วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ข่าวกลุ่มขนส่งและโลจิสติก

19/09/52
รัฐทุ่มงบ 3 แสนล้านบาทหวังเป็นผู้นำโลจิสติกส์อาเซียน

Posted on Thursday, September 17, 2009
นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ บอกในงานไทยแลนด์ โลจิสติกส์ แฟร์ 2009 ว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับระบบโลจิสติกส์เป็นอย่างมาก โดยได้ตัดสินใจกู้เงินครั้งใหญ่ที่สุด เพื่อลงทุนในโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่ง 1 ใน 4 ของเงินกู้จะนำไปลงทุนในโครงการลงทุนขนาดใหญ่และเป็นการลงทุนปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกต์ของประเทศให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบรางรถไฟ ปรับปรุงถนนเป็น 4 ช่องจราจร

สำหรับปีนี้รัฐบาลคาดว่า จะใช้เงินลงทุนพัฒนาระบบโลจิสติกส์ไม่ต่ำกว่า 300,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์ในอาเซียน มีการลงทุนเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์ของประเทศไปสู่ตลาดการค้าอย่างต่อเนื่อง

เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกถึง 70% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์มีสัดส่วนถึง 18.9% จึงจำเป็นที่ไทยต้องเร่งพัฒนาการบริหารจัดการโลจิสติกส์ เพื่อลดต้นทุน ขณะเดียวกันต้องเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ โดยเฉพาะภาคธุรกิจการค้าและอุตสาหกรรม เพื่อการแข่งขันในตลาดโลก

ทั้งนี้ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนหรือ อาเซียนซัมมิต วันที่ 23 - 25 ตุลาคมนี้ ที่ อำเภอ ชะอำ – หัวหิน ไทยจะเสนอโครงการปรับปรุงระบบโลจิสติกส์ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งของอาเซียนใน 3 โครงการ โดยโครงการเร่งด่วนที่จะปรับปรุงเป็นเส้นทางแรก คือ การก่อสร้างถนน 4 เลน ใน อำเภอ บ้านเก่า จังหวัด กาญจนบุรี ไปท่าเรือน้ำลึกทวาย วงเงินก่อสร้าง 2,000 ล้านบาท โดยจะเสนอขอใช้เงินจากกองทุนอาเซียน-จีน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการขนส่งสินค้าที่จะไปยังอินเดีย บังคลาเทศ และปากีสถานหรือบิมสเทค

ส่วนอีก 2 โครงการ ที่จะเสนอขอใช้เงินกองทุนเดียวกันนี้ ซึ่ งอยู่ระหว่างศึกษาข้อมูลคาดว่าจะแล้วเสร็จก่อนการเริ่มประชุม คือ เส้นทางอาร์ 3 กรุงเทพฯ-เชียงราย กับเส้นทางอาร์ 12 กรุงเทพฯ-นครพนม ข้ามแม่น้ำโขงไปท่าแขก ของลาว กรุงฮานอยของเวียดนาม และต่อเส้นทางหลวงเมืองหลักเซิน ผ่านมืองผิงเสียงของกวางสี ของจีน แล้วตรงไปยังนครหนานหนิง ซึ่งทั้ง 3 เส้นทางถือเป็นประตูของกลุ่มอาเซียน

moneyline news
***********
19/08/52
ยอดการเดินทางโดยเครื่องบินเดือนมิ.ย. เริ่มฟื้นตัวขึ้น

Posted on Wednesday, August 19, 2009
สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) บอกว่า บรรยากาศการเดินทางของผู้โดยสารทั่วโลกเริ่มมีเสถียรภาพในเดือนมิถุนายน ส่วนหนึ่งเกิดจากค่าโดยสารที่ถูกลง ซึ่งดึงดูดให้ประชาชนเดินทางโดยเครื่องบินมากขึ้น โดยอัตราการเดินทางโดยเครื่องบินปรับตัวลดลง 7.1% ซึ่งดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคมที่ทรุดตัว 9.2% ขณะที่ผู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นประหยัดก็ลดลงในอัตราที่ชะลอตัวลง แต่ในส่วนของที่นั่งชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจยังคงได้รับผลกระทบมากกว่าชั้นโดยสารราคาถูก

