วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ข่าวอุตสาหกรรมโรงพยาบาลและการบริการทางการแพทย์

16/09/52
GOVT:ไทยมีผู้ติดเชื้อหวัดใหญ่ 2009 เสียชีวิตเพิ่มอีก 11 ราย รวมเป็น 153 ราย กรุงเทพฯ--16 ก.ย.--รอยเตอร์ กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) แถลงในวันนี้ว่า ระหว่างวันที่ 6-12 ก.ย. มีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 (ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009) เสียชีวิต 11 ราย ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสม รวมเป็น 153 ราย สธ. ยังระบุว่า ในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย. เป็นช่วงที่จะต้องเฝ้าระวังโรคอย่างใกล้ชิด เพราะจะมีความเสี่ยงโรคแพร่สู่พื้นที่ชนบทเพิ่มได้ เนื่องจากเป็นช่วงโรงเรียนปิดเทอม เด็กที่มาเรียนในเมือง จะกลับบ้านในชนบท
"สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯของไทย สัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่ 6-12
กันยายน

มีผู้เสียชีวิต 11 ราย เป็นชาย 6 ราย หญิง 5 ราย สองในสาม มีโรคประจำตัว รวมยอดผู้เสียชีวิตตั้งแต่

28 เมษายน 2552 เป็นต้นมา มีทั้งหมด 153 ราย" นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสธ.

กล่าวในเอกสารเผยแพร่

เขา กล่าวอีกว่า ขณะนี้องค์การอนามัยโลก(WHO)

เตือนให้มีการเฝ้าระวังการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ ระลอกสอง

ซึ่งไทยได้เตรียมการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง

สำหรับทิศทางการแพร่ระบาดของโรคในไทย ซึ่งมีการกระจายไปในพื้นที่จังหวัดที่มีขนาดเล็กเพิ่มขึ้น

ได้มีการกำชับให้สถานบริการสาธารณสุขทุกแห่ง โดยเฉพาะสถานีอนามัย ให้การดูแลผู้ป่วยอย่างเต็มที่

หากพบผู้ที่มีอาการของไข้หวัด ขอให้สันนิษฐานว่า เป็นโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ไว้ก่อน

และส่งตัวพบแพทย์เพื่อดูแลรักษาโดยเร็ว

รองปลัด สธ. กล่าวว่า ได้มอบนโยบายให้แพทย์ที่รักษา

ให้ยาผู้ป่วยที่มีอาการเข้าข่ายทุกรายโดยไม่ต้องรอผลแล็ป เพื่อลดอัตราการเสียชีวิต

และเตรียมจัดทีมผู้เชี่ยวชาญออกติดตาม และให้ความช่วยเหลือจังหวัดที่พบปัญหา

อีกทั้ง ขณะนี้ได้กระจายยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์

ให้โรงพยาบาลทุกจังหวัดและคลินิกที่ร่วมโครงการเพียงพอแล้ว และให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ

กำกับการทำงานในพื้นที่ด้วย นอกจากนี้ขอความร่วมมือร้านขายยา

หากพบผู้ป่วยเข้าข่ายให้แนะนำไปรักษาตัวในโรงพยาบาลทันที

เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาที่รวดเร็ว

เขา กล่าวขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัด และสาธารณสุขจังหวัด

สำรวจการจัดงานและจัดเตรียมทีมให้ความรู้ คำแนะนำประชาชน อาทิ การล้างมือ การคาดหน้ากากอนามัย

และหากป่วยเป็นหวัด ก็ไม่ควรมาร่วมกิจกรรม และให้ไปพบแพทย์เมื่อมีอาการไม่ดีขึ้นภายใน 24-48

ชั่วโมง

เมื่อวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข เผยว่า

มีผู้ป่วยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิด A H1N1 เสียชีวิตสะสมรวมเป็น 142

ราย
***********
12/09/52
หุ้นในกลุ่ม โรงพยาบาลและการแพทย์
Stock price p/e p/b dvd yield(%)
1.kdh 24.00 0.00 1.36 2.08
2.cmr 27.00 0.00 1.10 3.70
3.svh 61.50 6.35 0.83 3.71
4.ntv 0.00 9.24 2.14 5.94
5.skr 9.70 10.49 1.26 6.19
6.kh 8.35 11.97 2.97 4.79
7.m-chai 29.00 14.25 0.97 5.17
8.ram 504.00 15.36 2.97 2.38
9.bh 26.50 15.81 3.74 3.02
10.vibha 2.98 15.94 1.50 4.94
11.ahc 60.00 17.95 1.12 2.08
12.bgh 24.10 21.34 2.36 2.49
13.tnh 8.65 8.97 3.30 4.74

*******************
04/09/52
สั่งรื้อ3งบสุขภาพ
โพสต์ทูเดย์ — “มาร์ค” สั่งรื้อระบบสวัสดิการขรก.-สปส.-บัตรทอง หลังพบค่าใช้จ่ายพุ่ง

วานนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เรียกผู้บริหารกระทรวงการคลัง สาธารณสุข แรงงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เข้าหารือเกี่ยวกับระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ กองทุนประกันสังคม และระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยนายอภิสิทธิ์ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของไทยทั้งหมดเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และสิทธิเท่าเทียมกัน
นายกฯ สั่งให้ศึกษาปรับปรุงวิธีและงบประมาณทั้งหมดเพื่อทำให้ประชาชนได้เข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานในการรักษาพยาบาลให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน

นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข เปิดเผยว่า ประเด็นที่หารือกันในครั้งนี้ เกิดจากการใช้จ่ายงบประมาณในระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยในปีงบประมาณ 2552 นี้ตั้งงบประมาณไว้ 5 หมื่นล้านบาท แต่กลับใช้งบไปแล้วกว่า 8 หมื่นล้านบาท นายอภิสิทธิ์จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือกัน เพื่อบริหารจัดการไม่ให้งบประมาณเพิ่มสูงขึ้นอีก

สำหรับเรื่องการโอนย้ายคู่สมรสและบุตรของผู้ประกันตน 5.88 ล้านคน จากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ไปให้สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ดูแลนั้น เพื่อให้โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสามารถดำเนินโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปได้ และจะยังจ่ายงบเหมาจ่ายรายหัวเท่าเดิม แต่เนื่องจากสปสช. ขาดแคลนงบประมาณ รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณมาทดแทนในอนาคต

นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า นายกฯ ได้เรียกไปพบเพื่อหารือเรื่องการปรับปรุงระบบสวัสดิการ และวางแนวทางจัดการงบประมาณ โดยกำหนดเวลาศึกษาให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ก่อนจะนำข้อสรุปทั้งหมดมาหารืออีกครั้ง
posttoday
***********
2/09/52
สธ.เผยยอดเสียชีวิตหวัด09สะสมเพิ่ม 11 คน
กระทรวงสาธารณสุขเผยยอดผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ล่าสุดเพิ่มอีก 11 ราย ยอดสะสมเพิ่มเป็น 130 ราย แนวโน้มเริ่มลดลง
กระทรวงสาธารณสุข เผยยอดผู้ป่วยยืนยันโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่เสียชีวิตในช่วงตั้งแต่วันที่ 23-29 ส.ค.ที่ผ่านมามีจำนวนเพิ่มขึ้นอีก 11 ราย ส่งผลให้ตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย.-29 ส.ค.52 มียอดผู้เสียชีวิตสะสมรวมทั้งสิ้น 130 ราย

ทั้งนี้ ในช่วงเดือน ส.ค.ที่ผ่านมามีแนวโน้มของการรายงานผู้ป่วยยืนยันในภาคกลางและภาคใต้ลดลง ส่วนภาคเหนือและภาคอีสานยังคงมีการระบาดอยู่
กรุงเทพธุรกิจ
***************
26/08/52
26 สค. 2552 14:10 น.

กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันแถลงความคืบหน้าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 ของประเทศไทย

นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 16-22 ส.ค. ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 8 ราย เป็นชาย 4 ราย หญิง 4 ราย เมื่อรวมกับผู้เสียชีวิตก่อนหน้านี้ 111 ราย ทำให้ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตสะสม 119 ราย

สถานการณ์แพร่ระบาดรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าการระบาดในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีการชะลอตัวต่อเนื่อง และขยายตัวไปสู่ต่างจังหวัด แนวโน้มกระจายลงสู่เขตชนบท โดยพบผู้ป่วยทุกกลุ่มอายุ แต่พบมากขึ้นในกลุ่มวัยแรงงานอายุ 31-45 ปี และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่อาชีพรับจ้างและเกษตรกร และพบมีการแพร่ระบาดในสถานที่ที่มีคนอยู่มากหรือมีกิจกรรมที่ต้องอยู่ร่วมกัน เช่น โรงเรียน เรือนจำ ค่ายเยาวชน ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุขได้ให้ทุกจังหวัดคงมาตรการ 2 ลด คือ ลดการติดเชื้อและป่วยให้มากที่สุด ลดการเสียชีวิตให้มากที่สุด และ 3 เร่ง คือ เร่งให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ค้นหาผู้ป่วยทุกชุมชน เร่งเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชนในการป้องกันตนเอง และเร่งรัดการบริหารจัดการความร่วมมือของทุกฝ่ายทั้งในส่วนกลาง ภูมิภาคและท้องถิ่น

สำหรับนโยบายกระจายยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ของกระทรวงสาธารณสุข ขณะนี้ได้กระจายยาไปยังทุกจังหวัด 6,677,341 เม็ด และสำรองไว้ส่วนกลางทั้งหมด 5,999,410 เม็ด จนถึงขณะนี้มีการใช้ยาไปแล้ว 1.8 ล้านเม็ด จากการประเมินการเข้าถึงยาต้านไวรัส พบว่าผู้ป่วยเข้าถึงยาเพิ่มขึ้น ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตลดลงอย่างต่อเนื่อง
***********
26/08/52
ฮูเตือนภัยหวัด 2009 บุกหนักรอบสอง ชี้ใกล้ถึงฤดูแพร่ระบาด/หวั่นวัคซีนไม่ทันกาล
องค์การอนามัยโลก (ฮู) ออกโรงเตือนโลกรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2009 ระลอกที่สองที่อาจจะทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นแบบ "ติดระเบิด" มีการคาดหมายว่า ในระยะสองปีข้างหน้าจะมีจำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อหวัดสายพันธุ์ เอ/เอช1เอ็น1 (A/H1N1) หรือไข้หวัดใหญ่ 2009 กว่า 2,000 ล้านคนทั่วโลก หรือเกือบจะเทียบเท่ากับ 1 ใน 3 ของประชากรโลก ทำให้หลายฝ่ายมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการผลิตและจัดสรรวัคซีนป้องกันหวัด ซึ่งเกรงว่าจะไม่เพียงพอ ไม่ทันกาล และไม่ทั่วถึง

สื่อต่างประเทศรายงานว่า นับตั้งแต่ที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่าไข้หวัดใหญ่ 2009 เป็นโรคระบาดที่มีการแพร่กระจายในระดับทั่วโลก (pandemic) เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ก็ปรากฏว่า มีการแจ้งยืนยันการตรวจพบผู้ป่วยที่ติดเชื้อหวัดดังกล่าวใน170 กว่าประเทศทั่วโลก ข้อมูลของฮูชี้ว่า เชื้อหวัดชนิดนี้ได้คร่าชีวิตผู้ป่วยไปแล้วประมาณ 1,800 คนนับตั้งแต่ที่มีการพบการแพร่ระบาดครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทั้งนี้สถิติผู้ป่วยที่เสียชีวิตส่วนใหญ่มาจากประเทศในแถบทวีปอเมริกา

ขณะที่ฤดูกาลแพร่ระบาดของไข้หวัดทั่วไปกำลังใกล้เข้ามาพร้อมๆ กับสภาวะอากาศที่มีอุณหภูมิต่ำลง นางมาร์กาเร็ต เฉิน ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ได้แถลงเตือนผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ในงานประชุมใหญ่ว่าด้วยเรื่องโรคหวัดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งจัดขึ้นเป็นเวลา 3 วันที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า รัฐบาลของประเทศทั่วโลกควรจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการจู่โจมระลอกที่สองของไข้หวัดใหญ่ 2009 ทั้งควรจะต้องรีบตัดสินใจเสียแต่เนิ่นๆ ว่าจะบริหารจัดการการแจกจ่ายวัคซีนอย่างไรให้ทั่วถึง

"เราไม่สามารถกล่าวได้ชัดเจนว่า สถานการณ์เลวร้ายที่สุดของการแพร่ระบาดได้ผ่านพ้นไปแล้วหรือยัง หรือว่าสิ่งเลวร้ายที่สุดยังมาไม่ถึง เราจำเป็นจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการแพร่ระบาดระลอกที่สอง หรือแม้แต่ระลอกที่สามที่มักจะเกิดขึ้นตามมา ดังที่เคยปรากฏมาแล้วในอดีต" ผู้อำนวยการใหญ่ของฮูยังกล่าวด้วยว่า ทุกประเทศควรต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งไม่คาดฝันใดๆ ก็ตามที่อาจเกิดขึ้นเพราะเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการกลายพันธุ์และมีสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นอยู่เสมอตามธรรมชาติของการอยู่รอดในโลกของเชื้อโรค

