วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สรุปภาพรวมตลาด รายสัปดาห์รายเดือน

16/11/52
คาดหุ้นปี 53 แตะ 800 จุด ชี้ ดอลลาร์อ่อนผลักทุนไหลเข้าเอเชีย
กสิกรฯ คาดหุ้นไทยปี 53 ทะลุ 800 จุด แนะจับตาเงินดอลลาร์อ่อน กดดันเม็ดเงินตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไหลเข้าเอเชีย พร้อมยอมรับ กระแสเงินทุนที่ไหลเข้าในแถบเอเชียขณะนี้ ต่างชาติสนใจไปลงทุนในสิงคโปร์ และอินเดีย ส่วนไทยกังวลปัญหาการเมือง

นางณัฐรินทร์ ตาลทอง กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า จากภาวะเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2552 ส่งผลให้เงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาซื้อหุ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต่างชาติมียอดซื้อสุทธิถึง 60,000 ล้านบาทแล้ว ส่วนเศรษฐกิจไทย หลังจากรัฐบาลเร่งผลักดันแผนการลงทุนไทยเข้มแข็ง 1.4 ล้านล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจในอีก 2 ปีข้างหน้า จะมีส่วนช่วยผลักดันเศรษฐกิจจากที่ติดลบร้อยละ 3 ในปีนี้ กลับมาเป็นบวกร้อยละ 3.0-3.5 ในปี 2553

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์ ต่างคาดการณ์ตรงกันว่า กลุ่มประเทศในแถบเอเชียฟื้นตัวเร็วที่สุด ประกอบกับแนวโน้มสกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลเอเชีย อีกทั้งหลายประเทศในเอเชียเตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าสหรัฐฯ ทำให้เม็ดเงินที่ค้างในตลาดหุ้นสหรัฐฯ 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ พร้อมออกหาผลตอบแทนในแถบเอเชีย จึงคาดว่าตลาดหุ้นไทยปี 2553 จะปรับขึ้นถึง 800 จุด แต่จะเคลื่อนไหวลักษณะทยอยปรับขึ้น

สำหรับแผนการเปิดเสรีโบรกเกอร์ปี 2555 ยอมรับว่าจะทำให้เกิดการแข่งขันสูงขึ้นในตลาดหุ้น โบรกเกอร์แต่ละรายจะต้องหาพันธมิตร โดยเฉพาะธนาคารหรือดึงพันธมิตรต่างชาติร่วมทุน เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง ทำให้โบรกเกอร์มีการควบรวมกัน จากจำนวน 37 เหลือไม่เกิน 25 ราย การเน้นคิดค่าธรรมเนียมจะไม่ใช่สิ่งสำคัญ เพราะลูกค้าจะให้ความสำคัญเป็นที่ปรึกษา เพื่อตัดสินใจลงทุนและแข่งขันด้านบริการให้กับลูกค้า

ส่วนผลตอบแทนของ บล.กสิกรไทย 9 เดือนแรก มีกำไรสุทธิกว่า 134 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 362 จากที่มีกำไร 29 ล้านบาทในปีผ่านมา โดยอีก 3 ปีข้างหน้าจะขอขยับขึ้นเป็น 1 ใน 3 โบรกเกอร์รายใหญ่ที่มีส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 5 จากปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 1.81 ด้วยการเปิดบริการนายหน้าซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรองพันธบัตร และการให้บริการต่างๆ ที่ครบวงจร

นางณัฐรินทร์ ยอมรับว่า กระแสเงินทุนที่ไหลเข้าในแถบเอเชียขณะนี้ ต่างชาติสนใจไปลงทุนประเทศอื่น ทั้งสิงคโปร์ อินเดีย แต่ในส่วนไทยยังกังวลปัญหาการเมือง ดังนั้น หาก
manager.co.th************
14/11/52
เปิดสูตรลงทุนปี’53
โพสต์ทูเดย์
— ปีหน้าลงทุนหุ้นจะเป็นวิกฤตหรือโอกาสขึ้นอยู่กับจังหวะเลือกซื้อหุ้น

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์ เปิดเผยในงานสัมมนา “เจาะลึกเศรษฐกิจ...วิกฤตหรือโอกาสการลงทุน” ว่า ปีหน้าประเมินมูลค่าดัชนีเหมาะสมจะอยู่ที่ระดับ 650 จุด แต่เชื่อว่าจะมีการเคลื่อนไหวแกว่งตัวในกรอบกว้างๆ ระหว่าง 600–850 จุด แต่กรอบส่วนใหญ่น่าจะอยู่ในช่วง 670-780 จุด

