุดิอาระเบียกล่าวแสดงความคิดเห็นว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปัจจุบันอยู่ในระดับที่น่าพอใจ

ขณะที่ชาติสมาชิกรายอื่นๆของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) คาดว่า โอเปคจะยังไม่เปลี่ยนแปลงโควต้าการผลิตในการประชุมวันที่ 22 ธ.ค.นี้ที่ประเทศแองโกลา

ทั้งนี้ นายอาลีกล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปัจจุบันอยู่ในระดับที่น่าพอใจ พร้อมกับแสดงความเห็นว่าตลาดน้ำมันโลกมีเสถียรภาพ และภาวะผันผวนในตลาดก็อยู่ในระดับที่ไม่รุนแรง

ก่อนหน้านี้นายอับดุลเลาะห์ บิล อาหมัด อัล อัตติยะห์ รมว.พลังงานของกาตาร์ออกมาส่งสัญญาณว่า โอเปคอาจจะไม่ปรับเพิ่มโควต้าการผลิตในการประชุมวันที่ 22 ธ.ค.นี้

ขณะที่รัฐมนตรีน้ำมันคูเวตคาดว่ากลุ่มโอเปคจะตรึงปริมาณการผลิตไว้ที่ระดับเดิม แต่จะผลักดันให้ประเทศสมาชิกปฏิบัติตามโควต้าการผลิตอย่างเคร่งครัดมากขึ้นในการประชุมเดือนธ.ค.

กลุ่มโอเปคซึ่งผลิตน้ำมันดิบได้ 35% ของผลผลิตน้ำมันดิบทั่วโลกได้คงโควต้าการผลิตน้ำมันไว้เท่าเดิม 24.845 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในการประชุมครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยโอเปคกล่าวว่าปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจคงเป้าหมายการผลิตไว้เท่าเดิมก็เพราะตลาดน้ำมันดิบอยู่ในภาวะ "โอเวอร์ซัพพลาย" และหลายประเทศมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าการให้สัมภาษณ์ของรมว.กลุ่มโอเปคในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่าโอเปคมีท่าทีพอใจกับราคาน้ำมันที่เคลื่อนไหวอยู่ในระดับปัจจุบัน จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าในการประชุมครั้งนี้ โอเปคจะคงเป้าหมายการผลิตไว้ที่ 24.845 ล้านบาร์เรลต่อวัน

นอกจากนี้ กลุ่มโอเปคยังทราบดีว่าเศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ใน 'ระยะฟื้นตัว' หากโอเปคลดโควต้าการผลิตในช่วงนี้ก็นับเป็นการเสี่ยงที่จะทำให้ราคาน้ำมันตกอยู่ในสภาวะที่ควบคุมไม่ได้

ขณะที่การประชุมองค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมันอาหรับ (OAPEC) ครั้งที่ 83 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองโอราน ประเทศอัลจีเรีย เปิดเผยว่า อัตราการลงทุนด้านพลังงานระหว่างประเทศหดตัวลง 20% โดยเฉพาะการลงทุนด้านการวิจัยและสำรวจแหล่งน้ำมัน เพราะถูกกระทบจากวิกฤตการณ์การเงินโลก

ทั้งนี้ ที่ประชุมมีความเห็นเหมือนกันว่า ราคาน้ำมันที่ระดับต่ำเกินไปจะส่งผลให้การลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมันซบเซาลง อีกทั้งจะเป็นเหตุให้มีการเลื่อนหรือระงับโครงการลงทุนด้านพลังงาน ซึ่งในเรื่องนี้นายอาลี ฮัสซัน บิน อาลี มีร์ซา รมว.พลังงานบาห์เรนกล่าวว่า ราคาน้ำมันที่ระดับ 70-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลถือเป็นระดับที่เหมาะสมและน่าดึงดูดใจสำหรับบริษัทพลังงงาน แต่หากราคาน้ำมันหล่นลงมาอยู่ที่ระดับ 40 ดอลลาร์จะส่งผลให้การลงทุนหดตัวลงด้วย
****************
07/12/52
ก๊าซแอลพีจีส่อขาดตลาดก.พลังงานคุมเข้ม24ชม
นโยบายตรึงราคาก๊าซแอลพีจีส่อวิกฤติพลังงานต้นปีหน้า เผยยอดนำเข้าพุ่งขึ้นทุกเดือนจนคลังก๊าซที่เขาบ่อยารับไม่ไหวคาดมีโอกาสแตะระดับ 1.7 แสนตันช่วงไตรมาสแรก กระทรวงพลังงานหวั่นระบบจ่ายก๊าซล่มส่งผลกระทบขาดแคลนทั่วประเทศทั้งภาคขนส่งและหุงต้ม สั่งคุมเข้ม 24 ชม.พร้อมประสานกรมศุลกากร สรรพากร แก้ระเบียบจัดเก็บภาษีเปิดทางคลังลอยน้ำแก้ปัญหา
นายศิริศักดิ์ วิทยอุดม รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ปัจจุบันความต้องการใช้ก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจี มีการใช้ในภาคครัวเรือนประมาณ 180,000 ตันต่อเดือน ภาคขนส่ง 56,000 ตันต่อเดือน ปิโตรเคมี 112,000 ตันต่อเดือน และภาคอุตสาหกรรม 55,000 ตันต่อเดือน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกเดือน ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นไป ขณะที่กำลังการผลิตแอลพีจีในประเทศไม่เพียงพอ จึงส่งผลให้ต้องนำเข้าแอลพีจีในปริมาณที่มากขึ้นทุกเดือนตามไปด้วย โดยล่าสุดในเดือนธันวาคมนี้มียอดนำเข้าประมาณ 130,000 ตัน
จากปริมาณการนำเข้าแอลพีจีที่สูงขึ้นนี้ ทำให้ภาครัฐมีความกังวลว่า จะเกิดปัญหาขาดแคลนก๊าซแอลพีจีในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากเวลานี้คลังรับก๊าซที่เขาบ่อยา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ของบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) สามารถรองรับการนำเข้าก๊าซหุงต้มได้เพียง 1000,000 ตันต่อเดือน เท่านั้น ทำให้เวลานี้ทาง ปตท.ต้องรับและส่งก๊าซออกจากคลังตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อระบายก๊าซออกให้เร็วที่สุด ซึ่งหากระบบเกิดมีปัญหา การส่งก๊าซแอลพีจีออกจากคลังอาจจะสะดุดและทำให้ขาดแคลนแอลพีจีได้

-เร่งหาทางออก
นายศิริศักดิ์กล่าวว่ากรมธุรกิจพลังงาน กำลังเร่งประสานกับทาง ปตท.ว่าจะวางแผนในการนำเข้าก๊าซแอลพีจีไม่ให้เกิดการขาดแคลนได้อย่างไร โดยเฉพาะความเป็นไปได้ที่จะลดปริมาณการใช้ก๊าซแอลพีจีที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปิโตรเคมีลงมา เพื่อให้มีก๊าซแอลพีจีออกมาสู่ระบบได้มากยิ่งขึ้น
ที่สำคัญทางออกในการแก้ปัญหานั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งหารือกับกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรที่จะแก้ไขกฎระเบียบในการจัดเก็บภาษี กรณีการนำเรือมาลอยกลางทะเล เสมือนหนึ่งว่าเป็นคลังลอยน้ำ ที่สามารถนำเรือเล็กมาบรรทุกแอลพีจีได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องส่งแอลพีจีไปยังคลังเขาบ่อยาก่อน ทั้งนี้เพื่อให้มีคลังเพียงพอที่จะรับก๊าซแอลพีจีจากการนำเข้าได้ โดยในสัปดาห์นี้จะมีการประชุมติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขระเบียบกับหน่วยงานดังกล่าว
“รูปแบบของคลังลอยน้ำจะเป็นการจัดหาก๊าซหุงต้มในรูปของ Refrigerated Propane (C3) และ Butane (C4) ที่บรรทุกมาทางเรือใช้เป็นคลังลอยน้ำ (Floating Storage Unit: FSU) แทนชั่วคราวครั้งละประมาณ 15 - 30 วัน โดย บมจ.ปตท. จะขนถ่ายก๊าซแอลพีจีจากเรือ Refrigerated ที่นำเข้าลงเรือลำเลียงทั้งหมดหรือบางส่วนก่อนที่จะนำก๊าซส่วนที่เหลือสูบขึ้นถัง ณ คลังก๊าซเขาบ่อยา จากนั้นเรือ Refrigerated จะเดินทางกลับออกไปต่างประเทศเมื่อทำการสูบถ่ายก๊าซจนหมด วิธีนี้จะช่วยให้มีคลังรองรบก๊าซแอลพีจีได้เพิ่มมากขึ้น”นายศิริศักดิ์กล่าว

-จับตามีนา 53
แหล่งข่าวจาก ปตท.เปิดเผยว่า ขณะนี้ปริมาณการนำเข้าก๊าซแอลพีจีได้เพิ่มสูงขึ้นทุกเดือนตามราคาน้ำมันที่ขยับขึ้นไป โดยในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2553 คาดว่าปริมาณการนำเข้าจะพุ่งขึ้นไปอยู่ในระดับ 150,000 ตันต่อเดือน และจะขึ้นสูงสุดในเดือนมีนาคม ที่ระดับ 170,000 ตันต่อเดือน ซึ่งเป็นผลมาจากการคาดการณ์ราคาน้ำมันจะมีการปรับตัวสูงขึ้นไป ทำให้ภาคขนส่งเริ่มกลับมาใช้ก๊าซแอลพีจีเพิ่มมากขึ้น
ประกอบกับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีการใช้เพิ่มมากขึ้นด้วย เนื่องจากแต่เดิมมีแผนว่า โรงแยกก๊าซธรรมชาติแห่งที่ 6 จังหวัดระยอง จะเริ่มเดือนเครื่องผลิตได้ประมาณเดือนมีนาคม 2553 และป้อนก๊าซแอลพีจีบางส่วนให้กับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี แต่เมื่อต้องถูกระงับการดำเนินงานตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด ทำให้ไม่สามารถผลิตแอลพีจีออกมาได้ ทำให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีต้องมาแย่งแอลพีจีจากกำลังการผลิตที่มีอยู่เดิม ส่งผลให้แอลพีจีที่จะออกสู่ระบบลดลง ทำให้ต้องนำเข้าในปริมาณที่มากขึ้น อย่างไรก็ตามคาดว่าหลังจากเดือนพฤษภาคม 2553 การนำเข้าแอลพีจีจะปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับ 130,000 ตันต่อเดือน