สิ่งที่จำเป็นต้องมีการเตรียมพร้อมแต่เนิ่นๆ ก่อนการแพร่ระบาดใหญ่ครั้งต่อไป คือการเตรียมความพร้อมเรื่องวัคซีนป้องกันหวัดสายพันธุ์ เอ/เอช1เอ็น1 ซึ่งข่าวระบุว่า ปัจจุบันมีบริษัทยามากกว่า 24 รายทั่วโลกที่กำลังเร่งผลิตวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ แต่ก็เชื่อว่าปริมาณผลิตจะมีจำกัด ก่อนหน้านี้ ฮูได้เคยให้ตัวเลขเกี่ยวกับปริมาณความต้องการวัคซีนว่า เฉพาะประเทศที่อยู่ในซีกโลกเหนือเส้นศูนย์สูตรได้มีการสั่งซื้อวัคซีนป้องกันเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 มาแล้วมากกว่า 1,000 ล้านโดส ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะวัคซีนขาดตลาด ทั้งนี้ เพราะนอกจากความต้องการจะมีสูงมากแล้ว ในฟากการผลิตยังมีความล่าช้า

ทั้งเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขและบริษัทผู้ผลิตยา ต่างก็พยายามหาช่องทางที่จะเร่งผลิตวัคซีนให้ได้เพียงพอก่อนที่ฤดูกาลแพร่ระบาดของไข้หวัดจะเริ่มขึ้นในซีกโลกเหนือในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า คาดว่าเวลาที่วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009 จะพร้อมออกสู่ตลาดคือช่วงเดือนกันยายนถึงธันวาคมนี้

นายชิน ยัง-ซู ผู้อำนวยการของฮูประจำภาคพื้นแปซิฟิกตะวันตก กล่าวเตือนว่า ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เชื้อไวรัสดังกล่าวจะแพร่ระบาดไปทั่วโลกอีกครั้ง และในประเทศส่วนใหญ่อาจจะพบว่า จำนวนผู้ติดเชื้อสามารถเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 2-3 เท่าในทุกๆ ช่วง 3-4 วันและเป็นเช่นนั้นนับเดือนๆ จนกว่าจะถึงจุดที่มีการแพร่ระบาดพุ่งถึงขีดสุด " ณ ช่วงเวลาหนึ่ง จำนวนผู้ป่วยจะพุ่งแบบระเบิด ซึ่งแน่นอนว่า จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับจำนวนผู้เสียชีวิตที่จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน"

ผู้แทนจากประเทศกำลังพัฒนาที่เข้าร่วมประชุม เช่น พม่าและบังกลาเทศ ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมรับมือ เนื่องจากระบบสาธารณสุขภายในประเทศยังล้าหลัง ขาดแคลนอุปกรณ์และงบสนับสนุน จึงขอความช่วยเหลือจากองค์การอนามัยโลกให้ประเทศยากจนได้มีโอกาสเข้าถึงวัคซีนป้องกันหวัดด้วย พร้อมกับขอให้มีการจัดสรรวัคซีนราคาพิเศษในราคาเกินทุนเพียงเล็กน้อยสำหรับประเทศกำลังพัฒนา เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายเคจิ ฟุกุดะ หัวหน้าฝ่ายไข้หวัดของฮู ออกมายืนยันว่ากำลังเร่งหาทางช่วยเหลืออยู่ และยังระบุว่าขณะนี้มี 2 บริษัทผู้ผลิตยา ได้รับปากจะบริจาควัคซีนป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2009 ให้กับประเทศยากจนจำนวนรวม 150 ล้านโดสภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้

อนึ่ง สถิติของฮูชี้ว่า ในแต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตด้วยไข้หวัดธรรมดาราว 250,000-500,000 คนทั่วโลก ส่วนกรณีที่เกิดการแพร่ระบาดของไข้หวัดครั้งร้ายแรงที่สุดก่อนหน้านี้ซึ่งเป็นการแพร่ระบาดทั่วโลก คือไข้หวัดปี 1968 (พ.ศ. 2511) ซึ่งเริ่มขึ้นที่เกาะฮ่องกง ครั้งนั้นมีผู้ป่วยเสียชีวิตประมาณ 1 ล้านคน สำหรับไข้หวัดใหญ่ 2009 นั้น ทางฮูได้เตือนว่า แม้จะเป็นช่วงฤดูร้อนในซีกโลกเหนือ ไวรัสชนิดนี้ก็ยังแพร่ระบาดได้ดี ต่างจากไวรัสไข้หวัดทั่วไปที่มักหยุดการแพร่ระบาดในช่วงที่อุณหภูมิอากาศสูงขึ้น นั่นแสดงถึงความสามารถในการพัฒนาตัวเองของเชื้อหวัดใหญ่ 2009 ที่มีความสามารถในการอยู่รอดสูงขึ้น
ฐานธุรกิจ
************
19/08/52
ยอดผู้เสียชีวิตจากหวัด 2009 พุ่งแตะ 111 รายแล้ว

Posted on Wednesday, August 19, 2009
นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข บอกว่า ระหว่างวันที่ 9-15 สิงหาคมที่ผ่านมา มียอดผู้เสียชีวิตจากเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เพิ่มขึ้นอีก 14 ราย เป็นชาย 7 ราย และหญิง 7 ราย ซึ่งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ 85% มีโรคประจำตัว ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมจากเชื้อโรคดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน -15 สิงหาคม เพิ่มเป็น 111 รายแล้ว

ด้านนพ. พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ยอมรับว่า ขณะนี้มีการโฆษณาขายยาต้านไวรัส ทั้งยาโอเซลทามิเวียร์ หรือยาซานามิเวียร์ รวมทั้งมีการอ้างว่าเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรผสมยาต้านไวรัส ผ่านทางเว็บไซต์ต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ต จึงขอย้ำว่ายาต้านไวรัสดังกล่าวจัดเป็นยาควบคุมพิเศษ และมีเงื่อนไขให้ใช้เฉพาะโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล ไม่มีจำหน่ายในร้านขายยาทั่วไป