สำหรับอัตราผู้โดยสารชั้นหนึ่ง ในเดือนมิถุนายนลดลง 21.3% จากระดับ 23.6% ในเดือนพฤษภาคม ขณะที่ผู้โดยสารชั้นประหยัดลดลง 5.5% หลังจากที่ทรุดตัว 7.6%

ทั้งนี้ สายการบินหลายแห่ง ได้ปรับลดค่าโดยสารหลายเส้นทาง เพื่อจูงใจให้ผู้โดยสารใช้บริการมากขึ้น ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกที่ซบเซา รวมทั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ ก็ได้ส่งผลดีต่อบรรยากาศการเดินทาง ทางอากาศในช่วงไตรมาส2/52 โดยการเดินทางในแอตแลนติกเหนือปรับตัวลดลงเพียง 3.5%
monneyline news
stock in focus
***********
11/08/52
ครม.อนุมัติสร้างรถไฟฟ้าสีม่วงสัญญา 1-3 แล้ว วงเงิน 3.6 หมื่นล้านบาท

Posted on Tuesday, August 11, 2009
นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี บอกว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี อนุมัติกรอบวงเงินค่าก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงบางใหญ่-บางซื่อ สัญญา 1, 2 และ 3 ตามที่กระทรวงคมนาคมได้เจรจาต่อรองแล้วรวมทั้งสิ้น 32,417 ล้านบาท ส่วนงานวางรางได้กำหนดราคาไว้ที่ 3,638 ล้านบาท จากเดิม 4,077 ล้านบาท รวมมูลค่างานโยธาโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง 36,055 ล้านบาท

สำหรับสัญญาที่ 1 คือโครงสร้างยกระดับส่วนตะวันออก ระยะทาง 12 กิโลเมตร มีสถานีรถไฟฟ้ารวม 8 สถานี เริ่มจากสถานีเตาปูนถึงสถานีพระนั่งเกล้า และงานก่อสร้างทางวิ่งช่วงบางซื่อ-เตาปูน โดยกลุ่ม CKTC Joint Venture บริษัทร่วมทุนกลุ่ม บมจ.ช.การช่าง และ โตคิว คอนสตรัคชั่น เป็นผู้รับงานในราคา 14,292 ล้านบาท

ด้านนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คาดว่า จะสามารถเซ็นสัญญากับผู้รับเหมาในสัญญาที่ 1 ได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้ ส่วนสัญญาที่ 2-3 ยังอยู่ระหว่างรอการพิจารณาอนุมัติขององค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA)