-คุมเข้ม24ชม.รับมือ
แหล่งข่าวให้ความเห็นด้วยว่า หากทางกระทรวงพลังงานไม่รีบแก้ปัญหา โดยเร่งประสานกับทางกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรในการแก้ไขกฎระเบียบในการใช้เรือเป็นคลังลอยน้ำได้ทัน ก็จะส่งผลให้มีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดภาวะก๊าซแอลพีจีขาดตลาด เพราะเวลานี้คลังก๊าซฯที่เขาบ่อยา แม้จะยังรับก๊าซแอลพีจีได้ที่ระดับ 100,000 ตันต่อเดือน แต่ต้องเดินระบบการรับส่งมากกว่าความสามารถที่คลังรับได้แล้ว ซึ่งหากระบบไม่มีการขัดข้องหรือเกิดเสีย จะถือว่าเป็นความโชคดี แต่หากระบบเกิดขัดข้องขึ้นมา หรือเดินระบบมากกว่า 1 เดือนต่อจากนี้ ก็อาจจะมีความเสี่ยงให้การส่งก๊าซแอลพีจีเกิดสะดุดและส่งผลต่อเนื่องให้เกิดการขาดแคลนได้ ซึ่งยอมรับว่าการรับมือการนำเข้าก๊าซแอลพีจีครั้งนี้สาหัสกว่าที่เคยเจอมา เพราะเจ้าหน้าที่ต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อป้องกันไม่ให้ระบบมีปัญหาตามมา
อย่างไรก็ตาม ปตท.อยู่ระหว่างการวางแผนร่วมกับกระทรวงพลังงานอยู่ หากการแก้กฎระเบียบคลังลอยน้ำมีความล่าช้า และหากเห็นว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดก๊าซแอลพีจีขาดแคลนได้ ก็อาจจะจำเป็นต้องไปลดปริมาณแอลพีจีที่ส่งไปเป็นวัตถุดิบของกลุ่มปิโตรเคมีลงมา และบางส่วนให้หันไปใช้แนฟทาแทน ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้แอลพีจีออกมาป้อนระบบในภาคครัวเรือน อุตสาหกรรม และภาคขนส่งได้
“แต่หากทางกลุ่มปิโตรเคมีไม่เห็นด้วยวิธีนี้ ทางเลือกสุดท้ายอาจจะจำเป็นต้อง ใช้เรือขนาดเล็กขนาด 500-700 ตัน ขนก๊าซแอลพีจีมาจากประเทศมาเลเซียหรือสิงคโปร์ เพื่อมาเข้าคลังที่จังหวัดสงขลา และสุราษฎร์ธานี แทน ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ก๊าซแอลพีจีมีราคาแพงขึ้นไปอีก เพราะจะมีค่าขนส่งเพิ่มขึ้นตันละประมาณ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องจ่ายเงินชดเชยมากขึ้นไปอีก โดยปัจจุบันราคาก๊าซแอลพีจีในตลาดโลกอยู่ที่ 728 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน”
อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่ปตท.เป็นผู้จัดหาพลังงาน และกระทรวงพลังงาน คงไม่ยอมปล่อยให้เกิดการขาดแคลนก๊าซแอลพีจีอย่างแน่นอน ซึ่งจะต้องเลือกเอาระหว่างการลดผลิตปิโตรเคมีลงบ้าง หรือหากไม่มีทางเลือกก็จำเป็นต้องนำเข้าในราคาแพงขึ้นแทน

-แท็กซี่ตัวการแอลพีจีพุ่ง
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า สำหรับการผลิตก๊าซแอลพีจี จากโรงแยกก๊าซฯแห่งที่ 6 ที่ถูกระงับจากคำสั่งศาลปกครองสูงสุด แต่เดิมมีแผนที่จะเริ่มผลิตในเดือนมีนาคม ด้วยปริมาณ 50,000 ตันต่อเดือน และจะเพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ตันต่อเดือน ในเดือนพฤษภาคม โดยแอลพีจีที่ผลิตได้นี้ ส่วนหนึ่งจะไปป้อนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ที่เปิดดำเนินการพร้อมกับโรงแยกก๊าซฯ แต่เมื่อปิโตรเคมีบางโรงงานถูกคำสั่งศาลปกครองให้ระงับการดำเนินงานด้วย น่าจะเป็นผลดีส่วนหนึ่งที่ทำให้ไม่ต้องนำเข้าก๊าซแอลพจีมากขึ้นจนเกินไป
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า การนำเข้าก๊าซหุงต้มที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากความล่าช้าในการดำเนินงานในการเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซแอลพีจีมาเป็นเอ็นจีวีจำนวน 30,000 คัน ที่แต่เดิมคาดว่าจะต้องแล้วเสร็จภายในปีนี้ ซึ่งจะช่วยลดการนำเข้าได้ถึง 30,000 ตันต่อเดือน แต่เวลานี้ทางกระทรวงพลังงานดำเนินการดังกล่าวยังไปไม่ถึงไหน เพราะยังติดปัญหาในการเลือกอู่ที่จะมาติดตั้ง โดยคาดการณ์ว่าในเดือนมกราคม 2553 จะเริ่มมีอู่ดำเนินการได้ และจะปรับเปลี่ยนแท็กซี่ได้ทั้งหมดในเดือนมิถุนายน 2553

-โรงแยก6เสร็จนำเข้าเหลือศูนย์
น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า หากโรงแยกก๊าซฯแห่งที่ 6 สามารถเปิดดำเนินการได้ในช่วงเดือนมีนาคมนี้ จะช่วยให้การนำเข้าเหลือศูนย์ทันที่ เพราะกำลังการผลิตที่ 100,000 ตันต่อวัน จะสามารถช่วยชดเชยการนำเข้าได้ แต่เวลานี้โรงแยกก๊าซถูกคำสั่งศาลฯให้ระงับการดำเนินการอยู่ จึงทำให้ประเทศต้องมีการนำเข้าแอลพีจีในปริมาณที่สูงต่อไป และจะทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องชดเชยในการนำเข้าที่มากขึ้นทุกเดือนด้วย
จะเห็นได้จากตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงวันที่ 4 ธันวาคม 2552 นี้ มีการนำเข้าแอลพีจีไปแล้วทั้งสิ้น 645,000 ตัน ต้องใช้เงินชดเชยจำนวน 5,600 ล้านบาท ซึ่งหากในปีหน้ายังมีการนำเข้าสูงต่อไปการชดเชยราคาแอลพีจีจะสูงมากขึ้นตามด้วย
อนึ่ง นโยบายตรึงราคาก๊าซแอลพีจีจะมีผลถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2553 ปัจจุบันฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มีเงินสดสุทธิ 30,694 ล้านบาท มีหนี้สิน 10,444 ล้านบาท โดยมีเงินไหลเข้ามาประมาณเดือนละ 900 ล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

*********
04/12/52
จับตาทิศทางน้ำมัน หลังอิหร่านสร้างนิวเคลียร์ท้าโลก

ประธานาธิบดีมาห์มูด อาห์มาดิเนจาด ผู้นำอิหร่าน กล่าวว่า อิหร่านพร้อมเสริมสมรรถนะยูเรเนียมเพิ่มอีก จากระดับปัจจุบันที่ 3.5% เป็น 20% ด้วยตนเอง เนื่องจากอิหร่านขอให้ต่างประเทศส่งยูเรเนียมที่ได้รับการเสริมสมรรถนะมาให้ แต่ปรากฏว่าได้มีการกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ให้อิหร่านปฏิบัติ ซึ่งอิหร่านยอมรับไม่ได้

ทั้งนี้ เตาปฏิกรณ์เพื่อการวิจัยในกรุงเตหะรานต้องใช้ยูเรเนียมที่เสริมสมรรถนะ 20% แต่ประเทศตะวันตกวิตกว่าหากอิหร่านเสริมสมรรถนะยูเรเนียมถึง 90% จะสามารถนำไปใช้ในการผลิตหัวรบนิวเคลียร์ได้ ประเด็นดังกล่าว ทางการจีนได้เรียกร้องให้เพิ่มความพยายามทางการทูตมากกว่าการใช้มาตรการคว่ำบาตรเพื่อแก้ไขวิกฤตินิวเคลียร์อิหร่าน

เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว จีนได้ร่วมกับรัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และสหรัฐฯลงคะแนนเห็นชอบมติของทบวงพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ที่เรียกร้องให้อิหร่านยุติการก่อสร้างโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนี่ยมแห่งที่สอง แต่จีนซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของอิหร่านยังคงคัดค้านการออกมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน และทางอิหร่านเองก็ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ โดยกล่าวว่าการที่ประชาคมโลกคว่ำบาตรต่ออิหร่านจะไม่เกิดประโยชน์และบอกว่าการตัดสินใจของรัสเซีย ที่ลงมติประณามอิหร่านเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กรณีการสร้างโรงงานเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมแห่งที่ 2 ถือเป็นความผิดพลาด พร้อมทั้งชี้แจงว่าไม่ได้ดำเนินการสร้างโรงงานเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมเพิ่มอีก 10 แห่งตามที่ประกาศ

************
03/12/52
น้ำมันพลิกแรงแซงทองคำชี้แตะ100ดอลล์/บาร์เรล
ที่ปรึกษาการลงทุน-นักวิเคราะห์ แนะเพิ่มน้ำหนักลงทุนในน้ำมัน ดักทางปี 2553 ข้าสู่ยุค"พีคออยล์" เมอร์ริล ลินช์ ปรับเป้าราคาน้ำมันปีหน้าสู่ 94 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล บล.ทิสโก้ฯ คาดสวิงแรง 60-100 ดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมแนะช่องทางลงทุน มีทั้งกองทุนน้ำมัน และหุ้นบริษัทน้ำมันทั่วโลก ชี้อาจให้ผลตอบแทนสูงถึง 35 % ส่วนทองคำแม้ยังน่าลงทุนแต่มีอัพไซซ์ต่ำแล้ว "ออสสิริส" เปิดโปรแกรมออมทอง