ทั้งนี้ กระทรวงฯ ได้กระจายยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ไปยังโรงพยาบาลและคลินิกที่เข้าร่วมโครงการเท่านั้น ดังนั้น การโฆษณาขายยาทางอินเทอร์เน็ต จึงมีความผิดตามกฎหมาย รวมทั้งการได้รับยาอย่างไม่เหมาะสม ก็จะทำให้เชื้อไวรัสดื้อต่อยาได้ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้มีอาการป่ว เพราะหากมีอาการป่วยจริง ๆ ยาจะไม่สามารถรักษาอาการป่วยได้ และที่สำคัญอาจเป็นยาปลอมและยาเสื่อมคุณภาพ ซึ่งไม่มีใครสามารถรับรองความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ยาดังกล่าว

สำหรับยาต้านไวรัสที่ใช้สำหรับโรคไข้หวัดใหญ่ ที่ขึ้นทะเบียนตำรับยาในประเทศไทยมี 2 ตัวยาสำคัญ คือ ยาโอเซลทามิเวียร์ และยาซานามิเวียร์ ซึ่งยาโอเซลทามิเวียร์ได้รับอนุมัติทะเบียนตำรับยาโดยมีชื่อการค้า 2 ชื่อ คือ ทามิฟลู ที่นำเข้าจากต่างประเทศ ในรูปแบบแคปซูลและยาน้ำ และยาจีพีโอ - เอ – ฟลู ซึ่งเป็นยาที่ผลิตในประเทศ โดยองค์การเภสัชกรรม ในรูปแบบแคปซูล

ด้านองค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่า ประชาชนในซีกโลกภาคเหนือ สั่งวัคซีนป้องกันเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จำนวนกว่า 1,000 ล้านหน่วย ซึ่งอาจทำให้เกิดการขาดแคลนวัคซีนนี้ได้ ในบางประเทศ โดย กรีซ เนเธอร์แลนด์ แคนาดา แลอิสราเอล สั่งวัคซีนนี้ถึง 2 เท่า เพื่อนำไปฉีดป้องกันโรคให้กับประชาชนทั้งหมดในประเทศ ส่วนประเทศอื่นๆ เช่น เยอรมนี สหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส ได้สั่งวัคซีนนี้ เพื่อนำไปใช้ป้องกันโรคให้กับประชาชนในประเทศของตนเอง 20-78% ของประชากรทั้งหมด
monneychannel
stock in focus
**********
17/08/52
รพ.เอกชนขู่ทงสปส.
รพ.เอกชน ขู่ถอนตัวจากประกันสังคม หากไม่ได้รับเงินค่าหัวขยายสิทธิไปยังคู่สมรส-บุตรเท่าสปสช.

นพ.เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์ นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เปิดเผยว่า การที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ขยายสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน ไปยังคู่สมรสและบุตรนั้น ทางโรงพยาบาลเอกชนควรได้รับค่ารักษาพยาบาลรายหัวขาขึ้นเท่ากับที่กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้รับในปี 2553 ในอัตราคนละ 2,400 บาท
“หากโรงพยาบาลเอกชนได้รับค่ารักษาพยาบาลรายหัวไม่เพียงพอและแบกภาระไม่ไหวก็ต้องออกจากระบบ” นพ.เอื้อชาติ กล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีโรงพยาบาลเอกชนที่เป็นคู่สัญญากับสปส. กว่า 100 แห่ง มีผู้ประกันตนในมือ อยู่เกือบ 6 ล้านคน จากสมาชิก ผู้ประกันตน 9.8 ล้านคน ซึ่งตามหลักการคู่สมรสและบุตรเคยได้รับจากสปสช.เท่าไหร่ เมื่อมาอยู่กับสปส. ก็น่าจะจ่ายให้เท่ากับที่เคยได้รับแล้วค่อยหักออกจากบริการที่สปส. ไม่ได้ให้บริการ

นพ.เอื้อชาติ กล่าวด้วยว่า ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โรงพยาบาลเอกชน ได้รับต้นทุนเหมาจ่ายรายหัวเฉลี่ยประมาณคนละ 1,404 บาท ซึ่งถือว่าอยู่ในสภาพขาดทุน

อย่างไรก็ตาม การขยายสิทธิประโยชน์ควรให้คู่สมรสและบุตรเลือกโรงพยาบาลเองโดยสมัครใจ ไม่ควรเป็นภาคบังคับ รวมทั้งต้องถามโรงพยาบาลเอกชนด้วยว่ามีโรงพยาบาลใดสมัครใจจะเข้า ร่วมบ้าง

นอกจากนี้ สปส.ควรตั้งกองทุนการเจ็บป่วยเพิ่มขึ้นมาเช่นเดียวกับสปสช. โดยแยกกับค่าหัวรักษาพยาบาล เพื่อให้โรงพยาบาลเอกชนสามารถนำไปเบิกได้ เช่น การเพิ่มสิทธิทันตกรรม

ด้านนายนิมิตร์ เทียนอุดม ผอ.มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า ค่าหัวโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับจาก สปส. อยู่ในจุดที่คุ้มทุนอยู่แล้ว แต่โรงพยาบาลเอกชนควรต้องหัน มาเพิ่มมาตรฐานการรักษาพยาบาลให้ผู้ประกันตนมากกว่านี้

นอกจากนี้ ไม่เห็นด้วยกับ การแยกกองทุนการรักษาพยาบาลโรคต่างๆ ออกจากค่าหัวเหมา จ่ายในการรักษาพยาบาลที่สปส. ได้ตั้งไว้ เพราะปกติสปส. ก็ได้งบค่ารักษาพยาบาลโรคเรื้อรังพิเศษอยู่แล้ว การแยกกองทุนออกมาอาจเป็นการเปิดโอกาสให้มีการตั้งค่ารักษาเพื่อเบิกสูงกว่าต้นทุนมาก เกินไป

ขณะที่นายไพฑูรย์ แก้วทอง รมว.แรงงาน กล่าวว่า การที่โรงพยาบาลเอกชนจะเข้ามาขึ้น กับสปส. นั้นเป็นการสมัครใจ ส่วนเรื่องค่าหัวในการรักษาพยาบาล ได้ตรวจสอบสถิติการเข้ารักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากข้อมูลที่พบแนวโน้มนอกจากไม่เพิ่มค่าหัวให้แล้วอาจต้องลดด้วย

“โรงพยาบาลเอกชนมีหน้าที่อย่างเดียวคือเรื่องทำกำไร และขาดทุน ถ้าขาดทุนก็อยู่ไม่ได้ ส่วนถ้าจะให้ได้กำไรก็ต้องปรับ การจะปรับก็ต้องแก้เรื่องการผูกขาดเพื่อทำให้เกิดการแข่งขันในเชิงคุณภาพ” นายไพฑูรย์ กล่าว
posttoday
stock in focus
**************
12/08/52
ไข้หวัดดันPYTกำไรโต