ขณะที่ นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม บอกถึงความคืบหน้าโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 6,000 คัน ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. ว่าสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. จะนำเสนอผลการศึกษาเข้าสู่ที่ประชุม ครม. อีก 2 สัปดาห์ ซึ่งจะมีการชี้ขาดว่า จะตัดสินใจเลือกวิธีการเช่า เช่าซื้อ หรือซื้อ หรือยกเลิกโครงการ โดยทางกระทรวงคมนาคมยอมรับได้ หากจะใช้การเช่าซื้อหรือซื้อ แต่หากยกเลิกต้องมีเหตุผลที่ชัดเจน และต้องตอบคำถามกับคนกรุงเทพฯ ให้ได้
monneychannel
stock in focus
*************
27/07/52
ม.หอการค้าชี้เศรษฐกิจสูญแสนล้าน โลจิสติกส์ติดไข้หวัด
Source - ทรานสปอร์ต เจอร์นัล (Th) Monday, July 27, 2009 13:56
ผู้ประกอบการโลจิสติกส์อ่วม "ไข้หวัดใหญ่ 2009" พ่นพิษ ปริมาณสินค้าหายวูบ "หอการค้าไทย" เผยฉุดความเชื่อมั่นการบริโภคของประชาชนดิ่งเหว หากสถานการณ์ลุกลามไปถึงสิ้นปี เม็ดเงินในระบบสูญเฉียด 120,000 ล้าน กระทบ GDP ปี 52 ติดลบ 5.5% ระบุธุรกิจบริการกระอักตามยอดของนักท่องเที่ยวที่ลดลง 30% นายสัญญวิทย์ เศรษฐโภคิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท บลู แอนด์ ไวท์ โลจิสติกส์ จำกัด เปิดเผยกับ "TRANPORT" ว่า จากสถาน การณ์เชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้ระบาดลุกลามไปทั่วประเทศ ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ทำให้ปริมาณสินค้าในตลาดลดลง เนื่องจากประชาชนออกจากบ้าน หรือเดินไปทางท่องเที่ยวน้อยลง ทำให้การใช้จ่ายลดลงตามไปด้วย ดังนั้น การบริโภคสินค้าจึงลดลง บวกกับเป็นช่วงโลว์ซีซั่นในหน้าฝนด้วย "เมื่อเทียบปีนี้กับปีที่ผ่านมา ปริมาณสินค้าปีนี้ลดลงมาก โดยเฉพาะสินค้าตู้คอน เทนเนอร์ที่ส่งออก แต่สินค้าอุปโภคบริโภคลดลงไม่มาก" นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล กรรมการรองเลขาธิการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การระบาดของไข้หวัดจะส่งผลให้การท่องเที่ยวปีนี้ลดลงถึง 30% ทำให้นักท่องเที่ยว ลดลง 2-3 ล้านคน และรายได้หายไป 200,000 ล้านบาท และยังกระทบต่อธุรกิจที่ต่อเนื่อง รวมถึงการบริโภคภายในประเทศ ที่สำคัญจะส่งผลกระทบทำให้การส่งออกลดลง เพราะคนกังวลไม่กล้าใช้จ่ายทำให้คาดว่าการส่งออกสินค้ากลุ่มอาหารทั้งปีนี้จะลดลง 7% ขณะที่ภาพรวมการส่งออกทั้งปีจะติดลบ 15-20% โดยไตรมาส 3 ติดลบ 18-20% ขณะที่ไตรมาส 4 ติดลบ 10-15% ผลวิจัยชี้ประชาชนผวาเลิกจับจ่าย ดร.ยาใจชูวิชา ประธานคณะจัดทำการสำรวจความคิดเห็นประเด็นธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจทรรศนะของประชาชนต่อการระบาดของโรคไข้หวัด 2009 ว่า จากผลสำรวจประชาชน 1,200 ตัวอย่างทั่วประเทศ ประชาชนถึง 67% มีความกังวลในเรื่องของไข้หวัด 2009 มากถึงมากที่สุด ได้ระดับคะแนนความกังวล 3.75 จากคะแนนเต็ม 5 ซึ่งมองว่าจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อความปลอดภัยในสุขภาพเป็นอันดับ 1 รองลงมาเป็นความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ความเชื่อมั่นของประเทศโดยรวม การเดินทางขนส่งสาธารณะ และภาวะเศรษฐกิจไทย โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค โดยมีประชาชนสูงถึง 42.1% กังวลว่าจะทำให้มีการใช้จ่ายน้อยลง ไม่เปลี่ยนแปลง 43.6% และเพิ่มขึ้น 14.3% โดยการระบาดไข้หวัด 2009 ทำให้เศรษฐกิจประเทศแย่ลง 