***ได้เวลาเก็งกำไรน้ำมัน
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ภัทร จำกัด(มหาชน) ให้สัมภาษณ์"ฐานเศรษฐกิจ" ว่า บริษัทมีมุมมองด้าน"บวก"ต่อราคาน้ำมันและทองคำมากขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่คาดว่าปี 2553 จะปรับขึ้นแรง
โดยแบงก์ออฟอเมริกา-เมอร์ริล ลินช์ (พันธมิตรด้านงานวิจัยหลักทรัพย์ของบล.ภัทรฯ ) ได้ปรับประมาณการราคาน้ำมันปลายปี 2553 เป็น 94 ดอลลาร์สหัฐฯต่อบาร์เรล จากเดิม 82 ดอลลาร์สหรัฐฯ และยังคาดด้วยว่า มีโอกาสที่ราคาน้ำมันจะพุ่งเหนือ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนปี 2554 เนื่องจากด้านนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย ,ความอ่อนตัวของค่าเงินดอลลารสหรัฐฯ และอุปสงค์(ความต้องการ)และอุปทาน(กำลังการผลิต) น้ำมันที่ตึงตัวมากขึ้น อันเป็นผลต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก นำโดยตลาดเกิดใหม่ ซึ่งพึ่งพาน้ำมันในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจค่อนข้างมาก
ทั้งนี้ เมอร์ริล ลินช์ คาดว่า ความต้องการใช้น้ำมันจะเพิ่มขึ้น 2 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2553 และ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือ 75 % ของความต้องการที่เพิ่มขึ้นจะมาจากตลาดเกิดใหม่
***แกว่งกรอบ 60-100 ดอลลาร์สหรัฐฯ
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าสายงานวิจัย บล.ทิสโก้ฯ กล่าวว่า ทิศทางราคาน้ำมันในปี 2553 ยังมีโอกาสปรับขึ้นได้ถึง 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ และมีโอกาสได้เห็นวิ่งขึ้นสูงสุดที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ "พีคออยล์"
"ปี 2553 ราคาน้ำมันจะมีความผันผวนแรงและเร็วกว่าปีนี้ คาดว่าราคาจะแกว่งตัวระหว่าง 60-100 ดอลลาร์สหรัฐฯ"
***แห่ลงทุนสูงเป็นประวัติการณ์
ทั้งนี้นายวิศิษฐ์ กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันปี 2553 มีความผันผวนสูงว่า มาจากสัญญาณเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯเริ่มแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร และค่าเงินเยน จากสัญญาณการชะลอการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ จะเริ่มหยุดในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2553 รวมทั้งสัญญาณขบวนการขุดเจาะของประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ที่ชะลอการหาแหล่งน้ำมันใหม่ ๆในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
ดังนั้น ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2553 จึงแนะนำให้ลงทุนในน้ำมัน และหากดูจากสัญญาการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์น้ำมันทั่วโลก ถือว่าได้มีนักลงทุนเข้าไปลงทุนสูงเป็นประวัติการณ์แล้วในรอบ 20 ปี จนทำให้การลงทุนในสถานะซื้อ(Long) ออยล์ฟิวเจอร์ส รวมแล้ว มูลค่า 111,000 สัญญา (เฉลี่ยสัญญาละ 1,000 บาร์เรลต่อออนซ์)
***แนะช่องลงทุนผ่านกองทุนรวม
ด้านนายจิรวัฒน์ กล่าวว่า ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุนบล.ภัทรฯ แนะนำสำหรับพอร์ตการลงทุนระยะสั้น โดยให้"น้ำหนักสูงกว่าเกณฑ์" ในสินค้าโภคภัณฑ์(คอมมอดิตี) โดยให้มีการลงทุนในกองทุนรวมน้ำมัน เป็นครึ่งหนึ่งของการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวม
เขากล่าวว่า ปัจจุบันมีบริษัทจัดการกองทุน 5 แห่ง ที่เสนอขายกองทุนรวมน้ำมันประเภทกองทุนเปิด อย่างไรก็ตามทั้ง 5 กองทุนมีการลงทุนในกองทุนต่างประเทศกองเดียวกัน นั่นคือ กองทุนน้ำมันPower Shares DB ซึ่งเป็นกองทุนอีทีเอฟ (Exchange Traded Fund: ETF ) ซึ่งจดทะเบียนที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และบริหารจัดการโดยดอยช์แบงก์ ดังนั้น กองทุนเหล่านี้จึงมีความแตกต่างเฉพาะในส่วนของนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน และค่าธรรมเนียม
สำหรับกองทุนน้ำมันที่บล.ภัทรฯ แนะนำมี 2 กอง ประกอบด้วย กองทุนเปิด ทิสโก้ ออยล์ ฟันด์ ซึ่งเป็นกองทุนภายใต้การบริหารของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด และกองทุนกรุงศรี ออยล์ ซึ่งเป็นกองทุนภายใต้การบริหารของบลจ.กรุงศรีอยุธยาฯ โดยทั้ง 2 กองทุนเก็บค่าธรรมเนียมในการบริหารในอัตราที่ใกล้เคียงกันและไม่มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
การลงทุนในกองทุนน้ำมันที่ไม่มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ฯถือว่าเหมาะสม เนื่องจากน้ำมันในตัวของมันเองเป็นสินทรัพย์ที่สามารถป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อและการอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ฯ"
***คาดให้ผลตอบแทน 24-35 %
นายจิรวัฒน์ กล่าวว่า จากราคาน้ำมันที่ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น คาดว่าจะให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดี ทั้งนี้เมื่อเทียบราคาน้ำมันในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ระดับ 76 ดอลลาร์สหรัฐฯ กับราคาที่เมอร์ริล ลินช์ คาดการณ์ว่าปี 2553 จะปรับขึ้นไปที่ 94 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ได้ผลตอบแทนถึง 24 % และปีถัดไป (2554 ) และให้ผลตอบแทนถึงประมาณ 35 % เมื่อเทียบจากคาดการณ์ราคาน้ำมันที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการลงทุนในน้ำมันจะมีอัพไซซ์ หรือช่วงการปรับขึ้นของราคายังสูงอยู่ เมื่อเทียบกับทองคำที่มีอัพไซซ์น้อยแล้ว
เช่นเดียวกับดร.ศุภกร สุนทรกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซีฯ ที่กล่าวว่า ในปี 2553 น้ำมันน่าจะเป็นอีกผลิตภัณฑ์การลงทุนที่โดดเด่น จึงแนะนำให้นักลงทุนควรลงทุนมากกว่าน้ำหนักของตลาด หรือ Over weight คือ ควรลงทุนประมาณ 5-10 % ของพอร์ต ส่วนทองคำควรลงทุนประมาณ 2 % ของพอร์ตเท่านั้น สำหรับกองทุนน้ำมันภายใต้การบริหารของบริษัท คือกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเนอร์จี เทน ฟันด์ ซึ่งมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในบางช่วงเวลา ตั้งแต่เปิดกองทุน(เมษายน 2552 )นักลงทุนมีกำไร 10 % กว่าแล้ว
นายจิรวัฒน์ กล่าวต่อว่า นักลงทุนบางคนลงทุนในน้ำมันผ่านหุ้นของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมัน สำหรับนักลงทุนไทยมี 2 ทางเลือก คือ ลงทุนในหุ้นของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียมฯ หรือปตท.สผ. หรือกองทุนรวมเวิลด์ เอ็นเนอยี่ ซึ่งเป็นกองทุนภายใต้การบริหารของบลจ.กรุงไทยฯ ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทพลังงานทั่วโลก
อย่างไรก็ตามตั้งแต่ต้นปี 2552 จนถึงปัจจุบัน ผลตอบแทนกองทุน Power Shares DB ในรูปเงินบาท สูงกว่าการลงทุนใน 2 ทางเลือกข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสียหายที่เกิดกับบมจ.ปตท.สผ. จากน้ำมันรั่วในแหล่งมอนทารา ประเทศออสเตรเลีย ที่ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับบริษัทน้ำมัน ซึ่งนักลงทุนสามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการลงทุนในกองทุนรวมน้ำมัน
อนึ่ง กองทุนรวมน้ำมันที่มี 5 กองทุนในปัจจุบัน นอกจากกองทุนกรุงศรีออยล์และ กองทุนเปิดทิสโก้ออยล์ฟันด์แล้ว อีก 3 กองทุนประกอบด้วย กองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย ดับบลิวทีไอ ออยล์ ลิงค์ ของ บลจ.ไอเอ็นจีฯ เป็นกองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในตั๋วสัญญาใช้เงิน ที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note) แบบคุ้มครองเงินต้น 100 % ในสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย , กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเนอร์จี เทน ฟันด์ ของ บลจ.เอ็มเอฟซีฯเน้นลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพลังงานดั้งเดิม และพลังงานทางเลือก และกองทุนเปิดเค อัลเทอร์เนทีฟ เอเนอร์จี้ เอควิตี้ ของบลจ.กสิกรไทยฯ มีนโยบายลงทุนของกองทุน Lyxor Dynamic Alternative Energy Fund ซึ่งจดทะเบียนจัดตั้งในเกาะเคย์แมน
*** 3 ปัจจัยดันราคาทองปี53
นายบุญเลิศ สิริวัฒนวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออสซิริส จำกัด บริษัทในเครือบ้านช่างทอง กรุ๊ป กล่าวว่า การลงทุนในทองคำยังได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากเศรษฐกิจยังคงผันผวน การลงทุนทองคำยังได้รับความสนใจ ทั้งจากนักลงทุนและธนาคารกลางเพื่อใช้เป็นทุนสำรองมากขึ้น ประกอบกับค่าเงินดอลลาร์ยังมีทิศทางอ่อนค่า ทำให้ประเมินว่า ราคาทองปีหน้ายังคงปรับขึ้นต่อ โดยครึ่งแรกของปี 2553 เคลื่อนไหวในกรอบ 1,000-1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์
สำหรับนักลงทุนที่สนใจเข้าลงทุนในทองคำ ควรตัดสินใจลงทุนอย่างรอบคอบ และจำกัดปริมาณการซื้อไม่เกิน 10-20 บาท เพื่อลดความเสี่ยงและเลือกประเภทของทองคำให้เหมาะสม เช่น ทองคำแท่ง เหรียญทองคำ และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำ (โกลด์ฟิวเจอร์ส)
พร้อมคาดว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2553 บริษัทคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,000-1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ซึ่งตัวแปรสำคัญที่มีอิทธิพลต่อราคาทองคำที่เพิ่มสูงขึ้นมาจาก 3 ปัจจัยคือ ทิศทางเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง และบทบาทของธนาคารกลางทั่วโลก ที่เข้ามาซื้อทองคำเพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนสำรอง นอกจากนี้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ชัดเจน รวมถึงข่าวดูไบเวิลด์ ที่ประกาศเลื่อนชำระหนี้ ถือเป็นการตอกย้ำให้การลงทุนในทองคำยังคงเป็นที่น่าสนใจ และมีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้นในปี 2553
***"ออสสิริส"เปิดโปรแกรม"ออมทอง"
นายบุญเลิศ กล่าวว่า ออสสิริส ได้เปิดตัว "โปรแกรมออมทอง" เพื่อเป็นการช่วยให้ผู้ลงทุนมีวินัยในการออม และเพิ่มความมั่งคั่งให้กับผู้ลงทุนในทองคำในอนาคต โดยโปรแกรมดังกล่าวมี 2 รูปแบบ คือ โปรแกรมที่1 ออมเหรียญทองคำ ซึ่งมีความเหมาะสมกับผู้ที่มีเงินลงทุนน้อย โดยเริ่มต้นที่ 1,000 บาท ส่วนโปรแกรมที่ 2 ออมทองคำแท่ง เหมาะกับผู้ที่มีเงินลงทุนสูง โดยเริ่มต้นที่ 10,000 บาท
ทั้งนี้ โปรแกรมออมทองจะช่วยสร้างวินัยในการออมเงินอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน และผู้ลงทุนสามารถเพิ่ม หรือลดจำนวนเงินออมได้ โดยโปรแกรมดังกล่าวมีการร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (บมจ.) บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ บมจ.ธนาคารกรุงเทพ และบมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เพื่อการโอนเงินเข้าลงทุนในโปรแกรมดังกล่าว อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้าเม็ดเงินจากผู้ลงทุนในโปรแกรมดังกล่าวไว้ที่ 200 ล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

**************
01/12/52
ปีหน้ายอดใช้ก๊าซพุ่ง10% โรงงานเพิ่มผลิตรับศก.โต
ปตท.คาดปริมาณความต้องการใช้ก๊าซปี 2553 เพิ่ม 10.6% โดยขยับจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีถึง 49% ส่วนปีนี้ขึ้น 3%

นายเพิ่มศักดิ์ ชีวาวัฒนานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. เปิดเผยว่า คาดว่าปี 2553 ปริมาณความต้องการใช้ก๊าซจะเพิ่มถึง 10.6% หรือเป็น 3,950 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เนื่องจากเศรษฐกิจโลกเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว ทำให้โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ กลับมาเดินเครื่องผลิตมากขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการใช้เพิ่ม ขณะปี 2552 จะมีความต้องการใช้ก๊าซ เพิ่ม 3.3% คิดเป็น 3,573 ล้าน ลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
ทั้งนี้ จากปริมาณความต้องการที่เพิ่ม ปตท.ต้องมีแผนการจัดหาก๊าซไว้รองรับ โดยปตท. จะรับก๊าซเพิ่มจากแหล่งเจดีเอและยูโนแคล 2 และ 3 ส่วนการป้องกันผลกระทบจากการจัดส่งก๊าซนั้น ปตท.ได้ทำการสำรวจท่อก๊าซทั่วประเทศ รวมไปถึงจัดทำแผนเตือนภัยหากเกิดปัญหาๆ ซึ่งปตท. ยืนยันจะ จัดหาเชื้อเพลิงให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ และไม่ให้เกิดปัญหาไฟฟ้าดับแน่

สำหรับความต้องการใช้ก๊าซปี 2553 การเติบโตส่วนใหญ่มาจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยคาดว่าจะมีความต้องการใช้เพิ่มขึ้น 49% หากคดีมาบตาพุดมีความชัดเจน เพราะโรงแยกก๊าซธรรมชาติโรงที่ 6 กับโรงแยกก๊าซอีเทน (ก๊าซหุงต้ม) จะเดินเครื่องได้ต้นปี 2553

ดั้งนั้น การที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว จะทำให้ภาคอุตสาหกรรมมีความต้องการใช้ก๊าซเพิ่มขึ้น 16% และภาคขนส่ง (เอ็นจีวี) จะมีความต้องการใช้เพิ่มขึ้น 38% ขณะที่ภาคการผลิตไฟฟ้าจะลดลง 2% เนื่องจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับซื้อไฟฟ้าจากลาวเพิ่มขึ้น โดยโครงการเขื่อนน้ำเทิน 2 จะเข้าระบบในปีหน้า

ขณะที่การใช้ก๊าซในปี 2552 ส่วนใหญ่เป็นการใช้เพื่อการผลิตไฟฟ้าสูงถึง 68.8% ใช้ในภาคปิโตรเคมี 16.9% ภาคอุตสาหกรรม 10.3% และภาคขนส่ง 3.7% โดยในภาคขนส่ง (เอ็นจีวี) เติบโตถึง 75% หรือเพิ่มเป็น 133 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากปี 2551 ที่มีอัตราเพียงวันละ 76 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