ธุรกิจโรงพยาบาลล่ำซำ โรคหวัดดันยอดผู้ป่วยนอกทะลัก PYT กำไรพุ่ง 264% ด้าน BH โกย 626 ล้านบาท

นายไพบูลย์ เฟื่องฟูสกุล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายการเงินและการลงทุน บริษัท ประสิทธิ์พัฒนา (PYT) เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานในงวดไตรมาส 2 ปีนี้ มีกำไรสุทธิ 81.60 ล้านบาท มีกำไรต่อหุ้น 0.03 บาท เพิ่มขึ้น 264.77% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 22.37 ล้านบาท
ขณะที่งวด 6 เดือนแรก มีกำไรสุทธิ 127.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83.46% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 69.23 ล้านบาท

“งวดไตรมาส 2 บริษัทมีรายได้สุทธิจากกิจการโรงพยาบาลจำนวน 1,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เพราะมีการให้บริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นทำให้รายได้ต่อคนไข้สูงขึ้น และมีปริมาณคนไข้นอกเพิ่มขึ้น 2%”

ทั้งนี้ PYT ยังคงเป็นบริษัทที่ยังถูกขึ้นเครื่องหมายหยุดพักการซื้อขายหุ้นและต้องแก้ไขการดำเนินงาน และหากปีนี้ยังโชว์กำไรสุทธิได้ต่อเนื่องก็จะทำให้ PYT มีผลดำเนินงานเป็นบวกติดต่อกัน 3 ปี ตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ซึ่งก็จะสามารถกลับมาซื้อขายในกระดานได้ตามปกติ

ด้านบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) รายงานว่า ไตรมาส 2 ปีนี้มีกำไรสุทธิ 288.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 279.81 ล้านบาท โดยมีรายได้ 2,244 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จาก 2,186 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2551

ทั้งนี้ รายได้ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากรายได้จากผู้ป่วยในเพิ่มขึ้น 2% และรายได้จากผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้น 6%

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ออกมาระบุว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีที่สุดของธุรกิจโรงพยาบาลหลังจากโรค ไข้หวัดใหญ่ 2009 ทำให้มีผู้ป่วยนอกเพิ่มมากขึ้น เพราะผู้บริโภคจะเปลี่ยนพฤติกรรมจากที่ป่วยแล้วซื้อยากินเองก็จะไปพบแพทย์เพิ่มมากขึ้น
posttoday
stock in focus,medical bussiness
************
07/08/52
คณะอนุกรรมการฯ คาดหวัด 09 ระบาดหนักช่วง ส.ค.-ก.ย.
คณะอนุกรรมการฯ คาดหวัด 09 ระบาดหนักช่วง ส.ค.-ก.ย.ต่อเนื่องถึงปี 53 ด้าน อภ.เตรียมทดลองวัคซีนในคน 6 ก.ย.

นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นพ.มงคล ณ สงขลา ประธานคณะอนุกรรมการสนับสนุนป้องกัน ควบคุม และการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ร่วมแถลงผลการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ครั้งแรกว่า ที่ประชุมได้ประเมินสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ฯ 2009 ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 ว่า ในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย.นี้ คาดว่าการแพร่ระบาดยังเป็นช่วงขาขึ้น และมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 10 เท่า เนื่องจากมีความใกล้เคียงกับรอบการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล และคาดว่าการระบาดจะต่อเนื่องไปถึงต้นปี 2553 (ม.ค.-ก.พ.)

นายวิทยา กล่าวว่า การป้องกันไข้หวัดใหญ่ฯ 2009 มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมได้ด้วยการหากพบมีอาการเจ็บป่วยควรหยุดอยู่กับบ้านไม่ออกไปไหน และปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข และในกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการรุนแรงให้รับพบแพทย์ทันที และแยกตัวอยู่ที่บ้านเพื่อตัดวงจรระบาดของโรค
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=60800
stock in focus
**************
29/07/52
H1N1 FLU:สธ.พบผู้เสียชีวิตจากหวัด 09 เพิ่มเป็น 65 คน ป่วยสะสม 8,877 คน
Source - IQ Biz (Th) Wednesday, July 29, 2009 12:37

อินโฟเควสท์ (29 ก.ค. 52)--นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยพบยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มจากสัปดาห์ก่อน 21 ราย ส่งผลให้มียอดผู้เสียชีวิตสะสมรวมทั้งสิ้น 65 ราย ขณะที่ยอดผู้ป่วยขึ้นทะเบียนติดเชื้อดังกล่าวสะสมตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย.-28 ก.ค.52 มีจำนวน 8,877 ราย เพิ่มจากสัปดาห์ก่อนที่มีอยู่ 6,776 ราย โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคแทรกซ้อน สำหรับผู้เสียชีวิตทั้งหมด 65 ราย มีภูมิลำเนาอยู่ใน 27 จังหวัด แยกเป็น ภาคกลาง 13 จังหวัด ภาคอีสาน 6 จังหวัด ภาคเหนือ 4 จังหวัด และภาคใต้ 4 จังหวัด เป็นหญิง 30 ราย ชาย 35 ราย พบทุกกลุ่มอายุ โดย 41 ราย เป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง มากที่สุดคือ โรคหัวใจและหลอดเลือด 14ราย เบาหวาน 9 ราย อ้วนน้ำหนักตัวมากกว่า 100 กิโลกรัม 9 ราย โรคปอดหรือสูบบุหรี่จัด 7 ราย ไตวายเรื้อรัง 6 ราย กินยากดภูมิต้านทาน 4 ราย โรคระบบเลือดและตั้งครรภ์ อย่างละ 3 ราย โรคตับและพิการแต่กำเนินอย่างละ 2 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตที่เหลืออีก 24 ราย เป็นผู้ไม่มีโรคประจำตัว ส่วนใหญ่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลล่าช้า หลังป่วยแล้วถึง 6 วัน ทำให้การให้ยาต้านไวรัสไม่ได้ผลดี
csg,stock in focus
***********
25/07/52
อภ.สั่งสำรองยาสูตรใหม่รักษาอาการดื้อยารักษาหวัด 2009
น.พ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ทั่วโลก มีอาการดื้อยาประมาณ 4-5 ราย แต่ไม่แพร่เชื้อไปสู่บุคคลอื่น แม้ไม่พบการดื้อยาในประเทศไทย แต่เพื่อความไม่ประมาท ได้สั่งสำรองยาสูตรใหม่ ที่จะรักษาเชื้อดื้อยาได้ชื่อว่า ยาซานามิเวียร์ ซึ่งเดือนหน้าจะส่งเข้ามาประเทศไทย 50,000 เม็ด และในวันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม มีมติสั่งสำรองยาโอเซลทามิเวียร์เพิ่มอีก 40 ล้านเม็ด โดย 20 ล้านเม็ดแรกจะมาถึงไทยในสัปดาห์หน้า
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9520000084034
stock in focus,influenza type a
***********
24/07/52
ปัจจัยไข้หวัดใหญ่2009กระทบเศรษฐกิจ
ไข้หวัด 2009 ปัจจัยอันดับ 1 กระทบเชื่อมั่นผู้บริโภคและการฟื้นตัวเศรษฐกิจ แซงปัญหาการเมืองและน้ำมันแพง