ดังนั้น จะเป็นวิกฤตหรือโอกาสสำหรับผู้ลงทุนขึ้นอยู่กับจังหวะที่เข้าไปลงทุนว่าขณะนั้นดัชนีอยู่ที่ระดับใด โดยแนะนำนักลงทุนให้จัดสรรการลงทุนให้ดี หากดัชนีปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 600 จุด แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักในหุ้นเป็น 60% ที่เหลือเป็นการลงทุนในหุ้นกู้ เงินฝาก เป็นต้น

หากดัชนีอยู่ที่ระดับ 650 จุด ให้ลงทุนในหุ้น 50% ดัชนีระดับ 750 จุด ลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 30% และหากดัชนีขึ้นไปที่ระดับ 800 จุด ให้ลดน้ำหนักลงทุนในหุ้นลงเหลือ 20% และเมื่อขึ้นถึงระดับ 850 จุด ให้ลดลงเหลือ 10% และให้ถือครองเงินสดทั้งหมด หากดัชนีขึ้นไปแตะระดับ 900 จุด แล้วเมื่อปรับตัวลดลงค่อยเข้าไปช้อนซื้อ

“หุ้นปีหน้ามีความผันผวนไม่น้อยกว่าปีนี้ เพราะจากสถิติ 20 ปีย้อนหลัง มีเพียง 3 ปีเท่านั้นที่ระดับดัชนีต่ำสุดและสูงสุดห่างกันไม่ถึง 200 จุด ส่วนใหญ่จะเหวี่ยงตัวเกิน และคาดว่าปีหน้าก็เช่นกัน น่าจะเกิน 200 จุดเช่นกัน” นายสมบัติ กล่าว

นายสมบัติ กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนมี.ค. นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเกือบ 6 หมื่นล้านบาท แต่ยังน้อยเมื่อเทียบกับก่อนเกิดวิกฤตซับไพรม์ มียอดซื้อสุทธิในหุ้นไทยสูงถึง 2 แสนล้านบาท แต่ในปัจจุบันไทยมีปัจจัยในประเทศทั้งความไม่ชัดเจนเรื่องมาบตาพุด ความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชา ดังนั้นไม่ควรคาดหวังว่าเงินลงทุนต่างชาติจะกลับมาซื้อสุทธิในระดับเดิม แต่ขณะเดียวกันไม่ควรมองโลกในแง่ร้ายเกินไป

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ KEST กล่าวว่า ในภาวะดัชนีหุ้นปรับตัวลดลงเป็นโอกาสเข้าไปลงทุนของผู้ลงทุน ส่วนกลุ่มธุรกิจที่น่าเข้าไปลงทุนให้เลือกธุรกิจที่อยู่คู่กับเศรษฐกิจในประเทศ เพราะมองว่าปีหน้าเศรษฐกิจจะดีขึ้น เช่น ธนาคารพาณิชย์ และการบริโภคในประเทศ

ทั้งนี้ โดยส่วนตัวเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยยังไม่ปรับขึ้นในกลางปีหน้า หรือยกเว้นแต่ว่าจะเห็นเศรษฐกิจทั่วโลกขยายตัวร้อนแรง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องยาก

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา นักวิเคราะห์ยอดเยี่ยมด้านพลังงานและปิโตรเคมี และผู้อำนวยการอาวุโส บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า กรณีมาบตาพุดประเมินไว้ว่าหากโครงการของกลุ่มบริษัท ปตท. (PTT) ล่าช้าไป 6 เดือน จะกระทบกำไรปีหน้าเพียง 5% เพราะโครงการเก่ายังสร้างรายได้ได้ตามปกติ และรับรู้ไปในราคาหุ้นแล้ว

อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานที่แนะนำให้ลงทุนสูงสุด คือ หุ้นบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เพราะมีศักยภาพในการทำกำไร วิกฤตช่วงนี้เป็นโอกาสให้ซื้อ ปี 2553 หากตัดโครงการมอนทาราออกไป คาดว่ากำไรยังมีโอกาสเติบโต 54% จากปีนี้ เพราะราคาก๊าซสูงตามราคาน้ำมันที่คาดว่าเฉลี่ยที่ 75-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากปีนี้เฉลี่ย 64-65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