นายปุณณชัย ฟูตระกูล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) กล่าวว่า ปริมาณการใช้ก๊าซในเดือนพ.ย. อยู่ที่ระดับ 4,000 ตันต่อวัน เพิ่มขึ้นจากเดือนต.ค. ที่มีปริมาณการใช้อยู่ที่ระดับ 3,900 ตันต่อวัน โดยคาดว่าปริมาณการใช้ก๊าซเฉลี่ยทั้งปี 2552 จะ อยู่ที่ระดับ 3,600-3,700 ตันต่อวัน ส่วนปี 2553 จะใช้เฉลี่ย 5,200 ตันต่อวัน
posttoday***********
30/11/52
คาดปีหน้าใช้ไฟเพิ่ม4%
กฟผ. คาดแนวโน้มการใช้ไฟปี 2553 โต 4% ตามเศรษฐกิจฟื้น ในขณะที่ปี 2552 คาดติดลบเพียง 0.5%

นายสมบัติ ศานติจารี ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยถึงแนวโน้มการใช้ไฟฟ้าปี 2553 ว่า จะมีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในอัตรา 4% ตามการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งถือว่าเป็นการใช้ไฟเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอัตราการใช้ไฟฟ้าล่าสุดเมื่อ เดือนพ.ย. มีการใช้เป็นบวกถึง 8% เป็นการใช้ไฟเพิ่มขึ้นติดต่อกัน เป็นเดือนที่ 3 และคาดว่าเฉลี่ยทั้งปี การใช้ไฟฟ้าจะติดลบเพียง 0.5% จากเดิมที่คาดว่าจะติดลบถึง 2%
สำหรับการบริหารจัดการแหล่งเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้าในปีหน้า ยังคงพึ่งพาการใช้ก๊าซธรรมชาติและถ่านหินเป็นหลัก ซึ่งในอนาคตกระทรวงพลังงานควรจะเข้ามา ช่วยดูแลในเรื่องของการหาแหล่งเชื้อเพลิงอื่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงด้านพลังงานโดยเฉพาะโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ควรจะผลักดันให้เป็นวาระระดับชาติ หรือขอความเห็นจากรัฐสภา เพราะหากให้ หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเป็นผู้รับผิดชอบ อาจทำให้ไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ เนื่องจากยังถูก ต่อต้านจากภาคมวลชน

“ในอนาคตควรจะหาแหล่งพลังงานอื่นๆ มาทดแทนก๊าซฯ และน้ำมัน เนื่องจากเราพึ่งพาเชื้อเพลิงประเภทนี้มากเกินไป ซึ่งตามแผนการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไทยกำหนดไว้ 2 แห่ง กำลังผลิตรวม 2,000 เมกะวัตต์ และต้องกำหนด ให้ได้ว่าจะสร้างหรือไม่ภายในเดือน พ.ค. 2553 ซึ่งอยากฝากตอนนี้คือ รัฐบาลควรเข้ามาช่วยอย่างจริงจัง” นายสมบัติ กล่าว

อย่างไรก็ตาม สำหรับในช่วงปลายปีนี้ แหล่งก๊าซฯ จากพม่ามีแผนที่จะหยุดจ่ายก๊าซฯ ตามแผนหยุดซ่อมบำรุงประจำปี ซึ่งทางกฟผ. และปตท. ได้มีการประสานงานร่วมกันในเรื่องการบริหารเชื้อเพลิง โดยจะใช้น้ำมันเตาจำนวน 20 ล้านลิตร ทำให้มีต้นทุนเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น 300 ล้านบาท ขณะเดียวกันก็จะจัดสรรก๊าซฯ จากแหล่งอื่นๆ มาทดแทน เพื่อไม่ให้กระทบต่อต้นทุนค่าไฟฟ้ามากเกินไป
posttoday
***********
30/11/52
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสดิ่ง หลัง Dubai World เลื่อนชำระหนี้

Posted on Monday, November 30, 2009
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์ก ส่งมอบเดือน ม.ค. ปรับลดลง 1.91 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 76.05 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังนักลงทุนยังคงวิตกกังวลถึงผลกระทบต่อตลาดเงิน ตลาดทุน รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจโดยรวม จากการที่ Dubai World เลื่อนชำระหนี้จำนวนกว่า 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปัจจัยลบที่มีผลต่อราคาน้ำมัน

- นักลงทุนยังคงวิตกกังวลถึงผลกระทบต่อตลาดเงิน ตลาดทุน รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจโดยรวม หลัง Dubai World ประกาศเลื่อนชำระหนี้จำนวนกว่า 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่จะครบกำหนดในเดือนธันวาคมนี้ ส่งผลให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นหุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งน้ำมัน และหันกลับมาถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐแทน

- นักลงทุนทั่วโลกยังคงจับตาดูท่าทีของ Dubai World ในการบริหารจัดการหนี้ที่เหลือจำนวนกว่า 59,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในเบื้องต้นมีความเป็นไปได้ที่ Dubai World จะทยอยขายหน่วยลงทุน รวมทั้งทรัพย์สินต่างๆ โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ที่ถือครองอยู่ในต่างประเทศ เพื่อจะนำเงินมาชำระหนี้ ซึ่งหากเป็นไปตามคาดก็อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์โลกได้

ปัจจัยบวกที่มีผลต่อราคาน้ำมัน

- นักวิเคราะห์หลายรายออกมาให้ความเห็นว่า ผลกระทบจาก Dubai World ไม่สามารถเทียบได้กับ Lehman Brothers จึงไม่น่าจะเกิดวิกฤติการเงินรอบ 2 ดังนั้น ราคาหุ้นและน้ำมันที่ปรับลดลง หลังตลาดตื่นตกใจกับข่าวดังกล่าว น่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อ สะท้อนได้จากราคา WTI เมื่อวันศุกร์ที่ปรับลดลงไปต่ำสุดที่ 72.39 ดอลลาร์สหรัฐก่อนจะกลับมาปิดที่ 76.05 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือน ม.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 0.19 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 77.18 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบดูไบและราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์ ไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากตลาดปิดทำการในวันสำคัญทางศาสนาฮินดู

- สนับสนุนข้อมูลโดย บมจ. ไทยออยล์ -
money news update
***********
30/11/52
ปตท.คาดความต้องการก๊าซปีหน้าเพิ่มขึ้น 10%
ปตท.คาดปีหน้าความต้องการใช้ก๊าซเพิ่มมากขึ้นกว่า 10% โดยส่วนใหญ่มาจากปิโตรเคมี
นายเพิ่มศักดิ์ ชีวาวัฒนานนท์ รองกรรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ปตท.กล่าวว่า ในขณะนี้โรงงานต่าง ๆ กลับมาเดินเครื่องผลิตมากขึ้น หลังพบว่าความต้องการใช้ก๊าซเพื่อเป็นเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้น โดยคาดว่าปีนี้ความต้องการจะขยายตัว 3.3% หรือ 3,573 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และปีหน้าจะเพิ่ม 10.6% หรือมีความต้องการเฉลี่ย 3,950 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

สำหรับการใช้ก๊าซในปี 2552 ส่วนใหญ่ 68.8% ใช้ในภาคผลิตไฟฟ้า รองลงมาคือ ปิโตรเคมี 16.9% ภาคอุตสาหกรรม10.3% และเอ็นจีวี 3.7% โดยเอ็นจีวีเติบโตถึง 75% หรือเพิ่มเป็น 133 ล้านลูกบาศ์กฟุตต่อวัน จากที่ปี 2551 มีอัตราเพียงวันละ 76 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

นายเพิ่มศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของความต้องการก๊าซปี 2553 การเติบโตส่วนใหญ่มาจากปิโตรเคมี โดยในกรณีที่คดีมาบตาพุดมีความชัดเจน โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงที่ 6 กับโรงแยกอีเทน เดินเครื่องได้ ต้นปี 2553 และคาดการณ์ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัว จะทำให้เกิดความต้องการใช้ก๊าซเพิ่มขึ้นมากในอุตสาหกรรมและเอ็นจีวี โดยความต้องการจะเพิ่มเป็น 49% 16% และ 38% ตามลำดับ ในขณะที่ภาคการผลิตไฟฟ้าจะลดลง 2% เนื่องจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว เพิ่มขึ้น โดยโครงการเขื่อนน้ำเทิน 2 จะเข้าระบบในปีหน้า
krungthepturakij
***********
26/11/52
ผลสำรวจรอยเตอร์คาดอุปสงค์น้ำมันโลกเพิ่มแซงอุปทานปีหน้า
ผลสำรวจนักวิเคราะห์จากรอยเตอร์คาดว่าอุปสงค์น้ำมันที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกมีแนวโน้มแซงหน้าอัตราอุปทานใหม่ในปี 53 ซึ่งจะช่วยลดสต็อกน้ำมันดิบปริมาณมากที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกนับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก โดยนักวิเคราะห์จากรอยเตอร์คาดว่าอุปสงค์น้ำมันในปี 53 จะเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล/วัน สู่ 85.9 ล้านบาร์เรล/วัน ขณะที่คาดว่าการผลิตนอกกลุ่ม OPEC ในปี 53 จะอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 51 ล้านบาร์เรล/วัน และคาดว่าการผลิตของกลุ่ม OPEC รวมอิรักจะอยู่ที่ 28.9 ล้านบาร์เรล/วัน
********
25/11/52
IEA ห่วงราคาน้ำมันกระทบเศรษฐกิจโลก

Posted on Tuesday, November 24, 2009
นายฟาตีห์ บิรอล หัวหน้าแผนกวิเคราะห์เศรษฐกิจของ ทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) เตือนว่า ราคาน้ำมันจะกระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหากขยับขึ้นสูงกว่าราคาในขณะนี้ ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม IEA ได้ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) จะตัดสินใจเรื่องราคาน้ำมันอย่างไรในการประชุมเดือนธันวาคมนี้

นายบิรอล เตือนด้วยว่า การลงทุนด้านการผลิตน้ำมันในปีนี้ลดลง 19% เมื่อเทียบกับปีก่อน ทำให้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มจะปรับขึ้นจากปัจจุบันหากจีนและอินเดียมีความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น

สำหรับราคาน้ำมันดิบเมื่อคืนที่ผ่านมาได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยตลาดไนเม็กซ์ของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนมกราคม เพิ่มขึ้น 9 เซนต์ ปิดที่ 77.56 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ตลาดเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 26 เซนต์ ปิดที่ 77.46 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