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้า ไทย เปิดเผยผลสำรวจทัศนะของประชาชนต่อการระบาดของโรค ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ว่า ไข้หวัดใหญ่ 2009 เป็นผลกระทบเชิงจิตวิทยาต่อประชาชนอันดับ 1 มีผลให้เศรษฐกิจแย่ลง โดยปัจจัยอื่นๆ ที่เคยเป็นอันดับต้นๆ เช่น ราคาน้ำมัน การเมือง ขณะนี้เป็นอันดับรอง
ทั้งนี้ จากผลสำรวจปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศแย่ลงในความคิดเห็นของประชาชน อันดับ 1 ได้แก่ การระบาดของไข้หวัด 2009 มี 28.8% รองลงไปคือความไม่มั่นใจต่อเศรษฐกิจไทย 19.4% ราคาสินค้าสูงขึ้น 16.5% ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น 11% และการเมือง 10%

จากความไม่มั่นใจของประชา ชนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจระยะสั้น 1-3 เดือนนี้ และส่งผลกระทบต่อดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เนื่องจาก 31.4% มองว่าการระบาดของไข้หวัด 2009 เป็นปัจจัยที่ทำให้การบริโภคลดลง นอกจากนี้ประชา ชนยังเชื่อว่าเศรษฐกิจไม่สามารถฟื้นตัวได้ในช่วงไตรมาส 4 ถึง 30.3%

“ประชาชนคิดว่าการระบาดของไข้หวัดจะส่งผลต่อการจับจ่ายใช้สอย โดยมูลค่าการใช้จ่ายจะลดลง 42% และซื้อสินค้าน้อยลง 36.6% ซึ่งจะมีผลต่อการบริโภคทั้งสินค้าจำเป็นและสินค้าฟุ่มเฟือย โดยคนที่ลด การบริโภคส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตกรุงเทพฯ” นายธนวรรธน์ กล่าว

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า การบริโภคในแต่ละไตรมาสมีมูลค่าประมาณ 4 แสนล้านบาท เฉลี่ย 1.3-1.5 แสนล้านบาทต่อเดือน หากการระบาดของไข้หวัดยังเพิ่มขึ้นจะมีผลให้การบริโภคลดลง 5,000–1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน นักท่องเที่ยวลดลงเดือนละ 5 หมื่น–1 แสนคน โดยเฉลี่ยแล้วจะทำให้ไตรมาส 3 รายได้จากการท่องเที่ยวและการบริโภคลดลง 6.3 หมื่นล้านบาท

ดังนั้น รัฐบาลต้องมีการบริหารความเชื่อมั่น เพราะหากสถานการณ์การระบาดยังไม่หยุด แต่ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่น จะทำให้สถานการณ์ความหวาดกลัวคลี่คลายลง

สำหรับความพร้อมของรัฐบาลในการรับมือกับสถานการณ์ รัฐบาลได้คะแนนความพร้อม 5.97 จากคะแนนเต็ม 10 ความพึงพอใจกับมาตรการป้องกันของรัฐบาล 5.91 แสดงให้เห็นว่าประชาชนยังขาดความมั่นใจในการดูแลปัญหา
stock in focus,influenza 2009

*************
24/07/52
ยอดขายยาหวัดใหญ่พุ่ง 1,900% รัฐบาลทั่วโลกสต๊อกยารับมือการแพร่ระบาด
ยุคทองของอุตสาหกรรมยา ยอดขายยา "รีเลนซ่า" ซึ่งเป็นยารักษาไข้หวัดใหญ่ พุ่งขึ้นจากปีก่อนถึง 1,900% เมื่อรัฐบาลทั่วโลกสต๊อกยาเพื่อเตรียมรับมือกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009

stock in focus,ข่าวอุตสาหกรรมโรงพยาบาลและการบริการทางการแพทย์.

**********
22/07/52
หวัด 2009 ผลดีต่อกลุ่มโรงพยาบาล
สถาบันวิจัยนครหลวงไทยวิเคราะห์ว่า ธุรกิจโรงพยาบาลจะก้าวเข้ามามีบทบาทสําคัญต่อชีวิตประจําวันของคนไทย

แม้การแพร่กระจายของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ 2009 เอช1เอ็น1 จะสามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นก็ตาม แต่ผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน สร้างความตระหนักและได้ยกระดับความใส่ใจสุขภาพของคนไทยให้ปรับเพิ่มสูงขึ้น ทําให้ประชาชนที่เริ่มมีอาการป่วยไม่ลังเลที่จะเข้ารับการตรวจรักษา ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะช่วยผลักดันให้อัตราการเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลขยายตัวเพิ่มขึ้น และส่งผลต่อเนื่องให้ผลประกอบการกลุ่มโรงพยาบาลในอนาคตปรับขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และอาจสูงกว่าที่ตลาดประเมินไว้

ดังนั้น มีแนวโน้มสูงที่นักวิเคราะห์รวมจะปรับประมาณการผลการดําเนินงานของกลุ่มโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหุ้นบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) และโรงพยาบาลไทยนครินทร์ (TNH ) ซึ่งเป็นหุ้นที่แนะนำให้ลงทุนสูงสุดในกลุ่มของสถาบันวิจัยนครหลวงไทยจึงแนะนํา “ซื้อ”

การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่คาดว่าจะควบคุมได้ แม้โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จะมีอาการคล้ายไข้หวัดทั่วไปคือ มีไข้ ปวดศีรษะ ไอ เจ็บคอ เป็นต้น แต่หากได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีและพักผ่อนอย่างเพียงพอ อาการก็จะทุเลาและหายป่วยได้เองภายใน 3-5 วัน