หุ้นไทยวานนี้ปิดที่ 698.33 จุด เพิ่มขึ้น 1.61 จุด หรือ 0.23% มูลค่าการซื้อขาย 14,645.81 ล้านบาท ต่างชาติขาย 676.13 ล้านบาท สถาบันซื้อ 66.26 ล้านบาท พอร์ตบล.ซื้อ 78.35 ล้านบาท และรายย่อยซื้อ 531.52 ล้านบาท

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า รางวัล SET Awards 2009 ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 6 รวม 29 รางวัล ปรากฏว่ารางวัลบริษัทจดทะเบียนที่มีผลการดำเนินงานยอดเยี่ยม สำหรับบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) สูงกว่า 1 หมื่นล้านบาท ได้แก่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม มาร์เก็ตแคปไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท เป็นของบริษัท ยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม บริษัท ค้าเหล็กไทย และบริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี

รางวัลผู้บริหารสูงสุดยอดเยี่ยม (Best CEO Awards) ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ นางกรรณิการ์ ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ขณะที่รางวัลบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยอดเยี่ยม แยกตามกลุ่มลูกค้า ได้แก่ บล.ที่เน้นบริการนักลงทุนประเภทสถาบัน เป็นของบล.ยูบีเอส (ประเทศไทย) (UBS) บล.ที่เน้นบริการนักลงทุนประเภทบุคคล ได้แก่ บล.กสิกรไทย และรางวัลบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมยอดเยี่ยม ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมบัวหลวง (BBLAM)
posttoday*************
24/10/52
week summary 19-23/10/52
***************
20/10/52
เชื่อปลายปีหุ้นเด้งทะลุ 800 จุด

Posted on Tuesday, October 20, 2009
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส บอกว่า แม้ตลาดหุ้นไทยจะเจอกับข่าวร้าย ทั้งกรณีมาบตาพุด//การหยุดเดินรถไฟ รวมถึงข่าวลือต่างๆ ที่ทำให้ดัชนีร่วงลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่มีการปรับประมาณการดัชนีตลาดหุ้นปีนี้ โดยเชื่อว่าดัชนียังมีโอกาสแตะ 800 จุดได้ในช่วงปลายปี จากผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน ที่มีสัดส่วนค่อนข้างมากในตลาดหุ้น ที่คาดว่าจะออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมไปถึงเงินดอลลาร์ที่ยังคงอ่อนค่า ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังพุ่งขึ้นต่อเนื่อง และมีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น

นายก้องเกียรติ บอกด้วยว่า รัฐบาลควรสร้างความชัดเจนกรณีปัญหาในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด รวมถึงการหยุดเดินรถไฟ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ รฟท. เนื่องจากเป็นเรื่องที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะต่างชาติ ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเช่นมาเลเซีย กำลังเร่งดำเนินนโยบายดึงเม็ดเงินลงทุนเข้าประเทศ

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บอกว่า การปรับฐานของดัชนีฯ ถือเป็นเรื่องปกติ หลังจากที่ปรับขึ้นมาเกือบ 100% จากจุดต่ำสุดในปีก่อน อีกทั้งทิศทางดอกเบี้ยนโยบายที่เริ่มส่งสัญญาณขาขึ้น จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของประเทศอิสราเอล ออสเตรเลีย และดอกเบี้ยพันธบัตรที่ขยับขึ้น อาจส่งผลให้เม็ดเงินเข้าลงทุนในตลาดหุ้นลดน้อยลง