28.8% รองลงมาเป็นความไม่มั่นใจต่อเศรษฐกิจไทย 19.4% ราคาสินค้าสูงขึ้น 16.5% และราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น 11% นอกจากนี้การระบาดของไข้หวัด 2009 ยังเป็นปัจจัยลบสูงสุดถึง 31.4% ที่ทำให้การบริโภคลดลง รองลงมาคือภาวะเศรษฐกิจแย่ลง 24.9% ราคาสินค้าสูงขึ้น 20.8% "ผลสำรวจยังระบุว่า ปัญหาไข้หวัด 2009 ส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคของคน ทำให้การเข้าชมภาพยนตร์ การซื้อสินค้านอกบ้านตามแหล่งชุมชน การชมคอนเสิร์ตและการแสดงที่มีคนมาก และระยะเวลาในการเลือกซื้อสินค้าลดลง ส่วนความพร้อมของรัฐบาลในการรับมือไข้หวัด 2009 แม้คนส่วนใหญ่จะพอใจ แต่กลับให้คะแนนเพียง 5.97 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 ส่วนความสำเร็จในมาตรการแก้ไขของรัฐให้เพียง 6.03 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 เท่านั้น" ย้ำ"โลจิสติกส์-บันเทิง"อ่วม ดร.ธนวรรธน์พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า โรคไข้หวัด 2009 มีผลทางจิตวิทยาเป็นอย่างสูงจนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยผู้ตอบแบบสอบถามสูงถึง 1 ใน 3 ระบุว่าจะส่งผลต่อการบริโภคที่ชัดเจนแซงหน้าปัจจัยในเรื่องของราคาน้ำมัน และการเมือง โดยประชาชนรู้สึกลังเลว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวในไตรมาส 4 หรือไม่ รวมทั้งยังเชื่อว่าสถานการณ์ไข้หวัด 2009 จะลุกลามไปจนถึงต้นปีหน้า สำหรับมาตรการรับมือของรัฐบาลที่ผ่านมาถือได้ว่ารัฐบาลสอบตก ประชาชนยังขาดความเชื่อมั่นในการดูแลแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งผลสำรวจชี้ชัดว่าประชาชนพร้อมให้ความร่วมมือกับรัฐบาลสูงมาก ซึ่งถ้ารัฐบาลรณรงค์ให้ประชาชนป้องกันก็พร้อมจะทำตาม เพราะว่าเป็นห่วงในเรื่องของเศรษฐกิจมาก เห็นได้จากการตอบแบบสอบถามที่ไม่อยากให้ปิดประเทศ หรือปิดกิจการที่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจ "คาดว่าไข้หวัดใหญ่ 2009 จะส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอยสินค้าจำเป็นลดลง และกระทบต่อเนื่องไปยังภาคธุรกิจบริการ เช่น การท่องเที่ยว และบันเทิง รวมทั้งยังกระทบไปสู่บริการโลจิสติกส์ ขนส่ง เนื่องจากปริมาณสินค้าที่ลดลง และปริมาณผู้โดยสารทั้งรถยนต์ และสายการบินก็ลดลงจากการชะลอตัวของการท่องเที่ยว เห็นได้จากผลประกอบการของบริษัทสายการบินต่างๆ ที่ลดลง" ชี้ไข้หวัดยืดเยื้อสูญแสนล้าน ทั้งนี้ หากการระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 ยุติได้ภายในไตรมาส 3 จะทำให้การบริโภคปรับลดลงเฉลี่ยเดือนละ 5,000-10,000 ล้านบาท จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงเฉลี่ยเดือนละ 50,000-100,000 คน ส่งผลทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในไตรมาส 3 หายไปประมาณ 30,000-60,000 ล้านบาท ทำให้ GDP ปีนี้ ติดลบมากขึ้น 0.3-0.5% ส่งผลให้ GDP รวมทั้งปี 2552 ขยายตัวติดลบเพิ่มขึ้นเป็น 3.8-4.8% อย่างไรก็ตาม หากการระบาดยืด เยื้อไปจนถึงปลายปีนี้ จะส่งผลกระทบทำให้นักท่องเที่ยวหายไป 300,000-600,000 คน เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจทั้งปี หายไปอีก 60,000-120,000 ล้านบาท กระทบ GDP ติดลบมากถึง 0.5-1% และทำให้ GDP รวมปีนี้ติดลบเพิ่มขึ้นเป็น 4.5-5.5% จากเดิม คาดว่าจะติดลบ 3.5-4.5% รวมทั้งยังทำให้ภาวะเงินฝืดรุนแรงขึ้น คาดว่าตัวเลขเงินเฟ้อจะติดลบเช่นกัน
stock in focus,logistics