นอกจากนี้ การเฝ้าระวังและป้องกันตัวเองให้มีความเสี่ยงต่ำสุดในการติดเชื้อดังกล่าว เป็นอีกหนทางที่จะช่วยควบคุมการแพร่กระจายและลดจํานวนผู้ติดเชื้อลงได้ สถานการณ์ในไทยยังอยู่ในช่วงเฝ้าระวังอย่างเคร่งครัด ผู้ป่วยสะสมของไทยมีจํานวน 4,469 คน เสียชีวิตแล้ว 26 คน (ข้อมูลถึงวันที่ 16 ก.ค.) ขณะที่สถานการณ์โลก องค์การอนามัยโลก รายงานถึงวันที่ 6 ก.ค. 2552 มีผู้ป่วยใน 136 ประเทศ รวม 94,512 คน เสียชีวิต 429 คน

ทั้งนี้ ผู้ป่วยในไทยที่เสียชีวิต 26 คน แม้จะสูงสุดในทวีปเอเชีย แต่คิดเป็นสัดส่วนผู้เสียชีวิต 0.4 ต่อล้านประชากร ซึ่งน้อยกว่าประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีผู้เสียชีวิต 0.7 ต่อล้านประชากร ส่วนที่แคนาดามีผู้เสียชีวิต 1.2 ต่อล้านประชากร

คาดกลุ่มท่องเที่ยวได้รับผลกระทบในระยะสั้นอย่างชัดเจน : แม้คาดการแพร่กระจายของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ทั่วโลกจะสามารถควบคุมได้ดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2552 แต่ความกังวลถึงการระบาดอย่างรวดเร็ว อาจทําให้จํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เข้ามาประเทศไทยลดลงได้

สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (พาตา) คาดตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติจะลดลง 10.3% ขณะที่สถาบันวิจัยนครหลวงไทย คาดจํานวนนักท่องเที่ยวปี 2552 ที่ 12.5 ล้านคน ลดลง 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

กลุ่มโรงพยาบาลรับผลบวกจากความใส่ใจในสุขภาพที่เพิ่มขึ้น : การแพร่กระจายของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ส่งผลให้เกิดการร่นระยะเวลาในการเข้ารักษาโดยแพทย์เร็วขึ้น ดังเห็นได้จากจํานวนผู้ป่วยในของโรงพยาบาลทั้งในประเทศในช่วงไตรมาส 2-3/2552 ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ 15-20% ปัจจัยดังกล่าวจะช่วยหนุนให้ผลการดําเนินงานปี 2552 ของกลุ่มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

คาดโรงพยาบาลเอกชนได้รับประโยชน์สูงสุด : แม้โรงพยาบาลเอกชนจะมีค่ารักษาพยาบาลที่สูงกว่าโรงพยาบาลรัฐบาล แต่ความรวดเร็วและบริการที่เหนือกว่าคาดจะทําให้ผู้ป่วยเลือกที่จะเข้ามารักษา เพราะไม่ต้องการเผชิญความเสี่ยงกับการแพร่กระจายของเชื้อโรคอย่างรวดเร็ว ปัจจัยดังกล่าวทําให้ BGH และ TNH มีความได้เปรียบจากเครือข่ายที่กระจายอยู่ทั่วประเทศและจากที่ตั้งในบริเวณสุวรรณภูมิที่มีการขยายตัวของประชากรในระดับสูง และมีจํานวนโรงพยาบาลที่ได้รับความเชื่อถือในบริเวณดังกล่าวในวงจํากัด

การแพร่ระบาดโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เกิดขึ้นรวดเร็ว แต่คาดว่าจะควบคุมได้

บทความเกี่ยวกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza Virus) จาก http://www.vchar karn.com ระบุ เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ มีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิดหลัก ได้แก่ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A, B และ C

1) เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ชนิด A เกิดจากไวรัสที่มีรหัสพันธุกรรมเป็นท่อนๆ มีทั้งหมด 8 ท่อน ได้แก่ PB2, PB1, PA, HA, NP, NA, M, และ NS ซึ่งสามารถสร้างโปรตีนได้ 10 ชนิด ได้แก่ PB2, PB1, PA, HA, NP, NA, M1, M2, NS1 และ NS2 โดยส่วนที่สําคัญคือ HA (Hemagglutinin) ซึ่งแบ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยได้ 16 ชนิด (H1–H16) และ NA (Neuraminidase) ซึ่งแบ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยได้ 9 ชนิด (N1–N9) ทั้ง HA และ NA เป็นโปรตีนโครงสร้างที่อยู่บนเปลือกผิวของอนุภาคไวรัส และเป็นตัวกําหนดความจําเพาะในการติดเชื้อเข้าสู่เซลล์เจ้าบ้าน (Host cell) ชนิดต่างๆ ซึ่งความหลากหลายในส่วนของ HA และ NA นี้เองที่เป็นตัว กําหนดความหลากหลายของสายพันธุ์ไวรัสชนิดต่างๆ เช่น H1N1, H1N2 เป็นต้น

2) ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ชนิด B ไม่มีสายพันธุ์ย่อย พบเฉพาะในคน

3) ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ชนิด C ไม่มีสายพันธุ์ย่อย พบในคนและสุกร

สําหรับการติดเชื้อพบว่า ไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ติดต่อกันในสัตว์จะเป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่ ชนิด A เท่านั้น ส่วนในมนุษย์สามารถติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ทั้งชนิด A (เฉพาะ H1, H2, H3 และ N1, N2 เท่านั้น) ชนิด B และ ชนิด C ส่วนสัตว์ปีกสามารถติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิด A ได้ทั้ง H1–H16 และ N1–N9

ทั้งนี้ โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จะมีอาการคล้ายไข้หวัดทั่วไปคือ มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย ไอเจ็บคอ เป็นต้น แต่หากได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีและพักผ่อนอย่างเพียงพอ อาการก็จะทุเลาและหายป่วยได้เองภายใน 3-5 วัน นอกจากนี้ การเฝ้าระวังและป้องกันตัวเองให้มีความเสี่ยงต่ำสุดในการติดเชื้อดังกล่าว เป็นอีกหนทางที่จะช่วยควบคุมการแพร่กระจายและลดจํานวนผู้ติดเชื้อลงได้

นอกจากนี้ หากเทียบกับไข้หวัดนก ในแง่ของอัตราผู้เสียชีวิตเมื่อได้รับเชื้อ พบว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นี้ร้ายแรงน้อยกว่า คือทําให้ผู้ติดเชื้อเสียชีวิตน้อยกว่า โดยอยู่ที่อัตราประมาณ 5-10% ในขณะที่ไข้หวัดนกมีอัตราผู้เสียชีวิตอยู่ที่ประมาณ 60-65% แต่สิ่งที่น่ากลัวสําหรับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นี้ คือมีการติดต่อหรือแพร่เชื้อได้ง่ายและรวดเร็ว หรือถ้าเชื้อเกิดมีการกลายพันธุ์และติดต่อกลับไปกลับมาระหว่างคนกับสัตว์ หรือคนสู่คนด้วยก็จะน่ากลัวมากยิ่งขึ้น สถานการณ์ในไทยยังอยู่ในช่วงเฝ้าระวังอย่างเคร่งครัด เพราะเชื้อกระจายนานกว่าคาด
http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=58171
stock in focus