**********
25/11/52
เกษตร-พาณิชย์-เอกชนหนุนผสมไบโอดีเซล3%
กระทรวงเกษตรฯ-พาณิชย์-สมาคมผู้ผลิตปาล์ม เห็นพ้องเริ่มบังคับผสมไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นจาก 2% เป็น 3% ปีหน้า มั่นใจผลผลิตในประเทศมีเพียงพอ
นายประพนธ์ วงษ์ท่าเรือ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สต็อกน้ำมันปาล์มดิบในประเทศ มีปริมาณที่สูงผิดปกติถึง 2.2 แสนตัน ซึ่งสต็อกที่เหมาะสมควรอยู่ระดับ 1.5 แสนตันเท่านั้น เกิดจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทำให้ผู้ส่งออกหลายประเทศ รวมทั้งไทย ไม่สามารถส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ ไปจำหน่ายยังต่างประเทศได้ ดังนั้น กระทรวงพลังงานจึงได้หารือกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งสมาคมผู้ผลิตปาล์มและเกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม เพื่อบริหารจัดการสต็อกน้ำมันปาล์มในปีหน้า ให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสม ซึ่งทุกฝ่ายยืนยันว่า ควรมีการนำไบโอดีเซลบี 100 มาผสมในน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น
จากปัจจุบัน ที่บังคับให้ผสมอยู่ 2% ของน้ำมันดีเซลทุกลิตร จะให้เพิ่มเป็น 3% ซึ่งจะส่งผลให้ยอดการใช้ไบโอดีเซลบี 100 เพิ่มขึ้น 34% จาก 350,000 ตันต่อปี เป็น 470,000 ตันต่อปี และยังเหลือพอสำหรับเก็บสำรองและส่งออกจำหน่ายต่างประเทศได้ด้วย
“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งสมาคมผู้ผลิตปาล์ม กระทรวงพาณิชย์ และเกษตรกรได้ประชุม และยืนยันว่า ผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบ จะมีสูงขึ้นเพราะมีการปลูกปาล์มเพิ่มขึ้นแล้ว และจะทำให้น้ำมันปาล์มดิบปีหน้า มีมากขึ้นกว่าปีนี้อีก 20% หรือมีผลผลิตประมาณ 1.7 ล้านตัน ซึ่งยืนยันว่า เพียงพอต่อการบังคับใช้ไบโอดีเซลบี 3 อย่างแน่นอน” นายประพนธ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม จะมีการเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายบริหารพลังงาน (กบง.) ในวันนี้ (25 พ.ย.) ที่มี นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานพิจารณาเห็นชอบว่าจะให้มีการกำหนดบังคับผสมไบโอดีเซลบี 100 ในน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นเป็น 3% ในปีหน้าหรือไม่ แต่หากเสนอเข้าที่ประชุมไม่ทันรอบนี้จะนำเข้าสู่ที่ประชุม กบง.ในครั้งต่อไป
นายประพนธ์ กล่าวว่า สำหรับการประชุมกับผู้ค้าน้ำมันมาตรา 7 อาทิ ปตท. บางจาก เชลล์ และไทยออยล์ วานนี้ (24 พ.ย.) ได้ข้อสรุปร่วมกันให้ผู้จำหน่ายไบโอดีเซล จัดทำเอกสารแจ้งแหล่งที่มาของวัตถุดิบว่า เป็นวัตถุดิบในประเทศหรือนำเข้า และได้ขอความร่วมมือกับผู้ค้าน้ำมันมาตรา 7 ตรวจสอบเอกสาร เพื่อรับซื้อไบโอดีเซล ที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ โดยกระทรวงพลังงาน ไม่ต้องการให้มีการใช้วัตถุดิบไบโอดีเซลจากต่างประเทศ เนื่องจากปริมาณไบโอดีเซลในประเทศยังมีมากเพียงพอต่อความต้องการใช้
นอกจากนี้ ได้เตรียมประชุมร่วมกับผู้ผลิตไบโอดีเซลทั้ง 13 โรงงานทั่วประเทศในสัปดาห์หน้า เพื่อขอความร่วมมือ ให้ใช้วัตถุดิบสำหรับผลิตไบโอดีเซลบี 100 ในประเทศเท่านั้น หากผู้ผลิตให้ความร่วมมือ จะมีการประชุมสรุปร่วมกันอีกครั้ง ระหว่างผู้ค้าน้ำมันมาตรา 7 และผู้ผลิตไบโอดีเซล รวมทั้งหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดเป็นมาตรการรับซื้อไบโอดีเซลปี 2553 ต่อไป
krunthepturakij***********
19/11/52
ผลกระทบจากมาบตาพุด ทำปีหน้าต้องนำเข้า LPG เดือนละมากกว่า 1 แสนตัน

Posted on Thursday, November 19, 2009
น.พ. วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน บอกว่า การนำเข้าก๊าซปิโตรเลียมหลว (LPG) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปีหน้าจะต้องนำเข้าเฉลี่ยเกินเดือนละ 1 แสนตัน เห็นได้จากในเดือนตุลาคม ที่มีการนำเข้ากว่า 1 แสนตันแล้ว เนื่องจากมีการนำไปใช้เป็นพลังงานทดแทน หลังราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่กำลังการผลิตในประเทศมีจำกัด เนื่องจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติโรงที่ 6 ของ บมจ.ปตท.ยังไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ เพราะติดปัญหาการฟ้องร้องเรื่องมาบตาพุด

กระทรวงพลังงานจะเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาขยายเพดานการชดเชยส่วนต่างการนำเข้า LPG ที่จ่ายให้กับ ปตท. เพิ่มเป็นเดือนละ 800 หรือ 1,000 ล้านบาท จากเดิมที่เดือนละ 500 ล้านบาท ซึ่งล่าสุด กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มีหนี้ที่ค้างชำระให้กับ ปตท. กรณีส่วนต่างการนำเข้า LPG ในปี 2551 เหลืออยู่อีก 4,500 ล้านบาท และในปีนี้คาดว่าจะมีภาระชดเชยอีกประมาณเดือนละ 1,000 ล้านบาทอีกด้วย

money news update
**********
19/11/52
น้ำมันแพงดันยอดนำเข้าแอลพีจีทะลุแสนตัน/เดือน
น้ำมันแพงดันความต้องการใช้แอลพีจีพุ่ง ขณะที่โรงแยกก๊าซแห่งใหม่ของปตท. ถูกระงับ ส่งผลยอดนำเข้าก๊าซแอลพีจีเดือน ตค. พุ่งถึงกว่าแสนตัน
นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวยอมรับว่า จากราคาน้ำมันที่แพงขึ้น ทำให้มีการหันมาใช้พลังงานทดแทน อย่างก๊าซหุงต้มกันมากขึ้น ประกอบกับการที่โรงแยกก๊าซธรรมชาติโรงที่ 6 ของ ปตท. ยังไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ เนื่องจากติดปัญหาการฟ้องร้องเรื่องมาบตาพุด จึงทำให้การใช้ก๊าซหุงต้มสูงเกินคาดการณ์

เดือนตุลาคม 2552 มีการนำเข้าก๊าซแอลพีจีกว่า 1 แสนตัน และคาดว่าหากโรงแยกก๊าซยังติดปัญหา ก็อาจทำให้การนำเข้าสูงในระดับนี้ตลอดปีหน้า ซึ่งจะเป็นภาระของประเทศที่ต้องมีมูลค่านำเข้าสูงขึ้น ในขณะที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก็ต้องมีภาระรายจ่ายส่วนต่างนำเข้าที่ ปตท.ต้องนำเข้าก๊าซหุงต้มสูงขึ้นเช่นกัน

ทั้งนี้ นพ.วรรณรัตน์ ได้เปิดเผยว่า กระทรวงกำลังพิจารณาจะเพิ่มเพดานส่วนต่างการนำเข้าเพิ่มจาก 500 เป็น 800 หรือ 1,000 ล้านบาทต่อเดือน ในขณะเดียวกัน ปตท.ได้ลงทุนรับแอลพีจีจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นในลักษณะคลังลอยน้ำอีกด้วย
krungthepturakij**********
19/11/52
กลุ่มพลังงาน
"มาบตาพุด"ยังยืดเยื้อไม่จบง่าย ทำบรรยากาศลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานอึมครึมต่อไปอีก PTT-SCC อ่วมสุด หลังศาล
ปกครองยังไม่มีคำสั่งใดๆ เหตุสมาคมต่อต้านโลกร้อน เล่นเกมซื้อเวลาขอส่งพยานเอกสารเพิ่มเติม 20 พ.ย.นี้ (ข่าวหุ้น)
ความเห็น สืบเนื่องจาก การพิจารณาคดีของศาลปกครองนั้น จะใช้ ระบบไต่สวนแทนที่จะเป็น ระบบกล่าวหา กล่าวคือ จะ
สืบหาข้อเท็จจริงของคำฟ้องนั้นๆ โดยตุลาการของศาลปกครอง จะมีส่วนในการตัดสินคดีต่างๆ ดังนั้น กระบวนการตัดสินคดี
จึงมีความแตกต่างจากศาลยุติธรรมอื่นๆ
การเลื่อนการปิดรับสำนวนออกไป อาจมีผลต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องเพียงแค่ ทำให้เวลาที่จะทราบผลการตัดสินนั้นเลื่อนออกไปอีก
ประมาณ 1 เดือน (ก่อนหน้าเราคาดว่า น่าจะทราบผลภายในเดือน ธ.ค.52 ถ้าไม่มีการเรียกข้อมูลเพิ่ม)
สำหรับ ผลการตัดสินของศาลปกครองสูงสุดที่จะเกิดขึ้นในอีก 2 เดือนข้างหน้า จะออกมาในเชิงที่ว่า “ยืน” , “กลับ” หรือ “แก้”
คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลปกครองชั้นต้นได้ รวมทั้งมีอำนาจสั่งยกคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นแล้วส่ง
สำนวนคดีคืนไปให้พิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่หรือกำหนดให้พิจารณาคดีนั้นใหม่ทั้งหมดหรือบางส่วนแล้วพิพากษาหรือมีคำสั่ง
ใ หม่ หรือดำเนินการตามคำชี้ขาดของศาลปกครองสูงสุดแล้วพิพากษาหรือมีคำสั่งไปตามรูปคดี
ณ วันนี้ เรายังเชื่อว่าผลการตัดสิน น่าจะออกมาในทางที่เป็นบวก แต่ถึงกระนั้น ผลของคดีนี้ มีผลค่อนข้างมากต่อทั้ง 76
โครงการ โดยเฉพาะบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้น ที่ได้ผลกระทบทางตรงที่แรงกว่าหุ้นตัวอื่นๆ ประกอบด้วย PTT, PTTCH , PTTAR
และ SCC จะทำให้นักลงทุนระดับสถาบันยังไม่กล้าที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มเสี่ยงนี้อย่างจริงจัง ดังนั้น การลงทุนในหุ้น
เหล่านี้ อาจต้องคอยติดตามความคืบหน้าที่จะมีออกมาเป็นระยะๆด้วย cgs
***********
18/11/52
จีนเสี่ยงเผชิญวิกฤติขาดแคลนพลังงาน

Posted on Wednesday, November 18, 2009
รัฐบาลจีน ยอมรับว่า จีนอาจเผชิญภาวะขาดแคลนพลังงานและก๊าซธรรมชาติในฤดูหนาวปีนี้ โดยเฉพาะในมณฑลเซี่ยงไฮ้และพื้นที่ตอนกลางของประเทศ เนื่องจากฤดูหนาวในปีนี้มีอุณหภูมิลดต่ำลงมากกว่าหลายปีก่อน ทำให้ความต้องการพลังงานในกลุ่มผู้บริโภคเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้บริโภคที่มีรายได้สูงซึ่งมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ทันสมัย ทำให้มณฑลเซี่ยงไฮ้ซึ่งมีประชากรกว่า 20 ล้านคน กำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนพลังงาน 1.9 ล้านกิโลวัตต์ ซึ่งถือเป็นการขาดแคลนพลังงานที่รุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์ หลังความต้องการพลังงานที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง ส่งผลให้การผลิตพลังงานที่โรงงานเป็นไปอย่างเร่งด่วนและทำให้เครื่องจักรเสียหายตามมา

ทั้งนี้ อุณหภูมิที่มณฑลเซี่ยงไฮ้ติดลบจนเกือบถึงจุดเยือกแข็งตั้งแต่เมื่อวานนี้ และคาดว่าอุณหภูมิจะลดลงอีกในระยะเวลาสั้น ๆ นอกจากนี้ เมืองต่างๆทั่วภูมิภาคทางตอนเหนือและตอนใต้ของจีนได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสภาพอากาศที่หนาวเหน็บและหิมะที่ตกลงมามากผิดปกติ

ส่วนการจราจรในกรุงปักกิ่งของจีนต้องหยุดชะงัก หลังหิมะตกหนักที่สุดในรอบ 54 ปี โดยสนามบินปักกิ่งต้องเลื่อนเที่ยวบินกว่า 100 เที่ยว และยกเลิกอีก 59 เที่ยวบินในวันนี้ ขณะที่รถยนต์หลายพันคันติดอยู่บนทางด่วนที่เชื่อมระหว่างปักกิ่งกับเมืองโดยรอบไม่ว่าจะเป็นส่านซี เหอเป่ย เหลียวหนิง และมองโกเลียใน