**************
23/07/52
เร่งสรุปแผนแม่บทรถไฟฟ้า12สาย ดีเดย์สายสีส้ม-สีชมพู
“โสภณ” จี้ สนข.เร่งสรุปแผนแม่บทรถไฟฟ้า 12 สาย ชง ครม.ใน ส.ค.นี้ ดัน สีส้มและชมพูก่อสร้างก่อนรองรับเปิดศูนย์ราชการและแก้จราจรย่านรามคำแหง มูลค่า 1.48 แสนล้านบาท เผยรัฐฯ เทงบไทยเข้มแข็งระยะ 2 ปี 5.35 แสนล้าน พร้อมลุยสร้างรถไฟฟ้าสีส้ม-ชมพู พร้อมปรับแผนแม่บทใหม่ใน20 ปีลงทุน 8.38 แสนล้าน ระยะทาง 486.9 กิโลเมตร

วานนี้ (20 ก.ค.) สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้จัดสัมมนารับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และความต้องการของประชาชน ในโครงการศึกษาปรับแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ครั้งที่ 2 โดยนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมว่า การทบทวนแผนแม่บทรถไฟฟ้า 12 เส้นทางเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะปัจจุบัน และให้เร่งสรุปเพื่อเสนอคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) และคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนส.ค.นี้

โดยนอกจากเส้นทางที่อยู่ในระหว่างดำเนินการ ได้ให้นโยบายเร่งรัดรถไฟฟ้า 2 สายเป็นพิเศษคือ สายสีชมพู ช่วงปากเกร็ด – มีนบุรี ระยะทาง 29.9 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 31,240 ล้านบาท เพื่อรองรับศูนย์ราชการและการเติบโตของกรุงเทพฯด้านเหนือ และสายสีส้ม ช่วงบางบำหรุ – มีนบุรี ระยะทาง 32 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 117,600 ล้านบาทซึ่งเป็นบริเวณที่มีการจราจรหนาแน่น

ทั้งนี้ หากครม.ให้ความเห็นชอบแผนแม่บทรถไฟฟ้า 12 สายแล้ว จะสามารถออกแบบรายละเอียดสายสีชมพูและส้มได้ทันทีโดยจะโยกงบประมาณ 400 ล้านบาทจากเดิมที่กำหนดไว้สำหรับการศึกษารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินวงแหวนรอบในรัชดาภิเษก มาใช้ก่อน

“การสัมมนาเพื่อระดมความเห็นจากทุกส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดลำดับความสำคัญของแต่ละโครงการในแผนแม่บทที่ปรับใหม่ ซึ่งนโยบายในการจัดระบบขนส่งในกทม.นั้นนอกจากการพัฒนารถไฟฟ้าให้เกิดการเชื่อมต่อเป็นโครงข่ายแล้วจะต้องพัฒนาระบบรถเมล์ไปพร้อมกันด้วย ถึงจะแก้ปัญหาจราจรสำเร็จ” นายโสภณ กล่าว