*********
16/07/52
หุ้นกลุ่ม ร.พ.พาเหรดขึ้นยกแผง ยก "BH-BGH-KH" โดดเด่นที่สุด
หุ้น "กลุ่มโรงพยาบาล" พาเหรดขึ้นยกแผงรับอานิสงส์ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ระบาดดันจำนวนผู้ป่วยเพิ่มถ้วนหน้าหนุนรายได้ทั้งปีโตตามเป้า ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2/52 อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ "KH" เล็งเสนอบอร์ดปันผลระหว่างกาลไม่ต่ำกว่า 0.15 บาท/หุ้น ส.ค.นี้ โบรกฯแนะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีสภาพคล่อง ยก BH-BGH-KH เด่นสุดในกลุ่ม
สรุปข่าว หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น
16 ก.ค.--ข่าวหุ้น
stock in focus

**********
14/07/52
ประชาชนกลัวตายแห่ไปตรวจแน่นโรงพยาบาล

นพ.สมหวัง ด่านชัยวิจิตร อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เปิดเผยว่า การที่ประชาชนตื่น ตระหนกและกลัวไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 มากจนเกินไป ทำให้มีคนแห่มาตรวจจำนวนมาก สร้างปัญหามหาศาลให้แก่โรงพยาบาล
“ที่กลัวมากจนขึ้นรถมาหาหมอพร้อมกันทีเดียวเป็นคันรถ อยากตรวจพร้อมกันหมดทุกคนว่าเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่หรือไม่ก็มี ทั้งหมดนี้เกิดจากคนบริโภคข่าวสารมากเกินไป” นพ.สมหวัง กล่าว

พญ.วารุณี จินารัตน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า มีผู้ป่วยมาขอรับบริการตรวจรักษาเฉลี่ยวันละ 400-500 ราย และมากกว่านั้นในวันหยุด ทางโรงพยาบาลต้องจ้างบุคลากรภายนอกมาเจาะเลือดนำเชื้อผู้ป่วยไปตรวจพิสูจน์ เพราะมีกำลังคนไม่พอ
http://www.posttoday.com/news.php?id=56833
stock in focus
*******
13/07/52
อเมริกาเล็งใช้เงินอีก 1 พันล้านเหรียญ ผลิตวัคซีนต้าน H1N1

รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและทรัพยากรมนุษย์ของสหรัฐฯ แคธลีน เซเบลัส มีแผนจะประกาศในวันจันทร์เรื่องงบเพิ่มเติมอีก 1 พันล้านเหรียญ เพื่อใช้ในการผลิตวัคซีนต้านเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ และยังได้การประเมินว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ แล้วราว 1 ล้านคน

ผู้บริหารหน่วยงานสาธารณสุขรายนี้ได้กล่าวว่า วัคซีนที่ถูกพัฒนาขึ้นมาและผ่านการรับรองความปลอดภัยและทดสอบประสิทธิภาพแล้วนี้ จะถูกปล่อยออกมาสู่สาธารณะได้ในช่วงกลางเดือนตุลาคม ขณะที่กระบวนการทดสอบจะเริ่มขึ้นภายในเดือนนี้ เซเบลัสบอกว่า สภาคองเกรสได้เห็นชอบกับประธานาธิบดี บารัค โอบามา แล้วในเรื่องงบ 1 พันล้านเหรียญนี้ และจัดให้มีความสำคัญเร่งด่วนอันดับแรกที่ต้องดำเนินการ เพื่อให้ชาวอเมริกันปลอดภัยจากเชื้อโรคตัวนี้

ในขณะที่สหรัฐฯ เองก็กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่มีจำนวนผู้ป่วยสูงถึงราว 1 ล้านคนแล้ว แต่ในทางการที่มีการยืนยันจากผลตรวจของห้องแล็ป ตัวเลขผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 37,246 ราย ซึ่งรวมถึงผู้เสียชีวิต 211 ราย โดยตัวเลขนี้เป็นข้อมูล ณ วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม จากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคของสหรัฐฯ ทางด้านองค์การอนามัยโลก หรือ WHO เองก็เตรียมแผนที่จะออกคำแนะนำในเรื่องการให้วัคซีน H1N1 ออกมาสู่สาธารณะ เช่นเดียวกับวัคซีนต้านเชื้อไข้หวัดใหญ่ตัวอื่นๆ และขณะเดียวกัน องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ หรือ FDA ก็มีนัดจะประชุมกันในวันที่ 23 กรกฎาคมนี้ เพื่อจะพูดคุยกันในเรื่องผลการทดสอบวัคซีนต้านเชื้อ H1N1 นี้ด้วยเช่นกัน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MorningBrief/tabid/104/newsid553/93141/Default.aspx
stock in focus

*******
08/07/52
หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลหายใจโล่งคอ ภาครัฐอัดฉีดงบกระตุ้นท่องเที่ยว แนวโน้มหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลในครึ่งปีหลังแรงดีไม่มีตก รับอานิสงส์ภาครัฐอัดฉีดกลุ่มท่องเที่ยว ดึงผู้ป่วยต่างชาติพุ่ง ผู้บริหาร KH "นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์" ยิ้มแก้มปริ ดักช่วงไฮซีซั่น ส่งซิกไตรมาส 2/2552 รายได้พุ่งกระฉูดจากไตรมาส 1/2552 ที่มีรายได้ 1,144 ล้านบาท โบรกแนะ "ซื้อ" หุ้นเด่น KH-BGH-BH เหตุดีมานด์ต่างชาติทะลัก

8/07/52
ยอดหวัด 2009 ป่วยเพิ่ม 156 ตายเพิ่มอีก 2 รวมเป็น 9 คนแล้ว
นายมานิต นพอมรบดี รมช.สาธารณสุข เปิดเผยว่า มีผู้ป่วยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เพิ่มอีก 156 คน แบ่งเป็นนักเรียน 128 คน มีผู้ป่วยสะสมทั้งหมด 2,428 คน อาการหายดีแล้ว 2,381 คน นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลอีก 38 คน เสียชีวิตล่าสุดอีก 2 คน รวมยอดผู้เสียชีวิตเป็น 9 คนแล้ว
http://www.posttoday.com/news.php?id=55904

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น