นายไพบูลย์ ยังเชื่อว่า แนวรับที่ 650 จุด น่าจะรับอยู่ และเป็นจังหวะที่ปลอดภัยของการเข้าเก็บหุ้น โดยประเมินว่าดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวขึ้นแรงอีกครั้ง และมีโอกาสทะลุ 800 จุด ในช่วงปลายปี จากการเข้าซื้อหุ้นของกองทุน LTF และ RMF ที่โดยปกติจะเข้าซื้อหุ้นประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาทในช่วงปลายปี
money news update
*********
11/10/52
ช่วงวันที่ 05-11/10/52
***************
17/09/52
กูรู เปิด 5 ปัจจัยเสี่ยงดับร้อนตลาดหุ้น จับตาดอลลาร์อ่อน เฮดจ์ฟันด์ทำกำไร
Source - ฐานเศรษฐกิจ (Th) Thursday, September 17, 2009 06:38 8521 XTHAI XECON XCORP XFRONT V%PAPERL P%TSK
ผู้เชี่ยวชาญเปิด 5 ปัจจัยเสี่ยงกระชากตลาดหุ้น เงินเฟ้อ ,สัญญาณดอกเบี้ยขาขึ้น เศรษฐกิจฟื้นจริงหรือไม่ ,ดอลลาร์อ่อนค่า ,การระดมทุนทั้งไอพีโอ และบจ. คาดหุ้นไทยมีโอกาสลงลึกที่ 650 จุด แนะขายทำกำไรทุกรอบที่ดัชนีทำนิวไฮ "ศุภวุฒิ"เผยหุ้นวิ่งรับผลการดำเนินงานปี 53 แล้ว
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ทิสโก้ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า จากที่หุ้นทั่วโลกได้ปรับขึ้นไปมากกว่า 50% เป็นผลจากคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว แต่การปรับขึ้นแรงของตลาดหุ้นนั้น อาจส่งผลให้ปรับลงแรงได้จาก 3 ปัจจัยสนับสนุน คือ 1.เงินเฟ้อ 2. แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น และ 3. การเพิ่มทุนของเอกชนที่จะเริ่มมีเข้ามาทั้งในรูปแบบการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯครั้งแรก(ไอพีโอ)และบริษัทจดทะเบียน(บจ.)เพิ่มทุนใหม่(พีโอ) เป็นต้น ซึ่งจะทำให้นักลงทุนเริ่มหันความสนใจต่อหุ้นไอพีโอมากขึ้น ส่วนการเพิ่มทุนของบจ. จะทำให้จำนวนหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นส่งผลให้ราคาหุ้นมีมูลค่าลดลงหรือไดลูต "เหล่านี้ คือ ปัจจัยที่นักลงทุนต้องระมัดระวัง สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นปีหน้าเช่นเดียวกับหุ้นไทยที่มีโอกาสปรับลงถึงระดับ 650-700 จุด นอกจากนี้เริ่มมีบริษัทเอกชนหันมาระดุมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯมากขึ้น" นายไพบูลย์ กล่าว
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.กสิกรไทยฯ กล่าวยอมรับว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมหุ้นไทย ที่ปรับขึ้นไปนั้นได้รองรับผลการดำเนินงานในปี 2553 เรียบร้อยแล้ว โดยเป็นผลจากนักลงทุนเชื่อว่าปี 2552 เศรษฐกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ส่วนปีหน้าเศรษฐกิจยังเติบโตได้ต่อจากมาตรการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบของหลายประเทศทั่วโลก ดังนั้นทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกรวมหุ้นไทย มีโอกาสปรับลงได้อีกหรือไม่คงต้องรอดูจากการประมาณการผลการดำเนินงานในปีถัดไปว่ายังสามารถเติบโตได้หรือไม่หลังจากผลของมาตรการอัดฉีดเงินในทุกๆด้านของแต่ละประเทศ ส่งผลในปีหน้าแล้ว ม.ล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ กรรมการผู้จัดการ บล.ซิตี้คอร์ป(ประเทศไทย)ฯ กล่าวว่า ปัจจัยที่ต้องจับตา และมีผลต่อการปรับตัวลงของตลาดหุ้นทั่วโลก หลังจากได้ปรับขึ้นแรงมากในปีนี้ คือ แนวโน้มดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีโอกาสอ่อนค่าลงได้อีก โดยบล.ซิตี้คอร์ปฯ ประเมินว่าจะอ่อนค่าลงอีกประมาณ 5% เมื่อเทียบกับสกุลอื่นๆทั่วโลก (จากต้นปีนี้ถึงปัจจุบันดอลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าลงแล้วประมาณ 30% ) ทำให้นักลงทุนเก็งกำไรจากการกู้ในประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำและเข้าลงทุนในประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า(ดอลลาร์แครี่เทรด )รวมกับการเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน เช่นเดียวกับปัจจัยอัตราดอกเบี้ย มีโอกาสปรับขึ้นและส่งผลต่อตลาดหุ้นได้ แต่คาดว่าจากนี้ถึงครึ่งปีแรกของปี 2553 อัตราดอกเบี้ยยังไม่ปรับขึ้น อย่างไรก็ตามหากตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงจากปัจจัยดังกล่าวก็มีโอกาสปรับลงต่ำกว่า 700 จุดซึ่งถือว่าเร็วเกินไปหากเทียบจากพื้นฐานกำไรบริษัทจดทะเบียน ที่คาดว่าปีนี้จะเติบโตในอัตรา 5% ส่วนดัชนีตลาดหุ้นคาดว่าสิ้นปีนี้จะปิดที่ระดับ 650 จุด ส่วนปีหน้าคาดว่ากำไรบจ.เติบโต 15-18%
นายสุชาย สุทัศน์ธรรมกุล กรรมผู้จัดการ บล.ฟิลิป(ประเทศไทย)ฯ กล่าวว่า การปรับขึ้นของตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียรอบนี้ถือว่าร้อนแรงเกินไปหรือที่เรียกว่าโอเวอร์ฮีด เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยที่ปรับขึ้นมาที่ระดับ 700 จุด เป็นไปในทิศทางเดียวกับกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งทองคำ และน้ำมัน แต่จากนี้ไปมีโอกาสพักฐานและผันผวนต่อไปจนถึงปี 2553 หากมีปัจจัยลบเข้ามาแม้ว่าจะไม่ร้ายแรง เช่น การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆอาทิ ตัวเลขการจ้างงาน และตัวเลขส่งออก เป็นต้น ที่คาดว่าสามารถส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับลงได้ที่ระดับ 650-700 จุด "คำแนะนำการลงทุนในหุ้นจากนี้ไปจนถึงปีหน้า ควรขายทำกำไรทุกรอบเมื่อหุ้นปรับขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ หรือนิวไฮ" นายสุชายกล่าว
นายสุพรรณ เศษธะพานิช ผู้อำนวยการ ฝ่ายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)ยูไนเต็ด จำกัด กล่าวว่า เงินที่ไหลเข้าลงทุนในหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ 2 ต่อ จากสินทรัพย์ที่ลงทุนและค่าเงิน จึงทำให้ตลาดหุ้นปรับลงได้ สำหรับตลาดหุ้นไทยที่ปรับขึ้นไปนั้น ถือว่าร้อนแรงเกินปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งอัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น(พี/อี เรโช) ที่เหมาะสมของตลาดหุ้นไทย ควรอยู่ที่ประมาณ 11 เท่า และดัชนีตลาดควรอยู่ที่ 650 จุด ขณะที่ปัจจุบันพีอีปรับขึ้นไปที่ 12 เท่าแล้ว ดังนั้นในระยะสั้น จึงมีโอกาสปรับลงได้อีกประมาณ 50 จุด และถือเป็นโอกาสเข้าลงทุน โดยสามารถถือยาวได้ 2-3 ปี ส่วนการลงทุนระยะ 1 ปีข้างหน้า มีโอกาสได้กำไรประมาณ 10 % เมื่อรวมเงินปันผล ภายใต้การประเมินเศรษฐกิจมีโอกาสฟื้นตัวในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า
--ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 17 - 19 ก.ย. 2552--