นายโสภณ กล่าวว่า ภายในปีนี้ จะสามารถเริ่มก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อได้โดยขณะนี้ผลการประกวดราคาทั้ง 3 สัญญา พบว่า ค่าก่อสร้างรวมทั้งสัญญาระบบรางอยู่ในกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติ 36,055 ล้านบาท โดยจะเร่งสรุปเพื่อเสนอครม.เพื่อลงนามสัญญาก่อสร้างกับผู้รับเหมาต่อไป ส่วนสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง-บางแคและบางซื่อ-ท่าพระ ระยะทาง 27 กม. มูลค่า 79,904 กระทรวงการคลังยืนยันจะหาเงินกู้ภายในประเทศให้ภายในปีนี้ ขณะที่สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต อยู่ระหว่างดำเนินการ รวมถึงจะเร่งรัดด้วย

ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อน ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ระยะทาง 12.6 กม. มูลค่า 25 ,248 ล้านบาท และสายสีเขียวเข้ม ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ ระยะทาง 11.4 กม. มูลค่า 32,052 ล้านบาท นั้น เห็นว่าหากกระทรวงคมนาคมเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมดจะเร็วกว่า และไม่มีปัญหาเรื่องงบลงทุน และก่อนหน้านี้ มติครม.ให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) รับผิดชอบงานก่อสร้างแต่เพื่อความชัดเจนทั้งการก่อสร้างแบะการบริหารการเดินรถ ในสัปดาห์หน้าจะเชิญกรุงเทพมหานคร (กทม.) มาหารือกันอีกครั้ง

***ฟุ้งรัฐเทงบไทยเข้มแข็งปี 53
นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ผู้อำนวยการ สนข.กล่าวว่า ตามแผนรถไฟฟ้าสีชมพู จะเป็นระบบโมโนเรล และสีส้ม จะมีทั้งระบบลอยฟ้าและใต้ดิน จะใช้งบตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่สองหรือแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง (SP2) โดยในปี 2553 สีชมพู วงเงิน 3,711 ล้านบาท สีส้ม วงเงิน 1,702 ล้านบาท ปี 2554 สีชมพู วงเงิน 7,422 ล้านบาท สีส้ม วงเงิน 3,404 ล้านบาท ปี 2555 สีชมพู วงเงิน 11,133 ล้านบาท สีส้ม วงเงิน 5,106 ล้านบาท

***ปรับแผนผุดรถไฟฟ้า 12 สาย
สำหรับแผนงานโครงข่ายรถไฟฟ้า 12 เส้นทาง ระยะทาง 486.9 กิโลเมตร ดำเนินการ 20 ปี (2553-2572) มูลค่าลงทุนรวม 838,250 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. สายสีแดง (ธรรมศาสตร์ –มหาชัย) มี 3 ช่วง คือ บางซื่อ-รังสิต-ธรรมศาสตร์, บางซื่อ-หัวลำโพง-บางบอน, บางบอน-มหาชัย ระยะทาง 85.3 กิโลเมตร วงเงิน147,750 ล้านบาท 2. สายสีแดงอ่อน (ศาลายา-หัวหมาก) มี 4 ช่วง คือ บางซื่อ-ตลิ่งชัน, ตลิ่งชัน-ศาลายา, บางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน,

มักกะสัน-หัวหมาก ระยะทาง 58.5 กิโลเมตร วงเงิน 86,340 ล้านบาท 3. รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงค์(พญาไท-มักกะสัน-สุวรรณภูมิ) ระยะทาง 28.5 กิโลเมตร วงเงิน 25,920 ล้านบาท 4. สายสีเขียวเข้ม (ลำลูกกา-หมอชิต-สมุทรปราการ-บางปู) ระยะทาง 66.5 กิโลเมตร วงเงิน102,420 ล้านบาท 5. สายสีเขียวอ่อน (ยศเส-บางหว้า) ระยะทาง 15.5 กิโลเมตร วงเงิน 15,130 ล้านบาท

6. สายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-ท่าพระและหัวลำโพง-บางแค-พุทธมณฑลสาย 4 ) ระยะทาง 55 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 93,100 ล้านบาท 7. สายสีม่วง (บางใหญ่ –ราษฎร์บูรณะ และแคราย-ปากเกร็ด) ระยะทาง 49.8 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 135,880 ล้านบาท 8. สายสีส้ม (บางบำหรุ –มีนบุรี) ระยะทาง 32 กิโลเมตร วงเงิน117,600 ล้านบาท 9.สายสีชมพู (ปากเกร็ด –มีนบุรี) ระยะทาง 29.9 กิโลเมตร วงเงินลงทุน31,240 ล้านบาท 10. สายสีเหลือง (ลาดพร้าว –สำโรง) ระยะทาง 30.4 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 38,120 ล้านบาท 11. สายสีเทา (วัชรพล –สะพานราม 9) ระยะทาง 26 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 31,870 ล้านบาท และ 12. สายสีดำ (ดินแดง –สาทร) ระยะทาง 9.5 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 12,880 ล้านบาท

***ร.ฟ.ท.ตั้งคณะทำงานร่วมหาข้อยุติ
นายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมกับตัวแทนสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) วานนี้ (20 ก.ค.) ถึงแผนการปรับโครงสร้างร.ฟ.ท. ว่า ที่ประชุมเห็นชอบตั้งคณะทำงานร่วม 2 ฝ่ายๆ ละ 5 คน โดยมี นายถวิล สามนคร รองผู้ว่าการฯ ร.ฟ.ท.เป็นประธาน เพื่อหารือในรายละเอียดที่ยังไม่เข้าใจและมีส่วนไหนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยและให้นำผลการหารือของคณะทำงานรวม 2 ฝ่าย มาประชุมร่วมกันอีกครั้งในวันที่ 27 ก.ค. 52 นี้ ในเบื้องต้น สหภาพฯ ร.ฟ.ท.เห็นด้วยที่จะเดินหน้าระบบขนส่งทางรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีขนส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง (แอร์พอร์ตลิงค์) แต่ไม่เห็นด้วยกับการจ้างบริษัทเดินรถ เพราะเห็นว่าพนักงานร.ฟ.ท.มีศักยภาพที่จะดำเนินการเองได้

*** สหภาพฯจวกผู้บริหารไม่จริงใจ
นายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสหภาพ (ร.ฟ.ท.) กล่าวว่า ฝ่ายบริหารร.ฟ.ท.นัดหารือกับสหภาพฯ ในประเด็นการตั้งบริษัทลูกเดินรถแอร์พอร์ตลิ้งค์ซึ่งกำหนดจะเปิดเดินรถในเดือน ธ.ค. 52 ซึ่ง สหภาพฯ ไม่เห็นด้วยกับการตั้งบริษัทลูกขึ้นมาดำเนินการและเห็นว่า สำนักบริหารโครงการรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นหน่วยงานของร.ฟ.ท.เองสามารถดำเนินการได้

ส่วนปัญหาเรื่องการรับพนักงานเพิ่มติดเงื่อนไขมติครม.ที่ให้ร.ฟ.ท.รับพนักงานใหม่ได้ปีละไม่เกิน 5% ของจำนวนพนักงานที่เกษียณในปีนั้นๆ ตามที่ฝ่ายบริหารอ้างถึงความจำเป็นที่ต้องตั้งบริษัทลูกขึ้นมานั้น มติดังกล่าวมีช่องว่างที่ร.ฟ.ท.สามารถเสนอครม.แก้ไขได้

จากการหารือกันนั้น ฝ่ายบริหารไม่มีเอกสารข้อมูลรายละเอียดการดำเนินโครงการที่ชัดเจน และไม่สามารถตอบข้อสงสัยของสหภาพฯได้เลย จึงเห็นว่า ฝ่ายบริหารยังไม่มีความจริงใจที่จะเจรจาและหาทางออกที่ดีสำหรับร.ฟ.ท.ร่วมกัน ดังนั้นหากยังเป็นเช่นนี้ จึงไม่มั่นใจว่า การตั้งคณะทำงานร่วมกันจะสามารถหาข้อสรุปได้