นอกจากนั้นยังมีการหยุดเดินรถไฟ 124 ขบวน เนื่องจากหิมะหนากว่า 16 เซ็นติเมตรได้ปกคลุมไปทั่วเมือง ขณะที่อุณหภูมิลดลงแตะ -6 องศาเซลเซียสแล้ว
money news update
**********
11/11/52
IEA ลดคาดการณ์ความต้องการน้ำมันระยะยาว

สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ได้ปรับลดการคาดการณ์ความต้องการน้ำมันทั่วโลกในระยะยาว เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อการใช้น้ำมันในประเทศพัฒนาแล้ว และนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่สนับสนุนให้มีการใช้พลังงานทางเลือก

IEA คาดว่าอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกจะปรับตัวขึ้น 1% ต่อปี แตะ 105 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี พ.ศ. 2573 จากระดับ 85 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2551 ซึ่งตัวเลขคาดการณ์ล่าสุดที่ได้รับการเปิดเผยในวันนี้ ต่ำกว่าระดับ 106 ล้านบาร์เรลต่อวันที่ IEA ได้ประเมินไว้เมื่อปีที่แล้ว

IEA ระบุในรายงานว่า วิกฤตการเงินโลกและภาวะถดถอยส่งผลกระทบอย่างมากกับแนวโน้มตลาดพลังงาน และดีมานด์พลังงานโลกก็ร่วงลงอย่างหนักตามภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวลง

นอกจากนี้ นานาประเทศยังได้ผลักดันให้ผู้บริโภคลดปริมาณการใช้พลังงานลง เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงที่นำเข้าจากต่างประเทศ

บลูมเบิร์กรายงานว่า IEA ระบุด้วยว่า กฎหมายเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนมีแนวโน้มว่าจะทำให้ดีมานด์น้ำมันดิบในระยะยาวลดลง ซึ่งในการประชุมด้านสิ่งแวดล้อมที่จะจัดขึ้นที่เดนมาร์กเดือนหน้านั้น ก็จะมีการหารือเรื่องสนธิสัญญาฉบับใหม่เพื่อลดการปล่อยปริมาณก๊าซเรือนกระจกในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมและประเทศกำลังพัฒนา

IEA ระบุว่า การเติบโตด้านดีมานด์น้ำมันจนถึงปี 2573 นั้น จะมาจากประเทศกำลังพัฒนา และการใช้น้ำมันในประเทศพัฒนาแล้วในกลุ่ม OECD จะหดตัวลงในช่วงดังกล่าว
money wake up
**************
10/11/52
ผู้เชี่ยวชาญคาดน้ำมันยังไม่แตะ $100

กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) กำลังเพิ่มปริมาณการผลิตในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 2 ปี ทำให้สต็อกน้ำมันดิบของโอเปคพุ่งขึ้นเกือบแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สถานการณ์ดังกล่าวไม่อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกดีดตัวขึ้นแตะระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลในเร็วนี้

สตีเฟ่น ชอร์ก ประธานบริษัท ชอร์ก กรุ๊ป อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัที่ปรึกษาด้านพลังงานรายใหญ่ในสหรัฐเปิดเผยว่า โอเปคเพิ่มปริมาณการผลิต 4% ต่อวัน หรือ 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน นับตั้งแต่เดือนมี.ค.เป็นต้นมา

"ราคาน้ำมันดิบที่ระดับ 100 ดอลลาร์ไม่เป็นผลดีต่อโอเปค เพราะโอเปครู้ดีว่าบรรดานักเก็งกำไรยังคงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้น” ชอร์กกล่าว

นอกจากนี้ ยังมีไม่นักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีทคนใดเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบจะพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 100 ดอลลาร์ก่อนถึงปลายปีหน้า

ขณะที่กษัตริย์อับดุลเลาะห์แห่งซาอุดิอาระเบียระบุว่าราคาน้ำมันที่ระดับ 75 ดอลลาร์เป็นระดับที่ยุติธรรมสำหรับผู้ใช้และผู้ผลิต พร้อมกล่าวว่าซาอุดิอาระเบียได้เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอีก 50% หรือ 4 ล้านบาร์เรล/วัน

นอกจากนี้ รายงานข่าวที่ว่า บริษัทน้ำมันหลายแห่งในอ่าวเม็กซิโกพากันอพยพพนักงานและระงับการผลิตบางส่วนเนื่องจากพายุเฮอร์ริเคน "ไอด้า" ทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากเคลื่อนตัวเข้าสู่อ่าวเม็กซิโก โดยอ่าวเม็กซิโกเป็นพื้นที่ที่สามารถผิลน้ำมันดิบได้กว่า 1 ใน 4 ของปริมาณการผลิตโดยรวมในสหรัฐ ทำให้ราคาน้ำมันดิบสิงคโปร์เมื่อวานนี้ปรับตัวสูงขึ้น

สัญญาน้ำมันส่งมอบเดือนธันวาคม บวกขึ้น 2 เหรียญ หรือกว่า 2% มาที่ 79.44 เหรียญต่อบาร์เรล จ่อเข้าใกล้ระดับสูงสุดใหม่ที่เคยทำไว้ที่ 82 เหรียญ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม
***********
04/10/52
ยอดสั่งซื้อสินค้าจากโรงงาน หนุนราคาน้ำมันดิบขึ้นต่อเป็นวันที่ 2

Posted on Wednesday, November 04, 2009
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์ก ส่งมอบเดือน ธ.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 1.47 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 79.60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากยอดคำสั่งซื้อสินค้าของโรงงานสหรัฐฯในเดือน ก.ย. ปรับเพิ่มขึ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

ปัจจัยบวกที่มีผลต่อราคาน้ำมัน

- กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ รายงานตัวเลขยอดคำสั่งซื้อสินค้าของโรงงานในเดือน ก.ย. ปรับเพิ่มขึ้น 0.9% ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 0.8% ขณะที่จำนวนสินค้าคงคลังปรับลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13

- กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ รายงานยอดขายรถเดือน ต.ค. ที่ 834,517 คัน หรือ 10.44 ล้านคันต่อปี (Seasonal Adjusted) ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ที่ 9.8 ล้านคันต่อปี และสูงกว่าตัวเลขเดือน ก.ย. ที่ 9.16 ล้านคันต่อปี

- ราคาทองคำพุ่งทำสถิติสูงสุดอีกครั้งที่ 1,084.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อออนซ์ หลังกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ตกลงขายทองคำ 200 ตันให้กับธนาคารกลางอินเดีย บ่งชี้ให้เห็นว่า มีความต้องการสำรองทองคำจากประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้น

- สถาบันปิโตรเลียมของสหรัฐฯ (API) รายงานตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังประจำสัปดาห์ ลดลง ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นต่อหลังจากปิดตลาด

ปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง ลดลง 3.276 ล้านบาร์เรล
ปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลัง เพิ่มขึ้น 0.501 ล้านบาร์เรล
ปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลัง เพิ่มขึ้น 1.789 ล้านบาร์เรล

ปัจจัยลบที่มีผลต่อราคาน้ำมัน

- ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ปิดตลาดแข็งค่าขึ้นมาแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 เดือน เมื่อเทียบกับเงินยูโร เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับภาคธนาคาร หลัง European Commission แถลงผลการประเมินธนาคารในยุโรปว่า จะประสบภาวะขาดทุนทั้งหมดประมาณ 4 แสนล้านยูโร ในช่วงปี 2552 - 2553

- ดัชนีดาวโจนส์ของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง 17.53 จุด มาปิดที่ 9,771.91 จุด เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับความเห็นของธนาคารกลางเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งมีการประชุมอยู่ระหว่างวันที่ 3 - 4 พ.ย.

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือน ธ.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 1.56 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 78.11 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบดูไบ ตลาดสิงคโปร์ ปรับเพิ่มขึ้น 0.70 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 76.12 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

- สนับสนุนข้อมูลโดย บมจ. ไทยออยล์ -
money news update
*************
30/10/52
กระทรวงพลังงานสั่งทบทวนแผนสร้างโรงไฟฟ้า 15 ปี

Posted on Friday, October 30, 2009
น.พ. วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน บอกว่า กระทรวงพลังงาน ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ตั้ง “คณะอนุกรรมการด้านพลังงานเริ่มจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าในอนาคต” เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผลิตไฟฟ้าในระยะ 15 ปีข้างหน้า ที่ดำเนินการถึงปี 2566 ให้สอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

เนื่องจากหากมีการก่อสร้างโรงมากเกินความจำเป็น ประชาชนก็จะต้องแบกรับภาระค่าไฟฟ้าที่สูงเกินไป แต่หากการก่อสร้างไม่เพียงพอก็อาจจะเกิดปัญหาไฟตกไฟดับได้ โดยเบื้องต้นคาดว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าของระบบจะเพิ่มจาก 30,000 เมกะวัตต์ในปัจจุบัน เป็น 50,000 เมกะวัตต์ ซึ่งแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าในอนาคตจะมีการบรรจุโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เข้าไปด้วย

นายวิฑูรย์ แนวพานิช ประธานกรรมการสหกรณ์แท็กซี่สยาม คาดว่า จะสามารถปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่ใช้ LPG ในระบบปัจจุบันที่เหลือ 30,000 คันให้หันมาใช้ NGV ได้หมดกลางปีหน้า โดยในการติดตั้งจะร่วมตรวจสอบให้เกิดความโปร่งใส และมีส่วนร่วมจากผู้ที่เกี่ยวข้อง
money news update
**********
30/10/52
ยักษ์น้ำมันยุโรป Shell รายงานกำไรดิ่ง 62%

แล้วก็มาถึงคิวผลประกอบการของบริษัทน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในยุโรป อย่าง Royal Dutch Shell ที่ตัวเลขกำไรดิ่งลงถึง 62% ในไตรมาส 3 และบริษัทก็ยังบอกด้วยว่าการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของความต้องการพลังงาน รวมถึงแนวโน้มราคา ไม่น่าจะมีความเป็นไปได้อีกด้วย

กำไรสุทธิของ Shell ร่วงลงสู่ระดับ 3,250 ล้านเหรียญ จาก 8,450 ล้านเหรียญในช่วงเดียวกันปีที่แล้ว

นาย Peter Voser ซีอีโอของ Shell บอกว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานยังมีความไม่แน่นอนสูง ท่ามกลางแนวโน้มความต้องการน้ำมันดิบที่อาจจะทำสถิติลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2523 ซึ่งเท่าที่ผ่านมาบริษัทเองก็รับมือด้วยการปลดพนักงานออก 5,000 ตำแหน่ง หรือราว 5% ของจำนวนพนักงานรวมทั้งหมด และก็ได้ลดต้นทุนจากการดำเนินงานลงประมาณ 1,000 ล้านเหรียญ

นักวิเคราะห์จาก ING มองว่า ผลประกอบการที่ย่ำแย่ของ Shell ในส่วนธุรกิจ upstream ถูกชดเชยด้วยผลงานที่ดีของธุรกิจ downstream และก็ยังมีเรื่องการปรับลดต้นทุนที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีเข้ามาช่วยพยุงธุรกิจด้วย

ในส่วนของบริษัทพลังงานรายใหญ่อื่นๆ ในยุโรปที่ได้ประกาศผลประกอบการไปแล้ว ก็มีอย่างเช่น บริษัท Eni ยักษ์ใหญ่พลังงานจากอิตาลี ที่รายงานกำไรร่วงลงเกือบ 60% ในไตรมาสที่แล้ว

ขณะที่ BP บริษัทน้ำมันรายใหญ่เบอร์สองในยุโรป ได้เปิดเผยผลกำไรที่ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ หลังจากที่สามารถกระหน่ำลดต้นทุนได้จนเกินเป้าหมายที่ 1,000 ล้านเหรียญ