***************
10/09/52
เซียนหุ้นประเมินดัชนีแตะ 711 จุด ชี้มาตรการกระตุ้นศก.ทั่วโลกหนุน
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ครั้งล่าสุดว่า นักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนีหุ้นปลายปีเป็นเฉลี่ย 674 จุด จากคาดการณ์เดือนพฤษภาคม 535 จุด เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลกและของไทยที่สร้างความมั่นใจ และคาดดัชนีสูงสุดของปี 2552 ที่ 711 จุด รวมทั้งปรับเพิ่มประมาณการอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนเป็น 22.9% จากผลสำรวจเดิม 5.0% และอัตราการเติบโตทาง
เศรษฐกิจปี 2552 เป็นติดลบ 3.4% ฟื้นขึ้นจากติดลบ 3.6%
**************
ทิศทางตลาดหุ้นh2/52 by คุณมนตรี ศรไพศาล
กรุงเทพธุรกิจ
************
ทิศทางตลาดหุ้นh2/52 by รศ.ดร.เอกชัย นิตยาเกษตรวัฒน์
กรุงเทพธุรกิจ
************
ทิศทางตลาดหุ้นh2/52 by ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ
กรุงเทพธุรกิจ
****************
market summary 17-21 august2009
**************
market summary 9-17august2009

***********
2-9august09
week summary
stock in focus

*********
สรุปภาพรวมตลาด รายสัปดาห์ รายเดือน
1.สิ้น ก.ค.2552
stock summary,july 2009
************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น