“สหภาพฯ ไม่ได้คัดค้านการปรับโครงสร้าง เพราะต้องการเห็นร.ฟ.ท.ดีขึ้นแต่ ฝ่ายบริหารไม่สามารถชี้แจงรายละเอียดได้มีแต่แผนและกรอบเท่านั้น ส่วนในที่ประชุมก็ไม่มีข้อมูลอะไรเลยนอกจากหนังสือเชิญประชุมแผ่นเดียว อย่างไรก็ตาม ยืนยัน พนักงานรถไฟสามารถบริหารและดำเนินโครงการแอร์พอร์ตลิ้งค์ได้ แต่ที่ผ่านมา

ภาคนโยบายไม่ยอมเปิดโอกาสให้พนักงานรถไฟมีส่วนร่วมเลย ตั้งแต่แรก โดยบอกว่า พนักงานรถไฟไม่มีประสิทธิภาพ จึงต้องให้เอกชนเข้ามาเดินรถแอร์พอร์ตลิ้งค์”นายสาวิทย์กล่าว
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9520000082088
stock in focus

***************
22/07/52
โสภณไฟเขียวสีม่วง ชงครม.สัปดาห์หน้า วงเงินเพียง 3.5 หมื่นล. วันนี้บอร์ดรฟม.ผ่านฉลุย
"โสภณ" ปลื้มรฟม.ดั๊มพ์ค่าก่อสร้าง สายสีม่วงบางใหญ่-บางซื่อ 3 สัญญา พ่วงวางรางเหลือ 3.5 หมื่นล้านบาท ไม่ล้นกรอบ มั่นใจหลังบอร์ดคุยวันนี้ฉลุย เตรียมเสนอครม.สัปดาห์หน้าทันที การันตีแม้ราคาต่ำลงแต่ไม่กระทบคุณภาพงาน เพราะต่อรองอ้างอิงจากค่าวัสดุที่ชัดเจน
stock in focus
********
14/07/52
JBICหนุนไทยพัฒนาระบบขนส่งเทียบชั้นญี่ปุ่น
นายฮิโรชิ วาตานาเบะ ( Mr.Hiroshi Watanabe) ประธานและผู้บริหารสูงสุดของธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan Bank for International Cooperation: JBIC) เข้าเยี่ยมคารวะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

ทั้งนี้นายฮิโรชิ ได้กล่าวถึงภารกิจของ JBIC ในการเดินทางมาเยือนไทยในครั้งนี้ รวมทั้งการเข้าพบหารือกับนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลังและการเข้าพบกับผู้บริหารธนาคารไทยหลายแห่ง เมื่อวานนี้ (13 ก.ค.)เพื่อผลักดันให้ภูมิภาคเอเชีย
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/business/20090714/59618/JBICหนุนไทยพัฒนาระบบขนส่งเทียบชั้นญี่ปุ่น.html
stock in focus
**********
08/07/52
ดัชนีค่าระวางเรือส่อแววลงต่อ คาดเคลื่อนไหว 3,300-4,100 จุด โบรกระบุดัชนีค่าระวางเรือ BDI สัปดาห์นี้ส่อแววลงต่อ คาดเคลื่อนไหวในกรอบ 3,300-4,100 จุด เผยจับตาดู IMF ประกาศหั่นตัวเลขเศรษฐกิจปีนี้ลงตาม World Bank จากก่อนหน้านี้ที่คาดว่าจะติดลบประมาณ -1.3% ซึ่งอาจส่งผลต่อการขนส่งทางน้ำ ขณะที่สัญญาณทางเทคนิคหุ้นกลุ่มเดินเรือ TTA แนวรับ 19.90 บาท แนวต้าน 21.30 RCL แนวรับ 9.50 บาท แนวต้าน 10.30 บาท

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น