นาย Voser ที่เข้ามาเทคโอเวอร์ตำแหน่งซีอีโอแทนคนเก่า คือ นาย Jeroen van der Veer เมื่อเดือนกรกฎาคม ได้เริ่มต้นปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทที่รวมถึงการควบรวมสามหน่วยธุรกิจ ลงให้เหลือสองหน่วยหลัก คือ อเมริกาและตลาดอื่นๆ ของโลก ซึ่งกลยุทธ์นี้ก็เหมือนกับที่ทางบริษัท BP ใช้ปรับโครงสร้างองค์กรไปตั้งแต่เมื่อเกือบสองปีที่แล้ว

บริษัทที่มีฐานที่มั่นในกรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ แห่งนี้ ได้ปรับโครงสร้างการบริหารด้วยการลดตำแหน่งงานพนักงานอาวุโสลงกว่า 20% ให้เหลือเพียง 600 ตำแหน่ง ขณะเดียวกัน ก็ให้พนักงานจำนวนไม่น้อยกลับเข้ามาสมัครงานในตำแหน่งงานเดิม ตามนโยบายการปรับโครงสร้างการทำงานภายในครั้งใหญ่

ซีอีโอ Shell เคยคาดการณ์ถึงสถานการณ์พลังงานเมื่อกลางปีที่ผ่านมาว่า ความต้องการน้ำมันโลกจะลดลงมากกว่า 2 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีนี้ ขณะที่ตัวเลขการใช้ก๊าซในภูมิภาคยุโรปจะปรับตัวลง 5%
money wake up***************
30/10/52
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสฟื้น หลัง GDP ไตรมาส 3/52 ของสหรัฐฯ บวกเป็นครั้งแรกในรอบปี

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์ก ส่งมอบเดือน ธ.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 2.41 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 79.87 ดอลลาร์สหรัฐ หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัวเป็นบวกครั้งแรกในรอบปี

ปัจจัยบวกที่มีผลต่อราคาน้ำมัน

- ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของสหรัฐฯ ไตรมาส 3/52 ปรับเพิ่มขึ้น 3.5% หรือมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.3 % ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ และของโลกน่าจะผ่านพ้นช่วงต่ำสุด และไม่น่าจะปรับตัวเป็นรูปดับเบิ้ลยูตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้

- ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ดีดตัวสูงขึ้นถึง 199.89 จุด มาปิดที่ 9,962.58 จุด รับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของสหรัฐฯ ไตรมาส 3/52 ที่ออกมาดีเกินคาด ประกอบกับผลประกอบการในไตรมาส 3/52 ของบริษัทจดทะเบียนในหลายธุรกิจออกมาในทิศทางที่ดี ทั้งในภาคการผลิต ภาคเทคในโลยี ภาคการเงิน และภาคพลังงาน

- ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงเกือบ 1% มาปิดที่ระดับ 1.4836 ดอลลาร์สหรัฐต่อยูโร หลังเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ขยายตัวในไตรมาส 3/52 ส่งผลให้นักลงทุนย้ายเงินลงทุนไปที่ตลาดทุนเพิ่มมากขึ้น

ปัจจัยลบที่มีผลต่อราคาน้ำมัน

- ตัวเลขผู้ข้อรับสิทธิประโยชน์จากการว่างงานของสหรัฐฯ ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับสัปดาห์ก่อน ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงเฝ้าจับตาดูอย่างใกล้ชิด

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือน ธ.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 2.18 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 78.04 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบดูไบที่ตลาดสิงคโปร์ ปรับลดลง 1.35 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 75.37 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

- สนับสนุนข้อมูลโดย บมจ. ไทยออยล์ -

*************
28/10/52
"โอเปก"อาจเพิ่มกำลังผลิตน้ำมัน รักษาสมดุลตลาด
28 ตค. 2552 08:11 น.

โฮเซ่ มาเรีย โบเทลโฮ เดอ วาสคอนเซลอส ประธานกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือโอเปก และรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานแองโกลา กล่าวว่า โอเปกอาจเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนธันวาคมหลังราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเหนือ ระดับ 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากสำนักงานพลังงานสากล หรือ IEA เตือนว่า ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก อีกทั้ง โอเปกให้ความสำคัญกับความสมดุลของตลาดน้ำมัน และขณะนี้หลายประเทศพร้อมเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันสู่ตลาด และหากจำเป็นต้องเพิ่มกำลังการผลิตอีกก็พร้อมทำ

ทั้งนี้ กลุ่มโอเปกจะประชุมร่วมกันในวันที่ 22 ธันวาคมนี้ ที่แองโกลา เพื่อพิจารณาโควต้าการผลิต ซึ่งโอเปกตรึงราคาไว้ที่ระดับเดิมตลอดการประชุม 3 ครั้งนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ขณะที่ ราคาสัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นกว่า 80% แล้วในปีนี้
************
28/10/52
บางจากคาดราคาน้ำมันโลกปีหน้าพุ่ง90ดอลล์/บาร์เรล
28 ตค. 2552 10:52 น.

นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด มหาชน ระบุว่าแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลก ช่วงครึ่งปีหลังปีหน้า อาจปรับตัวสูงถึง 90 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจาก ช่วงกลางปีหน้าหรือช่วงฤดูร้อนในสหรัฐ หากเศรษฐกิจโตขึ้น 3% จะมีปริมาณการใช้สูงแต่ขณะนี้ โรงกลั่นลดกำลังการผลิตลงมา เนื่องจากประสบภาวะขาดทุนเพราะค่าการกลั่นลดต่ำลงมาก เหลือแค่ 40 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งเป็นระดับที่ขาดทุน ซึ่งเป็นผลจากปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้กำลังการผลิตน้ำมันทั่วโลก มีมากกว่าความต้องการใช้ ที่อยู่ที่ 84 ล้านบาร์เรล-ต่อวัน จากปกติอยู่ที่ 86 ล้านบาร์เรลต่อวัน จะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงได้อีก ดังนั้น จึงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดแม้สถานการณ์ราคาน้ำมันในปีนี้ จะยังไม่สูงมากนัก โดยแนะนำให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น เช่น การใช้แก๊สโซฮอล์ 95 แทนเบนซิน 95 เพราะมีคุณสมบัติไม่แตกต่างกัน ขณะที่ราคาต่างกันถึง 9 บาท/ลิตร
**********
20/10/52
น้ำมันทำสถิติสูงสุดในรอบ 1 ปีอีกครั้ง หลังค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวอีก

Posted on Tuesday, October 20, 2009
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์ก ส่งมอบเดือน พ.ย. ปรับเพิ่มขึ้น 1.08 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 79.61 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ทำสถิติสูงสุดในรอบ 1 ปีอีกครั้ง หลังค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบ 14 เดือนเมื่อเทียบกับเงินสกุลยูโร

ปัจจัยบวกที่มีผลต่อราคาน้ำมัน

- เงินดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบ 14 เดือนเมื่อเทียบกับเงินสกุลยูโร เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ใกล้ 0% ไปจนถึงปีหน้า หลังตัวเลขการว่างงานเพิ่มขึ้น

- ดัชนีดาวโจนส์ปิดตัวในแดนบวกอีกครั้งและสูงสุดในรอบ 12 เดือน มาปิดที่ 10,092.19 จุด เนื่องจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของหุ้นส่วนใหญ่นำโดยบริษัทแอปเปิ้ล ที่แสดงยอดขายเกินกว่าที่ตลาดคาดไว้ ทำให้หุ้นแอปเปิ้ลปรับสูงขึ้นกว่า 7% และยังเป็นแรงสนับสนุนว่าการใช้จ่ายของคนสหรัฐฯ ยังคงดีอยู่

- ทางสหรัฐฯ คาดการณ์ว่า ปีนี้ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ จะพบกับความหนาวเย็นที่สุดในรอบหลายปีเนื่องจากปรากฎการณ์ El Nino

ปัจจัยลบที่มีผลต่อราคาน้ำมัน

- รอยเตอร์คาดการณ์ว่าปริมาณน้ำมันดิบสำรองของสหรัฐฯน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 2 ล้านบาร์เรล, ปริมาณน้ำมันเบนซินสำรองน่าจะลดต่ำลง 1.5 ล้านบาร์เรลและ น้ำมันดีเซลสำรองน่าจะลดต่ำลง 1.6 ล้านบาร์เรล

- ดัชนีตลาดบ้านของสหรัฐ ฯ ลดต่ำลง 1 จุด มาอยู่ที่ 18 จุด หลังจากดีดตัวสูงขึ้นเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่รัฐบาลสหรัฐ ฯ ยังคงพิจารณาจะขยายมาตรการสนับสนุนผู้ซื้อบ้านครั้งแรกต่อไปอีก 1 ปี

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือน ธ.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 0.78 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 77.77 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบดูไบ ตลาดสิงคโปร์ ปรับเพิ่มขึ้น 0.71 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 75.83 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

-สนับสนุนข้อมูลโดย บมจ. ไทยออยล์-
money update
**********
19/10/52
เชฟรอนค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติแห่งใหม่

Posted on Monday, October 19, 2009
เชฟรอน บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่เผยว่า พบแหล่งก๊าซแห่งใหม่ บริเวณนอกชายฝั่งทางตะวันตกของออสเตรเลีย
ซึ่งมีก๊าซประมาณ 40 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการผลิตก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ตามโครงการพัฒนาทรัพยากรครั้งใหญ่ในออสเตรเลียที่ชื่อ “การ์กอน” ซึ่งเป็นโครงการลงทุนร่วมกันระหว่างเชฟรอน เชลล์ และเอ๊กซ์ซอนโมบิลในออสเตรเลีย

เชฟรอน ระบุว่า ก๊าซดังกล่าว อยู่ห่างจากจุดสำรวจอาคลิส 1 ประมาณ 100 เมตร และตั้งอยู่ห่างออกไปจากชายฝั่งของออสเตรเลียประมณ 160 กิโลเมตร ทั้งนี้คาดว่า จะเริ่มการผลิตก๊าซธรรมชาติได้ในปี 2557

สำหรับโครงการการ์กอน นับเป็นโครงการแหล่งพลังงานขนาดใหญ่สุดในออสเตรเลีย โดยเชฟรอนถือหุ้น 50% ขณะที่เชลล์ และเอ๊กซ์ซอนโมบิลถือหุ้นรายละ 25% เบื้องต้นทุ่มเงินทุนในการก่อสร้างฐานขุดเจาะในระยะแรก มูลค่า 4.3 หมื่นดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 3.925 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
money update
***********
16/10/52
ปิโตรไชน่าเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติรับดีมานด์พุ่ง

Posted on Friday, October 16, 2009
นายหลี่ หัวหลิน รองประธานบริษัทปิโตรไชน่า บริษัทพลังงานรายใหญ่อันดับสองของโลก บอกว่า บริษัทมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติ เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานในประเทศจีน โดยในช่วงเดือนมกราคม -มิถุนายน ผลผลิตน้ำมันดิบของปิโตรไชน่าอยู่ที่ 418 ล้านบาร์เรล ขณะที่ก๊าซธรรมชาติมีผลผลิตเทียบเท่ากับน้ำมันเพียง 170 ล้านบาร์เรล และเชื่อว่าผลผลิตก๊าซธรรมชาติจะขยายตัวเทียบเท่าผลผลิตน้ำมันดิบได้ภายในปี 2558 โดยปิโตรไชน่ายังคงสำรวจแหล่งก๊าซ Longgang ในเสฉวนอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าแหล่งดังกล่าวจะมีก๊าซธรรมชาติจำนวนมาก

ทั้งนี้ จีนซึ่งเป็นผู้ปล่อยมลพิษรายใหญ่สุดของโลก กำลังเพิ่มการนำเข้าก๊าซและสร้างท่อส่งก๊าซจากแหล่งก๊าซในซินเจียงและเสฉวน ทางภาคตะวันตกของประเทศไปยังศูนย์กลางการค้าในเซี่ยงไฮ้และกว่างตง เพื่อลดการพึ่งพาถ่านหินที่ใช้ผลิตไฟฟ้ากว่า 80% ของทั้งหมด ด้วยหวังว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน
money news update
***********
16/10/52
News Comment

Energy-Coal ราคาถ่านหิน BJI ปรับเพิ่มขึ้น 0.30 เหรียญ/ตัน หรือ 0.42% wow เป็น 71.45 เหรียญ/ตัน

ความเห็นนักวิเคราะห์ :
ราคาถ่านหินยังคงขยับขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 2 โดยการฟื้นตัวในช่วง Q4/52 คาดจะได้รับปัจจัยหนุนจากทิศทางราคาน้ำมันและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศอื่นๆนอกเหนือจากจีน เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ขณะที่ SCRI คาดราคาถ่านหิน BJI เฉลี่ยยังคงมีแนวโน้มทำได้ตามสมมติฐานเดิมคือเฉลี่ยปี 2552 ที่ 74 เหรียญ/ตัน ซึ่งใน Q4/52 จะอิงกรอบราคาถ่านหินที่ 80-85 เหรียญ/ตัน
ในเชิงปัจจัยพื้นฐาน SCRI ยังคง Positive ต่อทิศทางราคาถ่านหินและปัจจัยพื้นฐานหุ้นในกลุ่มถ่านหินซึ่งมีแนวโน้มขยับดีขึ้นตามทิศทางราคา โดยช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มถ่านหินอย่าง BANPU ไม่มี upside ทำให้ SCRI ยังคงแนะนำ รอซื้ออ่อนตัว ซึ่งหากภาวะตลาดโดยรวมทำให้ราคาหุ้นปรับลงมาจนเริ่มมี upside 10%-15% จากราคาเหมาะสมที่ 428 บาท จะเป็นจุดที่น่าสนใจในการกลับเข้าไปซื้อลงทุน ทั้งนี้ ปี 2552-2553 มีโอกาสได้รับการปรับประมาณการเพิ่มจากปริมาณการผลิต ซึ่งปัจจุบัน SCRI อิงไว้ที่ระดับ 19.5 ล้านตันในปี 2552 และ 2553 ซึ่งอิงส่วนลดไว้ 5% จากแผนการผลิตที่ 20.5 ล้านตันในปี 2552 และ 2553 แต่สภาพอากาศในอินโดนีเซียที่เอื้ออำนวยต่อการผลิตถ่านหินมากกว่าปีก่อน ทำให้ Q3/52 การผลิตถ่านหินคาดจะทำได้ถึง 5.3-5.5 ล้านตัน ซึ่งสูงขึ้นกว่าปริมาณขาย Q2/52 ที่ 4.5 ล้านต้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้โอกาสในการผลิตตามแผนเป็นไปได้มากขึ้น สำหรับปี 2553 การผลิตของ East block (กำลังการผลิต 3 ล้านตัน)และเหมือง Kitadin ที่อาจเริ่มกลับมาทำการผลิตใหม่อีกครั้ง คาดจะทำให้ BANPU มีโอกาสปรับแผนการผลิตเพิ่มเป็น 23-23.5 ล้านต้น (ไม่รวม Kitadin ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษา) ซึ่งแผนการผลิตที่เพิ่มขึ้นราว 15% yoy จะช่วยชดเชยกับราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของบริษัทที่มีแนวโน้มทรงตัว-อ่อนตัวลงในปีหน้า (จาก Lag Time ในการปรับราคา) BANPU เป็นหุ้นที่ทิศทางการเติบโตในปี 2553 อาจจะไม่ได้โดดเด่น แต่ในช่วงที่ผ่านมาถือว่าผลกระทบต่อวิกฤตเศรษฐกิจแทบจะไม่มีผลให้ผลประกอบการของ BANPU ลดต่ำลง โดยระยะยาวหลังปี 2554 มีแนวโน้มจะกลับมาเติบโตได้ต่อเนื่องจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มจากเหมืองเกาเหอที่จะเริ่มผลิตในเดือนส.ค 2553 และบารินโตในปลายปี 2553

*********
14/10/52
ราคาน้ำมันพุ่งต่อเนื่อง หลังเงินดอลลาร์อ่อนค่า และโอเปกคาดความต้องการปีหน้าพุ่ง

Posted on Wednesday, October 14, 2009
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์ก ส่งมอบเดือน พ.ย. ปรับเพิ่มขึ้น 0.88 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 74.15 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

ปัจจัยบวกที่มีผลต่อราคาน้ำมัน

- ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 14 เดือนที่ 1.4847 ดอลลาร์สหรัฐต่อยูโร จากการที่นักลงทุนเคลื่อนย้ายเงินทุนมายังตลาดน้ำมันและทองคำเพิ่มขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลทำให้ราคาทองคำวานนี้ปรับตัวสูงขึ้นทำสถิติใหม่อีกครั้ง ที่ 1,069 ดอลลาร์สหรัฐต่อ ออนซ์

- โอเปกปรับเพิ่มการคาดการณ์ความต้องการน้ำมันโลกในปี 2553 ว่าจะเพิ่มขึ้น 700,000 บาร์เรลต่อวัน มาอยู่ที่ 84.93 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากการคาดการณ์ในเดือนก่อนว่าความต้องการปี 2010 จะเพิ่มขึ้น 500,000 บาร์เรลต่อวัน

- หลังตลาดหุ้นดาวโจนส์ปิด อินเทล ผู้ผลิตชิพคอมพิวเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/52 ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดไว้เช่นเดียวกับไตรมาส 2/52 และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในไตรมาส 4/52 ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าปรับเพิ่มขึ้นกว่า 60 จุด และราคาน้ำมันดิบ WTI ที่กระดานอิเลกโทรนิกปรับขึ้นอีก 0.70 ดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 74.85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

ปัจจัยลบที่มีผลต่อราคาน้ำมัน

- ดัชนีดาวโจนส์ปรับลดลง 13 จุด โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มธนาคาร หลังนักวิเคราะห์ชื่อดัง Meredith Whitney ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของ Goldman Sachs และ Royal Bank of Canada เนื่องจากมองว่าราคาหุ้นดังกล่าวขึ้นสูงกว่าความเป็นจริง ในขณะที่จอหน์สัน แอนด์ จอหน์สัน ประกาศผลประกอบการออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้เพียงเล็กน้อย

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือน พ.ย. ปรับเพิ่มขึ้น 1.04 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 72.40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบดูไบ ตลาดสิงคโปร์ ปรับเพิ่มขึ้น 1.27 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 71.40 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรล

- สนับสนุนข้อมูลโดย บมจ. ไทยออยล์ -
money news update
********
12/10/52
News Comment
Energy (Oil) IEA ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกปี 52 และ 53 ขึ้น 200,000 บาร์เรลต่อวัน และ 350,000 บาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้คาดอุปสงค์น้ำมันโลกปี 52 ติดลบน้อยลงจาก -2.2% เป็น -1.9 % ขณะที่ ปี 53 เติบโต 1.8 %

ความเห็นนักวิเคราะห์ :
คาดการณ์อุปสงค์น้ำมันของ IEA ยังคงเป็นไปในทิศทางเชิงบวกโดยมีการปรับเพิ่มอุปสงค์น้ำมันต่อเนื่องในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา(ตั้งแต่เดือนมิ.ย.52) ทั้งนี้ คาดการณ์อุปสงค์น้ำมันล่าสุด(ประจำเดือนต.ค. 52) IEA คาดการณ์อุปสงค์โลกปี 2552 ที่ระดับ 84.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ติดลบน้อยลงจาก -2.2%yoy ในคาดการณ์ครั้งก่อนเป็น 1.9%yoy และปี 2553 ที่ 86.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจากเติบโต 1.5%yoy เป็น 1.8%yoy โดยให้น้ำหนักกับการฟื้นตัวของอุปสงค์โดยเฉพาะในกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ แม้ IEA ระบุว่าแนวโน้มตลาดน้ำมันโลกปี 2553 ยังคงมีความไม่แน่นอน หากเศรษฐกิจโลกเติบโตได้น้อยกว่าคาดการณ์ของ IMF ที่เพิ่งขยับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2553 จาก 1.9% เป็น 3.1% และระบุ OPEC ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาด เนื่องจากมีการผลิตน้ำมันออกมาที่ 26.42 ล้านบาร์เรลต่อวันในปัจจุบันมากกว่าเป้าการผลิตของกลุ่มที่ 24.845 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่เชื่อว่าการปรับคาดการณ์ของ IEA จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เพิ่มน้ำหนักให้กับความเชื่อเกี่ยวความตึงตัวขึ้นของตลาดน้ำมันในอนาคตโดยเฉพาะหลังปี 2554 ซึ่ง SCRI คาดว่าอุปสงค์น้ำมันกลับมาฟื้นตัวเท่าระดับสูงสุดเดิม ทั้งนี้ ระยะสั้น SCRI ยังคงจับตาที่ตัวเลขสต็อกน้ำมันดีเซลประจำสัปดาห์ซึ่งคาดจะเห็นการปรับตัวลงในช่วงครึ่งหลังของเดือนต.ค. 52 เป็นต้นไป (จากการจะเริ่มเข้า High Season) ทั้งนี้ คาดจะเป็นประเด็นหลักที่สนับสนุนให้ราคาน้ำมันปรับตัวฟื้นขึ้นได้ชัดเจนในช่วง Q4/52 ทั้งนี้ การฟื้นตัวของราคาน้ำมันคาดจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นในกลุ่มน้ำมันต้นน้ำโดยเฉพาะ PTTEP ซึ่งยังคง Laggard ตลาดโดยรวมในช่วงที่ผ่านมา โดยปีหน้าอัตราการเติบโตคาดจะสูงโดดเด่นถึง 85%yoy และปัจจุบันยังคงมี upside สูงถึง 32% จากราคาเหมาะสมที่ 202 บาท
โดย สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ประจำวันที่ 12 ตุลาคม 2552
www.thunhoon.com
************
28/09/52
บล. กิมเอ็งเชื่อ Q4/52 ราคาน้ำมันดิบจะอยู่ที่ 70-80 เหรียญ/บาเรล

Posted on Monday, September 28, 2009
กิตติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวในรายการ Trading Hour (Morning) ว่า ในช่วงไตรมาส 4/52 ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้าที่นิวยอร์กน่าจะเคลื่อนไหวที่ระดับ 70-80 เหรียญต่อบาเรล ในขณะที่การปรับลดลงของราคาน้ำมันในช่วงนี้ก็ไม่น่าจะลงไปต่ำกว่า 65 เหรียญต่อบาเรล

ทั้งนี้ เพราะมีปัจจัยบวกมากมายรออยู่ ทั้งการใช้น้ำมันสำหรับเครื่องทำความร้อน (Heating Oil) ในฤดูหนาวที่จะเพิ่มขึ้น รวมถึงการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) พยายามที่จะรักษาระดับราคาน้ำมันเอาไว้ โดยหากราคาลดลงไปมากก็อาจใช้วิธีลดกำลังการผลิตลง นอกจากนี้ กลุ่มประเทศที่อยู่นอกโอเปกจะมีต้นทุนการขุดเจาะน้ำมันที่ 65 เหรียญต่อบาเรล โดยหากราคาลดต่ำลงไปมาก ก็จะไม่มีแรงจูงใจให้เกิดการพัฒนาแหล่งผลิตน้ำมันใหม่ ๆ

ขณะเดียวกันแนวโน้มของเงินดอลลาร์ยังคงอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้นักลงทุนขายเงินดอลลาร์ออกไปแล้วมาลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์แทน ดังนั้นยิ่งเงินดอลลาร์อ่อนค่า ก็จะยิ่งทำให้ราคาน้ำมันแพงขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังช่วยหนุนให้ความต้องการใช้น้ำมันปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
moneyline news************
ข่าวกลุ่มพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น